อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7 วันที่ 28 เม.ย. 56


อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7 วันที่ 28 เม.ย. 56

“ถึงไม่มีปืน...แต่ผมก็ยังเป็นตำรวจ” ภูวนัยสบตาตอบจริงจังแล้ววิ่งออกไป ไผ่พญามองตามหลังเขา ด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป แล้วลุกวิ่งตามไปด้วยความเป็นห่วง

ระหว่างภูวนัยต่อสู้กับโจรด้วยชั้นเชิงมวยนั้น ไผ่วิ่งตามมา ตะโกนให้เขาระวังเมื่อเห็นโจรคนหนึ่งกระโดดออกจากเคาน์เตอร์ โจรอีกคนเอาปืนเล็งไผ่ ภูวนัยพุ่งเข้าเอาตัวบังเธอไว้ จ้องโจรเขม็ง เสียงปืนดังขึ้นโจรคนนั้นค่อยๆล้มลง ภูวนัยกับไผ่หันมองจึงเห็นตำรวจยืนถือปืนอยู่ข้างหลัง ทั้งสองมองหน้ากันอย่างดีใจ โล่งอก...

ตำรวจเชิญภูวนัยไปช่วยให้ปากคำที่โรงพัก ไผ่พญาเผลอยกมือทาบหน้าผาก ปลอบใจตัวเองว่า

“ไม่มีอะไร...เราแค่ตื่นเต้นกับเรื่องปล้นร้านทองเท่านั้นเอง” แล้วไผ่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นรูปป้าที่ตัวเองสวมรอยมาเป็นครูแทน ติดอยู่ที่เสาไฟฟ้า ไผ่ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เลียบเคียงถามตำรวจว่าป้าคนนั้นทำอะไรผิดหรือ


“อ๋อ...ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกครับ แกหายตัวไปตั้งแต่ตอนที่รถสิบล้อชนรถทัวร์เมื่อเดือนที่แล้ว ญาติแกก็เลยมาประกาศตามหา”

แต่แล้วไผ่ก็หนาวเยือกเมื่อตำรวจมองหน้าอย่างสงสัย เธอรีบขอตัวเดินอ้าวไป ตำรวจนายนั้นรู้สึกคุ้นหน้าตามไปเรียก ทำเอาไผ่แทบเข่าอ่อน ตำรวจมองหน้าซักถามกันไปมาว่าเคยเห็นกันที่ไหน ไผ่ปฏิเสธว่าไม่เคยเจอกัน แล้วตำรวจก็นึกออกถามว่าเคยเจอกันที่โรงพยาบาลใช่ไหม

“ใช่ๆ จริงด้วยค่ะ” ไผ่ผสมโรงแล้วรีบลาเลย พอดีภูวนัยให้ปากคำเสร็จลงมาไผ่รีบชวนกลับกันเถอะ

ไผ่พญาใจคอไม่ดีกังวลว่าเมื่อญาติของป้าคนนั้นออกตามหาขนาดนี้คงต้องเจอป้าเข้าสักวันแน่ ถ้าความแตกแล้วตนจะทำอย่างไร คิดแล้วริมฝีปากก็กระดุกกระดิกไม่รู้ตัว จนภูวนัยสังเกตเห็น เธอบอกว่าคงเพราะดีใจที่ได้กลับมาครบสามสิบสอง แต่ยิ่งพูดก็ยิ่งเครียดปากก็ยิ่งกระตุกพูดอย่างทนไม่ได้ว่า

“แย่แล้ว...เวลาที่ปากฉันกระตุกอย่างนี้ มันมักจะมีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น” ภูวนัยถามว่าโจรถูกจับไปแล้วปากเธอยังจะกระตุกอะไรอีก ไผ่ฟังแล้วยิ่งไม่สบายใจยืนยันว่า “จริงๆนะ อาจจะมีเรื่องไม่ดียิ่งกว่าโจรปล้นร้านทองก็ได้”

“ถึงมันจะร้ายแค่ไหน ถ้าผมอยู่ด้วย...ผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไร”

