อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 7/5 วันที่ 9 เม.ย. 56
“จ้ะ ขอบใจที่ไว้วางใจให้ดูแลลูกและลูกบุญธรรมของเธอ เอ้อ...อย่าว่าขี้สงสัยเลยนะ ทำไมเด็กสองคนนั่นหน้าตาคล้ายกันมาก ราวกับฝาแฝด”“ทุกคนก็พูดเหมือนเธอนี่แหละจ้ะ ฉันถึงรักใคร่เอ็นดูหนูติ๋วมาก แกว่านอนสอนง่ายกว่าหนูอี๊ด ให้แกได้เรียนอย่างดีที่สุด เพื่อที่ต่อไปแกจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้จ้ะ ส่วนค่าใช้จ่าย ฉันออกเองทุกอย่าง”
“ขอบใจแทนเด็กคนนั้นจริงๆ เรียม เธอยังเป็นเรียมคนดีคนเดิมที่มีแต่เมตตาปราณีต่อผู้อื่นที่ต่ำต้อยกว่าเสมอ”
“ได้โปรดอย่าบอกใคร บอกเพียงว่า เธอให้ทุนเด็กเรียนฟรีนะจ๊ะ”
“ได้สิจ๊ะ เอ้อ เพื่อสะดวกในการดูแลเด็กสองคนนี้ ชั้นอยากเข้าใจนิสัยใจคอของพวกแกด้วยจ้ะ”
“จ้ะ”
สองคนมองไปยังเด็กแฝด
ทานตะวันนั่งอยู่บนม้ายาวในสวน ชี้นิ้วสั่งให้เนื้อทองเก็บดอกไม้มาให้
“แกไปเก็บดอกไม้มาให้ฉันให้มากที่สุด เด็กติ๋ว”
“ค่ะ คุณหนูอี๊ด เอ้อ ยังไม่ได้ขออนุญาตคุณป้านฤมลเลยนี่คะ”
“ฉันไม่สนใจ ฉันบอกให้เก็บก็ไปเก็บมาสิ”
“ถ้าคุณป้าท่านมาดุเอาเล่าคะ”
“ดุแกน่ะสิ เพราะแกเป็นคนเก็บ ชั้นไม่เกี่ยวข้อง แกอย่ามาขัดคำสั่งชั้นนะ”
“ค่ะ”
เนื้อทองหอบดอกไม้มาเต็มมือ ทรุดตัวลงตรงหน้าทานตะวันที่ชี้นิ้วให้นั่ง
“นั่งลงที่พื้นห้ามนั่งเก้าอี้ แล้ววางดอกไม้ไว้บนโต๊ะ”
ติ๋ววางลงไป อี๊ดมองยิ้มๆ เสียงสนดังในหู
“เด็กติ๋วเป็นลูกไล่หนูอี๊ด แกล้งมันให้มากๆ แกล้งมันบ่อยๆเพื่อให้มันรู้ว่ามันต่ำต้อย มันไม่กล้าหือดอกค่ะ”
ทานตะวันเอามือปัดดอกไม้ลงไปกองเต็มพื้น
“คุณหนูอี๊ด ปัดดอกไม้สวยๆ ทิ้งทำไมคะ โธ่น่า เสียดายแท้ๆ”
“แกเสียดาย แกก็ไปเก็บมาใหม่ สิ เก็บเดี๋ยวนี้”
เสียงเรียมดังขึ้น “ไม่ต้องไปเก็บดอก หนูติ๋ว”
“คุณนายเรียม”
“ต่อไปนี้เรียกฉันว่าแม่นาย ไม่ต้องเรียกคุณนาย สองคนฟังคุณป้านฤมลให้ดี แล้วทำตามที่คุณป้าบอก”
“ดอกไม้สวนนี้เป็นของนักเรียนทุกคนที่นี่ มีไว้ดูสวยงาม มีป้ายเขียนไว้ว่า กรุณาอย่าเด็ดดอกไม้ในสวนจ้ะ”
“ขอโทษคุณครูทั้งสองคนเลยจ้ะ” เรียมบอก
“ขอโทษค่ะ คุณป้า หนูจะไม่เด็ดดอกไม้อีก” เนื้อทองไหว้
“หนูไม่ขอโทษ หนูไม่ได้เด็ดดอกไม้ ของคุณป้า เด็กติ๋วต่างหาก”
“ใช่ค่ะ หนูผิดเอง คุณหนูอี๊ดไม่ผิดดอกค่ะ”
เรียมกับนฤมลมองหน้ากัน
ส่วนที่โรงเรียนประจำชาย บริเวณหอนอนประจำของเด็กชายรุ่นประถม ตรงหน้าห้องมีเด็กบางคนทยอยเข้ามาจัดตู้ของตัวเองเอาเสื้อผ้าใส่
แดงน้อยเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบย่อมๆ ส่ายตาหาตู้ของตนเอง เทิดศักดิ์เดินเข้ามาหาตู้ของตนเองเช่นกัน สองคนมาเจอกันที่หน้าห้องด้านในพอดี
