อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15 วันที่ 17 ก.ค. 56
จ้าวซัน บราลี และภูสินทร ไปเดินตลาด ได้ยินชาวตลาดจำนวนหนึ่ง แซ่ซ้องสดุดีน่านปิงนรเทพที่จะมาเป็นเจ้าหลวงองค์ใหม่ แต่ก็มีชายหนุ่มที่ตะโกนต่อต้านและเชิดชูศิขรนโรดมภูสินทรใจร้อนสั่งทหารที่ตามมาให้จับตัวชายหนุ่มคนนั้น จ้าวซันห้ามไว้เตือนสติว่า
“เรื่องแบบนี้ เราจะบังคับจิตใจผู้คนไม่ได้”
เมื่อภูสินทรไปเจอสุริยะและหมอหลวงที่บ้านครูเฒ่า จึงเล่าให้ทั้งสองฟัง สุริยะเอ่ยขึ้นว่า
“มันไม่มีอะไรสวยงามเป็นนิทานปรัมปราหรอก เราต้องให้เวลา แล้วให้ความดีงามขององค์น่านปิงนรเทพเอา ชนะใจประชาชนให้ได้ในวันหนึ่ง”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว แต่เบื้องหลังไอ้พวกที่มาคอยแสดงความคิดเห็นต่อต้านแบบนี้ มันมีอะไรที่เลวร้ายซ่อนอยู่หรือเปล่า” ภูสินทรไม่ไว้ใจ จนพระครูท้วงติงขึ้นว่า
“ภูสินทร ท่านคงผ่านความยากลำบากมามาก จนไม่ไว้ใจใคร”
“เราทุกคนต่างเคยไว้วางใจบุคคลอื่นเกินไป จนทำให้สูญเสียทุกอย่าง พวกท่านลืมเลือนหมดแล้วหรือ” ภูสินทรติง
“พวกเราไม่มีใครลืมหรอกท่านภูสินทร แต่ว่าเราไม่ต้องการความเกลียดชังในบ้านเมืองอีกแล้ว พวกเราต่างเบื่อหน่ายและเป็นทุกข์กับความขัดแย้งมานานเกินไป” หมอหลวงเอ่ย
“ข้าก็ไม่ใช่จะอยากให้มันมีความขัดแย้งอีก แต่พวกคนที่แสดงความแคลงใจในองค์น่านปิงนั้น ข้าอยากรู้ว่ามีใครคอยยุยงปลุกปั่นอยู่หรือเปล่า มันก็เท่านั้น” ภูสินทรชี้แจงอย่างไม่หายกังวล
ooooooo
เพื่อเตรียมตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์จ้าวซัน บราลีฝึกซ้อมอาวุธกับภูสินทรเอาจริงเอาจัง เธอทำได้ ดีจนภูสินทรชมว่าสมกับเป็นทายาทขององครักษ์อินปงจริงๆ
บราลีไม่เพียงซ้อมตามที่ภูสินทรสอนให้เท่านั้น หากยังพลิกแพลงจนภูสินทรชมว่า พอจะเป็นองครักษ์ที่ดีของจ้าวซันได้แล้ว พูดอย่างชื่นชมว่า
“คุณจะเป็นพระเทวีคนแรกที่ทำหน้าที่เป็นราชองค์รักษ์หญิงของเจ้าหลวงคีรีรัฐ”
บราลีติงว่า ถ้าศิขรนโรดมเป็นเจ้าหลวง มิถิลาก็คงเป็นองครักษ์หญิงที่ดีที่สุด ถูกภูสินทรปรามอย่างไม่พอใจว่า
“อย่าพูดแบบนี้อีก สำหรับผม เจ้าหลวงจะต้องเป็นองค์ชายน่านปิงนรเทพเท่านั้น และพระเทวีจะต้องเป็นคุณม่านฟ้า หากใครยกย่องผู้อื่นเสมอองค์ชายน่านปิง ผมถือว่ามันเป็นกบฏทุกคน”
ฟังภูสินทรแล้ว บราลียิ่งไม่สบายใจ...
