อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 7/6 วันที่ 9 เม.ย. 56


อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 7/6 วันที่ 9 เม.ย. 56

“คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มารับรึหนู” แพรถาม
“ผมมาจากต่างจังหวัดครับ นานๆ ครั้งท่านถึงจะมารับ” เทิดศักดิ์ตอบอย่างฉะฉาน
“แดงน้อย ลุงมีข่าวดีมาบอก”
โพล้งกระซิบบางอย่างข้างหูแดงน้อย ทำเอาแดงน้อยตื่นเต้นมากๆ
“ดีใจจังเลย ไหนครับ อยู่ไหนครับ ผมจะไปหา”
แดงน้อยวิ่งแล้วหันมาเจอหน้าเทิดศักดิ์มองตาแป๋ว

“เทิดศักดิ์ ตามเรามาสิ จะพาไปหาคนที่เรารักมากที่สุด”
แดงน้อยเข้ามาดึงมือเทิดศักดิ์วิ่งตื้อตามกันออกไป โพล้งกับแพรตามแทบไม่ทัน



แดงน้อยดึงแขนเทิดศักดิ์วิ่งมาที่หน้าประตูโรงเรียนด้านใน ส่ายตาหา
“ไหนล่ะแดงน้อย”
“นั่น นั่นลุงของเรา ลุง ที่เรารักที่สุด ลุง ครับ ลุง ทางนี้ครับ”
เทิดศักดิ์มองตามที่แดงน้อยเรียก แลเห็นชายกลางคนคนหนึ่ง แต่งตัวดีมาก ใส่เสื้อราชประแตน ใส่หมวกค่อนมาทางหลุบหน้า ยืนมองตาเป๋งมาที่ประตูโรงเรียน
หนัก หรือ สิน ได้ยินเสียงแดงน้อยเรียก จึงหันมองมา ก้าวเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียน บุคลิกเปลี่ยนไปนิ่งและขรึมมากดูแล้วเหมือนผู้มีอันจะกินจากบางกอก หนักเดินช้าๆ ไม่ผลีผลาม ทรุดตัวมากอดแดงน้อยแนบอกอ่อนโยนลึกซึ้ง
“คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจนอดไม่ไหว ต้องมากอดหลานมาดีใจกับหลาน หลานคิดถึงลุงบ้างไหม”
“ที่สุดในชีวิตครับลุงสิน”
ตลอดเวลาที่สองคนกอดกันพูดกัน เทิดศักดิ์มองดูยิ้มตาแป๋ว
“เรียนหนังสือสนุกไหมครับ”
“สนุกมากครับ เรียนจบเมื่อไหร่จะไปเป็นตำรวจ จับคนร้าย ครับ” แดงน้อยบอก
หนักสะอึกไปนิดหนึ่ง เงยหน้ามองไปเจอเอากับเทิดศักดิ์ที่มองมาตาแป๋ว อย่างมีไมตรี แถมยกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณลุง”
“หนูเป็นเพื่อนแดงน้อยหรือครับ” หนักถาม
แดงน้อยผละออกมา
“ครับ เทิดศักดิ์กับผมเป็นเพื่อนสนิทกัน เขามาจากสุพรรณบุรี”
หนักกระตุกพรืด เขม้นมองเทิดศักดิ์
“อำเภอไหนรึหนู”
“อำเภอเมืองครับ คุณลุง”
“คุณพ่อเขารับราชการที่นั่นครับ ลุงสินพ่อเขาเป็นท่านขุนครับ” แดงน้อยบอก
หนักรำพึง “ท่านขุน”
“ขุนภักดีภูบาลครับ”
คำพูดของเทิดศักดิ์ ทำเอาหนักตะลึง ตัวแข็งทื่อ ปากแข็ง พูดไม่ออก
เสียงกริ่งหรือระฆังเรียกนักเรียน
“นักเรียนที่ไม่มีผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ห้ามออกไปนอกอาคาร ผู้ที่ออกไปให้รีบกลับเข้ามาในตัวอาคาร”
“คุณครูห้ามออกมานอกอาคาร ผมต้องกลับเข้าไปแล้ว สวัสดีครับ คุณลุง”
หนักทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือออกไป อยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเทิดศักดิ์ใจจะขาด แต่เด็กชายหันกลับไปแล้ว หนักมือค้างมองตาม เหมือนกลายเป็นหิน เสียงยายอ่อนดังก้องในหู
“คนที่มันเล่นชู้น่ะคุณนายสนตะหาก มันไปท้องกับใครมาแล้วมาตู่ว่าท้องกับท่านขุน ลูกชายของมันนะน่ะลูกชู้ๆๆๆๆ”

