อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 6-7 วันที่ 30 พ.ค. 56


อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 6

ชไมเริ่มทำพิธีเสริมดวงชะตาให้มัทนาในเช้าวันถัดมา โดยลอกทองบางส่วนออกจากองค์พระประธาน บนโต๊ะหมู่บูชาแล้วเอามาตีเป็นแผ่นเพื่อให้มัทนาเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดลงไป เสร็จแล้วให้เธอกับไอศูรย์เอาไปใส่ไว้ใต้ฐานพระที่วัด เพื่อให้อำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัยปกป้องคุ้มครอง

มัทนากับไอศูรย์ต่างหันมองหน้าแม่ของตนด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่านี่คือการมาทำพิธีแก้ดวงร้าว คิดว่ามาผูกดวงหาฤกษ์หมั้นธรรมดา...คุณหญิงแจ่มจันทร์จึงอธิบายต่อ

“พิธีเสริมดวงน่ะลูก จะได้เป็นมงคลแก่ตัวลูกทั้งสองไงจ๊ะ เสร็จแล้วคุณชไมก็ถึงจะค่อยดูฤกษ์ยามวันหมั้นให้น่ะจ้ะ”

สองหนุ่มสาวพยักหน้าเข้าใจและเฝ้ามองการกระทำของชไมอย่างศรัทธา แต่แล้วจู่ๆหน้าต่างบ้านปิดดังปัง เทียนที่ถูกจุดตั้งไว้ล้มหล่นลงจากแท่นวางตกใส่ตักมัทนา... หญิงสาวพยายามปัดออกด้วยมือตามสัญชาตญาณ ในขณะที่คนอื่นๆต่างพากันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ไอศูรย์ได้สติก่อนใคร คว้าเอาผ้าปูหน้าแท่นบูชาพระมาตะปบดับไฟให้มัทนาอย่างรวดเร็วจนไฟดับ


มัทนาร้องไห้อย่างขวัญเสีย คุณหญิงมณีคว้าตัวลูกสาวมากอดและปลอบขวัญ จากนั้นไอศูรย์ไปเอายามาทาแผลไฟไหม้ตามแขนให้มัทนาอย่างเบามือ

“วันสองวันนี่อาจจะแสบๆผิวตรงที่ถูกไฟนิดหน่อยนะครับ แต่พี่รับรองว่าไม่เป็นแผลเป็นแน่”

“มัทยังโชคดีนะคะเนี่ยที่มีหมอมาด้วย”

ไอศูรย์อมยิ้ม จับศีรษะมัทนาโยกเบาๆอย่างเอ็นดู... ภาพนั้นอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่สามคนที่ยืนมองมาจากระเบียงบ้านด้วยสีหน้าวิตกกังวล โดยเฉพาะคุณหญิงมณี

“เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นดิฉันยิ่งใจคอไม่ดีไปใหญ่เลยค่ะคุณชไม ดิฉันมีลูกอยู่กับเขาคนเดียว ถ้ายายมัทเป็นอะไรไปดิฉันคงอยู่ไม่ได้”

“ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณหญิง ดวงของหนูมัทอาจจะมีเคราะห์ก็จริง แต่ไม่ถึงฆาตหรอกค่ะ”

“แล้วเราจะทำอะไรได้อีกบ้างไหมคะคุณชไม เพื่อให้หนูมัทพ้นเคราะห์พ้นโศกไปเร็วๆน่ะค่ะ” คุณหญิงแจ่มจันทร์ขอความเห็น

“หลังจากที่หนูมัทกับพ่อต้นเอาแผ่นทองที่ดิฉันทำให้ไปใส่ไว้ใต้ฐานพระที่วัดแล้ว กลับพระนครไปนี่ให้หนูมัทกับพ่อต้นไปใส่บาตรร่วมกันให้ได้ 9 ครั้ง ทุกครั้งที่ใส่บาตรให้หนูมัทขอน้ำมนต์จากพระเอามาอาบ น้ำมนต์จะช่วยบรรเทาเคราะห์หนักให้เบาลงได้”

“แล้วฤกษ์หมั้นล่ะคะ”

“ต้องข้ามปีนี้ไปก่อนค่ะ”