ooooooo
คืนนี้ ขณะบราลีอยู่ในห้องจ้าวซันนั้น ชายคนหนึ่งก็เดินผ่านทหารหน้าห้องสองคนเข้ามา บราลีลุกไปขวางถามว่าท่านเป็นใคร
“ผมเอง คุณม่านฟ้า” เสียงอสุนีบอก บราลีถามว่าเข้ามาทำไมในยามวิกาล “ผมหายป่วยดีแล้ว เลยรีบกลับมาประจำการในวังเหมือนเดิม จึงจำเป็นต้องมาขอถวายบังคมต่อว่าที่เจ้าหลวง”
จ้าวซันยิ้ม บอกบราลีว่าให้อสุนีเข้ามาเถิด ตนก็อยากพบเขาเหมือนกัน บราลียังไม่วางใจขอค้นตัว อสุนีไม่พอใจ
“บรี!! ทำอะไร...น้องเป็นสตรีนะ สตรีคีรีรัฐไม่เข้าใกล้ชิดกับบุรุษขนาดนั้น” จ้าวซันเตือนนิ่มๆ แต่บราลีอ้างว่าเป็นหน้าที่จะค้นให้ได้ จ้าวซันเลยตัดปัญหา “มา...พี่ทำเอง”
ทันทีที่จ้าวซันเดินเข้าไปหา อสุนีทรุดลงกราบกับพื้นทันที จ้าวซันประคองบอกให้ลุกขึ้น อสุนีลุกมองหน้าจ้าวซันยิ้มให้ จ้าวซันดึงอสุนีเข้าไปกอดตบไหล่เบาๆอย่างสนิทสนม จนบราลีมองอึ้ง
“อสุนี...ขอบใจเธอมาก เธอยอมเสียสละเพื่อพวกเราหลายอย่าง สิ่งที่เธอทำยากมากทุกคนรู้ดี แต่เธอก็ตัดสินใจเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราจะไม่ลืมบุญคุณของเธอเลย”
“รับสั่งได้น่าประทับใจจริงๆ แต่หม่อมฉันไม่ได้ทำลงไปเพื่อผู้ใดทั้งสิ้น นอกจาก...ทำไปตามอุดมคติของตัวเองเท่านั้น”
“ยังไงก็ต้องขอบใจ แล้วก็ขอแสดงความเสียใจกับเธอด้วย”
“ทรงพระกรุณายิ่งพะย่ะค่ะ” อสุนีมองหน้าจ้าวซันที่จับมือตนเขย่าอย่างดี
ooooooo
เพราะถูกเหม่ยอิงยึดหุ้นไปจนเหลือแค่เปอร์เซ็นต์เดียว ซ้ำยังตัดเงินส่วนอื่นๆ ที่เคยได้และไล่ที่ร้านของซูหลิงด้วยทำให้เขาลำบากมาก วันนี้จึงไปหาจ้าวไทไทในสภาพทรุดโทรม
จ้าวไทไทอนุญาตให้เข้าห้องทั้งที่ฉินเจียงยังไม่ได้เคาะประตู มองสภาพฉินเจียงแล้วหัวเราะเสียงดังถามว่า
“ในที่สุด ก็ต้องซมซานกลับมาขอยืมเงินฉัน ใช่ไหมไอ้ลูกหมา”
ฉินเจียงบอกว่าคราวนี้แม่ใหญ่ทายผิด พูดอย่างมีอหังการว่า “ถึงผมจะจนตรอกแค่ไหน ถ้าผมยังไม่ตาย ผมจะไม่มีวันก้มหัวให้ใครเป็นอันขาด ผมจะเอาของของผมมาขายแม่ใหญ่ต่างหาก”
สิ่งที่ฉินเจียงจะเอามาขายคือคอนโดของเขาที่คอสเวย์เบย์ ที่ต้องขายคอนโดเพราะไม่อยากขายของเก่าของแม่ แต่จะขายสิ่งที่ตนหามาได้เอง จ้าวไทไทมองฉินเจียงนิ่ง ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ เหมือนจะอ่านอะไรสักอย่าง ถามว่าจะขายเท่าไร ฉินเจียงขอแค่ล้านเหรียญ
จ้าวไทไทหัวเราะที่เขาขายแค่ล้านเดียว บอกว่าถ้าเป็นเต้ของเขาจะไม่มีวันขายของต่ำกว่าทุนเด็ดขาด บอกว่าให้ถือเป็นของฝากก็แล้วกัน พรุ่งนี้จะให้คนโอนเงินเข้าบัญชีให้
ฉินเจียงอึ้งไปอย่างรู้สึกตื้นตัน ยิ่งเมื่อจ้าวไทไทให้อากงเอาปิ่นโตมาใส่อาหารของตนให้ฉินเจียงเอากลับไปกิน บอกว่าเอาให้ซูหลิงกินด้วย คนท้องควรต้องหาของดีๆให้กินบ้าง ทำให้ฉินเจียงยิ่งตื้นตันมองจ้าวไทไทด้วยแววตาอ่อนโยน
