อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 5 วันที่ 23 เม.ย. 56
“เมื่อคืนครูไผ่เข้าไปนอนกับพ่อหรือ”ไผ่พญาที่นั่งกินข้าวอย่างอร่อยอยู่คนเดียวเกือบสำลักข้าว ปฏิเสธว่า “เอ่อ...เปล่า...ไม่ใช่ซะหน่อย”
“ใครบอกลูก” ภูวนัยถามม่านเมฆแล้วมองไปทางม่านหมอก “มันเรื่องที่ต้องเล่าให้น้องฟังไหม”
ม่านหมอกที่นั่งเงียบๆฉุนขึ้นมาทันที ย้อนถามเสียงแข็งว่าใครเล่า ภูวนัยสวนไปว่า ถ้าไม่ได้เล่าแล้วจะเป็นใคร จนเผ่าพงศ์ต้องปรามลูกชายให้ใจเย็นๆ ส่วนม่านหมอกก็ฮึดฮัดลุกไป ม่านเมฆถึงได้บอกว่า
“สมส่วนกับใครที่เล่า!” ภูวนัยคาดคั้นเสียงเขียวตาขวาง ดูท่าทางเขาหงุดหงิดผิดปกติ เผ่าพงศ์เลยหันไปถามพรรษาประชดว่า
“นี่แม่ษาทำอะไรมาเนี่ย...ถ้ากินแล้วหน้ายักษ์อย่างไอ้ภู...ฉันจะได้ไม่กิน”
บรรยากาศยิ่งเครียดขึ้นไปอีก ภูวนัยลุกพรวดขึ้นบอกพ่อว่า ตนจะไปกรุงเทพฯสักสามสี่วัน
“อ้าว...ไปอีกแล้วเหรอ...แกโดนพักงานอยู่จะไปทำไมบ่อยๆหาไอ้ภู” ภูวนัยไม่ตอบ เอาผ้าเช็ดปากแล้วเดินออกจากโต๊ะไปเลย เผ่าพงศ์ถามคนที่เหลืออยู่ว่า “มีใครรู้บ้างเนี่ยว่ามันเป็นอะไรของมัน”
ทุกคนส่ายหน้า เผ่าพงศ์เลยเดินตามไปถึงหน้าห้องนอนของภูวนัยที่เจ้าตัวกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าและหยิบปืนในลิ้นชักใส่กระเป๋าไปด้วย เผ่าพงศ์ยืนถามที่หน้าห้องว่า
“แกยังทำใจไม่ได้อีกเหรอ ไอ้ภู...แกรู้ไหมว่าฉันอยากให้แกเป็นอัลไซเมอร์เหมือนฉัน บางทีการลืมเรื่องบางเรื่องก็ทำให้เรามีความสุข...” เห็นภูวนัยนิ่งไป จึงหว่านล้อม “อย่าไปเลยลูก ปล่อยได้แล้ว”
“ถ้าพ่อโดนเจ้านายที่ตัวเองนับถือหักหลัง พ่อจะปล่อยได้เหรอครับ”
“แกรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันมีความสุขที่สุด ได้อยู่กับแก อยู่กับหลาน แกไม่มีความสุขรึไง”
“พอเถอะครับพ่อ ผมตัดสินใจแล้ว ผมไปครั้งนี้ เพื่อต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าผมไม่ได้ผิด” ภูวนัยพูดอย่างมุ่งมั่น