ดวงตาของหนักหม่นเศร้ามีน้ำตาซึม คลอหน่วยตา แน่ใจว่าเด็กชายรูปงาม คือสายเลือดของตน
รถสามล้อถีบแล่นมาตามถนนมุ่งหน้ากลับร้านอาหาร แดงน้อยนั่งอิงแอบอกหนักที่โอบกอดไว้อย่างมีความสุข ต่างจากหนักที่มีสีหน้าเศร้าสร้อย หม่นหมอง และซึมเซาเอามากๆ

หนักใจลอยไปถึงเทิดศักดิ์ที่มองมายังตนตาแป๋ว ขณะที่หนักกำลังกอดแดงน้อยอยู่ แววตาที่มองมาอย่างเป็นมิตรและเทิดศักดิ์ยกมือไหว้หนักอย่างนอบน้อม และ บอกว่าตนมาจากอำเภอเมือง พร้อมกับเอ่ยชื่อพ่อ ว่าคือขุนภักดีภูบาล
หนักคิดแล้วเครียด พึมพำออกมาเบาๆ
“ลูกพ่อ”
แดงน้อยได้ยินรู้สึกแปลกใจ
“ลุงเรียกผมว่าลูกพ่อ ลุงอยากให้ผมเป็นลูก ผมดีใจจังครับ”
นั่นแหละหนักจึงได้สติ
“แดงน้อยเป็นลูกของลุงมาตั้งแต่เกิดแล้วลูก”
“ลุงรักผมที่สุดในโลกใช่ไหมครับ”
“ใช่สิ”
แดงน้อยยิ้มแย้มถามประสาซื่อ “จะมีใครที่ลุงรักที่สุดในโลกเท่าผมอีกไหม”
หนักเจอคำถามนี้ถึงกับอึ้งไป
“มีสิ แม่ของแดงน้อยไงลุงรักเขามาก เขาช่างน่าสงสารที่สุด”
“แม่ผมเป็นอะไรตายครับลุง”
“แม่ของแดงน้อยป่วยตาย”
“แม่ผมชื่ออะไรครับลุง”
รถจอดหน้าร้านพอดี หนักถือโอกาสไม่ตอบ
“ถึงร้านแล้ว แดงน้อย ไปดูสิว่าเรากับ ลุงโพล้งแม่แพรใครถึงร้านก่อนกัน หนึ่ง สอง สาม วิ่งไปลูก”
แดงน้อยวิ่งลงไป หนักจ่ายค่ารถ ทอดถอนใจมองตามแดงน้อยหนักใจที่จะตอบ

ฟากเนียนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เงียบๆ ใจลอยคิดถึงลูกทั้งสองกับพี่ชาย พูดเบาๆ กับตัวเอง
“แดงน้อย หนูติ๋ว ลูกคือชีวิตจิตใจของแม่ ทุกวันนี้แม่หายใจไม่เต็มอก เพราะไม่รู้ชะตากรรมของลูกแดงน้อย เมื่อไหร่หนอโชคชะตาจะพาเรามาพบกันได้สักครั้ง เมื่อไหร่หนอ พี่หนักจะส่งข่าวมาให้รู้บ้าง ว่าพี่กับแดงน้อยเป็นอย่างไร”
กบเข้ามาเงียบๆ ย่องมายิ้มแย้มจ๊ะเอ๋
“เนียน จะเอ๊”
“ว๊าย คุณพระช่วย”
“ตกใจตลอดเวลาแท้ๆ เนียน ฉันมีข่าวดีมาบอก”
“ข่าวดีอะไรรึ”
กบหัวเราะคิกคักกระซิบกระซาบ