ooooooo
ระหว่างที่ยังไม่ถึงวันสถาปนาเจ้าหลวงคนใหม่ จ้าวซันยังคงไปไหนมาไหนกับศิขรนโรดม เมื่อเห็นศิขรนโรดมแสดงความไม่พอใจที่ทหารโต้เถียงกันที่มุมหนึ่งในวัง เรื่อง ใครจะยอมรับใครเป็นเจ้าหลวง ก็จะจับมาลงโทษฐานบังอาจวิพากษ์วิจารณ์ก่อเรื่องขัดแย้งกัน
“ใจคนนะศิขร...เราต้องเอาชนะใจเขา ให้เขามอบใจให้เราด้วยตัวเอง” ศิขรนโรดมยังฮึดฮัดจะเอาผิดให้ได้ จ้าวซันถามว่า “ต้องเอาปืนไปจี้ให้ทุกคนคิดเห็นเหมือนเราให้หมดหรือ”
“แล้วเราจะทำยังไง”
พี่ก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง เหมือนสินค้า ต้องทำให้ผู้บริโภคเห็นว่า ของเราดีจริง” ศิขรนโรดมติงว่าพูดเป็นเล่นนี่มันไม่ใช่การตลาด
“จะว่าไป พี่ว่ามันใช่นะ ถ้าผลิตภัณฑ์ของเราดีจริง เราก็ต้องกล้าท้าพิสูจน์ ให้เขาได้ทดลอง ถ้าเขาลองแล้วไม่เอา เราก็ต้องแก้ไข ปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง”
จ้าวซันใช้ทุกสถานการณ์ให้การศึกษา เพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติและวิสัยทัศน์ของศิขรนโรดมด้วยความรัก
บราลีทำหน้าที่องครักษ์ของจ้าวซันเต็มที่ แต่เมื่อพระเทวีมาเจอรู้ว่าบราลีมีความชำนาญเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์จึงให้ไปช่วยงานด้านนี้ในวัง ส่วนเรื่องถวายความปลอดภัยจ้าวซันนั้น อสุนีน่าจะรับผิดชอบอยู่ ให้ภูสินทรลองปรึกษา กับอสุนีดู
คืนวันพระจันทร์เต็มดวงใกล้เข้ามาแล้ว บรรดาทหารและนางในบางส่วนช่วยกันตบแต่งประดับประดาตาม ที่ต่างๆ ช่างเสื้อก็มาวัดตัวเตรียมตัดชุดให้จ้าวซัน พระเทวี ถามว่าจะเสร็จทันไหม ช่างรับรองว่าทันแน่นอน
เมื่อทีมช่างตัดเสื้อผ้าขนข้าวของออกไป จ้าวซันถามพระเทวีว่า ชุดที่รีบตัดนี้เป็นชุดสำหรับเจ้าหลวงหรือ?
“ใช่...และผ้าคลุม ไหมสี่เส้นสีเหลืองปักทอง
ผืนนั้น คือเครื่องหมายของเจ้าหลวง คนที่ไม่ใช่เจ้าหลวงจะนำมาห่มคลุมไม่ได้” พระเทวีชี้ไปยังผืนที่บราลีกำลังปักดิ้นทองอยู่ชมว่า “สวยมาก ฝีมือประณีตไม่แพ้คนในวังเลย”
คืนนี้ ขณะอสุนีเดินมาส่งศิขรนโรดมที่ห้อง ศิขรนโดม ปรารภอย่างตื่นเต้นว่าอยากให้ถึงวันงานเร็ว ป่านนี้เจ้าพี่ คงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
อสุนีบอกว่าถ้าพระองค์ทรงขึ้นครองราชย์เอง ตนถึงจะตื่นเต้น ถูกศิขรนโรดมปรามว่าให้เลิกพูดแบบนี้เสียที ตนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้ว บอกอสุนีให้กลับไปพักผ่อนได้แล้ว อสุนีเดินไปไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมา ศิขรนโรดมถามว่ามีอะไรอีก
“เอ่อ...คือ...หม่อมฉันอยากจะทูลว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หม่อมฉันอยากให้พระองค์ทรงรับรู้ไว้ว่า อสุนีคนนี้จะยังคงจงรักภักดีกับพระองค์ตลอดไป”
ศิขรนโรดมปิดประตูใส่หน้าอย่างแรง อสุนียืนอึ้ง เครียด และแทนที่จะกลับไปพักผ่อน อสุนีกลับแต่งชุดดำ มาลอบยิงลูกดอกใส่ยามสองคนตายแล้วบุกเข้าไปในห้องนอนจ้าวซันเงื้อมีดแทงร่างที่นอนอยู่บนเตียง ปรากฏว่า เป็นตุ๊กตาหมีตัวโตที่วางหลอกไว้ใต้ผ้าห่ม แต่ตัวจ้าวซัน ยืนอยู่ในเงามืดมุมห้อง
พอรู้ตัวว่าพลาด อสุนีก็จะหนี ถูกจ้าวซันวิ่งไล่ตาม เมื่อจับได้จ้าวซันกลับยิ้มให้ แต่อสุนีไม่เล่นด้วย ให้มีดเข้าทำร้าย แต่สู้จ้าวซันไม่ได้ อสุนีประกาศกร้าวว่า
“ไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง...ไม่งั้นก็อย่าหวังเลยว่า เรื่องมันจะจบ” แต่จ้าวซันขออย่าให้เรื่องบานปลายไปกว่านี้เลย “ทหารสองคนข้างนอกก็ถูกข้าจัดการไปแล้ว ยังไงข้าก็ต้องโดนจับอยู่ดี”
ไม่ว่าจ้าวซันจะหว่านล้อมและให้ทางออกอย่างไรอสุนีก็ท้าว่าจะฆ่าก็ฆ่าเลย จ้าวซันถามว่าทำไมถึงอยากฆ่าตนนัก
“ท่านไม่ควรจะมาเป็นเจ้าหลวงคีรีรัฐองค์ใหม่” อสุนีกล่าวหาว่าจ้าวซันแย่งบัลลังก์ไปจากศิขรนโรดม ฉะนั้นให้จ้าวซันย้อนถามตัวเองว่าทำไมถึงอยากเป็น
“ถ้าเราเลือกได้ เราขอไม่เป็น เจ้าคิดว่าการเป็นเจ้าหลวงที่ดีมันทำได้ง่ายนักหรือ เป็นเจ้าหลวงหาใช่ว่าจะสุขสบาย”
อสุนีชะงัก เงื้อมีดหมายฆ่าตัวตาย จ้าวซันคว้าแจกันทุ่มที่มือจนมีดหลุด อสุนีคลานไปคว้าจ้าวซันก็เตะมีดไปที่ประตู อสุนีนอนหงายอย่างหมดอาลัยตายอยาก ท้าจ้าวซันให้ฆ่าตนเสียเพราะตนเป็นกบฏ จ้าวซัน
บอกว่าตนฆ่าใครไม่ได้อีกแล้ว
เป็นจังหวะที่บราลีถือฉลองพระองค์ของจ้าวซันเข้ามา เห็นสภาพในห้องแล้วตกใจ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวซันบอกว่าตนกับอสุนีออกกำลังกันเล็กน้อย ประลองวิชากันเท่านั้น ดึงอสุนีลุกขึ้นตบไหล่เบาๆ บอก “แล้วเจอกัน”
อสุนีเดินออกไปงงๆ จ้าวซันทำเป็นยกมือบ๋ายบายยิ้มแย้ม บราลียิ่งงง มองหน้าจ้าวซันอย่างจับพิรุธ
ooooooo
บราลีรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวซัน เธอทั้งโกรธทั้งงอน บ่นว่าทรงมีเมตตากับคนแบบนี้เสมอ ทรงปล่อยงูพิษไปง่ายๆอีกแล้ว จ้าวซันย้อนถามว่า ทำไมไม่คิดบ้างว่าสักวันความดีจะเอาชนะความชั่วได้
“คิดสิเพคะ! เคยคิดมาตั้งแต่สมัยอนุบาล แต่พอหม่อมฉันขึ้นเรียนชั้นประถมปุ๊บ ก็รู้ทันทีว่ามันเป็นไปได้ยากเต็มที พระองค์ทรงทำแบบนี้คนชั่วมันก็สนุกไปเท่านั้นเอง”
“อสุนีไม่ใช่คนชั่ว เราว่าเรามองคนไม่ผิด”
บราลีพูดอย่างตัดเชือกว่า ถือว่าตนเตือนแล้วที่เหลือจัดการเองก็แล้วกัน เดินไปถึงประตูเห็นมีดของอสุนีที่จ้าวซันเตะไปก็หยิบมายื่นให้พูดประชดก่อนออกไปว่า “ทรงเก็บไว้ให้ดีนะเพคะ เอาไว้ป้องกันตัวจากงูพิษ”
จ้าวซันได้แต่ถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่ากับความช่างเหน็บช่างจิกของบราลี...
ฝ่ายอสุนี รุ่งขึ้นไปยืนเหม่อใจลอยอยู่ที่หน้าผาจนศิขรนโรดมตามเจอ ถามว่าเมื่อคืนไปก่อเรื่องอะไรมา อสุนีย้อนถามว่า “คนดีของฝ่าบาทฟ้องว่ายังไงล่ะ” เลยถูกศิขรนโรดมตวาดว่า มันจะมากไปแล้ว อสุนีไม่เล่าแต่ตัดพ้อว่า “องค์ชายน่านปิงนรเทพทรงมีความสำคัญกับฝ่าบาทมากขนาดนั้นเลยหรือ”
“ใช่...สำคัญมาก สำคัญตั้งแต่ที่เราลืมตาเกิดขึ้นมา สำคัญจนถึงตอนนี้และก็จะสำคัญตลอดไปด้วย”
อุสนีหันมองศิขรนโรดมอึ้ง ตัดพ้อว่าตนทำเพื่อพระองค์ทั้งสิ้น โดนดุอีกว่าไม่ต้องทำอะไรให้ตนอีก เพราะสิ่งที่เขาทำนั้นมันมากเกินพอแล้ว อสุนีบอกตรงๆว่า “หม่อมฉันอยากให้พระองค์เป็นเจ้าหลวง”
“เลิกอยากเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้สักที ต่อไปเรื่องของเราไม่ต้องมายุ่ง แล้วถ้าเจ้ายังไม่ไปกราบขอโทษเจ้าพี่ให้เราเห็นละก็ ต่อไปก็ไม่ต้องมาให้เราเห็นหน้าอีก”
มิถิลาตามขึ้นมาเห็นทั้งคู่กำลังหน้าดำคร่ำเครียดกันอยู่ หยุดดู เห็นอสุนีหันหลังกลับมองไปที่หน้าผา ศิขรนโรดมเข้าใจความหมายตัดบทว่า “งั้นเราก็จบกัน” แล้วเดินกลับไป
“หม่อมฉันผิดเองที่ปรารถนาดีมากเกินไป ทำให้พระองค์ต้องลำบากพระทัย” อุสนีพูดแล้วเดินตรงไปที่หน้าผา มิถิลาตกใจ แต่ทำอะไรไม่ทัน เพราะอสุนีกระโดดลงไปแล้ว โชคดีที่กลิ้งไปคาอยู่โคนต้นไม้ไม่ตกลงไปที่หน้าผา ศิขรนโรดมตกใจ ปีนลงไปช่วยพาอสุนีที่ไม่ได้สติขึ้นมา บอกมิถิลาให้รีบตามคนมาช่วย
รุ่งขึ้นเมื่ออสุนีรู้สึกตัว เขาถามหมอหลวงที่เฝ้าดูอาการอยู่ว่า ตนยังไม่ตายหรือ
“ท่านยังไม่ตาย องค์ศิขรนโรดมทรงบัญชาให้ข้ามารักษาเจ้า เจ้ามีกระดูกหักเล็กน้อยที่ซี่โครง ข้าพันตัวเจ้าไว้ นอนนิ่งๆ หลายๆวันร่างกายเจ้าก็จะเยียวยาประสานตัวเอง...”
หมอหลวงให้ยาและกำชับให้กินยาใช้ยาตามที่กำหนดไว้ เพราะทั้งศิขรนโรดมและตนเองมีสิ่งที่ต้องทำมากมาย อสุนีรู้ว่าหมายถึงงานสถาปนาเจ้าหลวงพระองค์ใหม่ หมอหลวงมอบหมายให้หัวหมู่ที่อยู่ที่นี่ดูแลแทนตนแล้วรีบไป
“เดี๋ยวก่อนท่านหมอหลวง...ฝากบอกมิถิลาน้องสาวข้าว่า ถวายรับใช้องค์ศิขรนโรดมแทนข้าด้วย”
“ได้ ไม่มีปัญหา พยายามทำตัวให้ดี จะได้หายเร็วๆ เมื่อองค์น่านปิงขึ้นเป็นเจ้าหลวง องค์ศิขรนโรดมก็คงต้องทรงงานหนักเพื่อช่วยพระเชษฐาแก้ปัญหามากมายให้บ้านเมือง เจ้าเองก็ต้องถวายรับใช้ให้เต็มที่ เวลาอย่างนี้ ขอจงอย่าคิดสิ่งใดมากไปกว่าบ้านเมืองและประชาชน”
ooooooo
พิธีสถาปนาเจ้าหลวงองค์ใหม่เริ่มขึ้นแล้ว
มาทยาธรเอ่ยกับพระเทวีอย่างสบายใจว่า บาปของตนจะได้รับการชำระอีกส่วนหนึ่งแล้ว
“บาปของน้องก็เช่นกัน ต่อไปนี้เราจะใช้เวลาที่เหลือ เพื่อการกุศลและเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุดจนกว่าเราจะตาย” พระเทวีเอ่ยอย่างปลื้มปีติ
ในวันนี้ พวกที่ต่อต้านน่านปิงนรเทพขึ้นเป็นเจ้าหลวง เตรียมธงและป้ายม้วนซ่อนมาหมายป่วนงาน เตรียมว่าถ้าถูกจับก็ต้องติดคุก
ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนน่านปิงนรเทพก็พากันปลื้มปีติกับเจ้าหลวงที่แท้จริง หลายคนตั้งปณิธานว่าจะยอมตาย ไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นองค์น่านปิงได้
ในท้องพระโรง พระราชพิธีเริ่มแล้ว ดนตรีบรรเลงเพลงที่สง่างาม พระครูเชิญองค์ชายน่านปิงนรเทพไปคุกเข่าหน้าเจ้าหลวงมาทยาธร เจ้าหลวงหยิบเสื้อคลุมสีทองคลุมให้จ้าวซัน แล้วเจ้าหลวงก็ทรุดคุกเข่าเบื้องหน้าจ้าวซันถวายพระพรนำ “ขอให้เจ้าหลวงเจริญยั่งยืน” มีเสียงขานรับก้องท้องพระโรง
จ้าวซันวางตราประจำพระองค์ในพาน เจ้าหลวงยกพานนั้นให้ จ้าวซันรับแล้ววางไว้ที่เดิมหันพยักหน้ากับพระครูอย่างรู้กัน พระครูเชิญองค์ชายศิขรนโรดมและให้ดนตรีบรรเลงเพลงใหม่อีกครั้ง
นาทีนี้ บราลีเข้าใจทันทีว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น เธอยิ้มออกมาอย่างสบายใจ
จ้าวซันยังคงดำเนินพิธีการต่อ ถอดเสื้อคลุมสวมให้ศิขรนโรดมแล้วเอ่ยนำ “ขอเจ้าหลวงทรงเจริญยั่งยืน” แล้วอัญเชิญพานตราประจำพระองค์ขึ้นถวาย ศิขรนโรดม รับไปตามพิธี หลายคนถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปีติ เสียงประชาชนที่เฝ้าชมพระราชพิธีจากกล้องวงจรปิดอยู่นอกท้องพระโรง ทั้งนางในและทหารต่างเปล่งเสียงรับพร้อมเพรียงกันกึกก้อง
“องค์น่านปิงนรเทพ ทรงเจริญยั่งยืน!! องค์ศิขรนโรดมทรงเจริญยั่งยืน!!”
อสุนีและทหารที่เขาเตรียมจะลุกขึ้นสู้ทวงบัลลังก์คืนให้แก่ศิขรนโรดมรู้ข่าวนี้ พากันตื่นเต้นดีใจ
สถานการณ์ผ่านพ้นไปด้วยดี เพราะความปรีชาสามารถและเสียสละเพื่อคีรีรัฐและประชาชนของจ้าวซัน
เมื่อจ้าวซันกับบราลีมาที่เจดีย์ริมน้ำเวียงสาย เขาถามเธอว่า
“พ่อแม่ของน้องท่านจะว่ายังไงนะ ที่ท่านอุตส่าห์สละชีพเพื่อเรา แต่เรากลับสมัครใจที่จะสละทุกอย่างในแผ่นดินคีรีรัฐไป” บราลีเชื่อว่าพ่อกับแม่ต้องดีใจที่เราเลือกทำในสิ่งที่ทำให้ชีวิตของเรามีความสุข “ถึงอย่างไรเราก็ได้ช่วยกันจัดการ ทำให้คีรีรัฐอยู่เย็นเป็นสุข รอดพ้นจากพวกทรราชกบฏแล้ว”
“คนที่ทำกับพ่อแม่ก็ได้รับกรรมไปหมดแล้วนะคะ”
“แต่ตอนนี้ เราไม่มีแล้วนะ บัลลังก์...ราชสมบัติ...หรืออะไรทำนองนั้น”
บราลีบอกว่าตนไม่เสียดายเลย จ้าวซันหยอกว่าแน่ใจหรือ ไม่ชอบหรือ เป็นพระเทวีเท่ออก
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่มีพี่คนเดียวอยู่กับน้อง ก็เท่พอแล้ว”
“ดีจัง...พี่ก็เหมือนกัน...แค่มีม่านฟ้าคนเดียวอยู่กับพี่ ทุกอย่างพี่ก็ไม่ต้องการ”
ทั้งสองกอดกันอย่างตื้นตัน แม้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ อะไรเลย ขอแต่มีกันและกันก็มีความสุขที่สุดแล้ว...
ooooooo
ที่ฮ่องกง...
หลังจากฉินเจียงได้เงินค่าขายฝากคอนโดฯจ้าวไทไทแล้ว เขาเอาเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนที่ร้านกับซูหลิง ทั้งสองช่วยกันทำมาหากิน แม้จะเหน็ดเหนื่อยแต่ก็มีความสุข
แต่ฉินเจียงก็ไม่ลืมว่า เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะเหม่ยอิงคนเดียว บอกซูหลิงว่า
“ตอนนี้ฉันไม่มีกำลังพอ แต่อย่านึกว่าฉันจะยอมพวกมัน ฉันขอช่วยเธอสร้างเนื้อสร้างตัวให้ดีที่สุดก่อน ให้เธอยืนได้อย่างมั่นคงก่อน ฉันเองไม่มีเวลาที่จะทำอะไรผิดพลาดอีกแล้ว ฉันต้องสู้คดีอีกนาน แล้วสุดท้ายก็ไม่รู้ว่าจะต้องติดคุกนานแค่ไหน”
ซูหลิงชื่นชมความเปลี่ยนแปลงของฉินเจียง เขายอมรับว่า
“ฉันอ่อนแอมามากพอแล้วซูหลิงถ้าฉันยังใช้แต่อารมณ์เหมือนสมัยที่ไอ้เกาเฟยมันคอยยุแหย่ ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายแพ้ แต่นี่ฉันตั้งใจจะเป็นฝ่ายชนะ ฉันต้องอดทนรอจังหวะ รอโอกาสที่จะเล่นงานพวกมันทีหลัง”
“คุณโตเป็นผู้ใหญ่จริงๆ แล้วค่ะฉินเจียง” ซูหลิง เอ่ยอย่างปลื้มปีติ
“นังเหม่ยอิงมันไม่โชคดีทุกวันหรอก ฉันจะรอดูวันที่มันโชคร้าย...แล้ววันนั้นจะเป็นวันของเราบ้าง”
ฝ่ายเหม่ยอิงหลงระเริงอยู่กับอำนาจใช้เล่ห์เหลี่ยมกอบโกย และโกงหุ้นในบริษัทฉินเย่ว์จนได้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีอำนาจเบ็ดเสร็จในบริษัท
ในสมอง หัวใจ และสายตาของเธอ ไม่มีใคร เลยนอกจากตัวเองและผลประโยชน์ แม้จะมีเงินทองมหาศาล มีสิ่งอำนาจความสะดวกมากมาย แต่เธอก็อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไร้ญาติขาดมิตร มีแต่เกาเฟยจอมสอพลอที่หวังปอกลอกคอยหลอกล่อ และรับใช้หมายได้ครองทั้งตัวเธอและเขมือบผลประโยชน์มหาศาลจากบริษัท
วันนี้...เหม่ยอิงจึงเกิดอาการเหมือนประสาท หลอน หวาดผวา หนาวสั่น พร่ำรำพันกับเกาเฟย...
“ถ้าแม่ฉันรู้ แทนที่จะชมเขาคงด่า ถ้านังผิงอันน้องสาวฉันรู้ก็คงจะสาปแช่ง ไม่มีใคร ฉันไม่มีใครที่จะมายินดีด้วยสักคน ฉันไม่มีใครเลย” เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น กรอกเหล้าเข้าปากอย่างขาดสติ เกาเฟยขอให้พอ เธอตวาด...
“พออะไร ฉันกำลังเลี้ยงฉลอง แกไม่เห็นเหรอ”
“เราไปฉลองในร้าน หรือโฮเต็ลดีๆ ไม่ดีหรือ ครับ...คุณฉลองกับผมไง...”
“ไม่! ฉันไม่อยากฉลองกับแก...ไปให้พ้น! เหม่ยอิงผลักเกาเฟยออกไป แล้วกระดกเหล้าเข้าปาก พอหมดก็ทิ้งขวดลงถังขยะ เดินมาโซเซ แผดเสียงร้องเพลง จิงเกิ้ลเบล...ไปตามริมถนนเหมือนคนเสียสติ...