แดงน้อยยิ้มให้เทิดศักดิ์อย่างเป็นมิตร เทิดศักดิ์ยิ้มตอบ
“สวัสดี” / “สวัสดี”
สองคนทักทายยิ้มอย่างมีไมตรีให้กัน
“ตู้เสื้อผ้าของเราอยู่ตรงนี้” แดงน้อยบอก
“ตู้เสื้อผ้าของเราอยู่ตรงนั้น” เทิดศักดิ์ชี้
“อยู่ติดกันนี่นา”
เด็กชายสองคนอุทานพร้อมกัน หัวเราะให้กัน ต่างเริ่มอบอุ่นใจที่มีเพื่อนในที่แปลกถิ่น
ส่วนที่หอนอนเด็กชั้นประถม ในโรงเรียนกุลสตรีของนฤมล
ตู้ในห้องมีป้ายชื่อติดอยู่ว่า ด.ญ.ทานตะวัน ภักดีภูบาล ตู้ข้างๆ มีป้ายติดว่า ด.ญ.เนื้อทอง เชื้อบ้านแพน
เนื้อทองกำลังเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า ทานตะวันแว้ดใส่ดังมากจนเด็กอื่นหันมามอง
“หยุดนะ แกจะเอาของแกใส่ตู้ก่อนของฉันไม่ได้ เด็กติ๋ว”
ทุกคนงง ต่างอุทานออกมา “เด็กติ๋ว”
“ทำไมหรือคะ คุณหนูอี๊ด” เนื้อทองก็งง
ทุกคนอุทานทั้งที่ยังงงๆ “คุณหนูอี๊ด”
จากนั้นทุกคนเลิกจัดของ หันมาสนใจสองแฝด
“ชั้นเป็นนายแกเป็นคนใช้ แกต้องจัดของของชั้นก่อน ของตัวแกเอง”
เด็กหญิงทุกคนต่างมองหน้ากัน
เด็กคนที่หนึ่งดูกล้าว่าเพื่อน “เธอสองคนไม่ใช่ฝาแฝดกันดอกรึ”
“อย่าเอาฉันไปนับญาติกับมันทีเดียว แม่ฉันเป็นคุณนาย แม่มันเป็นคนเลี้ยงหมูบ้านฉัน” ทานตะวันเสียงดัง
เด็กบางคนก็มองเนื้อทองด้วยแววตาสงสาร ขณะบางคนก็มองแบบชักจะรังเกียจ
“เป็นคนใช้ ทำไมถึงมีสตางค์เรียนโรงเรียนผู้ดีมีเงินอย่างเรา” เด็กคนเดิมว่า
ทานตะวันอึ้งไป
“เธอเป็นคนใช้เขาจริงๆ รึ” คนเดิมถามเนื้อทอง
“เอ้อ ฉัน เป็น...”
เนื้อทองอึกอักอยู่ ครูนฤมลเดินเข้ามา
“เนื้อทองเป็นลูกสาวบุญธรรม ของคุณแม่ของทานตะวันจ้ะเด็กๆ”
ทุกคนอึ้ง อุทานพร้อมเพรียง “คุณครู”
“คุณป้าขา คุณย่าคุณพ่อแม่สนด้วย บอกว่ามันต้องมารับใช้หนูที่บางกอกค่ะ” ทานตะวันท้วง
เนื้อทองรีบหันไปจัดเสื้อผ้าของทานตะวัน
“ไม่ต้องจัดเสื้อผ้าให้ทานตะวันจ้ะ เนื้อทอง ตอนนี้ทุกคนเป็นนักเรียนประจำของโรงเรียนกุลสตรี ทุกคนต้องจัดตู้เสื้อผ้า จัดเตียงพับผ้าห่มปูที่นอนของตัวเอง ไม่มีใครทำให้ทั้งนั้น เข้าใจไหมจ๊ะ” ครูนฤมลบอก
ทุกคนประสานเสียง “เข้าใจค่ะ”
ยกเว้นทานตะวันหรืออี๊ด “หนูไม่เข้าใจค่ะ คุณป้า”
ครูนฤมลยิ้มแย้ม “ค่อยๆ เข้าใจไปทีละนิด อีกหน่อยก็เข้าใจทั้งหมดเอง นี่คือกฎของโรงเรียน ทุกคนรีบจัดเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นไปอาบน้ำ รับประทานอาหาร ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อย แล้วเข้านอนตอนยี่สิบนาฬิการีบทำตามที่ครูบอกจ้ะ”
ทานตะวันอิดออด “คุณป้าขาหนู...”