คำตอบของชไมทำเอาสองคุณหญิงสบตากันอย่างหวาดหวั่นและเป็นกังวล

ooooooo

ขณะเดียวกันที่หน้ารั้วบ้านเทพบริบาล แสงกับสร้อยยืนคุยกันอยู่ แสงถามแม่ว่าวันนี้จะไปหาคนชื่อผกาที่หอโคมแดงอีกหรือไม่

“ไปไม่ได้ ต้องเฝ้าบ้าน ไม่มีใครอยู่ คุณหญิงกับคุณหนูขึ้นไปดูฤกษ์หมั้นที่เชียงใหม่กันหมด”

“อ้าว...เหลือแต่ท่านนายพลคนเดียวก็ดีสิ ไม่ยุ่งมาก รีบไปสืบเอาความกลับมาบอกท่านเลยสิแม่”

“ยิ่งท่านนายพลอยู่คนเดียว แม่ยิ่งไปไหนไม่ได้ใหญ่ แม่ต้องคอยดูไม่ให้นังบุปผามันขึ้นไปเจอท่านได้”

“ทำไมล่ะ”

“เอาเถอะน่า” สร้อยตัดบทไม่อยากให้ถามมาก แต่แสงไม่วายเดาเรื่องราวต่ออีกว่าบุปผาคงริให้ท่าท่านนายพล พอสร้อยไม่ตอบ แสงก็คิดเองเออเองคนเดียว

“คงจะใช่ เพราะมันเคยเป็นผู้หญิงหยำฉ่ามาก่อน นังบุปผานี่มันร้ายจริงๆ เพิ่งเข้ามาอยู่บ้านนี้ได้แค่ไม่กี่วัน บ้านก็มีแต่เรื่องร้ายตลอด พี่สินเป็นอัมพาต ฉันก็ถูกไล่ออกจากบ้าน แล้วยังจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้ ฉันเกลียดนังนี่จัง”

แสงสีหน้าอาฆาตบุปผาเป็นอย่างยิ่ง สร้อยก็เช่นกัน...บุปผาแอบฟังอยู่ไม่ไกล สีหน้าเริ่มกังวล กลัวถูกเปิดโปงเรื่องเคยเป็นผู้หญิงขายตัวที่หอโคมแดงมาก่อนที่เธอจะจับไอศูรย์สำเร็จ

บุปผาถอยกลับเข้าห้องพัก เดินวนไปมาด้วยความกลุ้มใจ เธอจะให้สร้อยเจอผกาไม่ได้ จึงลอบขึ้นไปบนเรือน ปะเหมาะพอดีนายพลเทพเพิ่งออกไปข้างนอก บุปผาแอบใช้โทรศัพท์ติดต่อผกา สาธยายรูปร่างหน้าตาของสร้อยให้ฟัง ซึ่งผกายืนยันว่าใช่แน่ วันก่อนมันมาหาแม่ที่หอโคมแดง

“มันเป็นคนสนิทคุณหญิงเหรอ แล้วมันจะมาหาแม่ทำไม”

“ก็ลูกชายมันเคยไปที่หอโคมแดงของเราบ่อยๆ ฉันไม่เคยขึ้นห้องกับมันหรอก แต่มันพอจะจำหน้าฉันได้ แม่มันก็คงจะตามไปสืบให้รู้แน่สิว่าฉันเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนจริงรึเปล่า ถ้าแม่พบนังนี่อีก แม่อย่าบอกอะไรมันนะ”

“รู้แล้วล่ะน่าบุปผา แล้วตอนนี้แม่ก็จ้างนักเลงมาดูแลบ้านเราด้วย แม่กลัวอีพวกเมียหลวงมันตามมาอาละวาดอย่างคราวที่แล้วอีกน่ะ แม่สั่งห้ามไม่ให้ปล่อยผู้หญิงเข้ามาในบ้านเราอีกเด็ดขาด”

“แม่เองก็ระวังตัวให้ดีนะจ๊ะ ฉันเป็นห่วงนะ”

ผกาชื่นใจที่ได้ยินคำนั้น ตอบกลับมาว่าตนก็ห่วงบุปผาเช่นกัน

ooooooo

คณะของคุณหญิงมณีเตรียมตัวกลับพระนคร ชไมเดินมาส่งที่รถและกำชับมัทนาด้วยความเมตตาและเอ็นดู