เผ่าพงศ์ได้แต่มองดูลูกอย่างเป็นห่วง...ครู่ใหญ่ก็ไปเคาะประตูห้องพรรษา พอพรรษาเปิดประตูออกมาก็แทบผงะ เห็นหน้าเผ่าพงศ์ติดกอเอี๊ยะเต็มไปหมด พรรษาต้องตั้งสติถามว่า “คุณเผ่า...เล่นอะไรคะเนี่ย”
“ฉันนอนไม่หลับ...ช่วยอะไรฉันหน่อย” เผ่าพงศ์พูดทิ้งไว้แค่นั้นให้พรรษาแปลกใจเล่น
ที่แท้เผ่าพงศ์แค่ขอให้พรรษาช่วยนวดหัวให้หน่อย ระหว่างนั้นพรรษาก็ชวนคุย ถามว่าเครียดเรื่องอะไรหรือ เผ่าพงศ์ถามพรรษาว่า เห็นตนมีค่าไหม พรรษาบอกว่า “ถามแปลกๆ ต้องมีสิคะ”
“แล้วทำไมแต่ละคนไม่ค่อยฟังฉันเลย หรือว่าเพราะฉันไม่สมประกอบ” พรรษาปลอบใจว่าการเป็นอัล– ไซเมอร์ไม่ได้แปลว่าไม่สมประกอบ เผ่าพงศ์ลุกขึ้นนั่งอย่างสบายตัวขึ้น “พอละ เฮ้อ...คุยกับแม่ษาทีไรฉันสบายใจทุกที...นี่ถ้าฉันหนุ่มกว่านี้ซักห้าปี ฉันคงขอแม่ษาแต่งงานแล้วนะเนี่ย”
“คุณเผ่าไม่ได้แก่ซะหน่อย” พรรษาเก็บของไปพูดไปไม่ได้คิดอะไร แต่เห็นเผ่าพงศ์นิ่งเงียบไปหันมองหน้าเขาจึงรู้สึกตัวถามกลบเกลื่อน “มีอะไรเหรอคะ...หรือว่ายังไม่หาย”
เผ่าพงศ์บอกว่าหายแล้ว เอ่ยขอบใจแล้วบอกพรรษาให้ไปนอนเสีย พอพรรษาลุกเดินไป เผ่าพงศ์ทำเป็นไม่สนใจ แต่อึดใจเดียวก็หันมองอย่างทนไม่ได้ รู้สึกหัวใจเต้นแรง ใบหน้าร้อนผ่าว จนถามตัวเองว่า “ทำไมหน้าร้อนอย่างนี้วะเรา...”
ooooooo
เช้าวันต่อมา...เสกสรรกับสมหมายไปนั่งรอซินแสอยู่ที่ม้านั่งด้านนอกของศาลเจ้า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดจากในห้อง ทั้งสองสะดุ้งเฮือกๆตามจังหวะที่มีเสียงร้องออกมา
“ไอ้หมาย...แกแน่ใจนะว่าวิธีนี้มันจะช่วยให้ไอ้ภูมันไม่มายุ่งกับยัยพั้นซ์” สมหมายรับรองว่าได้ผลแน่ แล้วชี้ให้ดูชายคนหนึ่งที่เดินยิ้มออกมาจากข้างใน ถามเสกสรรว่าถ้าไม่ได้ผล คนนั้นจะยิ้มออกมาอย่างนี้หรือ
“คนต่อไป...” เสียงซินแสดังออกมา เสกสรรสะดุ้งแรงยิ่งกว่าสะดุ้งเสียงร้องเมื่อครู่นี้อีก ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปถามซินแสว่า วิธีนี้ได้ผลแน่หรือ “ถ้าลื้อสงสัยในวิชาอั๊ว...ก็ออกไป” ซินแสตวาด
เสกสรรรีบบอกว่าไม่สงสัยก็ได้ พอซินแสสั่งให้ถอดเสื้อ เสกสรรตกใจอีก ถูกซินแสไล่ “งั้นก็ออกไป!”