ไผ่สะดุดใจกับคำพูดดีๆของภูวนัยอีกครั้ง แต่พอดีพรรษาเข้ามาบอกว่ามีเพื่อนของครูไผ่มารออยู่ตั้งแต่บ่าย ไผ่สะดุ้งขึ้นมาอีกเชื่อว่าต้องเป็นป้าคนนั้นแน่ๆหาทางหลบ อ้างว่าร้อนและเหนียวตัวมากขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีกว่า

ภูวนัยฉุดไว้ให้ไปพบเพื่อนก่อนจะใช่หรือไม่ใช่ได้รู้กันไปเลย ยื้อยุดกันเสียงดังจนขิงกับกระดังงาได้ยินออกมาทักอย่างดีใจ ไผ่จึงขอเวลาส่วนตัวคุยกับเพื่อนให้หายคิดถึง

ระหว่างลากเพื่อนเลี่ยงไปคุยกัน ไผ่ถามอย่างตึงเครียดผิดกับความดีใจเมื่อครู่นี้หน้ามือเป็นหลังมือ ถามทั้งสองว่ารู้จักที่นี่ได้ยังไง ขิงย้อนถามว่าจะยากอะไรก็เธอใช้โทรศัพท์บ้านโทร.เข้ามือถือตน เอาเบอร์ไปเช็กกับองค์การโทรศัพท์ทีเดียวก็รู้แล้ว ไผ่ถามอีกว่าแล้วมาทำไมกัน

“พวกเราจะมาขอยืมเงินแกน่ะ” กระดังงาโพล่งออกไปเพราะร้อนใจเต็มทีแล้ว ไผ่ถามว่าเงินที่ให้ไว้ใช้หมดแล้วหรือ ทั้งขิงและกระดังงาต่างโทษกันไปมา กระดังงาโทษว่าขิงเอาไปเข้าบ่อนหมด ขิงก็โทษว่ากระดังงาถูกพวกนั่งดริ๊งก์ล้วงกระเป๋าเอาเงินไปหมด แต่ไม่ว่าเงินจะหมดด้วยเหตุผลใด ไผ่พูดคำเดียวว่า

“ฉันไม่มีเงินให้พวกแก! เพราะฉันเบิกล่วงหน้าหมดแล้ว”

บอกแล้วไผ่เดินเข้าบ้านไปเลย ขิงกับกระดังงามองกันหน้าเหี่ยวตาละห้อย

ooooooo

เรื่องไม่จบแค่นั้น เพราะขิงกับกระดังงาอ้างกับภูวนัยว่าตนทั้งสองเป็นครูเหมือนไผ่พญา กระดังงาสอนภาษาไทยและขิงสอนพละ ภูวนัยจึงให้ทั้งสองอยู่ช่วยสอนม่านหมอกกับม่านเมฆที่นี่เสียเลย

ขิงกับกระดังงาดีใจมากรีบตอบตกลงทันที แต่ไผ่ไม่เห็นด้วยบอกทั้งสองว่า “พวกแกอยู่ที่นี่ไม่ได้” พูดไม่ทันขาดคำ ภูวนัยก็บอกทั้งสองว่ามีอะไรขาดเหลือก็ให้บอกป้าพรรษาได้ ไผ่เลยพูดไม่ออก

“ไอ้ภู!” เสียงเผ่าพงศ์เรียกอย่างร้อนใจ เพราะได้ข่าวว่าเมื่อกลางวันภูวนัยไปช่วยจับโจรปล้นร้านทอง ถามว่าถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะดูแลม่านหมอกกับม่านเมฆ แล้วฟาร์มนี่จะเป็นยังไงถ้าไม่มีใครดูแล

ไผ่พญาช่วยพูดแก้ต่างให้ภูวนัยน้ำไหลไฟดับ พูดให้เห็นว่าภูวนัยไม่ได้ไปเสี่ยงอะไรเลยและก็ไม่ได้มีการยิงอะไรกันทั้งนั้น ระหว่างนั้นภูวนัยก็ฉวยโอกาสชิ่งไป ก็ยังถูกเผ่าพงศ์ร้องเรียกให้กลับมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน ไผ่มองตามภูวนัยไปอย่างเห็นใจที่ทำดีแต่กลับโดนด่า

oooooooo

ไผ่พญาตามไปปลอบใจภูวนัย ขิงกับกระดังงาแอบดูแล้วซุบซิบกันว่าสองคนนี้ท่าทางจะยังไงเสียแล้ว

