อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 13/3 วันที่ 25 เม.ย. 56


อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 13/3 วันที่ 25 เม.ย. 56

ทองจันทร์แอบหยิกเทิดกระซิบดุ “พูดจาเอะอะมะเทิ่งไม่ดูตาม้าตาเรือ พูดจาให้คนอื่นสะท้อนหัวอก มาเนียน ยายติ๋วเอาอะไรมากิน มามานั่งกินด้วยกัน”
เทิดจึงรู้ว่า สองแม่ลูกมา รีบหันไปทันที รู้ว่าย่าดุทำไม รีบประจบสองคน
“ไม่เสียเที่ยวที่มารอขอกินอาหารอร่อยก่อนไปสวนแตง ลาภปากแท้ๆ”
สองแม่ลูกวางอาหาร แล้วจะถอยออกไป

“นี่ยัยสองแม่ลูก แกอย่ามาทำไขสือ บอกว่ากระไรให้มานั่ง รึจะยืนกินข้าว ทำท่าจะมากล้าขัดคำสั่งชั้นรึ”
เนียนกับเนื้อทองสบตากัน เทิดศักดิ์กระเถิบที่ให้นั่ง กบแมวเดินตามเนียนกับเนื้อทองมาแอบยิ้มหัวเราะกันคิกคัก


ช้อยมาตามเทิดศักดิ์ แอบมองวงกินข้าวบนเรือน สีหน้าไม่พอใจ
“หน็อยแน่ะ นังสองแม่ลูกบังอาจตัดหน้าคุณสน กินข้าวกับคุณเทิดศักดิ์”
ช้อยใจชั่วรีบหันกลับไปรายงานนายใจบาป

สนนั่งโบกสำรับ ไม่ให้แมลงวันตอม ช้อยพรวดมาเบรกตรงหน้าอาหาร
“นังช้อย บอกให้ไปเชิญคุณเทิดศักดิ์มากินอาหารก่อนกลับสวนแตง ทำไมวิ่งทำหน้าตื่นมาเหมือนหมาถูกบังคับให้ขี่จักรยาน”
“ยังไม่ทันเอ่ยปากเชิญ ไปถึงก็เจออีสองแม่ลูกนั่นมันเชิญทั้งตาทั้งปาก นั่งลอยหน้ากินข้าวกันเฉิบๆ แล้วเจ้าค่ะ คุณสน ช้อยละจนใจ”
“ต๊าย...มันบังอาจ ชั้นจะไปเตะสำรับมันให้กระจาย กระจุย”
“คงต้องเสี่ยงมากเจ้าคะ งานนี้ช้อย ไม่ไปลุ้นนะเจ้าคะ เสียวโดนตบด้วยน้ำพริกปลาทูเจ้าค่ะ คุณสนก็ควรสำเหนียกไว้ด้วยเจ้าคะ”
“ให้มันรู้ไปว่าบ้านนี้มีใครกล้าหือกับคุณนายสน”
“ใครที่ว่านั่น คือคุณท่านไงเจ้าคะ หัวร่อเอิ๊กอ๊าก ราวกับยินดีต้อนรับ นังเนื้อทองเป็นหลานสะใภ้เอกเจ้าค่ะ”
สนชะงัก แต่ก็ชักสีหน้า ปัดสำรับของตัวเองกระจาย แล้วเดินปึงปังลงเรือนไป ช้อยมองตาม
“นั่นคุณสนจะไปคว่ำสำรับคุณท่านจริงๆ หรือเจ้าคะ ช่างกล้าหาญชาญสมร”