“ทานตะวันจ๊ะ ตอนนี้เป็นเวลาของโรงเรียน ครูไม่ใช่ป้าหนู ครูคือครูของหนู หนูต้องเรียกป้าว่าคุณครูนฤมล ไม่ใช่คุณป้าจ้ะ ถ้าใครทำผิดกฏจะโดนลงโทษ ลงไปให้ถึงห้องอาหารอย่าเกินเวลาสิบแปดนาฬิกานะจ๊ะ”
นฤมลหันกลับ ทานตะวันแค้นเนื้อทองมาก จ้องหน้า ยกมะเหงกให้
“ฉันเกลียดแก นางลูกคนใช้”
เนื้อทองก้มหน้าก้มตาจัดของของตัวเองไป โดยไม่สนใจคำบ่นบ้าของทานตะวัน
ตกตอนค่ำ ในโรงอาหารโรงเรียนชายล้วน โต๊ะอาหารเรียงราย เด็กนักเรียนชาย ทั้งโตและเล็กนั่งกินอาหารด้วยกันอย่างเงียบเชียบ เป็นระเบียบ มีเพียงเสียงช้อนกระทบกันเป็นบางจังหวะ
เทิดศักดิ์กับแดงน้อยนั่งกินข้างๆ กัน สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว กินเสร็จรวบช้อน พากันเดินเอาจาน
มาเก็บคุยกันด้วย
“รับประทานเสร็จแล้ว อ้าปากพูดได้สักที คันปากอยากถามนายว่านายมาจากจังหวัดไหนรึ”
“เรา เป็นคนบางกอก นายเล่า”
“เรามาจากสุพรรณบุรี พ่อเรารับราชการอยู่ที่นั่น” เทิดศักดิ์บอก
“พ่อเราตายแล้ว เราอยู่กับแม่แพร ลุงโพล้ง พวกเขาขายอาหาร”
“โตขึ้นเราจะเป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ปลัดจังหวัด แล้วก็ข้าหลวงเป็นแบบเดียวกับคุณพ่อ”
“โตขึ้นเราจะเป็นตำรวจ จะไปจับคนร้ายที่ปล้นฆ่าคนมาลงโทษ”
สองคนสบตากัน ยิ้มให้กัน สีหน้าวาดความหวังว่าจะเป็นดังที่พูดที่ฝันให้จงได้
ค่ำวันเดียวกัน เนียนมานั่งอยู่ท่าน้ำ คิดถึงผนเป็นห่วงลูกมาก โดยเฉพาะแดงน้อยและเนื้อทอง
“แดงน้อยของแม่ ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แม่คิดถึงลูกห่วงลูกเหลือเกิน ขอให้พระคุ้มครองลุงหนักของลูก เพื่อที่จะส่งเสียดูแลลูกแทนแม่ ขอให้ลูกเลิกเจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพแข็งแรงโตวันคืน”
เนียนอยู่ในภวังค์ จนไม่ได้ยินเสียงเรือแล่นมาเทียบท่า ใจยังคงเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น
ที่บันไดท่าน้ำ เรือจอดเทียบท่า เอกลงก่อน มาจับกราบเรือให้นิ่ง ขุนภักดีและเรียมตามลงมา ขุนภักดีเห็นเนียนตะคุ่มๆ ไม่รู้ว่าใคร
“นั่นใครมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
เนียนสะดุ้งตกใจลุกพรวด หันมาเห็นขุนภักดีกำลังเดินตรงมา ตะโกนถามเสียงเข้ม
“คุณพระ คุณเจ้า ช่วยด้วย”
เนียนหันตัวกลับ ขุนภักดีคว้าไหล่กระชากโดยแรง
“ไอ้เอกฉายไฟดูหน้ามันสิ หยุดนะ”
“อุ๊ย”
เนียนโดนกระชากจนเซมาปะทะอกขุนภักดี แสงจากไฟฉายของเอกปะทะหน้าเนียนสว่างเต็มตาขุนภักดี ท่านขุนชะงักมองหน้าเนียน ในใจห่อเหี่ยววูบ เนียนดูทรุดโทรมมอมแมมไม่ผ่องใสเหมือนเดิม สองคนสบตากันต่างตกใจกันและกัน
ใบหน้าเนียนวันแรกพบซึ่งสดใสสวยงาม สลับกับใบหน้าเนียนยามนี้ไปมา ขุนภักดีทอนถอนใจ กลั้นใจ ตัดใจด้วยแรงทิฐิบังเกิดในกมล ทำหน้าเข้ม เนียนตัวสั่นปะทะอกท่านขุนอยู่