“คุณไผ่!!” เสียงตะวันฉายร้องเรียกพลางวิ่งเข้าไปหา ขิงกับกระดังงามองหน้ากันเลิ่กลั่กถามกันว่าใครมาอีกล่ะ ได้ยินตะวันฉายถามไผ่พญาเรื่องช่วยจับโจรปล้นร้านทอง ถามอย่างเป็นห่วงว่าเธอเป็นอะไรหรือเปล่า พอไผ่บอกว่าไม่เป็นไร ตะวันฉายก็ทำท่าโล่งอกอย่างเป็นห่วงเกินเหตุ ภูวนัยรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นส่วนเกินเลยขอตัวไป

ตะวันฉายชวนไผ่ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์ที่วัด ขิงกับกระดังงาขอไปด้วยในฐานะเพื่อนของไผ่พญา ส่วนม่านหมอกที่แอบมาได้ยินก็จิกตามองตะวันฉายที่คุยกับไผ่อย่างไม่พอใจ

มาไม่ทันข้ามวัน ขิงกับกระดังงาก็ดูออกว่าภูวนัยสนใจไผ่ เลยยุเพื่อนให้จีบเสียเลย บอกไผ่ว่า ดีเสียอีกที่ภุูวนัยเป็นตำรวจจะได้คุ้มกันจากพวกที่ตามล่า และที่สำคัญเขารวยด้วย

ขิงยังลุ้นให้ไผ่จีบภูวนัย เมื่อไผ่ยืนยันว่ายังไงตนก็ขอเป็นแค่ลูกจ้างเขา ขิงถามอีกว่าแล้วตะวันฉายล่ะ เมื่อกี้เห็นคุยกันดี๊ดี ไผ่บอกว่าเขาเป็นปศุสัตว์ กระดังงาถามอีกว่าแล้วไผ่ชอบเขาไหม

“เฮ้ออออ...!” ไผ่ถอนใจเฮือกใหญ่ยาวแล้วเดินออกไป ขิงกับกระดังงาตีความหมายไม่ออกว่าหมายความว่าไง?

ooooooo

คืนนี้...ที่ร้านอาหารโรงแรมหรู พายัพนัดพบกับตำรวจใหญ่หลายนาย แต่พายัพมาผิดเวลานัดมาก พอมาถึงก็ขอโทษขอโพยที่ต้องให้รอ

นายตำรวจคนหนึ่งถามถึงข้อมูลที่รั่วออกไปเขาจะว่าอย่างไร พายัพตอบหน้าตาเฉยว่ารั่วตรงไหนก็อุดตรงนั้นแค่นี้ก็จบ!

“เอาน่า นี่ก็ดึกแล้ว รีบคุยกันไหม เผื่อบางท่าน

ต้องรีบไปเก็บส่วยตามผับตามบาร์” พายัพตัดบทแล้วตบมือเป็นสัญญาณให้มือขวาถือถุงกระดาษแบบช็อปปิ้งมาวางไว้ตรงหน้าตำรวจคนละถุง “พอดีช่วงนี้มันเป็นฤดูโยกย้ายนายตำรวจ ผมว่าพวกท่านคงจะเหนื่อย ก็เลย

สั่งโสมมาจากเกาหลีให้พวกท่านบำรุง จะได้ไม่มีใครเป็นอะไรไปเสียก่อน”

นายตำรวจเหล่านั้นเปิดถุงตรงหน้าดู หยิบกล่องโสมออกมาจึงเห็นที่ก้นถุงมีเงินมัดเป็นฟ่อนๆ อยู่ พายัพจับตาดูอยู่เอ่ยขึ้นเป็นนัยด้วยรอยยิ้มอย่างผู้เหนือกว่าว่า

“หวังว่าโสมพวกนั้น จะทำให้ธุรกิจของเราแข็งแรงขึ้นนะครับ”

ออกจากห้องอาหาร เดินมากับเข้มมือขวาของเขา พายัพถามว่าจดเลขแบงก์์ที่ให้พวกนั้นไว้แล้วใช่ไหม เมื่อเข้มตอบรับ เขาพูดอย่างดูถูกว่า

“ดี...ทำธุรกิจกับไอ้พวกนี้มันต้องมีอะไรค้ำประกันหน่อย” แต่แล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเข้มบอกว่า คนของเรารายงานว่ามีคนใช้บัตรเครดิตของเสี่ยสมสุข พายัพ

หันขวับถาม “พวกมันอยู่ที่ไหน”

“นครปฐมครับ”

พายัพยิ้มร้ายอย่างสะใจขึ้นมาทันที!