เรื่องที่กบเล่านั้น เกิดขึ้นที่เรือนคุณนายทองจันทร์ในวงสำรับอาหาร เจ้านายทั้งหมดล้อมวงกินอาหารอยู่ มีกบและแมวคอยดูแล
“ขอบใจมากนะ พ่อเทพ แม่เรียม แม่สนที่มากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนคนแก่”
“บ้านมันเหงาๆ ขาดเสียงเด็กหัวเราะ ก็เลยชวนกันมากินข้าว แก้เหงาให้คุณแม่ครับ”
“เอ นี่พ่อเทพ เหงาเองหรือจะมากะเกณฑ์หาว่าแม่เหงาคนเดียว”
“พี่เทพหมายความว่า เราทุกคนเหงา เพราะบ้านไม่มีเสียงเด็กมาหลายปีแล้วค่ะ” เรียมว่า
“แต่ดูท่าเรือนแม่สน คงจะไม่เหงาเท่าไหร่ นางช้อยมันช่างสรรหาเรื่องให้แม่สนตื่นเต้นอยู่ได้เสมอนี่นา” ทองจันทร์เหน็บ
“ช้อยมันกำลังจะลาไปหาพ่อแม่ ที่บางปลาม้า มันว่าอยากจะไปบวชชีค่ะ” สนว่า
ทุกคนรวมทั้งกบกะแมวด้วยอุทานลั่น “ไปบวชชี”
“อยากหัวร่อให้ฟันฟางหักหมดปาก อย่างนางช้อยไปบวชชีมิก่อเหตุยุให้ชีตีกันจนโดนสึกทั้งวัดรึ” ทองจันทร์ไม่เชื่อ
ทุกคนส่ายหน้าไม่เชื่อ นึกไม่ออกในความจะเป็นชีของช้อย

ส่วนเนียนฟังแล้วพนมมือท่วมหัว
“อนุโมทนาสาธุกับช้อยเขาด้วย”
“อย่างนางช้อยมันน่าอนุโมทนา อโหสิให้ที่ไหนกันมันบาปหนาซะปานนั้น ฟังต่อสิยังมีอีกเรื่องนะเนียน”
“มีอะไรอีกรึ”
กบทำท่าเล่าต่อ...

ขณะที่ทุกคนกินอาหาร ขุนภักดีกินต้มยำพุงปลาเข้าไปแล้ว นิ่งไป นึกคุ้นฝีมือ
“เอ๊ะ ต้มยำพุงปลานี่…”
“ฝืมือคุ้นๆ ใช่ไหมพ่อเทพ”
เรียมถาม “กบแมว ใครทำรึ”
กบกะแมวมองหน้ากัน
“เอ้อ...”
สนรู้ทันที “บอกมานะว่าใครทำ เนียนใช่ไหม”
สองคนบอก “เจ้าค่ะ”
ขุนภักดีเกิดหงุดหงิดไม่มีเหตุผล “นังแม่ครัวมันไม่ทำกับข้าวเอง ดันไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหน”
กบกะแมวมองหน้ากัน
“เปล่าตกนรก แต่ตกคูหลังบ้านเจ้าค่ะ” กบบอก
แมวเสริม “ขาแพลงแขนเดาะ มือซ้นเจ้าค่ะ”
ขุนภักดีรวบช้อน ลุกพรวดทันที
“พี่เทพจะไปไหนคะ” เรียมฉงน
“พี่อิ่มแล้ว กินไม่ลง”
“สนไม่อิ่มแต่ กินไม่ลง ค่ะ”
สนลุกเช่นกัน เดินตามท่านขุนออกไป
“แต่ฉันกินลง” ทองจันทร์บอก
“เรียมก็กินลงค่ะ คุณแม่”
“เนียนมันทำอร่อยกว่าแม่ครัวนั่นเป็นไหนๆ ทำไมต้องปฏิเสธของอร่อยๆ ไม่มีเหตุผล นางกบ เอ็งไปบอกเนียนว่าต่อไปนี้เฉพาะสำรับของข้า ให้มันทำเองยกเอามาเองให้ให้ข้ากินบนเรือนนี่”
กบกะแมวระรื่นประสานเสียง “เจ้าค่ะ”
“แม่เรียมอยากจะกินของอร่อยก็มากินเรือนแม่ได้นะ”
“ขอบพระคุณค่ะ ถ้าวันไหนที่เทพเขาไปเรือนสน เรียมขอมาฝากท้องที่นี่ ค่ะ”
เรียมแอบยิ้ม