ฟากเรียมกำลังหว่านล้อมขุนภักดี เรื่องฝากให้เนื้อทองไปเป็นครูโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด
“เอาอีกแล้วเรียม มาหลอกล่อให้พี่หลงกล ฝากลูกชู้ ไปเป็นครูที่โรงเรียนสตรีอีกจนได้”
“เมื่อไหร่พี่เทพจะเลิกเรียกหนูติ๋วว่าลูกชู้คะ ถ้าเกิดเป็นลูกพี่เทพจริงๆ ขึ้นมา พี่เทพจะเสียใจเจ็บใจตัวเองที่ไม่เหลียวแลลูกนะคะ”
“ช่างยอกย้อนเก่งจริงนะ ไปหัดวิชาสู้ผัวมาแต่ไหนกันรึ”
“ไม่ได้สู้พี่เทพ แต่สู้กับความอุยติธรรมค่ะ ฟังนะคะ ถ้าพี่เทพไม่ยอมฝากแก คนเขาจะนินทาเอาว่า ท่านขุนไม่เหลียวแลคนในบ้าน ปล่อยให้ไม่มีงานทำ”
“ได้ยินว่ามันเก่งกันนักหนา ทำไมไม่ไปสมัครเอาเอง ทำไมต้องมาขอร้องให้พี่ไปฝากฝัง พี่ละเบื่อไอ้ประเพณีเส้นสายใยโยงลูกคนโน้นหลานคนนี้ เรียมนี่ชอบเจ้าหน้าเจ้าตากับสองแม่ลูกนี่แท้ๆ รึว่ามันพากันมาอ้อนวอน”
“ไม่ได้มีใครมาอ้อนวอนเรียมค่ะ เรียมก็แค่คิดจะช่วยให้เด็กกับแม่เขาลืมตาอ้าปากได้มากขึ้น”
“ตอนนี้พี่เห็นทั้งปากทั้งตาพวกมัน ระยิบระยับวับวิบกันจะตาย”
“อ้าวนี่พี่เทพแอบมองปากมองตาเนียน จนเห็นถนัดชัดแจ้ง ถึงเพียงนี้หรือ” เรียมแซว
“เอ๊ะ เรียม อย่ามาจ้องจับพี่ ต้อนพี่ให้จนมุมนะ แปลกคนแท้ๆ มีแต่เขาหึงหวงกลัวผัวจะไปรักไปหลงคนอื่น นี่กลับมาผลักไสให้ใยดีเขา”
“ถ้าเรียมหึงหวงแล้วจะทำสำเร็จหรือคะ เรียมถึงต้องปล่อยไป สมัยนี้ ยุคนี้ เขามีผัวเดียว เมียเดียว ถ้าพี่เทพนอกใจ เรียมไม่ยอมเด็ดขาด” เรียมหัวเราะขำตัวเอง แต่พูดไม่จริงจัง
“ไม่ไหวแล้ว พี่เตะปี๊บไม่ดังแล้วจ้ะ แต่ถ้าเตะคนน่ะดังแน่ เสียงมันร้องน่ะ”
จังหวะนี้สนพรวดพราดขึ้นมาฟ้อง
“พี่ขุนขา งามหน้ากันที่สุดในเมืองสุพรรณแล้วค่ะ หมวดเทิดศักดิ์ลูกชายขุนภักดีภูบาล หาสะใภ้เป็นลูกสาวเสือหนักชู้รักอดีตเมียขัดดอกมาให้เสื่อมเสียหายแก่วงศ์ตระกูลค่ะ”
ขุนภักดีหูผึ่ง “ว่ากระไรนะสน”
“เสื่อมเสียยังไง เหลวไหล ใส่สีตีไข่ให้มันเปรอะเปื้อนคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง” เรียมเอ็ด
“ก็ลองไปแวะเรือนคุณแม่ดูสิคะ ว่าที่นั่น มีงานกินเลี้ยงสั่งลาจนลืมแม่ตัวเอง เพราะไปหลงเสน่ห์ลูกชู้”
“คำก็ลูกชู้ สองคำก็ลูกชู้ รู้จริงหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจกันทั้งนั้น แบบนี้ ใครก็คงว่าใครมีชู้กันได้ แต่ไอ้คนที่อาจมีชู้จริง ใครก็จับมันไม่ได้”
สนอึ้งไป ทั้งที่เรียมพูดไม่ได้ตั้งใจว่าสน แต่สนกินปูนร้อนท้อง
“คุณพี่ว่าสนมีชู้หรือคะ”
“อย่ากินปูนร้อนท้องสิสน ชั้นไม่ได้เอ่ยถึงสนสักนิด”
“หยุดเรื่องชู้ เลิกพูดเรื่องนี้กันทีสน ไปเรือนคุณแม่กันเถิด”