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น ไผ่พญาแต่งตัวเตรียมจะออกไปทำบุญสะเดาะเคราะห์กับตะวันฉายตามที่นัดกันไว้

เมื่อวาน พอลงมาเจอขิงกับกระดังงาในชุดพร้อมไปเที่ยว ก็ถามอย่างแปลกใจว่าจะทำอะไรกัน

“ก็ไปเที่ยวกับแกแล้วก็คุณตะวันฉายในเมืองไง” กระดังงาตีหน้าตาย ไผ่ไม่ให้ไป ขิงทำหน้าขึงขังเข้าไปจ้องหน้าพูด

“ไอ้ไผ่ แกลืมไปแล้วหรือไง แกขัดใจพวกเราเมื่อไหร่ เราจะบอกความจริงกับทุกคนว่าแกไม่ใช่ครู!”

“ไอ้...ไอ้...” ไผ่โกรธจนด่าไม่ออก แต่ขิงไม่สนใจเดินไปควงกระดังงาดี๊ด๊าพากันออกไป ไผ่เซ็งจนบอกไม่ถูก

ขณะนั้นเอง ภูวนัยเดินมาเจอตะวันฉายถามว่าจะไปไหนกัน พอตะวันฉายบอกว่าจะพาครูไผ่ไปวัด ภูวนัยถามหน้าตึงว่า

“ไปวัด...ทำไมเขาไม่เห็นบอกอะไรผมเลย”

เมื่อไผ่มาพบตะวันฉาย เธอทักเขาว่าตัดผมทรงใหม่ทำไมหรือถูกใครหักอก ตะวันฉายตอบเหนียมๆ ว่าไม่มีอะไรเพียงแต่มันร้อนเลยอยากเปลี่ยนทรงผมเท่านั้น ภูวนัยที่ยืนมองตาขวางอยู่ พูดขึ้นลอยๆ อย่างประชดประชันว่า

“ผมเพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้คุณจะไปไหนมาไหนก็ได้ตามอำเภอใจ” พอไผ่บอกว่ากำลังจะไปวัด ก็ถูกสวนทันทีว่า “ใครอนุญาตให้เธอไป”

ตะวันฉายเห็นท่าไม่ดีเลยขอโทษภูวนัยเพราะ

คิดว่าไปวัดคงไม่นาน ถูกไผ่ขัดขึ้นว่าไม่ต้องขอโทษ แล้วถามภูวนัยว่าตนแค่ไปวัดทำบุญสะเดาะเคราะห์ ทำไมถึงต้องโมโหอย่างนี้ด้วย

ภูวนัยพาลถามว่าเธอไปแล้วใครจะสอนม่านหมอกกับม่านเมฆ ไผ่เลยโยนกลองให้ขิงกับกระดังงาสอนแทน

“หึ! ได้!! ถ้าอย่างนั้นเชิญครูขิงกับครูงาเข้าข้างในเลยครับ เพราะถ้าพวกคุณสอนดี บางทีผมอาจจะจ้างพวกคุณแทน” พูดประชดแล้วภูวนัยเดินเข้าข้างในเลย ขิงกับกระดังงาหน้าตาเหลอหลามองไผ่อย่างขอความช่วยเหลือ ไผ่โบกมือให้รีบตามภูวนัยเข้าไป แล้วตัวเองก็ไปกับตะวันฉายสบายใจเฉิบ