เนียนฟังแล้วยิ้มชื่นใจเช่นกัน และน้ำตาซึมๆ
“คุณท่านต้องการอย่างนั้นจริงๆ รึ รึว่ากบมาเย้าฉันเล่น”
“ให้ฟ้าผ่าตายสิเอ้า คุณท่านเคยเอ็นดูเนียนมาก ท่านไม่อยากจะโกรธจะเกลียดเนียนดอก แต่มันไม่มีอะไรมาหักล้าง ที่ท่านขุนท่านเห็น เนียนก็ไม่ยอมเอ่ยปาก ฉันดีใจด้วยนะเนียน”

เนียนฟังแล้วมีกำลังใจขึ้นมาก
อยู่มาวันหนึ่งช้อยกำลังพนมมือไหว้สน

“ช้อยกราบลานะเจ้าคะ คุณสน”
“เอากราบเอ็งวางไว้ตรงนั้น เอ็งปดใช่ไหมไอ้ที่ว่าเอ็งจะบวชชี หน้าอย่างเอ็งเป็นชีไม่ได้ดอกเอ็งเป็นได้แค่ คนกวาดลานชีตะหาก”
“ช้อยจะพยายามเป็นให้ได้เจ้าค่ะ เอ้อ คุณสนเจ้าขา ช้อยจะลาจากทั้งที คุณสนคงเมตตาให้ทุนรอนช้อยไปยาไส้พอสมน้ำสมเนื้อใช่ไหมเจ้าคะ”
“เอ็งจะไปบวชชี เอ็งจะเอาทุนรอนไปยาไส้ทำไม เอ็งก็กินของบริจาคสิ” สนไม่แยแส
“ช้อยจะเอาไปทดแทนพระคุณพ่อแม่ ที่แก่แล้ว ไม่ให้อดอยากปากแห้งเจ้าค่ะ ช้อยตามรับใช้คุณสนทั้งตัวทั้งหัวใจมานานนับสิบปีนะเจ้าคะ”
“นี่เอ็งทวงบุญคุณข้ารึ นางช้อย กล้าดีแท้ๆ เอ็งทำอะไรชั่วไปไว้แยะแค่ไหนข้าปิดบังเอาไว้ให้เอ็ง ทำไมเอ็งไม่นึกถึงบุญคุณข้าบ้าง”
“ช้อยทำเพื่อคุณสน ช้อยทำเพราะคุณสนต้องการให้ช้อยทำตะหาก” ช้อยเถียง
สนลุกพรวดผลักช้อยเซหงาย ชี้นิ้วตะเพิด
“มึงลงไปจากเรือนกูเดี๋ยวนี้ อีช้อย จำไว้ว่าถ้ามึงไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายมึงอย่าได้กลับมาหากูอีก”
“คุณสน” ช้อยตกใจ
“ไสหัวไปรึว่าจะให้กูถีบมึงลงเรือนไป”
ช้อยร้องไห้โฮ ป้ายน้ำตาลงเรือนไป สนเท้าสะเอวมองตามโกรธมากๆ

เนียนกับแมวกำลังเก็บผักสวนครัวหลังบ้าน จะเอาไปทำอาหาร
“เนียนนี่เก่งแท้ มือเย็น ปลูกผักปลูกหญ้าขึ้นงามหมด”
“ฉันเป็นชาวนานี่นา ฉันปลูกข้าว ปลูกผักอะไรอะไรก็เป็นทั้งนั้น แค่ตัวเท่าเมี่ยง พ่อฉันก็สอนให้ปลูกทุกอย่างแล้ว”
“เนียนไม่มีพี่น้องเลยรึ”
“มีสิ ฉันมีพี่ชาย เรารักกันมาก” เนียนนึกถึงหนักทำท่าจะร้องไห้
“ทำไมเขาไม่เคยมาหาเนียน เขารู้บ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนียน”
“ฉันกับเขาไม่พบกันมาห้าปีกว่าจะหกปีแล้ว ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้พบกันอีกไหม”
“ทำไมรึ...” แมวฉงน
เนียนทำท่าจะร้องไห้มากขึ้น แมวจึงชะงักปากที่ถามต่อ