“รักษาศีล 5 แล้วก็งดเนื้อสัตว์ทุกวันพระนะหนูมัท จำไว้...คุณความดีเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันคุ้มภัยทุกอย่างได้”

มัทนายกมือไหว้ขอบคุณชไม และล่ำลาคุณหญิงแจ่มจันทร์กับไอศูรย์ที่ต้องเดินทางกลับรถคนละคัน ระหว่างที่ไอศูรย์พูดคุยกับมัทนา ชไมก็ดึงมือคุณหญิงมณีมาสนทนากันสองคน

“ให้ระวังผู้หญิงรูปร่างสูงโปร่งไว้ให้มาก ผู้หญิงคนนี้อาจจะนำความเดือดร้อนมาให้คุณหญิงและครอบครัวได้ค่ะ”

“ขอบคุณนะคะคุณชไม...ขอบคุณ” คุณหญิงมณีผละจากมาด้วยรอยยิ้ม แต่พอถึงตัวลูกสาวก็หน้าเคร่งอย่างเห็นได้ชัด กำชับลูกไม่ให้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พ่อฟัง เพราะไม่อยากให้เขาตกอกตกใจ

“ค่ะแม่ ถึงแม่ไม่บอก มัทก็ไม่คิดจะเล่าให้คุณพ่อฟังอยู่แล้วล่ะค่ะ”

คุณหญิงมณีคลี่ยิ้มให้ลูกสาว ทั้งที่ภายในใจยังกังวล เรื่องดวงชะตา...ส่วนที่พระนคร นายพลเทพออกจากบ้านหลังได้รับการติดต่อจากดำเกิงว่าพบคนชื่อผกาแล้ว ทั้งคู่มุ่งหน้าไปหอโคมแดง เจอผกาต้อนรับขับสู้และจะหาเด็กในสังกัดมาให้ดูตัว แต่ท่านนายพลบอกไม่ได้มาเที่ยวแต่มาหาคนชื่อผกา...

เมื่อได้ยินชื่อและนามสกุลตัวเอง ผกาถึงกับหน้าเจื่อนไปนิด ตอบไม่เต็มเสียงว่าผกาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว

“เขาออกไปไหนรึ ติดต่อได้ไหม”

“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแม่ผกาไม่ได้บอกไว้ว่าจะออกไปอยู่ที่ไหน ว่าแต่ว่าท่านถามหาแม่ผกาทำไมหรือคะ”

“ฉันมีธุระอยากจะคุยกับเขาหน่อย”

“ธุระเรื่องอะไรหรือคะท่าน แล้วท่านชื่ออะไรคะ เผื่อว่าแม่ผกาแวะกลับมาดิฉันจะได้บอก”

“ไม่เป็นไร ขอบใจนะ...แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ”

“ดิฉันชื่อราตรีค่ะ” ผกาโกหกหน้าตาย...นายพลเทพพยักหน้ารับรู้แล้วเดินออกไปด้วยความผิดหวัง

ooooooo

อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 7


ค่ำแล้ว ในครัวกำลังวุ่นวายตระเตรียมอาหาร ทับทิมกับไสวสงสัยว่าท่านนายพลไปไหนทำไมป่านนี้ยังไม่กลับ บุปผานั่งฟังอยู่เงียบๆ พอได้ยินเสียงรถแล่นมาจอดหน้าบ้านก็ชะเง้อชะแง้ แล้วลุกขึ้นเดินตามสร้อยไปห่างๆ

สร้อยรีบวิ่งไปรอรับใช้ท่านนายพลโดยไม่รู้ว่า บุปผาหลบมองอยู่มุมหนึ่ง

“ทำไมวันนี้กลับเสียค่ำเชียวคะท่าน”

นายพลเทพมองสร้อยแต่ไม่ตอบ สร้อยเลยเจื่อนเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนไปถามว่าจะให้ยกสำรับอาหารค่ำเลยหรือไม่

“ไม่ต้อง ฉันไม่หิว” ตอบเสร็จท่านเดินขึ้นห้องนอนไปเลย ทิ้งสร้อยยืนเกาหัวแกรกๆ สงสัยว่าท่านอารมณ์เสียอะไรมาจากไหน?

นายพลเทพเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้อง ทรุดลงนั่งถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนหันไปหยิบรูปถ่ายของอุ่นที่ซ่อนไว้มิดชิดออกมาดู จากนั้นก็พร่ำรำพันขอโทษที่ตนไม่สามารถตามหาตัวลูกของเราได้ แต่ตราบใดที่ตนยังมีลมหายใจอยู่ก็จะตามหาต่อไปจนกว่าจะพบ...

เวลานั้นบุปผายังซุ่มอยู่หน้าตึก พอเห็นสร้อยกลับลงมาบุปผาก็ขยับจะหนี แต่พลาดทำเสียงดังขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ สร้อยเลยจับได้ พุ่งเข้าไปคว้าคอบุปผาไว้ทันที

“นังบุปผา...แกมาด้อมๆมองๆอะไรแถวนี้”

“เอ่อ...ฉันก็แค่นึกว่าท่านเพิ่งกลับมา พี่สร้อยคงต้องรีบยกสำรับอาหารเย็นขึ้นไปให้ท่าน ฉันอยู่ว่างๆก็เลยอยากจะช่วยน่ะจ้ะ”

“แต่ฉันสั่งแกแล้วใช่ไหมว่าถ้าคุณหญิงกับคุณหนูยังไม่กลับจากเชียงใหม่ แกไม่ต้องขึ้นไปบนตึก ฉันรู้นะนังบุปผาว่าแกกำลังพยายามจะเข้าหาท่านนายพล แต่ฉันขอบอกแกไว้ตรงนี้เลยนะว่า...ถ้าแกบังอาจคิดใฝ่สูง ไม่เจียมตัว แกกับฉันเป็นได้เห็นดีกัน”

สองคนจ้องตากันอย่างท้าทาย แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อจากนั้นก็มีเสียงรถแล่นมา สร้อยเหลียวไปดูแล้วยิ้มกว้างกระวีกระวาดมารอรับคุณหญิงมณีกับมัทนา โดยมีบุปผาเดินตามมาห่างๆ ส่วนนายพลเทพที่อยู่ในห้องก็รีบเก็บซ่อนรูปอุ่นก่อนลงมารับหน้าลูกเมีย

สวิงขนของตามหลังนายทั้งสองเดินมาหน้าตึก และนึกได้ว่ามีถุงผลไม้ของคุณหญิงแจ่มจันทร์ติดมาด้วย คุณหญิงมณีรับรู้และตั้งใจให้มัทนาเอาไปให้ในวันพรุ่งนี้ บุปผาได้ยินก็หูผึ่งตาพอง สบโอกาสที่จะไปบ้านไอศูรย์แล้ว...

นายพลเทพเดินมาทักทายลูกเมียก่อนจะเห็นแขนมัทนามีรอยแผล ถามว่าโดนอะไรมา มัทนาอึกอักไม่อยากโกหก คุณหญิงมณีมองออกรีบตอบแทน

“เราไปไหว้พระกันมาด้วยน่ะค่ะคุณ เผอิญที่วัดลมพัดแรง เลยพัดเอาเชิงเทียนล้มมาโดนยายมัทน่ะค่ะ”

“โถ...ลูกพ่อ เจ็บมากไหมลูก”

“เจ็บไม่มากหรอกค่ะ แต่มัทตกใจมากกว่า”

“โชคดีที่พ่อต้นไปด้วยนะคะคุณ เขาก็เลยช่วยทายาทำแผลให้ยายมัท”

“มีว่าที่ลูกเขยเป็นหมอใหญ่มันก็ดีอย่างนี้ล่ะค่ะคุณหญิง” สร้อยสอพลอแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปกับคุณหญิงมณี...บุปผาแอบมองมาอย่างหมั่นไส้ พึมพำว่ายังไงหมอไอศูรย์ก็ไม่มีวันได้เป็นลูกเขยบ้านนี้แน่!