“ดูท่าทางคุณภูจะไม่พอใจนะครับ...ผมว่า...เราไปวันหลังดีไหมครับ” ตะวันฉายไม่สบายใจ

“ไม่ต้องสนใจหรอกค่ะ...คนอะไร...ไม่มีเหตุผลเลย” ไผ่ค้อนปะหลับปะเหลือกเข้าไปในบ้านอย่างหมั่นไส้

ooooooo

ไปทำบุญสะเดาะเคราะห์แล้วกรวดน้ำ ไผ่พญาไม่เคยทำอะไรแบบนี้ พอกรวดน้ำเสร็จก็เอามือจุ่มไปในถ้วยรองน้ำเอาขึ้นประพรมที่หน้า หนักกว่านั้นคือเทน้ำใส่ฝ่ามือยกขึ้นลูบหน้าอย่างชื่นอกชื่นใจ

เสร็จแล้วตะวันฉายชวนไปเสี่ยงเซียมซีกัน ไผ่เอาอีกแล้ว! แทนที่จะยกกระบอกขึ้นเขย่าเธอกลับเอามือ

ควานไม้เซียมซีแล้วหยิบขึ้นมา ปรากฏว่าได้เบอร์ 3 และตะวันฉายก็ได้เบอร์ 3 เหมือนกัน

“ดีเลยครับ จะได้ไม่ต้องเปลืองคำทำนาย” ตะวันฉายพูดยิ้มๆ แล้วอ่านให้ฟังกัน “ใบที่สามครั่นคร้ามให้คิดหนัก ที่ประจักษ์มักไม่เป็นอย่างที่หวัง เซียมซีนี้อ่านให้ดีเงี่ยหูฟัง สิ่งที่หวังจะไม่เป็นอย่างหวังใจ ถามถึงคู่ชู้รัก

สลักจิต อย่าไปคิดเพราะไกลเกินจะหวัง ถ้าให้ดีสิ่งที่ควรระวัง จะผุพังคือญาติ...ผู้ใหญ่เอย”

ไผ่ฟังแล้วใจไม่ดี เมื่อตะวันฉายชวนไปปล่อยปลา เธอจึงขอไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วจะตามไป แต่ที่แท้เธอหลบไปเข้าตู้โทรศัพท์สาธารณะ โทร.ไปหาแม่ คอยอยู่นานไม่มีคนรับสายก็ยิ่งใจเสีย

ooooooo

ขิงกับกระดังงาตกกระไดพลอยโจน ต้องมาสวมบทบาทเป็นครูสอนภาษาไทยและพลศึกษา ทั้งคู่สอนมั่วไปหมด อาศัยความกะล่อนประสานกับธรรมะที่เคยได้ยินได้ฟังมาบ้างพอเอาตัวรอดไปได้ เลยนึกสนุกคุยกันอย่างย่ามใจว่า

“เราอยู่ที่นี่กันเลยดีไหม เพราะเป็นครูง่ายจะตาย ถ้ารู้ว่าเป็นครูอาจารย์ง่ายอย่างนี้เป็นกันไปนานแล้ว”

ขณะเดินคุยกันนั่นเอง พรรณรายขับรถเข้ามาจากข้างหลังจนมาใกล้ก็บีบแตร แปร๊นนนนน!! แล้วจอด

นิ่งสนิท ขิงกับกระดังงาสะดุ้งโดดแผล็ว ทั้งสองไม่รู้พิษสงของพรรณราย ขิงเดินเข้าไปเคาะกระจกตะโกน

“เฮ้ย! อะไรวะ...จะชนแล้วยังจะบีบแตรอีก”

สองฝ่ายโต้เถียงกันพักหนึ่ง พรรณรายจึงถามว่าสองคนเป็นคนงานใหม่หรือ ทั้งคู่ยืดอกบอกว่าเป็นครู เหมือนครูไผ่ พรรณรายก็หัวเราะเยาะ “หึๆ เป็นอย่างที่พ่อฉันว่าจริงๆ”

ขิงกับกระดังงาดีใจนึกว่าเพียงชั่วข้ามคืนชื่อเสียงพวกตนก็ลือกระฉ่อนไปไกล ถามอย่างตื่นเต้นว่า พ่อเธอพูดถึงพวกตนอย่างไรบ้าง พรรณรายจ้องจิก แล้วพูดใส่หน้า

“จน! ไร้การศึกษา!! ปัญญาอ่อน!!!”