เสกสรรจำต้องรีบถอดเสื้อตามซินแสบอก ซินแสหยิบเข็มมาแทงที่หลังและฝังลงไปจึ้กกกก เสกสรรหน้าตาบิดเบี้ยวเหมือนเจ็บ ซินแสถามว่าเป็นอย่างไร ก็ทำเสียงเข้มแข็งบอกว่า “จิ๊บๆครับ”
“ดี...รับรองหายแน่นอน”
เสกสรรกัดฟันทนทั้งเจ็บทั้งเสียว ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าซินแสจะทำให้ตนเอาชนะภูวนัยได้
แท้จริงแล้ว เสกสรรจะมาดูดวงเพื่อเอาชนะภูวนัย แต่สมหมายพามาหาซินแสแทงเข็ม กว่าจะรู้ว่ามาผิดหมอก็ถูกแทงเสียพรุนไปทั้งตัวแล้ว แต่ก็ไม่เสียเที่ยวเสียทีเดียว เพราะก่อนจะกลับ ซินแสดูดวงให้ว่า
“ตอนนี้เท่าที่อั๊วเห็น ชะตาของลื้อกำลังมืดมิด ถ้าลื้ออยากให้หมดเรื่องทุกข์ใจ ลื้อต้องหาผู้หญิงคนนั้นให้เจอ...นั่นไง อั๊วเห็นแล้ว ผู้หญิงคนนั้นที่เปรียบราวกับตะเกียง ที่จะช่วยทำให้ชะตาที่มืดมิดของลื้อสว่างไสวอีกครั้ง”
“ตะเกียง...” เสกสรรพึมพำอย่างมีความหวัง
ต่อมา เมื่อมาเจอพรรษากับสมส่วนที่ตลาด เสกสรรเข้าไปจีบพรรษาชวนไปทำงานที่รีสอร์ต พอพรรษาปฏิเสธก็หาว่ากวนประสาท เลยถูกพรรษาด่าว่า เอาชนะภูวนัยไม่ได้เลยมาหาเรื่องกับผู้หญิงแทนหรือ? เสกสรรยิ่งพาลฝากท้าภูวนัยว่า
“ฝากไปบอกไอ้ภูมันด้วยแล้วกันว่าคนอย่างเสกสรรไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ” แต่พอเดินฮึดฮัดไป สมหมายก็พูดสะกิดให้คิดว่า
“นายจำที่ซินแสบอกได้ไหมครับว่า ผู้หญิงที่เปรียบเหมือนตะเกียง จะช่วยให้นายชนะไอ้ภูนั่น ผู้หญิงคนเมื่อกี๊แหละครับที่ซินแสบอก เธอคนนั้นชื่อพรรษา ชื่อเต็มผมว่าต้องเป็น เทียนพรรษา แน่นอน แล้วนายคิดดูสิครับ เทียนพรรษาน่ะสว่างกว่าตะเกียงตั้งกี่เท่า”
เสกสรรบ้าจี้ กลับไปรับพรรษาพาไปส่งที่ฟาร์มสุข เจอเผ่าพงศ์เข้าพอดี เผ่าพงศ์ถามอย่างเอาเรื่องว่า
“แม่ษา...มากับมันได้ยังไง”
เลยเกิดศึกชิงนางกันขึ้น เผ่าพงศ์กับเสกสรรรำมวยเข้าหากัน พรรษารั้งเผ่าพงศ์ไว้ เลยถูกศอกที่เผ่าพงศ์วาดลวดลายขู่เสกสรรศอกเข้าปลายคางล้มทับแขนตัวเองจนมือซ้น เลยต้องพาส่งโรงพยาบาล ศึกชิงนางจึงสงบลงโดยปริยาย
หมอตรวจอาการของพรรษาแล้วบอกว่าเส้นเอ็นอักเสบเท่านั้น สักสองอาทิตย์ก็น่าจะหายดี ช่วงนี้ให้กินยาตามหมอสั่งและห้ามใช้แขนเด็ดขาด
ระหว่างที่ไผ่พญาอยู่กับพรรษาที่โรงพยาบาลนี่เอง มีมือหนึ่งมาจับไหล่ไผ่เรียก “หนู...หนู...” พอไผ่หันไปดู ก็แทบหัวใจวาย เพราะคนคนนั้น คือป้าที่อยู่บนรถทัวร์นั่นเอง!!
ooooooo
ขณะมารุตขับรถมาตามทางนั้น จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับออกจากซอยแซงรถของเขาแล้วปาดหน้าจอดทันที มารุตเบรกแทบไม่ทัน จอดรถแล้วลงมาดู อุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นคนที่ขับปาดหน้าลงจากรถมาหา
“หมวดภู!”