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น มัทนาเอาแผ่นทองที่เขียนชื่อตนเองหลังทำพิธีที่บ้านชไมใส่ไว้ใต้ฐานพระประธานในห้องพระ เสร็จแล้วคุณหญิงมณียังกำชับให้บอกไอศูรย์หาเวลามาใส่บาตรร่วมกัน...

บุปผาจับจ้องรอคอยมัทนาเพราะต้องการติดรถไปด้วยเพื่อทำการบางอย่างที่บ้านไอศูรย์ แต่อ้างกับเธอว่าอยากแวะเยี่ยมนายสิน มัทนาตั้งใจจะเยี่ยมนายสินตอนขากลับอยู่แล้วจึงไม่ขัดข้อง

ไอศูรย์ออกจากบ้านแต่เช้าหลังจากหยุดงานมาสองสามวัน มัทนามาถึงจึงไม่เจอเขา เอาผลไม้ให้คุณหญิงแจ่มจันทร์และอยู่ทานข้าวด้วยกันตามคำชวน ส่วนบุปผาค่อยๆหลบออกมาแล้วหาโอกาสขึ้นไปให้ถึงห้องนอนหมอไอศูรย์

เวลานั้นที่โรงพยาบาล ไอศูรย์กับปรีชาอยู่ที่ห้องพักของอิ่ม สองคุณหมอพอใจที่อิ่มดีขึ้นมาก ดูสงบลงแววตาไม่เลื่อนลอยเหมือนแต่ก่อน

“ไม่ใช่ผลจากยาด้วยนะต้น...แต่ป้าอิ่มแกจะจำความได้แค่ไหน จะจำได้ทั้งหมดไหม ก็คงต้องดูกันต่อไป แต่พี่ว่ามันมีสัญญาณที่ดีแล้วละ”

ไอศูรย์ยิ้มยินดี มองอิ่มนอนที่นอนบนเตียงนิ่งๆ หารู้ไม่ว่าแกกำลังหวนคิดถึงอดีตตอนที่อุ่นคลอดลูกสาวมีปานแดงที่ต้นขา แล้วแกอุ้มหลานออกจากบ้านเพื่อไปหาหมอ แต่ไปได้ไม่ไกลบ้านก็ถูกไฟไหม้ พอวิ่งย้อนกลับมาก็เห็นอุ่นถูกสร้อยแทงตายอย่างโหดเหี้ยม

นึกมาถึงตรงนี้อิ่มน้ำตาไหลซึมสงสารน้องสาว และเป็นห่วงหลานสาวที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง...เมื่อจำความได้ขนาดนี้แล้ว อิ่มจึงหลบหนีออกจากโรงพยาบาลโดยไม่บอกใครทั้งนั้น มุ่งหน้าไปแถวบ้านเกิด...

ด้านบุปผาที่ต้องการเอาหุ่นเสน่ห์ที่ได้จากตาเถาไปไว้ใต้ที่นอนหมอไอศูรย์ เวลานี้เธอสบโอกาสเหมาะแล้วตอนคุณหญิงแจ่มจันทร์กับมัทนากินข้าวและคุยกันเพลิน เธอย่องขึ้นไปถึงห้องนอนหมอแต่ทำการนั้นไม่สำเร็จเพราะโฉมสาวใช้คนสนิทของคุณหญิงเข้ามาเสียก่อน

บุปผาหลบซ่อนตัวที่ระเบียงนอกห้องไม่ให้โฉมเห็นแล้วทำหุ่นเสน่ห์หล่นลงไปข้างล่างแตกหัก ส่วนโฉมไม่ได้เอะใจสงสัยอะไร เข้ามาหยิบรูปถ่ายรับปริญญาของไอศูรย์ลงไปอวดมัทนา สักพักบุปผาก็เข้ามาทำตัวปกติ เก็บซ่อนความเจ็บใจที่แผนทำเสน่ห์หมอไอศูรย์ไม่สำเร็จลุล่วง

ส่วนที่บ้านเทพบริบาล มณีเรียกสร้อยมาซักถามว่าระหว่างตนไม่อยู่บ้านมีอะไรเคลื่อนไหวบ้าง โดยเฉพาะเรื่องบุปผา สร้อยรายงานว่าเรียบร้อยดีเพราะตนกำชับไม่ให้บุปผาขึ้นไปบนตึก