ขุนภักดีมองหน้าเรียม เห็นเรียมตาเขียวใส่สน ที่รายนั้นไม่สะทกสะท้านแม้สักน้อย
บนเรือนคุณนายทองจันทร์ยามนั้น ทุกคนกำลังมีแต่ความสุข โดยเฉพาะเทิดศักดิ์ยิ้มย่องผ่องใสสุดๆ

“คุณย่าครับ ถ้าผมย้ายมาที่อำเภอเมืองบ้านเราเมื่อไหร่ จะให้คุณย่าไปขอหลานสะใภ้ให้นะครับ ผมอยากมีหลานให้คุณย่า”
เนียนหน้าซีดขาวก้มหน้างุด ทองจันทร์มองหน้าเนียนมองหน้าเนื้อทอง ที่ดูเหมือนจะไม่ร่วมมือด้วย
“ทำพูดดีไป อย่าคิดว่าหล่อรวย ลูกสาวเขากับแม่เขา จะเอาด้วยกับเรารึเปล่าก็ไม่รู้”
จังหวะนี้สนลิ่วนำหน้าท่านขุนกับเรียมมา กบกับแมวที่คิกคักกระซิบกัน
“แม่กับคุณพ่อเราน่ะไม่เอาด้วยแน่ๆ ตาเทิด แม่หมายตาลูกสาวท่านข้าหลวงเมืองอ่างทองไว้ให้แล้ว เชอะ..สะใภ้ลูกคนเลี้ยงหมูหลานชาวนาใครบ้าเอามาก็ตาถั่วแล้ว”
ทองจันทร์หันไปโต้ “อ้อ..แม่สนยะ แม่ไม่นึกย้อนบ้างหรือ ว่าท่านข้าหลวงท่านอาจตาไม่ถั่วเอาหลานกำนันเป็นหลานเขย มันห่างชั้นกับข้าหลวงมากย่ะ”
เนียนกับเนื้อทองเลยรีบอิ่ม ถอยจานข้าวของตัวเองออกมา เรียมยิ้มสบายอารมณ์
“เนียน หนูติ๋ว ทำไมรีบอิ่ม กบ แมวเอาจานมาสิ ชั้นหิวข้าวจะกินที่นี่ด้วยคน พี่เทพว่าไงคะ กินไปคุยกันไปเรื่องจะไปเปรยให้อาจารย์ใหญ่ฟังว่าหนูติ๋วจะไปสมัครสอนหนังสือที่โรงเรียนสตรี”
“โฮ๊ย..จะไปปรงไปเปรยอะไรกันทำไม ในเมื่อ แม่ตั้งใจจะยกที่ดินใกล้ๆ นั่น ให้ยัยติ๋วมันทำโรงเรียนของตัวเอง ไม่เห็นจะอยากให้มันไปง้อใคร”
สนหู่ผึ่ง ตกใจ “คุณแม่”
“คุณท่าน” / “คุณย่า”
เนียนกับลูกสาวเองก็ตกใจไม่แพ้สน แต่สนตกใจปนโกรธ
“เรามาหุ้นกันนะเรียม แม่หุ้นที่ดิน เรียมหุ้นตึกเรียน ยัยติ๋วหุ้นทำงานทำทุกตำแหน่ง สากกะเบือยันเรือรบ” ทองจันทร์ว่า
“พี่ดีใจด้วยนะคะ น้องติ๋ว”
สนยืนนิ่งแล้วหันตัวกลับลงเรือนไปอย่างฉุนเฉียว
“คุณแม่ไปเร็วจัง เดี๋ยวผมจะตามไปครับ”
“ทำไมไม่รอให้แม่ตายไปก่อนแล้วคิดตามเล่า ลูกอะไรใจดำ” สนโกรธทองจันทร์ พาลน้อยใจลูก