ภูวนัยตรงเข้ากระชากคอเสื้อมารุตตะคอกถามอย่างโกรธจัด
“ทำไมผู้กำกับต้องทำกับผมอย่างนี้” มารุตทำไขสือถามว่าตนทำอะไร “ผู้กำกับยังจะถามอีกเหรอ...นี่ไง!” ภูวนัยเอาโทรศัพท์ออกมากดให้ดู พอมารุตรับโทรศัพท์ไปดู ภูวนัยก็ชักปืนออกมาจ่ออย่างระวังตัว ถามเครียด “เพราะอย่างนี้ใช่ไหม พวกมันถึงรู้ก่อนทุกครั้งที่ผมวางแผนจับพวกมัน”
“ใครส่งให้หมวด”
“ตอบผมมา! ผู้กำกับรู้จักกับลูกน้องของไอ้พายัพได้ยังไง แล้วทำไมมีเบอร์ของผู้กำกับโทร.หาคุณนายหยาด–ฟ้า” ภูวนัยสาวเท้าเข้าไปผลักมารุตดันไปพิงกับรถ เอามือค้ำคอไว้
“หมวด...ผมว่าคุณใจเย็นก่อนดีกว่า เรื่องนี้มันซับซ้อน คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ผู้กำกับจะหลอกอะไรผมอีก...ผมจะส่งหลักฐานนี่ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ภูวนัยขู่ มารุตตกใจบอกว่าส่งไม่ได้นะ “ทำไม...เรื่องแดงขึ้นมา ก็เลยกลัวรึไง”
มารุตตัดสินใจบอกว่า ลูกน้องของพายัพคนนั้นคือสายของตน เพราะสงสัยมานานแล้วว่าจะมีพวกมันแทรกซึมอยู่ในหน่วยของเรา เลยส่งสายของเราเข้าไปอยู่กับมัน ภูวนัยสวนไปทันทีว่า “ผมไม่เชื่อ”
“หมวดภู...ผมรู้ว่าคุณบริสุทธิ์ แล้วผมก็กำลังทำเรื่องขึ้นไป...เพื่อขอให้คุณกลับเข้ามาทำงานในหน่วยเหมือนเดิม”
“ผู้กำกับรู้ได้ยังไง”
“ผมมีข้อมูลบางอย่างที่อยากให้คุณดู” มารุตบอกหลังจากชั่งใจครู่หนึ่ง ส่วนภูวนัยก็นิ่งไปอย่างไม่แน่ใจว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง
ooooooo
ทั้งสองนัดพบกันอีกครั้ง ณ ที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง โดยภูวนัยเป็นฝ่ายไปรอก่อน รอจนเขาเริ่มไม่แน่ใจว่ามารุตจะมาหรือไม่ แต่แล้วมารุตก็ขับรถมาจอด ลงจากรถพร้อมซองเอกสารในมือ
ขณะมารุตเดินเข้าหานั่นเอง ภูวนัยได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แว่วมาจากด้านหลังของมารุต ภูวนัยเพ่งมองไปในความมืด เขาใจหายเมื่อเห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับออกมาจากความมืดอย่างเร็ว
“ผู้กำกับ!!” ภูวนัยร้องเตือน
พริบตานั้น ชายชุดดำที่ขี่มอเตอร์ไซค์มาระดมยิงใส่มารุตไม่ยั้ง ภูวนัยตะลึงอึ้งเมื่อเห็นมารุตถูกยิงทรุดไปต่อหน้าต่อตา!!
ไวเท่าความคิด ภูวนัยชักปืนออกมายิงตอบโต้ ชายชุดดำที่กำลังเล็งปืนมาที่เขา ภูวนัยถูกยิงเข้าที่หัวไหล่ ปืนกระเด็นหลุดมือ เมื่อมือปืนเห็นภูวนัยหมดพิษสงแล้วจึงเดินเข้ามาหยิบซองเอกสารที่ตกอยู่ข้างตัวมารุตก่อนขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไปทันที ภูวนัยวิ่งไปคว้าปืนของตัวเองกระหน่ำยิงไล่หลังไปจนหมดรังเพลิง
“หมวด...” เสียงมารุตเรียกแผ่วเบา ภูวนัยขอให้อดทนไว้ ผู้กำกับส่ายหน้าพยายามบอก “ใน...ในซอง...”