ทั้งสองฟังแล้วสะอึกแล้วสะอึกอีก ปรามว่าจะมากไปแล้ว เธอเป็นใครถึงได้มาเที่ยวดูถูกคนอื่นอย่างนี้

“หึ! นี่พวกแกไม่รู้จริงๆเหรอ ว่าฉันเป็นใคร จะบอกให้เอาบุญ ฉันก็เป็นคนอีกระดับ ที่ดูถูกพวกแกได้ไง!”

พูดแล้วเดินเชิดไป ขิงกับกระดังงามองเหวอ

อย่างไม่อยากเชื่อความร้ายกาจในร่างที่สวยสำอางของเธอ

ooooooo

พรรณรายทำทีมาขอโทษภูวนัยที่วันนั้นตนเมาไปหน่อย แล้วยุแยงว่าเพื่อนของครูไผ่สองคนที่เขาให้ มาอยู่ที่นี่ไม่น่าไว้ใจเลย ท่าทางไม่เหมือนครูเลยสักนิด

ภูวนัยเบื่อที่จะฟังเธอเป่าหูเลยขอตัวไปทำงาน เสร็จจากงานก็เดินเข้าบ้าน เห็นพ่อเปิดทีวี ทำเหมือนดูอยู่แต่ที่แท้หลับ จึงเดินมาจะปิดทีวีให้ พลันก็ชะงัก เมื่อเห็นชาติกล้ากำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวอยู่ที่หน้า ป.ป.ส.

“จริงหรือเปล่าคะที่การตายของผู้กำกับมารุต มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด” นักข่าวสาวถาม

“ผมคงบอกไม่ได้ครับ เพราะมันเกี่ยวกับรูปคดี... แต่เบื้องต้นเราพบความเกี่ยวข้องอย่างที่เป็นข่าวออกไปจริงๆ” ชาติกล้าตอบแล้วเดินเข้า ป.ป.ส.นักข่าวก็ยังตามไปถามอีกว่า “แล้วอย่างนี้จะมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่เกี่ยวข้องอีกไหมครับ”

“ผมบอกแล้วว่า ตอนนี้ผมพูดเท่าที่พูดได้...ขอโทษ นะครับ วันนี้พอแค่นี้แล้วกัน” ชาติกล้าตัดบทแล้วรีบเดินเข้าสำนักงานไปเลย

ภูวนัยโทรศัพท์ไปทันที ถามอย่างไม่พอใจว่า “ชาติ... แกบอกนักข่าวอย่างนั้นไปได้ยังไง” ชาติกล้าย้อนถามเสียงแข็งว่าเรื่องอะไร “ก็เรื่องที่ผู้กำกับเป็นพวกเดียวกับไอ้พายัพนั่นไง แกก็รู้ว่าผู้กำกับไม่มีทางทำอย่างนั้น”

“ภู...แกต้องการอะไร...แกอยากให้ฉันอธิบาย...แต่แกก็รู้ว่าฉันทำไม่ได้ เพราะตอนนี้แกถูกพักราชการ ภู...ตอนนี้ฉันบอกแกได้คำเดียว อย่าเชื่อใจใครทั้งนั้น...ฉันต้องเข้าประชุมแล้ว”

ชาติกล้าตัดบทและตัดสายทันที ทำเอาภูวนัยร้อนใจอกแทบระเบิด

ooooooo

ความกังวลที่โทร.ไปแล้วลำไยไม่รับสายทำให้ไผ่เป็นห่วงจนซึมไป พอตะวันฉายถามเธอบอกว่าเป็นห่วงแม่ ตะวันฉายถามงงๆ ว่าแม่เธอเสียไปแล้วไม่ใช่หรือ ไผ่ก็ลื่นไหลไปราวกับน้ำกลิ้งบนใบบอนว่า

“อ๋อ...ฉันจะกลับไปทำบุญร้อยวันน่ะค่ะ” ถูกตะวันฉายจับได้อีกว่าแม่เธอเพิ่งเสียไปไม่ถึงเดือนเลย แต่ก็อาสาจะขับรถพาเธอไปกรุงเทพฯ เอง นัดเจอกันพรุ่งนี้ พอแยกกัน ไผ่ก็พึมพำอย่างรู้สึกผิดว่า