“เอ้า..เนียน ยัยติ๋ว ยังไม่รีบขอบคุณชั้นกับแม่เรียม แถมพ่อเทพอีกคน ในฐานะที่เขาจะไปฝากเรากับครูใหญ่ ฝึกงานไปพลางๆก่อน ก่อนที่จะสร้างโรงเรียนเสร็จ”
เนียนกับเนื้อทองก้มลงกราบ สามคนทีละคน ขุนภักดีหันไปกระซิบดุเรียม
“เรียมกับคุณแม่ร่วมกันมัดมือชกพี่อีกแล้ว”
“ตาเทิด แกรีบอิ่มแล้วรีบไปเอาใจแม่แกไวไวเข้า ก่อนที่ข้าวปลาอาหารบ้านแกจะโดนลมริษยาอาละวาดใส่เอาสำรับกระจาย”
เทิดศักดิ์หน้าเสีย
อาหารหกเรี่ยราดนองพื้นเรือนชานบ้านสน จานชามแตกเละเทะ สนกำลังยกเท้าจะกระทืบลงไป
“ระวังเจ้าค่ะ เศษจานจะบาดเท้า การเหยียบข้าวเท่ากับล่วงเกินพระแม่โพสพบาปกินกบาล เอ๊ย กินศีรษะนะเจ้าคะ”
“อีช้อยหยุดนะ กูจะเขกกบาลมึงนั่นแหละ ลูกหนอลูก”
เทิดศักดิ์เดินขึ้นมาถึงบนเรือนพอดี
“หยุดเถิดครับ คุณแม่ ผมมาแล้ว”
“มาแต่ตัวหัวใจทิ้งไว้เรือนคุณย่า จะมาทำไม ลูกไม่รักแม่ ไม่สนใจใยดีแม่ แม่ช่างไร้ค่าในสายตาของลูกเหลือเกิน”
“คุณแม่มีค่าที่สุด ผมไปกินข้าวกับคุณย่า คุณแม่จะโกรธไปทำไมครับ”
“อย่านึกว่าแม่โง่เป็นควาย แกไปรอกินข้าวกับอีสองแม่ลูกนั่น อย่ามาอ้างคุณย่า แกมันไม่รักแม่มาตั้งแต่ตัวแกเท่าเมี่ยงแล้ว”
“ผมรัก เทิดทูนคุณแม่ เพียงแต่ว่าเราเข้ากันไม่ค่อยได้ เพราะคุณแม่ฟังคนอื่นมากกว่าฟังผม” พลางเทิดศักดิ์ปรายตาไปที่ช้อย “ผมไม่ทราบว่าคุณแม่รอกินอาหาร พอทราบผมก็รีบมาแล้วนี่ไงครับ”
“ก็แม่ให้นังช้อยมันไปตาม มันบอกว่า…”
ช้อยรีบหลบวูบ เทิดศักดิ์เข้าไปโอบแม่ สนค่อยมีสีหน้าดีขึ้น
“ใครบอกอะไรทำไมคุณแม่ต้องเชื่อหมดครับ มาสิครับ มากินข้าวกับผม แต่...เอ ทำไมสำรับอาหารมัน...”
“มันโดนฝีมือนังช้อย มันซุ่มซ่ามทำสำรับหกเลอะเทอะ”
“กรรมของอีช้อยอีกละ” ช้อยบ่นเบาๆ
“นังช้อย ไปจัดสำรับมาใหม่”
“หมดแล้วเจ้าค่ะ”
“อีช้อย หมดแล้วก็รีบไปทำมาใหม่”
“ตลาดวายเลิกขายแล้วนะเจ้าคะ”
“อีช้อย”
“ใจเย็นๆครับคุณแม่ โมโหบ่อยๆ หน้าแก่ง่ายนะครับ ยิ้มหน่อย ผมจะไปแล้ว ไม่ยิ้มก่อนผมไป เกิดผมเป็นอะไรไป คุณแม่เสียใจแย่นะครับ”
สนรีบยิ้มให้ลูกชาย กอดเทิดศักดิ์ไว้