“แล้วเรื่องผู้หญิงที่ชื่อผกาล่ะ คนของสร้อยได้เรื่องอะไรคืบหน้าไหม”

สร้อยบอกว่ายังไม่ได้เรื่องเลย คุณหญิงจึงสั่งให้คนของสร้อยสืบต่อไป ตนต้องรู้ให้ได้ว่าผกาเป็นใครและสามีของตนตามหาหล่อนทำไม?

ooooooo

ที่หอโคมแดง แสงตั้งใจมาใช้บริการแต่โดนผกาผลักไสออกมาโดยบอกว่าวันนี้ปิดหนึ่งวัน แสงอารมณ์เสียเดินบ่นอุบว่ายิ่งไล่ออกมาอย่างนี้ก็ยิ่งน่าสงสัย ผกาคนนี้ต้องเป็นผกาเดียวกับที่ท่านนายพลตามหาแน่ๆ

เมื่อเข้าซ่องไม่ได้ แสงก็เบนเข็มไปเข้าบ่อนตามประสาคนว่างงาน...ส่วนที่หอโคมแดง สาวๆพากันข้องใจทำไมแม่ผกาของพวกตนถึงบอกว่าวันนี้ปิดบริการ

“ความจริงแม่ไม่ได้ปิดหรอก แต่ต่อจากนี้ไปแม่ไม่ต้อนรับคนจากบ้านเทพบริบาลน่ะ”

“ทำไมล่ะจ๊ะแม่”

“แม่มีเรื่องกับคนบ้านนั้นนิดหน่อยน่ะ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป ถ้ามีคนจากบ้านเทพบริบาลมาที่นี่ ไม่ต้องรับแขก ใครไม่เชื่อแม่ก็ออกไปจากที่นี่เลย”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเชื่อฟังผกาแต่โดยดี ยกเว้นมุกเพียงคนเดียวที่ครุ่นคิดอย่างสงสัย...

ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาล มัทนากับบุปผาเดินตามหมอไอศูรย์ไปดูอาการนายสินที่นอนตาโพลงรับรู้ทุกอย่างแต่พูดและขยับตัวไม่ได้

“อาการปอดบวมดีขึ้นแล้วละครับ ถ้าอาการดีวันดีคืนอย่างนี้ อีกไม่นานก็คงจะให้พากลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้”

“ดีจริง” มัทนายิ้มบางๆ ขณะที่บุปผารีบยกมือไหว้ไอศูรย์อย่างนอบน้อม

“บุปผาขอบพระคุณคุณหมอจริงๆเลยค่ะ ถ้าไม่ได้คุณหมอ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าพี่สินจะเป็นยังไง”

“ถ้าบุปผาอยากจะขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณคุณอามณีกับน้องมัทมากกว่านะ ที่เมตตาช่วยเรื่องรักษานายสินอย่างเต็มที่น่ะ”

พูดแล้วไอศูรย์มองเลยไปยังมัทนาด้วยแววตารักใคร่ บุปผาอิจฉาตาร้อน แกล้งขัดคอถามถึงป้า อิ่มว่าอาการเป็นยังไงบ้าง จำอะไรได้บ้างหรือยัง ไอศูรย์ยังไม่ทันตอบ พยาบาลคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาแจ้งข่าว

“ไม่รู้ป้าอิ่มแกหายไปไหนค่ะคุณหมอ เมื่อเช้าก็ยังเห็นแกนั่งทานข้าวอยู่ดีๆ พอเดินมาดูอีกที หายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบค่ะ”

“ให้คนหาทั่วทั้งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้”

พยาบาลคำรับแล้วรีบร้อนออกไป มัทนาอาสาช่วยหาก่อนเดินตามไอศูรย์ไปสมทบกับหมอปรีชา จากนั้นทุกคนก็สาละวนตามหาอิ่ม ยกเว้นบุปผาที่ไม่เต็มใจ แต่ต้องทำกระวีกระวาดอย่างเสียไม่ได้