เวลาล่วงเลยไปอีก 1 ปี หนักแวะมาที่ร้านกาแฟไทยเจริญหลายวันแล้ว จู่ๆ หนักร่ำลาแพรกับโพล้งสองคนงงๆ
“ลาละ ฉันจะไปสุพรรณ”
“หา” สองคนตาเหลือก
หนักไม่พูดอะไรต่อหันออกไปจากร้าน
“ไปสุพรรณ”
สองคนอุทาน ตกใจมาก

ขณะเดียวกันที่สวนหลังบ้านขุนภักดี เนียนเก็บผักเสร็จแล้ว พากันเดินออกมากับแมว ได้ยินเสียงคนร้องไห้
“ช้อย” สองคนอุทาน
เห็นช้อยกำลังป้ายน้ำตา พูดอะไรบางอย่างกับแทน
“ฉันไม่มีให้ยืมดอก ที่ท่านให้ก็ส่งไปให้พ่อแม่ใช้เหลือแค่พอยาไส้ไปวันๆ”
“ใจดำ เอ็งใจดำไอ้แทน เสียแรงเคยทำงานชายคาเดียวกัน” ช้อยตัดพ้อ
“อุ๊บ๊ะ คนอะไร้ มาขอยืมเงินพอไม่มีให้มาชี้หน้าด่าทอ อันธพาลแท้ๆ” แทนด่า
เนียนกะแมวมองหน้ากัน แมวประชดขึ้น
“ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ไอ้ฉันก็ไม่ได้พกเศษเงินมาด้วยหาไม่จะโยนใส่ปากให้ไปใช้เอาดาบหน้า”
เอกมาสมทบอีกคน
“โยนใส่ปากนั่นมันตอนตายตะหาก จะให้เอาไปใช้ในนรกรึ นางแมว เอ็งละก้อพูดจา ส่อเสียดดีนัก” เอกตะโกนเรียก “เออแน่ะ นางช้อยข้าพอมีจะให้ทานเอ็ง มาเอาไปสิ”
ช้อยหันมาเจอหน้าเนียน แมว อยู่กับเอกที่ยิ้มอยู่ก็หุบจ๋อยไป
“อย่ามาเยาะกันนักเลย ไอ้พี่เอก คนล้มแหมรีบมาเหยียบมาย่ำ”
“เอ..ฟังน้ำเสียงดูท่าว่าจะมีปัญหากับเจ้านายผู้แสนดีซะแล้วนางช้อย”
ช้อยปาดน้ำตา หันตัวจะเดินจากไป
เนียนเรียกไว้ “ช้อย”
ช้อยหยุด เนียนเดินไปหาช้อย ส่งเงินให้หนึ่งตำลึง
“หนึ่งตำลึง” ช้อยตกใจ
“รับไปเถิด ฉันเอาผักไปส่งที่ตลาดทุกเช้า วันนี้เป็นวันที่เขาจ่ายเงินพอดี”
ช้อยมองเนียน ทุกคนมองเนียนแปลกใจ ช้อยส่ายหน้า ครวญคร่ำออกมาคำเดียว
“ทำไม ทำไม”
“ทำไมเนียนไม่โกรธแค้นอาฆาตเอ็งรึนางช้อย” เอกเองก็งง
“โกรธสิ แต่มันผ่านพ้นไปแล้ว ฉันมีเรื่องอื่นทุกข์ร้อนมากมาย เกินกว่าจะมาจำเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านไป เพื่อเพิ่มทุกข์ที่อาจเกิดมาอีก”
ช้อยอึ้งเงียบงันไป เนียนยัดเงินใส่มือช้อย ทุกคนมองเนียนชื่นชมมาก ช้อยพึมพำบอกเนียน
“ฉันขอโทษ”
แล้วช้อยก็หันกลับไป เนียนมองตามช้อย ให้อภัยจนสิ้น เลิกจองเวร

สนแอบมองเนียนกับช้อยอยู่
“อีช้อย กูเอามึงไว้ไม่ได้อีกคนแล้ว มึงรับสินบนอีเนียนให้ไปเป็นพวกมัน มึงหักหลังกู”