หนักแอบฟังอยู่ด้านล่างในพงไม้ข้างเรือนถอนใจ ได้ยินแม่ลูกทะเลาะกัน
“อีสน อีช้อย มึงไม่ยอมเปลี่ยนนิสัยสักที เทิดศักดิ์เอ๊ย ช่างน่าสงสาร มีแม่ก็เลวนรกส่ายหน้า มีพ่อก็ชั่วช้ายมบาลไม่ต้องการรับ”

สองคนทะเลาะกันต่อ เทิดศักดิ์เบื่อจะทะเลาะกับแม่
“ถ้าผมทำให้คุณแม่ไม่สบายใจ ผมขอโทษ ผมไปนะครับคุณแม่” เทิดศักดิ์ไหว้แม่
“ระวังนะลูก ค่ำๆ มืดๆ ไอ้เสือหนักมันอาจมาปล้นเอาได้ เจอมันยิงมันให้ตายเลยนะลูก ตราบใดที่มันยังไม่ตายมันก็ยังเป็นหนามตำอกตำใจคุณพ่อ ให้อับอายขายหน้าว่าเป็นชู้กับเมียขัดดอก”
“ผมไม่อยากฟังเรื่องนี้ครับคุณแม่ ผมไม่เชื่อว่าน้าเนียนเป็นชู้กับเสือหนัก”
“แกว่าแม่โกหก แม่เห็นกับตาว่ามันกอดกันส่งแก้วแหวนเงินทองของคุณพ่อให้กัน”
“ไม่มีเหตุผลที่เสือหนักจะมาเอาของน้าเนียน ในเมื่อปล้นเขามาได้ตั้งแยะคุณแม่ตาฝาด คนที่มาอาจเป็นญาติน้าเนียนก็ได้” เทิดศักดิ์แก้ให้เนียนกะเสือหนัก
สนโกรธจัด “แกเห็นอีเนียนกับไอ้หนักดีกว่าแม่ ทำไมไม่ไปเกิดเป็นลูกมันซะ ขี้คร้านจะรังเกียจเดียดฉันท์อับอายขายหน้าเขาไปทั่ว ว่ามีพ่อเป็นโจร”
“ถ้าผมมีพ่อเป็นเสือหนัก ผมไม่รังเกียจเขาแน่ ยังไงผมก็เคารพเทิดทูนเขาในความเป็นพ่อของผม หรือคุณแม่อยากให้ผมไปเป็นลูกเขาจริงๆ”
สนอึ้ง จ๋อยไป

หนักยืนรำพึงถึงลูกอยู่ใต้เรือนสน
“ลูกช่างแสนดี แต่อีนรกนั่น มึงใส่ร้ายกู แช่งกู มึงอยากให้กูตาย ดีละมึงกับกูน่าจะตายพร้อมกัน”
หนักยืนน้ำตาซึม เสียงฝีเท้าเทิดศักดิ์ลงเรือนมา หนักแอบมองเห็นลูกชายเดินลงมา หยุดยืนด้านล่าง แล้วถอนใจส่ายหน้า ก่อนจะเดินจากไป

หนักมองขึ้นไปบนเรือน แค้นสนมาก
ในขณะที่สนยืนซึมอยู่บนเรือน ช้อยเก็บอาหารจนหมดแล้ว แต่ปากบ่นบ้าไปเรื่อย

“คุณสนไม่น่าไปท้าให้คุณเทิดไปเป็นลูกเสือหนักนะเจ้าคะ ชี้โพรงให้กระรอกแท้ๆ”
“ก็ชั้นหมดความอดทน แกดูลูกชั้นสิ ใส่ร้ายอีเนียนกับไอ้หนักเท่าไหร่มันไม่เห็นจะโกรธเคือง เชื่อกันบ้าง มีแต่แก้ตัวแทน”
“สัญชาตญาณความเป็นพ่อเป็นลูกกัน มันสื่อถึงกันมังเจ้าคะ อีแบบนี้คุณเทิดจะกล้าจับมันหรือเจ้าคะ”
จังหวะนี้มีใครคนหนึ่งโผล่ยันตัวมาจากหน้าต่าง แล้วเตะตะเกียงโครมให้ไฟดับ
“ว๊าย” ช้อยกะสนร้องลั่น
“โจรปล้น” สนตะโกน
“กูเอง กูที่พวกมึงแช่งด่า ใส่ร้ายป้ายสีกันทุกวี่ทุกวัน อีสน อีช้อย ผ่านไปเป็นยี่สิบกว่าปี มึงสองคน ยังสุมหัวกันกลั่นแกล้งคนอื่นไม่เลิก”
ขาดคำ หนักจิกหัวสนข้างหนึ่ง ช้อยข้างหนึ่ง สองคนร้องลั่น
“ปล่อยนะ” / “กลัวแล้วจ้ะ”
“ถ้ามึงสองคนกลัวกูจริง มึงอย่าได้มาเอ่ยชื่อกูว่าเป็นชู้กับคนดีๆ อย่างเนียน มึงอย่าได้ไปประณามว่าหนูติ๋วเป็นลูกชู้ ทั้งที่พวกมึงรู้อยู่ว่าเป็นลูกท่านขุน เข้าใจไหม”
“เข้าใจ” / “เข้าใจแล้วจ้ะ” สองคนรับคำ
หนักเหวี่ยงสองคนกระเด็นไปคนละทาง ฟุบไปกองคาพื้น
“มึงก็รู้อยู่ว่ากู ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ถ้ามึงสิ้นคิดอีก กูนี่แหละจะไปประจานมึงว่ากูเป็นชู้เจ็ดวันของมึง ลูกมึงก็ลูกกู มึงโดนท่านขุนเอาตายแน่”
สองคนก้มหน้าร้องไห้กระซิกๆ