มารุตพยายามจะบอกว่าในซองนั้นคือรายชื่อตำรวจ แต่เสียงแผ่วเบาและขาดหายจนภูวนัยต้องเอาหูแนบปากฟัง
“ไอ้ภู!” เสียงชาติกล้าเรียก ทำให้ภูวนัยหันไป เลยไม่ได้ฟังมารุตบอก ชาติกล้าวิ่งเข้ามาเห็นมารุตถูกยิง เขาถามอย่างตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเร่ง “แกรีบไปก่อนดีกว่า ตอนนี้แกถูกพักราชการ ถ้าตำรวจมาเห็นแกแบบนี้ แกเดือดร้อนแน่ แกไปก่อน...เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
ภูวนัยละล้าละลังมองมารุตที่พยายามจะบอกอะไรเขา แต่ถูกชาติกล้าเร่งจนต้องตัดสินใจวิ่งออกไป
ชาติกล้ามองตามภูวนัยไปหน้าเครียด...แล้วหันมองมารุตแสยะยิ้มพึมพำลอดไรฟัน
“เกือบสำเร็จแล้วนะผู้กำกับ”
มารุตที่นอนจมกองเลือดอยู่ มองชาติกล้าอย่างผิดหวัง แค้นเคือง ชาติกล้าไม่แยแสกับสายตานั้น หันมองรอบๆเห็นปืนของภูวนัยตกอยู่ เขาใส่ถุงมือหยิบปืนขึ้นมาใส่ที่เก็บเสียง แล้วเล็งไปที่มารุต!
เสียงปืนดังขึ้นเบาๆพร้อมกับมารุตถูกยิงเข้าที่แสกหน้าตายอนาถ!!
ooooooo
ภูวนัยไปซุ่มรอที่ริมน้ำแห่งหนึ่ง เมื่อชาติกล้ามาถึงเขามองไปรอบๆพูดขึ้นลอยๆ
“ภู...ฉันเอง”
ครู่หนึ่ง ภูวนัยออกจากที่ซุ่มเดินมาหา ที่แขนเขายังมีเลือดจากบาดแผลที่หัวไหล่ไหลเป็นทาง ทันทีที่เจอหน้ากัน ภูวนัยถามว่า “ผู้กำกับเป็นไง” เห็นชาติกล้าส่ายหน้า ภูวนัยถึงกับช็อก
“แกนัดเจอผู้กำกับเหรอ” ชาติกล้าถามมองหน้าภูวนัยอย่างสงสัย
“หมายความว่าไง...ฉันต่างหากต้องถามแก ว่าแกโผล่มาได้ยังไง”
“แกลืมไปแล้วรึไง ว่าฉันกำลังสงสัยว่าผู้กำกับทำสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่”
“แต่ผู้กำกับบอกว่า...เขามีข้อมูลสำคัญที่จะเปิดโปงว่ามีตำรวจคนไหนที่ร่วมมือกับไอ้พายัพบ้าง”
“แล้วทำไมแกไม่คิดว่า...ที่ผู้กำกับเขานัดแกมา...
เขาอาจต้องการให้แกเป็นตำรวจคนนั้นเหมือนกับเขา” ภูวนัยชะงักกับคำถามนี้ “ภู...แกรีบไป...ฉันสัญญาว่า ฉันจะไม่บอกใครว่าแกอยู่ในเหตุการณ์ในวันนี้”
ภูวนัยมองชาติกล้า สมองเขามีแต่ความสับสน... สงสัย...เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
แยกจากชาติกล้าแล้ว ภูวนัยไปให้ปลายฟ้าทำแผลที่โรงพยาบาล เขาให้เย็บแผลให้โดยไม่ฉีดยาชา เจ็บจนกัดฟันเหงื่อแตกพลั่ก ปลายฟ้าบ่นว่าจะฉีดยาชาให้ก็ไม่เอา
“ภูแค่อยากจำความเจ็บนี้เอาไว้” ภูวนัยหมายถึงความเจ็บในหัวใจที่เจ็บยิ่งกว่าแผลที่หัวไหล่ ทำแผลเสร็จเขาถามเธอว่า “ฟ้าจะไม่ถามหรือว่าภูไปทำอะไรมา”
“แล้วภูเคยบอกความจริงกับฟ้าไหมล่ะ ฟ้าถามจนไม่อยากถามแล้ว”
ปลายฟ้าจะไปส่ง ภูวนัยบอกว่าไม่ต้อง แต่เมื่อเขาจะกลับ ปลายฟ้าเรียกไว้ บอกเขาว่า
“ไม่ว่าภูจะไปทำอะไรมา...แต่ฟ้าเชื่อใจภูนะ” เธอมองตามอย่างเป็นห่วง จนลับตาไป...