ผ่านไปพักใหญ่ไม่มีใครพบเจออิ่มเลยสักคน มัทนาคาดว่าแกคงออกนอกโรงพยาบาลไปแล้ว ไอศูรย์ก็คิดเช่นนั้น วิตกกังวลและเป็นห่วงแกเหลือเกิน บุปผามองคนโน้นคนนี้แล้วแสร้งตีหน้าเศร้าบ่นออกมา

“ถ้าแกออกไปนอกโรงพยาบาลจริง...ก็น่าสงสารแกจังนะคะ เพราะคนแก่ความจำเสื่อมตัวคนเดียว ป่านนี้จะเตลิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้นะคะ”

มัทนาฟังแล้วใจคอไม่ดี ภาวนาให้ป้าอิ่มปลอดภัย อย่ามีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับแกเลย...

ooooooo

อิ่มเซซังไปถึงบริเวณที่เคยมีบ้านของตนซึ่งอาศัยอยู่กับน้องสาว แต่ปัจจุบันผืนดินตรงนี้กลายเป็นที่โล่งแจ้งว่างเปล่าเนื่องจากบ้านถูกไฟไหม้เมื่อยี่สิบปีก่อน...อิ่มยืนน้ำตาไหลพราก รำพันถึงอุ่นที่ตายจากกันโดยไม่มีโอกาสได้เผาผี

วิญญาณอุ่นรับรู้และเฝ้ามองพี่สาวอยู่ไม่ไกล อยากพูดคุยด้วยแต่สื่อสารไม่ได้ ฉับพลันอิ่มมีอาการโงนเงนก่อนล้มลงหมดสติอยู่ตรงนั้น...

เวลาเดียวกัน คุณหญิงมณีร่วมโต๊ะอาหารกับนายพลเทพสองคนเพราะมัทนายังไม่กลับ คุณหญิงสังเกตสีหน้าสามีไม่สดชื่น ไม่พูดคุย กินข้าวไม่กี่คำก็รวบช้อน

“อิ่มแล้วหรือคะคุณ”

นายพลเทพพยักหน้าแทนคำตอบแล้วเดินจากไป ยิ่งทำให้คุณหญิงมณีสงสัย สบตาสร้อยที่ยืนอยู่มุมห้อง สร้อยเลยขยับเข้ามารายงาน

“เมื่อวานท่านก็ไม่ทานอะไรเลยค่ะ กลับจากกรมก็ขึ้นห้องนอนเลย แล้วก็ลงมาตอนที่คุณหญิงกลับจากเชียงใหม่นั่นแหละ”

คุณหญิงรับรู้ด้วยความข้องใจ และอดรนทนไม่ไหวตามไปเลียบๆเคียงๆถามไถ่สามี โดยไม่รู้ว่าเขากำลังเครียดเรื่องตามหาลูกสาวอีกคนที่เกิดจากอุ่น

“คุณไม่สบายรึเปล่าคะ เมื่อกี้คุณแทบจะไม่ทานอะไรเลยนะคะ”

“ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกคุณหญิง แค่งานยุ่งๆ เท่านั้น...เมื่อคืนเห็นคุณหญิงกลับมาเหนื่อยๆเลยยังไม่อยากซักอยากถาม ตกลงเรื่องฤกษ์หมั้นลูกมัทคุณชไมให้ฤกษ์มาวันไหนกัน”

“ปีหน้าค่ะ ปีนี้เธอว่าไม่มีฤกษ์มงคลเลย”

“อืม...ก็ไม่เป็นไร ถ้าลูกมัทของเรากับพ่อต้นเป็นเนื้อคู่กัน ย่อมไม่แคล้วคลาดกันหรอก จะหมั้นปีนี้หรือปีหน้าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก เอาละ ผมจะออกไปกรมสักหน่อย มีนัดคุยงานน่ะ”

คุณหญิงมณีมองตามหลังสามีไป สีหน้ายังกังวล รู้สึกว่าเขามีอะไรบางอย่างปิดบังและไม่ยอมพูดออกมา

ooooooo

วันเดียวกันนี้ กำพลนัดเจอมุกพูดคุยกันเรื่องบุปผาที่ทั้งคู่มั่นใจว่ายังอยู่ในพระนคร และวันก่อนกำพลก็เห็นบุปผาแถวโรงพยาบาลแต่จับตัวไม่ได้