ตกตอนกลางคืนเทิดศักดิ์ ขับรถมาตามถนนเปลี่ยวมุ่งหน้ากลับสวนแตง ถนนมืดมิด มีแต่แสงไฟรถของเทิดศักดิ์เท่านั้น และจากแสงไฟเทิดศักดิ์มองเห็นมีท่อนไม้ขวางอยู่
“เอ๊ะ...”
เทิดศักดิ์จำต้องจอดรถ แต่พอจอดเสร็จ ก็เห็นคนร้ายโผล่ออกมาสามคน พร้อมด้วยปืนที่เล็งมายังตน
“ลงมาจากรถ เอาเงินกับของมีค่าของมึงมาให้กูให้หมด” ที่แท้แช่มลูกชายช้อยนั่นเองที่มากับลูกกระจ๊อกอีกสองคน
เทิดศักดิ์ได้แต่มองปืนที่วางข้างตัว ไม่อาจหยิบได้ เพราะโจรมาประชิดรถ
“อย่าแตะปืน มึงตายแบบเผาขนแน่” แช่มขู่
เทิดศักดิ์จำใจลงมาจากรถ พอเทิดศักดิ์ลงมา หัวหน้าโจรซึ่งโพกหน้า ชะงักนิดหนึ่ง
“เอ๊ะ..เฮ้ย นี่นี่แก” แช่มจำได้ แต่ทำใจกล้าขู่ต่อ “เอามือไว้บนหัวนะมึง”
“ไม่จำเป็น แกจะเอาอะไรชั้นจะหยิบให้ แต่ไม่ใช่เพราะว่าชั้นกลัวแกหรอกนะ คนอย่างชั้นไม่มีวันกลัวแก”
“อย่าพูดมาก เฮ้ย..ปลดของมันให้หมด” แช่มสั่งลูกน้อง
เทิดศักดิ์หยิบกระเป๋าเงิน โยนลงพื้น ถอดนาฬิกา
“กูรู้ว่ามึงมีสร้อยคอเส้นใหญ่ห้อยพระสมเด็จ” แช่มบอกอีก
เทิดศักดิ์สงสัย “เอ๊ะ...ทำไมแกรู้ เอาเถิดชั้นถอดสร้อยให้แก แต่พระสมเด็จนี่ขอไว้”
“ไม่ได้ กูจะเอาไว้กันเหนียว”
“พระอะไรก็กันเหนียวไม่ได้ ยกเว้น คุณธรรมความดีงาม กรรมเวรก็เช่นกัน สักวันคนอย่างแก ก็ต้องโดนเวรกรรมมากระชากลากดึงไปติดคุก”
“มึงอย่ามาแช่งกู ไอ้เทิดศักดิ์”
“แกรู้จักชื่อชั้น แถมรู้ว่าชั้นมีสร้อยคอ แกเป็นใครกันแน่”
“เงียบ..มึงไม่รู้หรือไงว่ากูไอ้เสือหนัก มึงสมควรตาย”
แช่มยกปืนเล็งไปจะยิงเทิดศักดิ์ จังหวะนี้มีเสียงปืนยิงสองนัด เทิดศักดิ์หลบแต่โดนเฉี่ยวล้มลง แช่มโดนเช่นกัน
ทรุดลงไป
“กูต่างหากไอ้เสือหนัก ไอ้ลูกหมาอย่ามาแอบอ้าง กูไม่ฆ่าคนเล่นเป็นผักปลาเหมือนมึง”
แช่มทรุดลงไปกับสมุน
“เสือหนัก โอ๊ย...ช่วยกูด้วย เสือหนักอย่าฆ่าชั้น”
แช่มทำท่าจะหนี หนักเดินไปกระชากหน้าแช่มออก
“หมวดเทิดศักดิ์ ดูหน้ามันให้เต็มตา แล้วนึกให้ออกว่ามันคือใคร”
เทิดศักดิ์มองไปทั้งที่มือกุมแขนแล้วจำได้ทันที
“นายแช่ม...ลูกยัยช้อย”
แช่มยกมือไหว้กราบเทิดศักดิ์ปลกๆ
“กระผมผิดไปแล้ว กระผมเมาสุรา อย่าให้เสือหนักฆ่าผมนะครับ”
“เมื่อกี้ทั้งที่มึงรู้ว่านี่คือลูกผู้มีพระคุณของมึง มึงยังคิดจะฆ่า พอเสียท่ามึงทำมาก้มกราบขอชีวิต เลวเหลือรับแท้ๆ เฮ้ย..ไอ้หมาสองตัวนั่นมึงลากลูกพี่มึงไปให้พ้นหน้ากู อย่าให้เจออีก กูจะฆ่ามึงให้หมด”
สองคนรีบลากแช่มที่ถึงขั้นฉี่ราด ออกไป หนักปราดไปที่ เทิดศักดิ์ที่โดนยิงที่ไหล่
“นายแช่ม ชั้นจะตามจับแกมาเข้าตะรางให้ได้”
“โชคดีที่ไอ้นั่นมันโจรห่วยๆ วันหลังอย่าวางปืนข้างตัว แต่เอาติดตัวไว้ตลอดเวลา ทนเจ็บนะ จะให้คนพาไปส่งโรงพยาบาล”
“เจอกันอีกแล้ว ทำไม ทำไม เสือหนักถึงช่วยชั้น ทำไมไม่เล่นงานชั้น”
“วันนี้เจอกันในฐานะเพื่อนมนุษย์ ไม่ได้เจอกันในฐานะโจรกับตำรวจ แต่วันหน้าเชิญหมวด จัดการผมตามสบาย”
หนักมองมาที่เทิดศักดิ์ด้วยสายตาอาวรณ์และห่วงใย คล้ายมีน้ำตาคลอเบ้า เป็นประกายในความมืด จังหวะนั้นเสน่ห์เดินเข้ามา ขณะที่หนักเดินหายไปในความมืด เสน่ห์ประคองเทิดศักดิ์ไปที่รถ
“ขับมือเดียวไหวไหมครับ ผมจะเอาผ้ามาผูกห้ามเลือดให้ก่อน” เสน่ห์ หรืออดีต หมอเสน่ห์ บอก
“พอไหว”
เทิดศักดิ์ไม่วายมองไปทางหนักที่เดินหายไปในความมืด คาใจและประหลาดใจมากมาย

วันต่อมาขุนภักดี เอก และสนซึ่งท่าทีตื่นตระหนกมากกว่าใคร พากันมารับเทิดศักดิ์ที่โรงพยาบาล
สนร้องไห้โฮๆๆ ไม่อายใคร “แม่บอกแล้วว่าไอ้เสือหนักมันจะมาปล้นเอา ก็ไม่เชื่อแม่”
“เสือหนักมาช่วยผม แต่ไอ้คนที่มาปล้น คือนายแช่ม ที่คุณแม่บอกว่ามันคือญาติของเรา”
สน เอก และขุนภักดี ตกใจ อุทานลั่น “ไอ้แช่ม”
สนหน้าซีดขาวเป็นกระดาษ
“อุเหม่...นี่แม่สนชักศึกเข้าบ้านรึ พ่อจะส่งคนไปตามจับไอ้แช่มมาลงโทษให้ได้ เออ...พ่อไม่เข้าใจว่าทำไมเสือหนักมันมาช่วยลูก”
“ผมก็ไม่เข้าใจครับ เอ้อ...คุณพ่อครับคนที่เสือหนักให้พาผมมาโรงพยาบาล ให้ผมบอกคุณแม่ว่าเขาชื่อเสน่ห์”
เอกจะลึง “เฮ้ย”
สนทำท่าจะลมใส่ของจริงพึมพำกับตัวเอง
“พินาศแล้วไง มันไม่ตาย แถมไปอยู่กับไอ้หนัก”
“ผมจำได้ทีหลังว่าเขาคือสมุนเสือหนัก ที่ผม แดงน้อยกับคุณพ่อพบที่ถ้ำ” เทิดศักดิ์บอก ยังแปลกใจไม่หาย
“ครั้งนั้นก็คิดว่ามันจับลูกไปเย้ยพ่อ แต่ครั้งนี้ มันช่วยลูกเพื่ออะไร” ขุนภักดีงวยงง
“มนุษยธรรมไงครับ มันไปบวชเรียนมา มันเลยละลดเลิก มันไม่ได้ปล้นมานานแล้วนะขอรับ” เอกว่า
“ปล้นหรือไม่ปล้น คดีเก่าของมันไม่มีวันจบดอก มันต้องโดนตามล่าไม่ว่าจะตายหรือเป็นเท่านั้น” ท่านขุนบอก
“ดีค่ะ..พี่ขุน” สนเชียร์ใหญ่

เทิดศักดิ์แปลกใจไม่หาย
ขณะเดียวกันภายในห้องพักแดงน้อยที่เมืองนอก แลเห็นกระดาษจดมายพับอยู่บนโต๊ะ ส่วนแดงน้อยยืนทอดสายตายมองไปนอกหน้าต่าง เห็นดาวระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า

“กราบเท้าแม่แพรลุงโพล้ง ลุงสินที่เคารพรักผมเรียนจบปริญญาโท กำลังจะกลับบ้านหลังจากจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จแล้ว คิดถึงทุกคนมากเหลือเกิน หวังว่า คงมารับผมที่สนามบินกันทุกคน ผมไม่ได้เรียนจบธรรมดานะครับ ผมได้เกียรตินิยมดีมากด้วยครับ”
รักเคารพคิดถึงมากที่สุด
แดงน้อย

เนื้อทองมาหาเนียนในห้อง ที่ทองจันทร์กับเรียมจัดให้นอนด้วยกัน บอกข่าวเรื่องแดงน้อย
“จริงหรือลูก พี่แดงน้อยจะกลับมาเมืองไทยแล้ว”
“ค่ะ แม่เนียน พี่เทิดศักดิ์บอกหนูก่อนไปสวนแตง”
เนียนน้ำตาไหลรินอาบสองแก้ม “แดงน้อย จะกลับมาแล้ว”
“อ้าว แม่จ๋า หนูอุตส่าห์ขออนุญาตคุณย่ารีบมาบอกนึกว่าแม่จะหัวเราะดีใจ ทำไมแม่กลับร้องไห้”
“แม่แม่ดีใจ ดีใจมาก จนร้องไห้”

อ่านละคร อาญารัก ตอนที่ 13/3 วันที่ 25 เม.ย. 56

ละครเรื่อง อาญารัก บทประพันธ์ : จำลักษณ์
ละครเรื่อง อาญารัก บทโทรทัศน์ : วรพันธ์ รวี
ละครเรื่อง อาญารัก กำกับการแสดง : จรูญ ธรรมศิลป์
ละครเรื่อง อาญารัก แนว ดราม่า
ละครเรื่อง อาญารัก ผลิต : บริษัทดีด้าวิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด
ละครเรื่อง อาญารัก ควบคุมการผลิต : สยม สังวริบุตร
ละครเรื่อง อาญารัก ออกอากาศทุกวันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 20.25 น. ทาง ช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา manager