ooooooo
กลับถึงฟาร์มสุข ไผ่พญายังกังวลเกี่ยวกับป้าคนนั้น บ่นตัวเองว่าทำไมซวยอย่างนี้ กลัวป้าจำตนได้ กลัวป้าไปเที่ยวบอกใครต่อใครว่าตนสวมรอยมาเป็นครูแทนแก มีหวังตายแน่ๆ
แล้วก็สบโอกาสที่จะไปสืบป้าคนนั้นให้รู้เรื่อง เมื่อเผ่าพงศ์ลืมเอายาของพรรษากลับมา ไผ่จึงอาสาไปเอาให้ ไปถึงโรงพยาบาลก็ด้อมๆมองๆกลัวจ๊ะเอ๋กับป้าเข้าอีก โชคดีที่เจอปลายฟ้า เลยเลียบเคียงถามว่าป้าป่วยเป็นอะไร มารักษาอะไร
ปลายฟ้าเล่าว่าป้าเป็นความจำเสื่อม และไม่มีหลักฐานอะไรที่พอจะสืบประวัติแกได้ด้วย ไผ่พญาฟังแล้วก็โล่งอก
เพราะพรรษามือซ้น จึงให้ไผ่ทำอาหารแทนจนกว่าพรรษาจะหายดี ไผ่ตกกระไดพลอยโจนเพราะเอกสารแนะนำตัวมาเป็นครูของป้าคนนั้นแจ้งว่าจบคหกรรมมา พอได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำอาหารแทนพรรษา
ไผ่เลยคุยโวว่าไม่มีปัญหาเพราะก่อนมาเป็นครู ตนเคยเป็นเชฟโรงแรมมาแล้ว
พอตกกลางคืน ไผ่แอบเปิดโทรทัศน์เพื่อหารายการสอนทำอาหาร แต่โชคไม่ดี วันนี้ไม่มีช่องไหนจัดรายการนี้เลย ซ้ำร้ายยังถูกภูวนัยกลับมาเห็นเข้าอีก ไผ่เลยรีบปิดโทรทัศน์ทำเป็นหลับอยู่ที่โซฟา เขามาปลุกถามว่าทำไมไม่เข้าไปนอนในห้อง แล้วนั่งลงข้างๆก้มลงจนไผ่ได้สัมผัสลมหายใจเขา
ไผ่นอนตัวแข็งทื่อนึกในใจว่า “บ้า...จะทำอะไรเนี่ย...อย่าบอกนะว่าชอบฉัน...ไม่นะ...”
ภูวนัยก้มลงมาครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นพึมพำ “ดีนะที่ไม่มีกลิ่นเหล้า” แล้วเดินออกไป ไผ่จึงลืมตามองตามใจเต้นรัว
“ตาบ้า...หัดมองคนในแง่ดีไม่ได้รึไง แทนที่จะคิดว่าไม่สบายหรือเปล่า หรือว่าเป็นอะไร...เฮ้อ...ทำไมใจเราเต้นแรงอย่างนี้นะ...ไม่นะ อย่าฟุ้งซ่านไอ้ไผ่ ตอนนี้แกต้องหาทางทำอาหารให้ได้ก่อน”
คิดแล้วหันไปคว้ารีโมตที่วางอยู่บนนิตยสาร แต่คว้าผิดทำหนังสือหล่น ไผ่ตกใจกลัวภูวนัยได้ยิน นิ่งเงียบกริบเหมือนแมวซุ่ม จนแน่ใจแล้วจึงค่อยๆหยิบนิตยสารขึ้นมา พลันก็ดีใจมองตาโตมีความหวังขึ้นมา เมื่อเห็นบางอย่างในนิตยสารเล่มนั้น
ooooooo
อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 5 วันที่ 23 เม.ย. 56
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะโดย บทประพันธ์ เล่าเต็งคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ บทละคร โดย อภิวัฒน์ เล่าสกุล
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะผลิตโดย : บริษัท กำกับการดี จำกัด
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะนำแสดงโดย : ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - ไปรยา สวนดอกไม้
ติดตามชมคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะได้ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา ไทยรัฐ