เอกมองตามไฟฉาย ใจระทึกผสมดีใจที่ขุนภักดีเจอเนียน เผื่อจะใจอ่อน
“บ้าจริง ดับไฟสิไอ้เอก ฉายไฟอยู่ทำไม”
ขุนภักดีปล่อยเนียน แล้วหันกลับหงุดหงิดที่ไปดึงเอาเนียนมาปะทะอก
เอกทำไขสือ “ท่านขุนสั่งกระผมฉายไฟนี่ขอรับ”
เอกยังรีรออยู่
ขุนภักดีตวาด “บอกให้ดับไฟ”
จากนั้นขุนภักดีผลักเนียนออกไปอย่างแรง จนเนียนเซซัง
“ดับแล้วขอรับ”
“ชังน้ำหน้านัก”
ขุนภักดีเดินออกไปจากที่นั่น เอกหันมามองเนียน พยักหน้าให้
เสียงขุนภักดีดังเข้ามา “รีบตามมาไวๆ ไอ้เอก”
เอกไม่อาจหยุดดูเนียนที่เซล้มไป เรียมเดินมาถึงพอดีในจังหวะที่เนียนลุกขึ้น จึงรีบไปพยุง บอกกับเนียน
“หนูติ๋วเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว จะได้เรียนสูงที่สุดเท่าที่ตัวเขาจะต้องการและทำได้”
เนียนก้มลงกราบแทบเท้าเรียม
“ขอบพระคุณหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะ คุณนายเรียม”
“ฉันสิต้องขอบใจเนียน ที่สุดหามิได้ สำหรับฉันเนียนคือผู้มีพระคุณตอบแทนไม่มีวันหมด ใครจะว่าจะกล่าวร้ายเนียนอย่างไร ฉันก็ยังมั่นใจว่าเนียน ไม่เคยทำผิดดังที่เขาว่ากัน”
เสียงขุนภักดีดังมา สุ้มเสียงหงุดหงิดเอามากๆ “พิรี้พิไรอะไรนักหนาเรียม ทำราวกับว่า ติดค้างพระคุณอะไรกันมาสิบชาติ พี่หงุดหงิดแล้วนะ”
เรียมพยักหน้า เนียนมองตามเรียมที่ถอยออกตามท่านขุนไปเนียนยิ้มทั้งน้ำตา
“หนูติ๋วของแม่ ชีวิตของหนูไม่ลำเค็ญเหมือนแม่แน่ๆ แม่ดีใจเหลือเกินจ้ะ”
เนียนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ทางด้านสนนั่งหงุดหงิดอยู่ที่เรือนเล็ก ระบดระบายกับช้อยที่นั่งซังกะตายอยู่ไม่ไกล
“ช้อย ความจริง ฉันควรจะได้พาเทิดศักดิ์ไปเข้าโรงเรียนพร้อมกับพี่ขุน เพราะฉันเป็นแม่”
“เจ้าค่ะ”
“แต่อีเรียมน่ะสิ ดัน พาหนูอี๊ดกับเด็กติ๋วไปด้วย ฉันไปอีกคนมันจะประดักประเดิด ฉันเลยอดเห็นบางกอก”
“เจ้าค่ะ”
“ความจริงเทิดศักดิ์ไม่อยู่ก็ดีนะ ไม่มีห่วงไม่โดนใครขัดคอ”
“เจ้าค่ะ”
สนอารมณ์เสีย รู้สึกได้ว่าช้อยไม่อยากพูดด้วย
“อีช้อย มึงจะเอายังไงกับกู กูทนมึงมาพักใหญ่แล้วนะ ถามคำตอบคำกลัวพิกุลจะร่วงจากปาก นักรึ”
“ช้อยไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ”
“ไม่ค่อยสบายหรือว่าวางแผนหักหลังอะไรอยู่”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“เอ็งไม่กระตือรือร้นอะไรสักอย่าง ให้ไปแอบดูอีเรียมว่าให้อะไรอีเนียนอีกหรือเปล่า ทำไมถึงให้ เอ็งก็คว้าน้ำเหลว”
“ช้อยกลัวพลาดแล้วโดนโบยปางตายอีกเจ้าค่ะ”
“เอ็งยังอยากรับใช้ข้าอยู่หรือเปล่าอีช้อย”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะของเอ็งแปลว่าอะไร อยากหรือไม่อยาก”
“ช้อยอยากกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่เจ้าค่ะ”
สนสะอึก