สนพาลโกรธช้อย ไม่ไว้ใจมากขึ้นอีก
ฝ่ายขุนภักดีมานั่งคิดอะไรตามลำพังที่ท่าน้ำ นึกถึงตอนตักกินต้มยำพุงปลาที่เนียนทำแล้วคุ้นๆ รส ในที่สุดรู้ว่าเนียนทำ

ขุนภักดีทอดถอนใจ
“ทำไมเราไม่เฉดหัวผู้หญิงมักมากคนนั้นไปจากบ้านนะ”
มีเสียงเรือพายจ๋อมแจ๋มใกล้ๆ เข้ามา ท่านขุนชะงัก
“ใครมาพายเรือเล่นตอนมืดค่ำหรือว่ามาหาผู้หญิงมักมากนั่น
ขุนภักดีจ้องมองออกไปในความมืด

ลูกน้องของหนักพายเรือมา หนักนั่งมองจ้องตาเป๋งไปทางบ้านขุนภักดี ใจจดจ่อ เต้นระทึก
“ท่าน้ำข้างหน้านั่นแหละ จอดแอบไม่ต้องไปกลางท่าน้ำดอก”
“นั่นบ้านท่านขุนภักดีภูบาลนะลูกพี่ จะปล้นบ้านนี้รึ” ลูกน้องถาม
“เงียบ เก็บปืนให้มิดชิด อย่าพูดอย่าทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าข้าไม่ได้สั่งฟังนะ เอ็งไม่ต้องผูกเรือดอกเผื่อมีเหตุร้ายจะได้รีบไปไวๆ”
ลูกน้องพยักหน้า เทียบเรือไปที่ริมท่าน้ำ หนักลุกขึ้นยืน

ขุนภักดีก้าวออกไป ขณะที่หนักก้าวขึ้นมาที่ท่าน้ำ ชายสองคนเผชิญหน้ากัน
“เอ็งเป็นใคร”
หนักยืนนิ่งอึ้งไป เห็นหน้าหนักภายใต้แสงจันทร์สลัวไม่ชัดเจนนัก
“ผม…”
ขุนภักดีชักปืนออกมาแล้ว

ส่วนเนียนยืนตะลึงอยู่ข้างหลังท่าน้ำในพุ่มไม้ จำท่าทางเดินของหนักได้ดีอุทานออกมา
“ท่าทางเดินแบบนั้น ใช่แล้ว พี่หนัก” เนียนตกใจรีบเอามือปิดปาก

หนักตั้งสติได้
“บอกมาว่าเอ็งชื่ออะไร” ขุนภักดีคาดคั้น
“ชื่อสินขอรับ”
“มาทำไม”
“มา เอ้อ…”
หนักล้วงกระเป๋า ขุนภักดีทำท่าจะยิง
“หยุดนะ”
เนียนแอบมองอยู่ตกใจมาก
“ตายแล้ว”
เนียนเอามือปิดตา

ฝ่ายขุนภักดีขยับปืนในมือ ยิงเฉียดหนักออกไปข้างๆ
“เอ็งจะชักปืนมายิงข้ารึ หน่อยแน่ะ” เสียงปืนดังปัง
“หามิได้ขอรับ กระผมไม่ได้จะหยิบปืนดอก แต่…”
“แต่อะไร”
หนักหยิบพระออกมา
“พระสมเด็จขอรับ”
ขุนภักดีแปลกใจว่าหนักหยิบพระออกมาทำไม
“อืมม์...งามมาก แต่เรื่องพระเอาไว้ก่อน เอ็งยังไม่ได้ตอบข้าว่ามาทำไม”

อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 7/6 วันที่ 9 เม.ย. 56

ละครเรื่อง อาญารัก บทประพันธ์ : จำลักษณ์
ละครเรื่อง อาญารัก บทโทรทัศน์ : วรพันธ์ รวี
ละครเรื่อง อาญารัก กำกับการแสดง : จรูญ ธรรมศิลป์
ละครเรื่อง อาญารัก แนว ดราม่า
ละครเรื่อง อาญารัก ผลิต : บริษัทดีด้าวิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด
ละครเรื่อง อาญารัก ควบคุมการผลิต : สยม สังวริบุตร
ละครเรื่อง อาญารัก ออกอากาศทุกวันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 20.25 น. ทาง ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager