อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 8-9 วันที่ 2 ก.ค. 56

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 8

จ้าวซันประคองบราลีที่ช็อก งง พาไปนั่งที่เก้าอี้ เธอพึมพำเหมือนอยู่ในความฝัน...อินปง...กับจันทร์แรม...

“ใช่...อินปงกับจันทร์แรม ท่านทั้งสองเสียชีวิตพร้อมกันบนหน้าผา แม่น้ำเวียงสาย แม่น้ำชายแดนแผ่นดินคีรีรัฐ”

จ้าวซันเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาเห็นกับตาขณะลงเรือหนีมากับม่านฟ้าและพระเทวี...เล่าถึงนาทีที่จันทร์แรมยื่นทารกน้อยให้พระเทวีเอ่ยน้ำตาอาบหน้า “จันทร์แรมฝากม่านฟ้าด้วยเพคะ”



เวลานั้น จ้าวซันยังเป็นน่านปิงนรเทพ จำได้ฝังใจว่า พระแม่เทวีบอกแก่จันทร์แรมและอินปงว่า

“หน้าที่ของเราคือปกปักรักษาและทำนุบำรุงน่านปิงนรเทพ จันทร์แรม...อินปง...ข้าให้สัญญาว่าจะดูแล ม่านฟ้าของเจ้าให้เหมือนกับเลือดเนื้อของข้า เพื่อตอบแทน ความภักดีของเจ้าทั้งสอง เจ้ามอบชีวิตให้ข้ากับลูกชาย เพราะนั้น ข้าขอสาบานชีวิตข้ากับน่านปิงนรเทพ จะเป็นของม่านฟ้าด้วย”

จันทร์แรมกับน่านปิงสละชีวิตของตนล่อพวกทหารราชิดกับโกศินที่ตามไล่ล่าพระเทวีกับน่านปิงนรเทพ ให้ตามตนทั้งสองขึ้นไปบนเนินเขาและถูกสังหาร จนปกปักรักษาพระเทวีและน่านปิงนรเทพรวมทั้งม่านฟ้าให้หนีได้รอดปลอดภัย...

“ภาพสุดท้ายที่พี่เห็นแผ่นดินคีรีรัฐ ก็คือภาพการ พลีชีพของคุณพ่อคุณแม่ของน้อง...ท่านตาย...เพื่อช่วยชีวิตพี่กับเจ้าแม่...พี่จะไม่มีวันลืม...” จ้าวซันมองหน้าบราลีน้ำตาไหลเป็นทาง...

“คุณ...คือ...” บราลีมองหน้าจ้าวซัน งัน ซีด

“น่านปิงนรเทพ ที่ควรจะตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว...” บราลีถามถึงเจ้าหลวง จ้าวซันต้องตั้งสติข่มความเศร้า เล่าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เจ้าพ่อเสวยยาพิษสิ้นพระชนม์ไปก่อน พระองค์ทรงวางแผนไว้แล้ว ที่จะให้เจ้าแม่กับพี่ หนีไป ทรงสละบัลลังก์ให้เจ้าลุงขึ้นครองคีรีรัฐ เพื่อป้อง กันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง ทรงเสียสละพระชนม์ชีพ เพื่อรักษาชีวิตผู้คนและชีวิตเมียกับลูก แต่...ทรงพระราชทาน ตราพระราชลัญจกรให้พี่มา เพื่อทำให้อำนาจของคนพวกนั้น ไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายของคีรีรัฐ”

จ้าวซันลุกไปยืนนิ่งที่หน้าต่าง บราลีพยายามลำดับเรื่องราวในความทรงจำค่อยๆปะติดปะต่อ...จำได้ถึงชีวิตวัยเยาว์ ที่อยู่กับหลวงพ่อและเรียนหนังสือ ได้ฟ้อนโชว์จำเพลงที่ฟ้อนได้ฝังใจท่องเนื้อเพลงออกมาก่อนขับร้องช้าๆ...

“ไม่ผัน ไม่แปร ความรักที่แน่แก่ใจ ไม่มีรักใด ดังรักของน้อยใจยา...”

จ้าวซันดีใจมากที่บราลีจำเพลงได้ เธอยังจำวัน สุดท้ายที่จากจ้าวซันมากับหลวงพ่อได้ เธอวิ่งมาลงเรือกับหลวงพ่อดีใจที่จะได้ไปแอ่วเวียง ไปกินไอติม ไปดูการ์ตูนเรื่องซินเดอเรลล่า เธอกิ๋วๆเจ้าพี่ที่ต้องเฝ้าบ้าน วิ่งลงเรือไปอย่างเริงร่า ในขณะที่น่านปิงนรเทพน้ำตาไหลพรากเพราะรู้ว่า น้องต้องจากไปอยู่ที่อื่นแล้ว...ไปอย่างไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่

เมื่อรู้ความจริงแล้ว บราลีก้มกราบแทบเท้าจ้าวซัน ขอพระราชทานอภัยที่ตนโง่เขลาทำสิ่งที่ไม่บังควรมากมาย

“หม่อมฉันเข้าใจแล้วว่า อะไรเป็นอะไร คุณพ่อสุริยะคือผู้มีพระคุณที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้ปกครองหม่อมฉันมาจนโต ชีวิตของหม่อมฉันแต่เริ่มต้นจนเล่าเรียนจบมาถึงบัดนี้ ที่แท้อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของพระองค์มาโดยตลอด องค์รัชทายาททรงเมตตาข้าราชบริพาร ข้ารองพระบาทเล็กๆคนนี้อย่างดีที่สุดแล้ว...”

“เมย...เจ้ามีความหมายต่อพี่...มากกว่านั้น...”

“หม่อมฉันคือข้ารองพระบาทพระองค์จริงๆ เพคะ และจากนี้ หม่อมฉัน ขอถวายชีวิตแด่พระองค์ตลอดไป จะขอทำทุกอย่าง...เพื่อให้พระองค์ได้กลับไปครอบครองบัลลังก์คีรีรัฐให้ได้ แม้ว่าตัวจะตาย ชีวิตจะหาไม่ เช่นเดียวกับพ่อคำปงและแม่จันทร์แรมเพคะ” บราลีเงยหน้ามองจ้าวซันด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้วก้มกราบอีกครั้ง

จ้าวซันประคองบราลีขึ้นมากอดไว้แนบแน่น...

ooooooo

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 9

ที่มุมหนึ่งของสถานที่จัดงานคืนนี้ เป็นนิทรรศการเกี่ยวกับคีรีรัฐ หลวงพ่อโจเซฟเข้ามาในงาน เดินไปดูนิทรรศการหยุดดูรูปศิขรนโรดมและครอบครัว

ผู้กองเหลียงและหมวดจางในชุดสูทโก้หรูเข้ามาประกบทันที หลวงพ่อหันมองผู้กองเอาบัตรออกมาแสดงตัวว่าพวกตนเป็นตำรวจ มีอะไรอยากคุยกับท่านสั้นๆ เกี่ยวกับคุณชายจ้าวซัน

ขึ้นไปคุยกันบนดาดฟ้า หมวดจางฟังหลวงพ่อแล้วพูดแล้วผิดหวังว่า ถ้าหลวงพ่อให้ข้อมูลแค่นี้ เด็กประถมก็เข้าไปเสิร์จหาได้ในอินเตอร์เน็ต หลวงพ่อหันมองขวับ หมวดจางรีบขอโทษ หลวงพ่อถามว่า

“การรู้ว่าจ้าวซันเป็นใครมาจากไหนมันสำคัญกับตำรวจมากขนาดนั้นเลยเหรอ” หมวดจางตอบอ้อมแอ้มว่า มันก็มีส่วนช่วยในเรื่องคดีที่พวกตนกำลังตามอยู่บ้าง หลวงพ่อพูดขรึมว่า “ด้วยเกียรติของพ่อ พ่อรับรองว่า ยังไงจ้าวซันก็ไม่มีทางเป็นคนร้ายที่ทำผิดกฎหมายเด็ดขาด ไม่ว่าคดีไหนๆก็ตาม”

ผู้กองเหลียงหว่านล้อมดักคอว่า สิ่งที่คุณพ่อกำลังปกปิดอยู่อาจจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียของคุณชายจ้าวซันก็ได้ เช่นเขาอาจจะเป็นลูกโจร ลูกพ่อค้ายาเสพติดที่โดนฆ่าตาย หรือไม่ก็พวกนักโทษทางการเมือง”

“บาปกรรม...บาปกรรม...ชาติกำเนิดของเขาสูงส่งเกินกว่าพวกคุณจะมาลามปามล้อเล่น”

ผู้กองเหลียงและหมวดจางตะล่อมถามจนรู้ว่า จ้าวซันเป็นคนคีรีรัฐ แซะต่อเพื่อเจาะลึกว่า

“เด็กชายที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ที่หลบหนีมาจากคีรีรัฐเมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนก็คงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก...”

“ใช่” หลวงพ่อตอบหนักแน่น “ถ้าไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นเสียก่อน ตอนนี้เขาคงจะได้เป็นเจ้าหลวงที่ครองบัลลังก์แห่งนครคีรีรัฐอย่างสมเกียรติ ไม่ใช่เจ้าหลวงคนปัจจุบันที่มีตราบาปจากการฆ่าฟันแย่งชิง เป็นเงาหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา แม้แต่องค์ชายรัชทายาทที่เสด็จมาเป็นแขกสำคัญในครั้งนี้ ก็เป็นองค์รัชทายาทที่ปราศจากตราแห่งพระราชวงศ์ที่ถูกต้องมารับรอง และไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจหาพบตรานั้น”

ทั้งผู้กองเหลียง และหมวดจางมองหน้ากันตะลึงเมื่อรู้ความจริงจากหลวงพ่อโจเซฟ

ooooooo

ราชิดกับโกศินอ้างหน้าที่อารักขาองค์รัชทายาทติดตามศิขรนโรดมอย่างใกล้ชิด แต่ถูกภูสินทรที่ซ่อนตัวอยู่ในลิฟต์ชิงตัวศิขรนโรดมและมิถิลาไปขณะเข้าลิฟต์เพื่อไปชั้นที่จัดงาน

ราชิดกับโกศินเข้าลิฟต์ไม่ได้ เพราะลิฟต์ปิดทันทีที่ศิขรนโรดมกับมิถิลาเข้าไปแล้ว จึงนำทหารอีก 2 คนวิ่งไปทางบันไดดักไปทุกชั้น แต่พอมาถึงชั้นจัดงาน ลิฟต์เปิดออกไม่มีทั้งศิขรนโรดมและมิถิลาอยู่ในนั้น ราชิดและโกศินโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง ตรงไปถามทหารที่ยืนรออยู่ว่า “องค์ชายอยู่ไหน!”

“ไม่เห็นครับท่าน ลงมาลิฟต์ก็เปิดอยู่แต่ก็ไม่เจอใครแล้ว”

โกศินถามราชิดว่า น่าจะเสด็จเข้าไปในงานแล้วหรือเปล่า ราชิดมั่นใจว่าไม่มีทาง พูดอย่างเจ็บใจว่า

“องค์ชายกำลังเล่นตลกกับพวกเราอยู่แน่ แยกกันหาเร็ว ไปบอกให้คนในโรงแรมช่วยกันหาด้วย ไป!”

ราชิดเดินมาเจอเทเรซ่าถามว่า เห็นเจ้าชายศิขรน– โรดมไหม เทเรซ่าบอกว่า ตนเพิ่งมาจากล็อบบี้ข้างล่าง กำลังจะมาเชิญเสด็จเข้าไปประทับรอในห้องรับรอง ถามว่าแล้วองค์ชายไม่ได้เสด็จอยู่กับพวกเขาหรือ ราชิดตอบอย่างหงุดหงิดว่า เสด็จล่วงหน้าลงมาก่อน ถามอีกทีว่า “คุณไม่เห็นพระองค์หรือ”

“อ๋อ...งั้นสงสัยเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมเชิญเสด็จ ไปประทับอยู่ในงานแล้วกระมัง”

ราชิดกับโกศินฮึดฮัดวิ่งผ่านเทเรซ่าไปจนแทบจะชนเธอกระเด็น

ooooooo

ที่โถงรับรองหน้างาน เหม่ยอิงในชุดราตรีสีดำใส่เครื่องเพชรของจ้าวไทไท เดินเข้ามาราวกับนางพญา มีคุณนายหวังเดินใกล้ๆเหมือนนางสนองพระโอษฐ์

แขกในงานมองเหม่ยอิงกันเป็นตาเดียว บ้างหันซุบซิบ กัน อีกมุมหนึ่ง ผู้กองเหลียงกับหมวดจางต่างตะลึงอึ้งในความสวยสง่าและเครื่องเพชรอลังการของเหม่ยอิง พอดีเธอเหลือบเห็นเดินไปทักอย่างสนิทสนม ถามว่าวันนี้มา “ออกงาน” หรือ “ออกมาปฏิบัติภารกิจราชการ” ระหว่างนั้นหมวดจางพยายามจะทำตัวให้อยู่ในสายตาของเหม่ยอิงจะทักทายบ้าง แต่เหม่ยอิงเห็นอะไรเสียก่อน เธอขอตัวบอกว่าพบญาติแล้ว

ญาติที่ว่าคือฉินเจียงที่ควงซูหลิงในชุดหรูเข้ามานั่นเอง ขณะฉินเจียงกำลังให้ซูหลิงโชว์แหวนหมั้นเป็นเพชรเม็ดโตน้ำงามอยู่นั้น เหม่ยอิงก็เข้ามาพูดดูถูกเหยียดหยามว่า ซูหลิงก็แค่นักร้องค็อกเทลเลาจน์สำหรับพวกลูกเสี่ยกระเป๋าหนักแต่สมองเบาเท่านั้น เยาะเย้ยว่า

“ค่าบริการแพงมาก คนที่ไปเที่ยว รวยอย่างเดียวไม่พอต้องโง่ด้วย คนนี้ดูเหมือนเป็นดาวนะคะ ใครไปเที่ยวเป็นต้องเรียกมานั่งโต๊ะ น้องก็เลยไม่รู้ว่า พี่รองจะเอาจริงหรือจะเอาเล่น”

ฉินเจียงไม่พอใจจนเกิดปากเสียงกัน ซูหลิงชี้แจงว่าตอนนี้ตนไม่ได้เป็นนักร้องแล้วแต่มาเปิดร้านขายแอนทีคที่เกาลูน ก็ถูกเหม่ยอิงหัวเราะเยาะว่าที่แท้ก็ขาย “ของเก่า” กินนั่นเอง ฉินเจียงทนไม่ได้สะอึกเข้าหา เหม่ยอิงเชิดหน้าถามว่าจะทำอะไรตน ฉินเจียงพูดลอดไรฟันว่าคิดว่างานแบบนี้ตนไม่กล้าทำอะไรหรือ เหม่ยอิงเกทับทันทีว่า

“พี่ทำอะไรอย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ระวังเถอะ อีกหน่อยต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก ส่วนเธอก็เตรียมตัวเตรียมใจไปเยี่ยมว่าที่สามีของเธอในคุกก็แล้วกัน ฉันขอทำนายไว้เลย”

“เธอระวังให้ดีเถอะ แอบขโมยเอาสร้อยของจ้าวไทไทมาใส่แบบนี้ไม่กลัวโดนคำสาปรึไง” ทั้งยังอ้างว่าคนเดียวที่มีสิทธิ์ในเครื่องเพชรชุดนี้คือตน “ฉันเป็นลูกชายคนเดียวของเต้ เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะต้องมันเลยด้วยซ้ำ รู้ไว้ซะ!”

ฉินเจียงจะถอดเครื่องเพชรจากเหม่ยอิง ซูหลิงเข้าห้าม บรรดาแขกพากันแตกตื่นตกใจ แต่บรรดานักข่าวกลับกรูกันไปอีกทางหนึ่ง ฉินเจียงกับเหม่ยอิงชะงักหันมอง

ที่โถงหน้างาน...จ้าวซันในสูทโมเดิร์นแฟชั่น ยืนเคียงคู่กับบราลีในชุดประจำชาติคีรีรัฐและเครื่องประดับครบชุด ดูสวยสง่าแปลกตา ทุกคนพากันไปรุมล้อมชื่นชม นักข่าวรุมกันถ่ายรูป แล้วทั้งคู่ก็ก้าวเข้าไปในงานอย่างสง่างาม

เหม่ยอิงเกิดอาการหายใจหอบถี่บอกคุณนายหวังว่าไม่สบายหายใจไม่สะดวกจะกลับบ้าน คุณนายหวังพูดอย่างรู้ทัน ปลุกเร้าให้เธอมั่นใจไม่มีอะไรที่เธอสู้บราลีไม่ได้ เธอมีพร้อมทุกอย่างทั้งเกียรติยศ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล แล้วจะกลัวอะไรอีก ส่วนจ้าวซันนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเลือกใคร ตราบใดที่เขายังไม่ได้แต่งงาน ใครดีใครได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็เอาด้วยคาถา อย่ายอมแพ้มันง่ายๆ

คำปลุกเร้ายุยงของคุณนายหวังทำให้เหม่ยอิงฮึดขึ้นมา ตรงไปหาจ้าวซัน พอจ้าวซันเห็นเครื่องเพชรที่เธอใส่เท่านั้น เขาโมโหมาก ลากเธอไปถามว่า

“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าจะใช้ชิ้นไหนก็หยิบไป แต่ยกเว้นชุดเครื่องเพชรของแม่ใหญ่ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด”

เหม่ยอิงทำเฉไฉบอกว่าไทค์เบี้ยวแล้วช่วยขยับให้ทำเป็นปัดฝุ่นบนสูทให้พอเป็นพิธีให้ดูสนิทสนมกันมาก พอดีมีแขกเดินมาคุยกับจ้าวซัน เหม่ยอิงฉวยโอกาสแยกไปหาบราลี ถามว่ามานานแล้วหรือ บราลีตอบแทงใจดำว่า

“อ๋อ...มาพร้อมคุณชายจ้าวซันค่ะ”

เหม่ยอิงดูชุดของบราลี พูดเยาะว่าสวยดีเช่ามาจากไหน เป็นชุดแฟนซีใช่ไหม ทั้งชุดและเครื่องประดับแบบนี้ตนคงไม่กล้าใส่ ถูกบราลีศอกกลับนิ่มๆ แต่เจ็บว่า

“ฉันกล้าใส่ค่ะ เพราะฉันศึกษาคอนเซปต์์งาน มาดีแล้ว เรามางานของเจ้าชายคีรีรัฐ นี่คือชุดประจำชาติของสุภาพสตรีในราชสำนักของคีรีรัฐ ซึ่งฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับงานอย่างที่สุด ชุดราตรีสีดำของคุณก็สวยคลาสสิกมาก ที่สำคัญคุณเหม่ยอิงเป็นคนที่สวมใส่อะไรก็สวย เด่น ไม่มีใครสู้”

เหม่ยอิงเห็นแขกที่มาคุยกับจ้าวซันแยกไป เธอผละไปควงจ้าวซันพาไปรับแขกในนามฉินเย่ว์กรุ๊ป จ้าวซันห่วงบราลี หันบอกให้เธอตามมา บราลีเดินตามไปเซ็งๆ

เมื่อจ้าวซันมาเจอฉินเจียง เขาขอคุยด้วย ไม่อยากให้บราลีใกล้ชิดฉินเจียงจึงแกล้งใช้ให้ไปตามเทเรซ่า

ให้หน่อย ส่วนเหม่ยอิงจะตามไปก็ถูกจ้าวซันบอกว่าขอคุยกับฉินเจียงตามลำพังให้เธอคอยรับแขกไปก่อน เหม่ยอิงผละไปอย่างไม่พอใจที่ไม่มีใครให้ความสนใจ ให้ความสำคัญตนเลย แต่ความอยากรู้เธอจึงเดินเข้าไปแอบฟัง

จ้าวซันถามฉินเจียงว่าทำอะไรสุริยะ ฉินเจียงทำหน้าตายบอกว่าตนไม่ได้ทำ สุริยะมาเล่นในบ่อนของตนเอง สงสัยจะซวยเสียไปหลายล้าน จ้าวซันถามฉิน– เจียงอย่างอ่อนใจว่าทำอย่างไรถึงจะซื้อใจเขาได้ พูดตรงๆว่า

“ฉินเจียงฟังนะ ในเมื่อสิ่งที่นายทำลงไปมันแก้อะไรไม่ได้แล้ว และยังไงๆ ฉันก็ต้องหยุดมันให้ได้ แต่ผลที่ตามมาก็คือ นายจะต้องเดือดร้อน เพราะฉะนั้น ฉันถึงอยากดึงนายออกไปจากเรื่องนี้” ฉินเจียงเยาะเย้ยว่าอย่ามาลักไก่กันเลย

“ถึงนายเห็นฉันเป็นศัตรู แต่สำหรับฉัน จะยังไง นายก็คือลูกเต้ ผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตฉัน ฉันจะยอมให้นายหมดอนาคตไม่ได้”

“ถ้าพี่จริงใจ พี่ก็ถอยไปสิ อย่าแส่!!”

“ฉันถอยไม่ได้ เพราะสิ่งที่นายทำ มันจะไปทำร้ายพี่น้อง...อีกครอบครัวนึงของฉันเหมือนกัน”

“อ๋อ..ใช่สิ พี่มันก็มาจากไอ้ประเทศจนๆ นั่นเหมือนกันนี่ โอโห...ที่พี่พยายามมาอายัดเงินผม พยายามให้ข่าวตำรวจต่างๆ นานานี่ เพราะพี่รักชาติของพี่ว่างั้นเถอะ จุ๊ๆๆ หล่อได้อีกนะจ้าวซัน...หล่อได้อีกกก”

“ฉินเจียง!” จ้าวซันสบตา จู่ๆ ก็ดึงมือฉินเจียงไปกุมไว้ “ฉันรักนายนะ ยังไงเราก็โตมาในบ้านเดียวกัน ใช้แซ่เดียวกัน นายบอกตำรวจว่าโดนไอ้เกาเฟยหลอกใช้แล้วช่วยร่วมมือให้ข้อมูลของพวกนายพลต่างชาติพวกนั้นให้ตำรวจเขาไปให้หมดเพื่อช่วยยับยั้งไม่ให้อาวุธพวกนั้นถูกส่งไปปลายทางสำเร็จ ฉันจะกันให้นายเป็นพยาน หรืออย่างมากโทษหนักก็จะกลายเป็นเบา นะฉินเจียงนะ ฉันขอร้อง...ขอร้อง”

“ฮึ่ย! ไอ้จ้าวซัน” ฉินเจียงกระชากมือกลับผลักจ้าวซันออกห่าง “พี่ทำอะไรของพี่ พี่จะให้ผมยอมทิ้งเงินมหาศาลยังไม่พอ พี่ยังจะให้ผมทรยศเกาเฟย คนสนิทที่รับใช้ผมอย่างจริงใจมาตลอด คนคนเดียวที่ดีกับผมที่สุดในโลกใบนี้ เพื่อเอาตัวรอดงั้นเหรอ!”

“ฉันจะยอมรับว่านายเป็นผู้ใหญ่พอ รู้ผิดชอบชั่วดี ยกให้แกรับผิดชอบธุรกิจทั้งหมด แล้วฉันจะไปจากอาณาจักรจ้าวฉินเย่ว์” จ้าวซันแสดงเจตจำนงอย่างจริงใจ

เหม่ยอิงแอบฟังอยู่ เธอเจ็บใจที่จ้าวซันรักและไว้ใจฉินเจียงมากกว่าตน หยิบโทรศัพท์กดโทร.ออกทันที

“คุณติงคะ สินค้าเสื้อผ้าของสื้อฉวนที่จะส่งลงเรือไปออสเตรเลียคืนนี้น่ะค่ะ เอาไอ้งานใหม่ที่ฉันใช้วัสดุใหม่ที่สั่งมาล่าสุดส่งลงเรือไปแทนเซตที่ใช้วัสดุธรรมดาเดิมๆ นะคะ ค่ะ...ค่ะ...เดี๋ยวนี้เลย” สั่งแล้วคำรามแค้น “จ้าวซัน ในเมื่อพี่เลือกฉินเจียง แทนที่จะเลือกน้อง น้องก็จะไม่เอาพี่ไว้แล้วนะคะ พี่เองก็ต้องพินาศเหมือนไอ้ฉินเจียงเช่นกัน!”

ooooooo

ข้อเสนอของจ้าวซันถูกฉินเจียงปฏิเสธอย่างไม่แยแส ซ้ำยังหาว่าจ้าวซันหลอกตนให้ตกเป็นผู้ต้องหาต้องติดคุก คิดจะทำลายตนไม่ให้โงหัวขึ้นได้อีก ท้าว่า

“เอาซิจ้าวซัน ถ้าพี่คิดว่าพี่จะยับยั้งธุรกิจค้าอาวุธของผมได้จริงก็เอาเลย ไม่ต้องมาลักไก่ เอาเป็นว่า เราเหลือไพ่คนละใบ แล้วมาหงายสู้กันไปเลยในตาสุดท้ายดีกว่า ว่าใครจะเหนือกว่าใคร พี่ชนะผมก็ตาย แค่นั้นเอง...

ตาดีได้ตาร้ายเสีย ใจ-ใจหน่อยสิ” พูดแล้วเดินผยองออกไป จ้าวซันก็ยังอุตส่าห์ตะโกนตามหลังไปว่า

“มันจะไม่มีใครชนะนะฉินเจียง เราจะแพ้ทั้งคู่ แกเข้าใจไหม”

ฉินเจียงเดินผยองไปแบบ กู่ไม่กลับแล้ว...

ooooooo

ศิขรนโรดมกับมิถิลาถูกพาไปอยู่ในห้องรับรองพิเศษ ให้คอยนานจนผิดสังเกต แม้ศิขรนโรดมจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็อุ่นใจที่มีมิถิลาอยู่เคียงข้าง ทั้งสองมองตาอย่างรู้ใจกันว่าต้องเตรียมพร้อมรับสถานการณ์แล้ว

จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู แล้วภูสินทรก็เข้ามา “ฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัยด้วย ที่ทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท แต่ทั้งหมดนั้น เพื่อแผนการที่ทางเราวางกันมาเป็นแรมปี บัดนี้ ถึงเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ศิขรนโรดมถามอย่างตื่นเต้นว่า “แปลว่า...เราจะได้พบกับ...เจ้าพี่” เมื่อภูสินทรตอบรับ ทั้งศิขรนโรดมและมิถิลาต่างลืมตัวโผเข้ากอดกันด้วยความดีใจ จนภูสินทรถามว่าเจ้าน้องสนิทกับเจ้ามินขนาดนี้เลยหรือ แล้วก็ยิ่งแปลกใจเมื่อศิขรนโรดมบอกว่า เจ้ามินผู้นี้ไม่ใช่เด็กผู้ชาย เขาเป็นสตรี ชี้แจงว่า

“มิน...เป็นนางข้าหลวงของเจ้าแม่ ที่ทรงมอบหมายให้มารักษาความปลอดภัยเรา”

เมื่อรู้ว่าที่แท้เจ้ามินคนนี้คือมิถิลา ภูสินทรอุทานอย่างทึ่งว่า เจ้าน้องทรงเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทรงก้าวหน้า

เกินกว่าเจ้าพี่มาก ทุกคนหัวเราะกันอย่างสบายใจเหมือนอบอุ่นอยู่ในวงศ์ญาติมิตร

แต่ศิขรนโรดมยังกังวล เกรงจ้าวซันจะเห็นตนเป็นศัตรูเพราะเจ้าพ่อทรงกระทำสิ่งที่รุนแรงเหลือเกินกับครอบครัวเขา บอกมิถิลาว่า ไม่ว่าเจ้าพี่จะทรงโกรธ เกลียดหรือคิดร้ายต่อตนอย่างไร ตนก็ยินดีให้ลงโทษ และหากมีพระประสงค์สิ่งใด ก็พร้อมจะถวายให้ทั้งสิ้น มิถิลาขอให้ดูท่าทีก่อนว่าองค์น่านปิงนรเทพจะทรงเป็นอย่างไรกันแน่

“จริงสินะ เจ้าพี่ทรงสูญเสียทุกอย่าง เพราะเจ้าพ่อของเรา แล้วเราจะมีหน้าไปทูลขอให้พระองค์ช่วยอะไรกันอีก น่าละอายเหลือเกิน”

ส่วนจ้าวซันที่มีกังวลเช่นกัน ก็ได้รับคำแนะนำและปลอบใจจากหลวงพ่อว่า “ถ้าพูดแบบพุทธ พ่อคงต้องบอกเธอว่าสัตว์โลกแต่ละตนย่อมมีกรรมเป็นของตน แต่ถ้าพูดในฐานะบาทหลวง พ่อก็จะบอกเธอว่า พระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเอง”


บราลีเองก็เข้าใจความเหนื่อยยากลำบากของจ้าวซันที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ทุกด้านให้สมบูรณ์ แต่ก็สะกิดให้คิดเผื่อใจไว้ว่า “คนเรามีทั้งเรื่องที่เราควบคุมได้และเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม สิ่งใดที่เราพยายามทำเต็มที่แล้วแต่มันก็ไม่เป็นในทางที่เราต้องการ เราก็ต้องวางอุเบกขานะเพคะ”

“เธอมีน้องๆ หลายคนนะจ้าวซัน น้องแต่ละคนก็มีปัญหาแต่ละอย่าง เราเป็นพี่คนโต เราก็ต้องเหนื่อยหน่อย” หลวงพ่อเตือนสติ ถามว่าพร้อมที่จะเจอกับน้องอีกคนแล้วใช่ไหม

“พร้อมสิครับ พร้อมเสมอสำหรับการพบกัน

ครั้งแรก ในรอบ 20 ปี” พูดแล้วเดินไปหาบราลีบอกให้ลุกขึ้น เมื่อบราลีลุกขึ้น จ้าวซันกางแขนออกบอก “ขอกำลังใจหน่อย” บราลีก้าวเข้าไปให้กอด เป็นกอดที่ อบอุ่นและให้กำลังใจกัน

“ไม่รู้ว่า ‘น้องชาย’ คนนี้เขาจะเห็นฉันว่าเป็นพี่ที่เขารักคนเดิมหรือเปล่า หรืออาจเห็นฉันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิตก็ได้” บราลีปลุกใจให้สู้ๆ จ้าวซันยิ้ม หลวงพ่อมองทั้งสองยิ้มอย่างเอ็นดู

ภูสินทรเข้าไปพบศิขรนโรดมในห้องรับรองพิเศษ บอกให้มิถิลาออกไปกับตน มิถิลาจะไม่ยอมออก จนศิขรนโรดมบอกว่า “มิน...ทำตามที่คุณเมืองเทพบอก” มิถิลาจึงจำต้องออกไปกับภูสินทร

ไม่นาน จ้าวซันก็เดินเข้ามาอย่างสง่า เอ่ยอย่างเป็นทางการ

“องค์รัชทายาทศิขรนโรดมแห่งราชอาณาจักรคีรีรัฐ หม่อมฉันจ้าวซัน ตัวแทนสมาคมพ่อค้าฮ่องกงขอถวายบังคมพะย่ะค่ะ” พูดแล้วก้มทำความเคารพ ศิขรนโรดมรีบทรุดลงกราบแทบเท้าจ้าวซัน เอ่ยอย่างผู้หมอบราบ คาบแก้วแล้วว่า

“เจ้าพี่ อย่าทรงทำแบบนี้เลย ทรงเมตตาหม่อมฉัน น้องชายของพี่ด้วย” พูดแล้วร้องไห้อย่างหนัก จ้าวซันอึ้ง ก้มประคองศิขรนโรดมขึ้นมองหน้ากัน ศิขรนโรดมยิ่งร้องไห้จนฟุบหมดสติไป

“เจ้าน้อง...เจ้าน้องศิขรนโรดม!!” จ้าวซันนั่งประคอง เจ้าน้องเขย่าเรียก ทั้งตกใจและห่วงใย...

ooooooo

อสุนี พี่ชายของมิถิลา ไปโรงแรมที่จัดงาน รับเสด็จรัชทายาทศิขรนโรดม ท่าทางเก้กังเก้อเขินและตื่นตาตื่นใจกับแสงสีวิจิตรของโรงแรม ทำให้เป็นที่ผิดสังเกตของ รปภ. โทร.บอกกันว่า

“พบผู้ต้องสงสัยหน้างาน ทุกคนเตรียมพร้อม ทราบแล้วเปลี่ยน”

อสุนีถูกจ่าหมงและหมวดเจียงเข้าประกบ จ่าหมงถามอสุนีว่าจะไปไหน

“ผมเป็นชาวคีรีรัฐ ทราบว่าองค์ชายของประเทศผมเสด็จมาที่นี่ ผมก็อยากไปชมพระบารมีไม่ได้หรือครับ”

จ่าหมงกับหมวดเจียง ขอดูไอดีการ์ด พาสปอร์ต ใบทำงานหรือใบต่างด้าว อสุนีอึ้ง หน้าซีดเผือดทันที พอดีอเล็กซ์เดินมาถามว่ามีอะไรกันหรือ จ่าหมงรายงานว่า

“ชายคนนี้บอกว่าเขาเป็นคนคีรีรัฐ จะเข้าไปในงาน แต่ไม่น่าไว้วางใจ”

อเล็กซ์มองอสุนีตรงเข้ากระชากคอเสื้อ “ต้องเป็นไอ้พวกก่อการร้ายแน่ ดูหน้าก็รู้ ไหนเอามาซิ แกมี อะไรในนี้” อเล็กซ์กระชากเป้ของอสุนีไปค้นกระจุย อสุนีผงะ ทั้งตกใจทั้งโกรธมาก

ooooooo

ที่ห้องรับรองพิเศษ จ้าวซันดูแลศิขรนโรดมอย่าง ห่วงใยจนเริ่มรู้สึกตัว จ้าวซันยังคงใช้ราชาศัพท์กับ ศิขรนโรดม จนถูกขอร้องให้ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรทั้งสอง ต่างกลับสู่ความผูกพันเดิม เรียกพร้อมกันอย่างตื่นเต้น

“ศิขรนโรดม”

“น่านปิงนรเทพ”

ทั้งสองหัวเราะขำกันเอง ความรู้สึกเดิมๆที่สนิท สนมรักใคร่กันแต่เยาว์วัยคืนสู่ความทรงจำอีกครั้ง... จ้าวซันถามถึงองค์เจ้าหลวงและพระเทวีว่าทรงสบายดีไหม ศิขรนโรดมมองหน้าจ้าวซันลุกขึ้นแต่เกิดหน้ามืดล้มลงไปอีก จ้าวซันประคองไปนั่ง เป็นจังหวะที่มิถิลาพรวดเข้ามาเห็นพอดี ตวาดถาม

“ทำอะไรองค์รัชทายาทน่ะ”

“เจ้าน้องทรงเป็นลม”

มิถิลาพูดอย่างระแวงว่าฝ่าบาทไม่เคยเป็นลมมาก่อน ถามจ้าวซันว่าทำอะไรองค์ชายของตน ศิขรนโรดมรู้สึกตัวขึ้นก็พอดีภูสินทรพุ่งเข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวซันบอกว่าไม่มีอะไรแค่หน้ามืดไปเท่านั้น ภูสินทรเอายาดมจะไปให้ดมถูกมิถิลาคว้าไปดมแล้วขว้างทิ้ง ไล่ทุกคนให้ออกไป

ขณะนั้น บราลีเดินเข้ามาอีกคน มิถิลาไล่สำทับ “ถอยออกไปทุกท่าน!! ไม่ต้องเข้ามา เราดูแลองค์ชายเอง” มองบราลีแต่หัวจดเท้า ถามอย่างไม่พอใจ “เจ้าเป็นใคร สวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับเยี่ยงเจ้านางชั้นสูงในราชสำนัก แต่ไม่ใช่คนคีรีรัฐแบบนี้มันมีวัตถุประสงค์ใดแอบแฝง!”

บราลีเลือดขึ้นหน้าประกาศว่าห้องนี้มีแต่คนจงรักภักดีทั้งนั้น เกิดโต้เถียงกับมิถิลาอย่างไม่มีใครยอมใคร จนจ้าวซันเรียก“ม่านฟ้า...”เชิงเตือน แต่บราลีไม่ยอมหยุด พูดต่ออย่างปกป้องจ้าวซันไม่ยอมแพ้

“ฉันแน่ใจว่าในห้องนี้ คุณชายจ้าวซันคือคนที่รักและภักดีต่อองค์ศิขรนโรดมมากที่สุด และก็ไม่มีวันที่จะคิดไม่ดีต่อองค์ชายเด็ดขาด” มิถิลาสวนทันทีว่าเธอเป็นพวกเดียวกัน ภูสินทรสุดจะทนย่างสามขุมเข้าหามิถิลา ด่าว่าสามหาวเกินไปแล้ว

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 8-9 วันที่ 2 ก.ค. 56

โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์
กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