“แล้วฉันก็เพิ่งมานึกออกว่าบุปผาเคยให้ฉันสอนขับรถให้ที่ถนนแถวๆโรงพยาบาลนั่นด้วย”

“แสดงว่านังบุปผามันต้องไปอยู่แถวนั้นแน่ๆค่ะ”

“แล้วมีข่าวอื่นจากทางแม่ผกาของเธออีกหรือเปล่า”

“ไม่มีค่ะ ช่วงหลังมานี่แม่ผกาไม่พูดถึงนังบุปผาเลย”

กำพลพยักหน้าอย่างเซ็งๆ ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ยังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องตามหาบุปผามากกว่าเรื่องอื่นใด...

หลังแยกจากมุกมาแล้ว กำพลเจอแสงโดยบังเอิญ แสงวิ่งหนีตำรวจออกจากบ่อนมาในสภาพบาดเจ็บที่มือแล้วมาปะทะรถกำพลจนล้มลง แต่โกหกว่าถูกโจรปล้นเอาเงินไปหมดตัวแถมถูกมันแทงเอาด้วย กำพลเห็นเลือดที่ฝ่ามือแสงจึงเชื่อสนิท รีบพาเขาไปทำแผลที่โรงพยาบาล...

ด้านมัทนาที่ออกจากโรงพยาบาลก็มุ่งหน้ากลับบ้านพร้อมบุปผา คุณหญิงมณีกำลังเป็นห่วง พอเห็นลูกสาวกลับมาก็ปรี่เข้าหา ถามว่าทำไมไปนานนัก หายไปตั้งครึ่งค่อนวัน

“คุณป้าแจ่มจันทร์ชวนมัททานข้าวด้วยน่ะค่ะคุณแม่ ออกจากบ้านคุณป้าก็เลยไปหาพี่ต้นที่โรงพยาบาล จะได้แวะเยี่ยมนายสินด้วยค่ะ”

“แล้วนายสินเป็นยังไงบ้างล่ะ”

“ยังต้องอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะค่ะ”

คุณหญิงพยักหน้ารับรู้และมองไปที่บุปผาอย่างสุดจะคาดเดาความคิด

“แล้วนี่คุณพ่อไม่อยู่หรือคะ” คำถามของมัทนาทำเอาคุณหญิงมณีกลับมาวิตกกังวลเรื่องสามี แต่ก่อนแต่ไรเขาไม่ออกจากบ้านไปไหนนอกจากทำงาน แต่เดี๋ยวนี้วันหยุดยังไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน...

เวลาเดียวกันนั้น นายพลเทพออกไปพบดำเกิงด้วยความกระวนกระวายใจ ดำเกิงสีหน้าไม่สู้ดีแต่ก็ยืนยันหนักแน่นว่า

“คนของผมยืนยันว่าแม่ผกาอยู่ที่หอโคมแดงนั่นจริงๆนะครับ แต่จะหน้าตาอย่างไรไม่ทราบเลยครับ”

“แต่ในเมื่อผู้หญิงที่ชื่อราตรีนั่นบอกว่าแม่ผกาไม่ได้อยู่ที่หอโคมแดงแล้ว แล้วเราจะไปหาตัวแม่ผกาได้ที่ไหนกันล่ะ นังอิ่มมันก็ล้มหายตายจากไปเสียข้างไหนแล้วก็ไม่รู้...หรือว่าชาตินี้ฉันจะไม่มีบุญได้พบหน้าลูกของฉันกับแม่อุ่นเสียแล้ว...” ท้ายประโยคนายพลเทพเสียงแหบพร่า สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

ooooooo

อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 6-7 วันที่ 30 พ.ค. 56

ละครเรื่อง ไฟหวน บทประพันธ์โดย ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
ละครเรื่อง ไฟหวน บทโทรทัศน์โดย ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
ละครเรื่อง ไฟหวน กำกับการแสดงโดย มารุต สาโรวาท
ละครเรื่อง ไฟหวน ผลิตโดย บริษัท มาสเคอเรด จำกัด โดย มารุต สาโรวาท
ละครเรื่อง ไฟหวน เป็นละครแนว ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟหวน ออกอากาศทุกวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สี
ที่มา ไทยรัฐ