“แปลว่าเอ็งไม่อยากรับใช้ข้า”
ช้อยน้ำตาร่วง
“ช้อยอยากไปบวชชีเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ”
สนตกอกตกใจ
ภายในห้องเรียนของโรงเรียนกุลสตรีในบางกอก ชั้นประถมปีที่ 1 เด็กๆ นักเรียนห้องเดียวกับทานตะวันและเนื้อทอง นั่งเรียนกันอยู่ ครูประจำชั้นเตรียมสอนอยู่หน้าชั้นเรียน
ทานตะวันนั่งคู่กับเนื้อทอง ออกอาการฮึดฮัดไม่พอใจที่เนื้อทองมานั่งเสมอตัวเอง เด็กทุกคนกำลังอ่านตามครูที่ชี้ไปบนกระดานดำ
“ก.ไก่” ครูอ่านนำ เด็กๆ อ่านตาม “ก.ไก่”
ทานตะวันมองเนื้อทองที่กำลังอ่านตามครูเพลินๆ จู่ๆ ทานตะวันก็ผลักเนื้อทองตกเก้าอี้ เสียงดังโครม ทุกคนหยุดอ่าน ครูหยุดสอน
เหลียวมามองเห็นเนื้อทองลงมากองอยู่ที่พื้นห้อง
“เนื้อทองตกเก้าอี้” เด็กหญิงประสานเสียง
“หนูไม่ได้ทำเขานะคะคุณครู เขาบอกว่าไม่อยากอ่านตามคุณครู เขาง่วงเลยสัปหงกตกเก้าอี้เองค่ะ” ทานตะวันรีบโกหก
“จริงหรือเนื้อทอง” ครูถาม
เด็กคนเดิมที่เจอกันตอนเย็นบอก “ไม่จริงค่ะ หนูเห็น ทานตะวันเขา…”
แต่เนื้อทองรีบชิงพูด “จริงเหมือนที่คุณ เอ้อ ทานตะวันพูดค่ะ”
ครูฟังแล้วงงๆ เนื้อทองยิ้ม ดีใจ
เวลาผ่านไป วันนี้เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นๆ เทิดศักดิ์ออกมายืนมองแดงน้อยตรงห้องโถงของโรงเรียน เห็นโพล้งกับแพรมารอรับ แดงน้อยดีใจมากวิ่งไปไหว้แพรกับโพล้ง
“สวัสดีครับ แม่แพร ลุงโพล้ง”
“แดงน้อย มาโรงเรียนอาทิตย์เดียว เก่ง น่ารักขึ้นอีกอักโข” แพรปลื้มเหลือแสน
เทิดศักดิ์เดินตามมาสวัสดี ทักทายอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีครับ แม่แพร ลุงโพล้ง”
สองคนหันไปมอง รับไหว้
“พ่อหนุ่มน้อยรูปงามคนนี้เป็นใครกันรึ แดงน้อย” โพล้งถามอย่างเอ็นดู
“น่ารักแท้กิริยามารยาท ลูกชาติลูกตระกูลแน่ๆ” แพรยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดูเช่นกัน
“เพื่อนสนิทผมเองครับลุงโพล้ง”
“คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มารับรึหนู” แพรถาม
“ผมมาจากต่างจังหวัดครับ นานๆ ครั้งท่านถึงจะมารับ” เทิดศักดิ์ตอบอย่างฉะฉาน
“แดงน้อย ลุงมีข่าวดีมาบอก”
อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 7/5 วันที่ 9 เม.ย. 56
ละครเรื่อง อาญารัก บทประพันธ์ : จำลักษณ์ละครเรื่อง อาญารัก บทโทรทัศน์ : วรพันธ์ รวี
ละครเรื่อง อาญารัก กำกับการแสดง : จรูญ ธรรมศิลป์
ละครเรื่อง อาญารัก แนว ดราม่า
ละครเรื่อง อาญารัก ผลิต : บริษัทดีด้าวิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด
ละครเรื่อง อาญารัก ควบคุมการผลิต : สยม สังวริบุตร
ละครเรื่อง อาญารัก ออกอากาศทุกวันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 20.25 น. ทาง ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager