อ่านคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6 วันที่ 24 เม.ย. 56
ไผ่พญาขอบคุณนิตยสารเล่มนั้นที่มีโฆษณา ปิ่นโตแม่อุ๊ รับส่งอาหารทั่วราชอาณาจักร ที่ช่วยแก้ ปัญหาให้ตนได้อย่างยอดเยี่ยมรุ่งขึ้น บนโต๊ะอาหารจึงมีอาหารหน้าตาน่าอร่อยจัดวางอย่างสวยงาม พอทุกคนมานั่งโต๊ะ ม่านเมฆถามก่อนเพื่อนว่า “นี่ครูไผ่ทำจริงๆหรือ” เผ่าพงศ์ชิมแล้วก็ชม “อร่อยด้วย...นี่แม่ษาลองดูสิ” พอพรรษาชิมก็พยักหน้ายอมรับว่า “ษาต้องชิดซ้ายเลยค่ะ สมกับที่เป็นเชฟของโรงแรมจริงๆ”
ไผ่ผญายืนยืดฟังคำชมอย่างภาคภูมิใจ
ภูวนัยเพิ่งกลับมาถึง พอนั่งโต๊ะเห็นอาหารก็ทัก
“วันนี้กับข้าวน่ากินจังครับ” พลางตักชิม “อร่อยด้วย...นี่ผมไปกรุงเทพฯไม่กี่วัน ป้าษาทำอาหารอร่อยขึ้นขนาดนี้เลยเหรอครับ”
ได้ผล! เพราะภูวนัยเปลี่ยนเสียงทันทีว่า “ก็งั้นๆ แหละ” พอถูกไผ่ท้วงติงว่าเมื่อกี๊ยังชมว่าอร่อยอยู่เลย เขาพูดหน้าตาเฉยว่า “เมื่อกี๊ก็คือเมื่อกี๊ ลิ้นฉันเปลี่ยนไว”
ทั้งสองปะทะคารมอย่างจะเอาชนะคะคานกันตาม เคย ซ้ำภูวนัยยังพูดดูแคลนว่า
“ใครจะกินก็กิน ผมคงไม่กล้ากิน ไม่รู้กินเข้าไปแล้วจะท้องเสียหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมเป็นห่วงว่าทุกคนจะต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ”
“เพราะอารมณ์เป็นพิษของนายมากกว่า นายไม่กินก็เรื่องของนาย ทำไมต้องทำให้คนอื่นเดือดร้อนด้วย” ไผ่เลือดขึ้นหน้า แต่คำพูดของไผ่ทำให้ภูวนัยถึงกับชะงักถามว่าเมื่อกี๊พูดอะไร ไผ่ชักแหยงๆพูดเสียงอ่อนลงว่า “เอ่อ...ฉันก็ว่านายชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนไง”
เป็นคำพูดแทงใจดำ ทำให้ภูวนัยลากไผ่ออกไป เผ่าพงศ์ตกใจเตือนภูวนัยให้ใจเย็นๆ เขาหันบอกทุกคนที่โต๊ะว่า
“ไม่มีอะไรครับ ทุกคนไม่ต้องตามมา...ผมแค่ขอคุยกับครูไผ่เท่านั้น” ว่าแล้วลากไผ่ออกไปเลย
ooooooo
ไผ่พญาถูกลากออกไปที่สวน ไผ่สะบัดร้องบอกให้ปล่อย ภูวนัยยิ่งจับแน่นบอกว่าตนต้องทนมานานแล้ว
“ฉันก็ทนนายมากเหมือนกัน ทำไมนายชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนจัง แล้วฉันพูดผิดตรงไหน”
ไผ่พญายิ่งดิ้น ภูวนัยก็ยิ่งกอดรัดแน่นเข้า จนกระทั่งตัวเองเจ็บแผลเสียหลักล้มลงหน้ากับหน้าเกือบชนกัน ต่างนิ่งไปอึดใจ พอได้สติก็ลุกขึ้นมาทะเลาะกันต่อ
แผลที่ไหล่ของภูวนัยเลือดซึมออกมา ไผ่ตกใจถามว่าไปโดนอะไรมา แล้วรีบทำแผลให้ พอเห็นแผลก็เสนอให้เขาไปโรงพยาบาลดีกว่า
“ไม่ต้องหรอก แผลมันไม่ได้แตกนี่” ภูวนัยปล่อยให้ไผ่ทำแผล เขาถามขึ้นเมื่อเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ว่า “คุณว่าผมเป็นตัวซวยหรือเปล่า” ไผ่ทำเสียงแปลกใจในลำคอ “ก็ที่คุณบอกว่าผมชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อนไง”
“อ๋อ...เอ้อ...นายอย่าใส่ใจคำพูดฉันเลย ฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ”
“ไม่หรอก คุณพูดถูกแล้วล่ะ” ท่าทีของภูวนัยทำเอาไผ่พญาทำตัวไม่ถูก “ผมยอมเสี่ยงชีวิต ยอมแลกทุกอย่างเพื่อความถูกต้อง จนคนทุกคนที่อยู่รอบข้างผมต้องตาย”
“เอ่อ...ฉันขอโทษ” ไผ่รู้สึกผิดที่ตัวเองทำให้เขาคิดอย่างนั้น ภูวนัยเองก็ขอโทษไผ่ที่ใช้อารมณ์รุนแรง
กับเธอ ทั้งคู่ต่างสบตากันด้วยความรู้สึกดีๆ
ระหว่างนั้น เผ่าพงศ์ออกมาหาทั้งสอง เห็นภูวนัยถอดเสื้ออยู่กับไผ่ก็คิดเตลิดไปไกล เบือนหน้าหนีแกล้งทำเป็นหาไม่เจอส่งเสียงเรียก
“เอ...สงสัยจะไม่อยู่แถวนี้ ไอ้ภู...ไอ้ภู...อยู่ไหนวะ” แล้วรีบเดินหนีไปจากตรงนั้น
“สงสัยผมจะทำให้คุณเดือดร้อนอีกแล้วล่ะ” ภูวนัยพูดเหมือนตำหนิตัวเอง
ครู่เดียว พรรณรายก็กรีดกรายมาที่บ้าน ทำเป็นทักคนโน่นคนนี้แล้วถามเผ่าพงศ์ว่าเห็นภูวนัยไหม
“ไอ้ภูเรอะ...โน่น...กำลังกระจุ๋งกระจิ๋งกับครูไผ่ที่สวนโน่น” เผ่าพงศ์พยักเพยิดไปในสวน แล้วทำเป็นตกใจรีบเอามือปิดปาก ทำตาบ้องแบ๊วส่ายหน้าเหมือนเด็กถูกจับผิด ม่านหมอกเห็นดังนั้นเลยแกล้งพูดยั่วพรรณรายว่า
“อย่างนี้นี่เอง...ถึงว่า ทำไมอาภูถึงบอกว่าเขาอยากคุยเรื่องส่วนตั๊ววว...ส่วนตัวกับครูไผ่”
ได้ผลชะงัด! พรรณรายโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จ้ำอ้าวไปที่สวนทันที
ooooooo
ไผ่ทำแผลให้ภูวนัยเสร็จ เขาขอบคุณหยิบเสื้อใส่ ไผ่เก็บของจะเดินไป ภูวนัยพูดตามหลังว่า
“อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้นะ” ไผ่หันถามว่าทำไม “ฉันรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงฉัน แล้วถ้าพวกเขารู้ว่าฉันเป็นอย่างนี้เพราะไปทำอะไรมา พวกเขาคงไม่สบายใจ” พอไผ่รับปาก เขาย้ำ “ฉันอยากให้เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ”
“ความลับอะไร!” พรรณรายมาได้ยินพอดี เธอถามเกือบเป็นตะคอก พอเข้ามาเห็นภูวนัยกับไผ่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดลุ่ยก็ถึงกับสติแตกแผดเสียงกรี๊ดดดดด!! แล้วปราดเข้าตบหน้าไผ่อย่างบ้าคลั่ง ภูวนัยร้องห้ามก็ยิ่งโกรธผลักไผ่ล้มลงแล้วโดดคร่อมหมายตบให้สลบคามือ
ภูวนัยเข้ามาห้าม ถูกพรรณรายไล่อย่ามายุ่ง ทีแรกภูวนัยเจ็บแผลจึงชะงักไป แต่เห็นพรรณรายตบไผ่ไม่ยั้งก็ทนไม่ได้เข้าไปห้ามทั้งที่เจ็บแผลมาก พยายามลากพรรณรายออกมา ส่วนไผ่พญาหน้าแดงช้ำมีเลือดออกที่มุมปาก กระนั้นพรรณรายก็ยังหันมาชี้หน้าด่า
“จำไว้...แล้วทีหลังอย่ามายุ่งกับภูของฉันอีก”
ภูวนัยพยายามบอกว่าตนกับไผ่ไม่มีอะไรกัน แต่ไผ่พญากลับร้องบอกพรรณรายว่า
“คุณบอกคนของคุณเถอะ...เพราะฉันไม่ได้ยุ่งกับคนของคุณ คนของคุณต่างหากที่มายุ่งกับฉัน” พรรณรายยิ่งกรี๊ดลั่น ไผ่รู้ว่าจี้ถูกใจดำก็ยิ่งพูด “แล้วอยากรู้ไหมว่า
ความลับที่ฉันกับคุณภูตกลงกันไว้สองคน มันคืออะไร” ไผ่หันไปสบตาภูวนัยพูดเป็นนัยเสียงอ่อนเสียงหวาน “ภูขา...บอกเขาไปเถอะค่ะ ไหนๆ ก็มาถึงขั้นนี้แล้ว”
พรรณรายแทบจะคลั่งแผดเสียงว่า ไม่จริ๊ง...ไม่จริง...
ไผ่พูดกลบเสียงกรี๊ดของเธออย่างสะใจว่า
“ภูขา...บอกไปสิคะว่าเมื่อกี๊เราเพิ่งจูบกันอย่างเร่าร้อน”
เท่านั้นเอง พรรณรายก็เปลี่ยนจากร้องกรี๊ดๆ เป็นพุ่งเข้าตบไผ่ทันที ไผ่ปัดป้องพยายามผลักเธอออก
พรรณรายที่กำลังขาดสติเสียหลักเซไปชนต้นไม้ล้มหมดสติไป ภูวนัยตกใจหันมาตวาดไผ่ว่าทำเกินไปแล้ว พลางเข้าไปประคองพรรณรายอย่างเป็นห่วง
ไผ่เห็นภาพนั้นมันบาดตาบาดใจจี๊ดขึ้นมา ปาดเลือดที่มุมปากเดินเชิดออกไปอย่างเข้มแข็ง ภูวนัยมองตามแต่เป็นห่วงพรรณรายมากกว่า รีบอุ้มเธอกลับเข้าไปในบ้าน
ooooooo
ไผ่พญาเดินเชิดคอแข็งออกมาทั้งที่หัวใจร้าวราน เจอตะวันฉายยืนรออยู่ ตะวันฉายเห็นรอยช้ำที่หน้าไผ่ถามว่าไปโดนอะไรมา ไผ่ตอบตัดบทว่าตนตบยุง ทำเป็นบ่นว่าพักนี้ยุงชุมจริงๆแล้วแกล้งถาม
“คุณตะวันมาหาคุณภูใช่ไหมคะ แต่คุณคงต้องรอหน่อย เพราะตอนนี้เขากำลังทำธุระกับแฟนเขาอยู่”
ตะวันฉายบอกว่ามาหาเธอ พลางส่งถุงใส่รองเท้าที่ป้าแช่มฝากมาคืนให้ ไผ่ดีใจถามว่าไปเจอที่ไหนหรือ
“นี่คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอครับ...คุณแลกรองเท้ากับป้าแล้วก็เดินกลับไงครับ” ไผ่ก็ยังจำไม่ได้ ตะวันฉายเลยอำ “แล้วจำได้ไหมครับว่าคุณยืมเงินผมไปหมื่นนึง”
“หา! อย่า...อย่า...อย่ามาอำฉันให้ยาก เรื่องอื่นฉันอาจจำไม่ได้ แต่เรื่องเงินนี่ต่อให้เมายังไงฉันก็ไม่มีทางลืม”
ตะวันฉายหัวเราะขำๆเตือนว่าต่อไปอย่าทำอย่างนี้อีก เล่าว่า วันนั้นตนขับรถตามหาเธอกับม่านหมอกจนเกือบเช้า แล้วโมเมอ้อนว่า “ผมตกใจมากที่คุณหายไปอย่างนั้น อย่าไปไหนโดยไม่มีผมอีกนะครับ”
ระหว่างนั้น ม่านหมอกมาได้เห็นได้ยินพอดี รู้สึกเจ็บแปลบในความห่วงใยของตะวันฉายที่มีต่อไผ่พญา เดินหนีไปนั่งซึมที่ริมน้ำ
ผจญมาเห็นก็ตกใจกลัวเธอจะทำร้ายตัวเอง เดินเข้าไปเมียงๆ มองๆ เรียกแล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
“ทำไม ฉันไม่ฆ่าตัวตายหรอกน่า...เออ...นายเคยมีความรักไหม” ผจญตอบว่ามี ม่านหมอกยิ้มเศร้าๆบอกว่าดีจัง
“จะว่าดีก็ดีครับ จะว่าไม่ดีก็ไม่ดีครับ คือ...เธอไม่รู้หรอกครับว่าผมแอบชอบเธออยู่” ผจญเขินมาก
“จริงเหรอ...ถ้าอย่างนั้นเราก็เหมือนกัน การแอบรักใครสักคนก็ทรมานแล้ว แล้วถ้ารู้ว่าเขาไม่ชอบเราอีก มันยิ่งทรมานนะ นายว่าไหม”
“ครับ...คุณหมอกแอบชอบใครเหรอครับ” ผจญถามใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นเอง” ม่านหมอกตัดบทแล้วเดินออกไป
ooooooo
ภูวนัยอุ้มพรรณรายเข้ามาวางที่โซฟา พรรษาเข้ามาดูถามว่าทำไมเธอถึงได้ช็อกหมดสติไปแบบนี้
“เอ่อ...เธอเห็นผมกับครูไผ่...เอ้อ...” ภูวนัยพูดไม่ทันจบ พรรษาก็พยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วว่าทำไมพรรณรายถึงได้เป็นแบบนี้ พอดีเธอรู้สึกตัวขึ้นมาเพ้อเรียก “ภู...ภู...”
“เป็นยังไงบ้างพั้นซ์” ภูวนัยรีบเข้ามาดู หันบอกพรรษาว่า “เดี๋ยวผมดูแลเธอเองครับ” พรรษาจึงออกไป
อย่างรู้ใจ พอพรรษาออกไป พรรณรายก็โผกอดภูวนัยถามว่า เขากับไผ่มีอะไรกันจริงๆหรือ ภูวนัยชี้แจงว่ามันไม่ใช่อย่างที่เธอเห็น
“ใช่...เพราะมันอาจจะมากกว่าที่เห็นก็ได้” ม่านหมอกทั้งประชดภูวนัยและเสี้ยมพรรณรายตามถนัด
พรรณรายคร่ำครวญให้ภูวนัยบอกความจริงมา เขาพยายามชี้แจงอย่างใจเย็นว่า
“ผมมีเหตุผลที่บอกคุณไม่ได้พั้นซ์ แต่ที่ผมบอกคุณได้ตอนนี้ คือผมกับครูไผ่ ไม่ได้มีอะไรกันจริงๆ” แต่พรรณรายก็ยังจะให้เขารับว่าชอบกับไผ่พญา จนภูวนัยโมโหตวาด “หยุดนะพั้นซ์ ผมบอกคุณแล้วว่าผมกับครูไผ่ไม่ได้มีอะไรกันถ้าคุณไม่เชื่อก็ตามใจ” พูดแล้วภูวนัยหุนหันออกไปอย่างหงุดหงิด ถึงตอนนี้พรรณรายจะมารยาอย่างไรเขาก็ไม่สนใจแล้ว
ขณะพรรณรายกำลังร่ำร้องให้ภูวนัยกลับมานั้น ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักหันไปมองเห็นเผ่าพงศ์กับ
ม่านหมอกกำลังหัวเราะกันอย่างสะใจ ก็ยิ่งแค้นแทบจะคลั่ง
ooooooo
ชาติกล้ากลับมาที่ห้องประชุม ป.ป.ส.เห็นพวกลูกน้องเอากาแฟแก้วหนึ่งวางที่โต๊ะหน้ากระดาน เขาบอกลูกน้องว่าตนกินกาแฟดำ ลูกน้องบอกว่านั่นเป็นของผู้กำกับ ชาติกล้าหน้าตึงทันทีถามว่า
“คิดว่าทำอย่างนี้แล้วผู้กำกับจะดีใจรึไง ผมรู้ว่าทุกคนเสียใจ แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราจับไอ้คนที่ฆ่าผู้กำกับได้”
จ่าวีระบอกว่าพวกตนก็อยากทำอย่างนั้นแต่พวกมันไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐานให้มัดตัวมันเลย จ่าราชัยเสริมสีหน้าไม่ดีว่า “พวกมันทำเหมือนว่าจะฆ่าพวกเราเมื่อไรก็ได้ ขนาดผู้กำกับยังโดนพวกมัน...”
ชาติกล้าโมโหตวาดว่าหน่วยของตนไม่ต้องการคนที่กลัว จะต่อสู้กับคนชั่วใครกลัวตายเชิญเขียนใบลาออกไปทิ้งไว้ที่โต๊ะตนเลย แล้วไล่ให้ทุกคนออกไปให้หมด แต่พอพวกลูกน้องออกไปแล้ว ชาติกล้าได้ยินพวกเขาคุยกันแว่วเข้ามา ต่างแสดงความเป็นห่วงลูกเมียผู้กำกับและลูกเมียตัวเอง มีเสียงหนึ่งพูดพาดพิงถึงตัวชาติกล้าเองว่า...
“อย่างว่าแหละวะ หัวหน้าแกไม่มีลูกมีเมียกับเขานี่หว่า ขนาดแฟนยังไม่มีเลย ตายไปก็ไม่มีคนต้องห่วง”
ฟังเสียงเหล่านั้นแล้ว ชาติกล้าคิดถึงเรื่องมีครอบครัวขึ้นมา เขาซื้อดอกไม้ไปให้ปลายฟ้าที่โรงพยาบาล ปลายฟ้านึกว่าภูวนัยซื้อมาให้ แต่แล้วก็ผิดหวังเมื่อไปเจอตัวกลายเป็นชาติกล้า
ชาติกล้าแอบน้อยใจ บอกเธอว่าเรายังไม่ได้ทานข้าวเย็นกันเลย ปลายฟ้าจึงให้ไปรอที่ร้านก่อนเดี๋ยวตรวจคนไข้อีกสองสามคนแล้วจะตามไป
เมื่อปลายฟ้าไปที่ร้านอาหาร ปรากฏว่าชาติกล้าสั่งอาหารไว้แล้ว เขาบอกบริกรว่าให้เสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้ได้เลย แล้วทำกรุ้มกริ่มบอกปลายฟ้าว่ามีอะไรบางอย่างจะบอกเธอ เขาหยิบแหวนที่วางไว้ขึ้นมา รวบรวมความกล้าบอกเธอว่า
“ฟ้า...ผม...ผมรักคุณนะ”
ชาติกล้าจับมือเธอจะสวมแหวนให้ ปลายฟ้าขืนมือไว้บอกเขาว่า “แต่ฟ้าไม่ได้รักชาติ...เอ่อ...ขอตัวก่อนนะ” แล้วลุกไปเลย ชาติกล้ามองแหวนในมือทั้งเสียใจทั้งโกรธ ลุกตามไปคว้ามือเธอถามเสียงสะท้านอย่างสะเทือนใจว่า
“ฟ้าชอบไอ้ภูใช่ไหม...” ปลายฟ้าหันมาถามอย่างไม่ชอบใจว่าทำไมตนต้องบอกด้วย “เพราะฟ้ากำลังทำตัวน่าสมเพชไง ฟ้าก็รู้ว่าไอ้ภูมันไม่ได้ชอบคุณ...มันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตาเลย”
ปลายฟ้าตบหน้าเขาอย่างแรงที่พูดแทงใจดำ แต่ก็ยังพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่า
“ถึงภูจะไม่ชอบฉัน...แต่อย่างน้อย ขอให้ฉันได้ชอบเขาก็พอ” พูดแล้วขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับออกไปเลย
ชาติกล้ามองตามไปทั้งเสียใจและแค้นใจระคนกัน...
ooooooo
ที่ศาลางานศพผู้กำกับ ชาติกล้าจุดธูปเคารพศพ ก่อนปักธูปเขาเพ่งมองรูปของผู้กำกับบอกกล่าวด้วยความแค้นใจ
“ผู้กำกับ...ผมสัญญาครับ...ว่าผมจะหาตัวคนที่มันฆ่าผู้กำกับมาลงโทษให้ได้”
แต่พอปักธูปลุกเดินออกมาก็ชะงักกึก เมื่อเห็นพายัพกับลูกน้องเดินเข้ามา เขาปราดเข้าไปถามว่าใครให้เข้ามาในนี้ พายัพยียวนว่าข้างหน้าไม่เห็นเขียนบอกว่าห้ามคนชื่อพายัพเข้ามา จ่าวีระกับราชัยปราดเข้ามาพร้อมกัน จ่าวีระจ้องหน้าตะคอกว่า “แกฆ่าผู้กำกับแล้วยังกล้ามาอีกเหรอ”
“นี่ไอ้น้อง...พี่จะบอกให้นะ จะพูดอะไรน่ะมีหลักฐานไหม ไม่ใช่ว่าจะกล่าวหาใครก็ได้ เป็นตำรวจน่ะมันต้องรักษากฎหมาย...อย่ามาใช้กฎหมู่...เพราะเรื่องกฎหมู่น่ะ ฉันถนัด!” พายัพพูดใส่หน้าจ่าวีระ จ่าราชัยสะอึกเข้าไปถามว่าขู่พวกเราหรือ “หึๆ...แนะนำดีๆ ก็หาว่าขู่ ไปๆ หลบไปดีกว่า ฉันจะได้ทำธุระให้เสร็จ”
พายัพผลักอกชาติกล้าก่อนเดินเข้าไป ลูกน้องรีบเข้าไปจุดธูปส่งให้ พายัพรับธูปแล้วยืนไหว้ สองจ่าทนไม่ไหวจะเข้าไป ถูกชาติกล้าห้ามไว้ว่าอย่าใจร้อน จ่าวีระพูดอย่างเหลืออดว่าขนาดผู้กำกับตายไปแล้วมันยังไม่ให้เกียรติเลย
ชาติกล้ารอจนพายัพปักธูปเสร็จเดินออกมา จึงเข้าไปพูดว่า ผู้กำกับตายแล้วต่อไปเขาคงลำบากหน่อย พายัพหันกลับมาพูดอย่างยโสโอหังว่า
“ก็ไม่เท่าไหร่ ชีวิตฉันไม่ค่อยกลัวความลำบาก ไอ้ที่ฉันกลัวน่ะ กลัวจะไม่สนุกมากกว่า”
“ถ้าแกแน่ใจว่าจะเล่นเกมนี้ต่อ ฉันก็จะเล่นกับแก”
“ไม่มีปัญหา...แต่พวกแกรู้แล้วใช่ไหม ว่าคนที่แพ้...ต้องตาย!”
พายัพแสยะยิ้มแล้วเดินอาดๆออกไปอย่างผยอง ชาติกล้ากำหมัดแน่นด้วยความโกรธแค้น
ooooooo
เมื่อพายัพกลับมาที่รถ ก็เจอกับวศินนั่งรออยู่ในรถแล้ว วศินส่งซองเอกสารให้พายัพ เขาถามว่าออเดอร์ใหม่หรือ แต่พอรับซองไปดูก็อึ้ง เพราะมันคือรายชื่อตำรวจมากมาย
พอเงยหน้าถามวศินว่าได้มายังไง ก็ถูกปืนจี้ที่เอวแล้ว วศินถามว่าไหนว่าเก็บทุกอย่างปลอดภัยไง พายัพยิ้มเยือกเย็นถามว่าจะฆ่าตนหรือ
“แล้วลื้อคิดว่าไง” พายัพพูดอย่างไม่สะทกสะท้านว่าไม่มีตนท่านก็ไม่มีเงิน “แต่ถ้าไอ้ข้อมูลนี่หลุดออกไป ถึงอั๊วมีเงิน ก็ไม่ได้ใช้”
“แล้วท่านคิดว่า ไอ้นี่มันเป็นต้นฉบับเหรอ คิดว่าผมจะขี่หลังเสือโดยไม่ระวังอะไรเลยเหรอท่าน...ถ้าผมจะตาย ท่านก็เตรียมดูไอ้ข้อมูลนี่จากโทรทัศน์ทุกช่องได้เลย”
วศินจ้องหน้าพายัพอย่างหยั่งเชิงกันแล้วจึงเก็บปืน พูดเชิงปรามเชิงขู่ว่า
“ตอนนี้อั๊วยอมให้...แต่ถ้าอั๊วรู้ว่าลื้อลักไก่ละก็...”
พายัพติงว่าอย่าเอาเรื่องนี้มาทำให้ความสัมพันธ์ของเราสะดุดดีกว่า ย้ำว่า “ท่านอยู่เฉยๆก็มีเงินเข้าบัญชีท่านทุกเดือน...ทุกเดือนอยู่แล้ว” วศินบอกให้ไปได้แล้ว พายัพจะเปิดประตูออกไปแต่นึกได้หันมาถาม “ถ้าท่านจะกรุณา ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่า ท่านได้นี่มายังไง”
เมื่อพายัพกลับถึงบ้าน เขาเรียกสมุนซ้ายขวาคือธีกับเข้มเข้าไปพบ ถามธีว่ารู้ไหมว่ามีคนเอาข้อมูลของตนไปให้ตำรวจ ธีสู้ตาตอบว่าไม่รู้ แต่นึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นมีข้อมูลเหมือนกันต้องเป็นมันแน่ๆพายัพทำหน้าทึ่งว่าตนคิดไม่ถึงเลย แล้วยิงแสกหน้าธีตายในห้องทำงานเขานั่นเอง
“พี่...พี่ไม่เชื่อไอ้ธีมันบอกเหรอครับ” เข้มที่เป็นมือขวาถาม
“ไอ้เข้ม...แกก็รู้ว่ารอยรั่วนิดเดียวก็ทำให้เรือจมได้ ไม่ว่ามันจะใช่หรือไม่ใช่ แต่ถ้าฉันสงสัยแล้ว...ก็...โป้ง” พูดแล้วสั่งเข้ม “เอาตัวผู้หญิงคนนั้นมาให้ฉัน ถ้าได้เป็นๆ ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้...แกเข้าใจใช่ไหม” พูดแล้วยิ้มเหี้ยม เข้มพยักหน้าทันที
ooooooo
เพราะสวมรอยมาเป็นครูทั้งที่ตัวเองไม่มีความรู้เรื่องการสอนเลย ไผ่พญาเลยไม่มีแผนการสอน วันนี้ก็ไม่รู้จะสอนอะไร พอดีม่านเมฆบอกว่าอยากเรียนพละ ไผ่ได้โอกาสเห็นด้วยทันที เลยพาไปเตะบอลที่สนาม
แต่เพราะม่านเมฆเป็นหืดหอบ วิ่งได้พักเดียวก็ล้มลงหอบหายใจไม่ออก ไผ่ตกใจมากร้องขอความช่วยเหลือ ภูวนัยอุ้มม่านเมฆกลับเข้าไปนอนที่โซฟาแล้วพ่นยาให้จนอาการดีขึ้น เขาดุไผ่ที่สร้างแต่ปัญหา
ไผ่เองก็ไม่สบายใจ ถามภูวนัยว่าทำไมม่านเมฆถึงเป็นอย่างนี้ ถูกย้อนถามดุๆว่า “เธอจะรู้ไปทำไม”
“ก็เปล่า...เนี่ย ถ้าฉันรู้ว่าเมฆเขาเป็นหอบหืด ฉันก็ไม่ทำอะไรอย่างนี้แล้ว นายต้องบอกฉัน ฉันจะได้รู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
ทันใดนั้น เสียงพรรณรายก็แปร๋นเข้ามาว่า เวลาตนมาทีไรก็เห็นสองคนอยู่ด้วยกันทุกที แต่คราวนี้มาแปลก เธอไม่ได้เกรี้ยวกราดอาละวาดเหมือนทุกครั้ง แต่กลับพูดกับไผ่ด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรว่า
“คราวที่แล้วฉันเข้าใจเธอผิด...ถ้าภูเขาไม่ยืนยันกับฉันว่า ภูเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอ ฉันก็คงคิดมากยิ่งกว่านั้น” ไผ่ยืนยันว่าตนกับภูวนัยไม่มีอะไรกันจริงๆ พรรณรายหันไปถามชายหนุ่มว่าเย็นนี้ว่างไหม ภูวนัยทำหน้าสงสัยว่าทำไมหรือ เธอตัดพ้อทำเสียงอ้อนน่ารักว่า “อะไร...นี่ภูลืมวันเกิดพั้นซ์เหรอ พั้นซ์เสียใจนะที่ภูจำวันเกิดพั้นซ์ไม่ได้”
พอภูวนัยขอโทษ พรรณรายทำเป็นงอน มีข้อแม้ว่าคืนนี้ต้องไปปาร์ตี้กับตนถึงจะยกโทษให้ มัดมือชกว่า ตนนัดเพื่อนสนิทสี่ห้าคนเท่านั้น ย้ำว่า “พั้นซ์บอกว่าภูจะไปด้วย...ทุกคนเขาก็อยากเห็นภูกันใหญ่”
ภูวนัยทำท่าจะปฏิเสธ ก็ถูกรวบรัดตัดบทว่าตนบอกเพื่อนไปแล้ว ทิ้งไม้ตายว่า
“ถ้าภูไม่ไปที่รีสอร์ตพั้นซ์ก็จะให้คนเข้ามาจัดงานที่นี่ แต่ถ้าภูไม่อยากให้พั้นซ์มาจัดงานที่นี่ งั้นภูก็ต้องไปที่รีสอร์ตพั้นซ์นะคะ”
ภูวนัยถูกหักคอแบบนี้เลยได้แต่ทำหน้าลำบากใจกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พรรณรายรีบกลับไปที่รีสอร์ต เจอเสกสรรกำลังวางแผนกับสมหมายจะจัดฉลองครบรอบวันแต่งงานให้ผู้ว่าฯ ที่รีสอร์ตพอดี หมายเอาใจผู้ว่าฯเพื่อเขี่ยฟาร์มหมูให้กระเด็นไปจากที่นี่ พอพรรณรายรู้ก็โวยวายว่าตนจะจัดงานวันเกิดที่นี่
“วันเกิด...บ้ารึเปล่า วันเกิดแกมันเดือนหน้าโน่น” เสกสรรโวยบ้าง
“แต่พั้นซ์จะจัดวันนี้...พั้นซ์จะจัดวันนี้...” พรรณรายอาละวาดปัดข้าวของที่สมหมายเตรียมมาจัดงานกระจายเกลื่อนผลักพวกคนงานที่กำลังจัดสถานที่ตกน้ำตกท่าไปหลายคน จนเสกสรรถามว่าบ้าไปแล้วหรือ
พรรณรายอ้างว่าขืนตนช้าอีกวันเดียว นังครูนั่นต้องงาบภูวนัยไปแน่ๆ เสกสรรถามประชดว่าจะจัดงานเสียตัวให้มันใช่ไหม
“ใช่...แล้วถ้าพ่อไม่ทำตามที่หนูขอ พ่อจะเสียหนูแล้วก็รีสอร์ตนี่ไปแน่ๆ”
สุดท้าย เสกสรรก็ต้องยอมพรรณรายตามเคย
ooooooo
ทุกคนที่ฟาร์มสุขรู้ว่าวันเกิดพรรณรายไม่ใช่วันนี้ แต่เมื่อเธออ้างว่าวันนี้และมาเชิญภูวนัยถึงที่ เขาจึงไม่อาจปฏิเสธได้ พรรษาเป็นห่วงกลัวภูวนัยจะเสียท่าจึงให้ไผ่พญาไปเป็นเพื่อน
ไผ่พญาไม่อยากไปเพราะไม่มีชุดใส่ ม่านหมอกจึงเอาชุดของเหมือนฝันมาให้ใส่และแต่งหน้าทำผมเสียจนสวยผิดตา เมื่อลงไปเจอภูวนัย เขาเห็นไผ่ใส่ชุดของเหมือนฝันแต่พูดไม่ออก ไผ่อำทันทีว่า “นายอนุญาตให้ฉันใส่แล้วนะ”
อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 6 วันที่ 24 เม.ย. 56
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะโดย บทประพันธ์ เล่าเต็งคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ บทละคร โดย อภิวัฒน์ เล่าสกุล
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะผลิตโดย : บริษัท กำกับการดี จำกัด
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะนำแสดงโดย : ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - ไปรยา สวนดอกไม้
ติดตามชมคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะได้ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา ไทยรัฐ