“ขอโทษที่ฉันต้องโกหก แต่ฉันเป็นห่วงแม่จริงๆ”

พอกลับมาถึงฟาร์มสุข ไผ่เล่าให้ขิงกับกระดังงาฟังเรื่องใบเซียมซี และโทร.ไปหาแม่แล้วแต่ไม่มีคนรับสาย ทั้งสองปลอบใจว่าที่แม่ไม่รับสายอาจเพราะมือไม่ว่างกำลังแจกไพ่อยู่ก็ได้ ขิงรับรองว่าแม่เธอสบายดี แต่ไผ่ก็ยังไม่สบายใจ กระดังงาเลยเสนอให้ลองโทร.ใหม่อีกที

ปรากฏว่ามีคนรับสาย แต่กลายเป็นเสียงผู้ชายพูดเถื่อนๆ เหี้ยมๆ ปฏิเสธว่าเบอร์นี้ไม่มีคนชื่อลำไย ทำให้ทั้งสามยิ่งไม่สบายใจ โดยหารู้ไม่ว่าลำไยจ้างไอ้ปื๊ดขาไพ่ข้างๆรับสายแทน เพื่อหนีเจ้าหนี้และพวกที่ตามล่า

ขณะทั้งสามกำลังกลุ้มใจกันอยู่นั่นเอง ภูวนัยใน ชุดเตรียมเดินทางก็มาสั่งงานก่อนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไผ่พญาถือโอกาสขอติดรถไปด้วย อ้างว่าเมื่อกี๊แม่โทร.มาบอกว่าไม่สบาย

“แต่คุณเพิ่งไปงานศพแม่คุณมาไม่ใช่เหรอ” ภูวนัยชักงง

“อ๋อ...คือ แม่ฉันมาเข้าฝันน่ะท่านบอกว่าคิดถึงฉัน” ไผ่กะล่อนได้ลื่นไหลอย่างไร้รอยต่อ ขิงกับกระดังงาก็ช่วยผสมโรงเป็นคุ้งเป็นแคว จนในที่สุด ภูวนัยก็เชื่ออีกตามเคย

แต่เมื่อถึงกรุงเทพฯ ภูวนัยปลุกไผ่ที่หลับอยู่ให้ลงที่หน้าโรงแรม บอกว่าตนมีธุระกว่าจะกลับก็คงดึก ให้เธอพักที่นี่ไปก่อน ให้ไปเปิดห้องเองก็แล้วกัน

“อะไรของเขาวะ” ไผ่พญางัวเงียขึ้นมาบ่นเสียงเมาขี้ตา

ทั้งสองไม่รู้ว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดถูกกล้องวงจรปิดของโรงแรมบันทึกภาพไว้หมดแล้ว

ooooooo

ภูวนัยไปพบชาติกล้าที่ลานจอดรถ ป.ป.ส.ถามชาติกล้าว่าจำตอนที่ผู้กำกับถูกยิงได้ไหม

เมื่อชาติกล้าพยักหน้าว่าจำได้ ภูวนัยบอกว่าผู้กำกับนัดพบตนเพราะสงสัยว่าจะมีหนอนบ่อนไส้ในหน่วยเรา ชาติกล้าถามทันทีว่าแล้วท่านบอกหรือเปล่าว่าเป็นใคร

“พวกมันยิงผู้กำกับก่อนที่จะบอกฉัน ชาติ...

ผู้กำกับไม่ได้เป็นพวกมัน แกต้องเชื่อฉัน”

“ภู...ฉันช่วยแกไม่ได้ แกก็รู้ว่าฉันเชื่อคำพูดลอยๆ

ของแกไม่ได้ นอกจากว่าแกจะมีหลักฐานแสดงความบริสุทธิ์ของผู้กำกับ”

อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 7 วันที่ 28 เม.ย. 56

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะโดย บทประพันธ์ เล่าเต็ง
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ บทละคร โดย อภิวัฒน์ เล่าสกุล
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะผลิตโดย : บริษัท กำกับการดี จำกัด
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะนำแสดงโดย : ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - ไปรยา สวนดอกไม้
ติดตามชมคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะได้ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา ไทยรัฐ