ooooooo
อสุนีเพ้อร้องขอให้องค์ชายศิขรนโรดมช่วยด้วย...มิถิลามองอย่างแปลกใจแกล้งถามหมอหลวงว่า ตกลงพี่ชายเป็นอะไร เมื่อไหร่ถึงจะฟื้น
“จะอยากให้ฟื้นทำไม” หมอหลวงถาม มิถิลามองหน้าหมอบอกว่า ฟื้นขึ้นมาก็ทรมานเปล่าๆ เพราะยาระงับปวดที่ฉีดไปก็ใกล้จะหมดฤทธิ์แล้ว พอดีอสุนีร้องออกมาอย่างเจ็บปวดอีก มิถิลาถามหมอว่า ต้องฉีดให้อีกไหม “ไม่จำเป็น ฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ให้กินยาที่วางอยู่นี่แทนแล้วกัน ให้ข้ามาฉีดยาทุกสี่ชั่วโมงคงไม่ไหวหรอก” พูดแล้วเดินออกไปอย่างไม่สนใจนัก
มิถิลาดูแลอสุนีจนเมื่อเขารู้สึกตัว เธอเอายาเอาน้ำให้กิน ถามว่าคิดยังไงถึงจะฆ่าตัวตาย ตายแล้วช่วยอะไรได้
“ก็อยากพิสูจน์”
“พิสูจน์อะไร พิสูจน์ว่าองค์ชายรักพี่หรือเปล่าน่ะเหรอ”
“องค์ชายเป็นไงบ้าง...ทรงโกรธข้าหรือเปล่า” มิถิลาถามว่าองค์ชายไหน “จะองค์ชายไหนอีกล่ะ ก็มีอยู่องค์เดียวที่ข้า...ที่ข้า...รัก”
“นั่นไง ยอมรับออกมาแล้ว” มิถิลาจับได้อย่างที่ คาดไว้ อสุนีทำท่าจะเอาเรื่องแก้เขิน มิถิลาบอกว่า “ไม่มีอีกต่อไปแล้ว องค์ชายศิขรอะไรของพี่...มีแต่เจ้าหลวงศิขรนโรดม”
“จริงหรือ” อสุนีตะลึงอึ้งจนแทบจะหายป่วย
ooooooo
หลังสถาปนาขึ้นเป็นเจ้าหลวงแล้ว จ้าวซันพาศิขรนโรดมในชุดลำลองออกดูชาวบ้านใส่บาตรในยามเช้า ชาวบ้านปลาบปลื้มจนนํ้าตาไหล พากันกราบไหว้ด้วยความจงรักภักดี
ระหว่างนั้น จ้าวซันชี้ให้ศิขรนโรดมเห็นว่าชาวบ้านชื่นชมพระบารมีมากแค่ไหน
“เจ้าพี่อย่าตรัสแบบนี้เลย น้องยังไม่ได้ทำอะไรที่สมควรชื่นชมเลยสักอย่าง น้องจะต้องดูแลบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้พวกเขาก่อน ให้สมกับที่เขาหวังกัน”
“หม่อมฉันตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ นับว่าเป็นโชคดีของชาวคีรีรัฐทุกคนแล้ว”
“เจ้าพี่ตรัสเกินไป หม่อมฉันยังต้องการคำแนะนำจากเจ้าพี่อีกมาก”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความสุข แต่ระหว่างนั้น บราลีที่ตามไปอารักขาเห็นชายคนหนึ่งท่าทางมีพิรุธจึงตามไป ชายคนนั้นเดินหนี แต่เมื่อบราลีตามทันจับได้ว่าคืออสุนี เธอปรามว่า
“คีรีรัฐกำลังสงบสุข อย่าทำให้มีเรื่องอะไรอีกเลย”
“ได้...และก็ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะกลับไปในที่พวกเจ้ามาได้แล้วเหมือนกัน”
ooooooo
มิถิลาอยู่ในภาวะกดดันอย่างหนัก เมื่อศิขร-นโรดมได้เป็นเจ้าหลวงเธอก็ถูกบรรดานางในพูดกระแนะกระแหนว่าต่อไปเธอก็จะได้เป็นพระเทวี จนเธอทนไม่ได้เขียนจดหมายลาออกและหนีหายไป
ฝ่ายศิขรนโรดมเมื่อกลับถึงวัง ก็ให้มาทยาธรเกาะแขนพาเดินคุยไปกับพระเทวีในอุทยาน เล่าอย่างกระตือรือร้นว่าต่อไปจะออกไปดูความเป็นอยู่ของราษฎรในจังหวัดใกล้ๆ ด้วยตัวเองทุกสัปดาห์ เพราะมีประชาชนตามป่าเขาอีกมากมายที่กำลังเดือดร้อน
ระหว่างนั้นแม่นมเดินมา ศิขรนโรดมบอกว่าคงถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว บอกแม่นมว่าให้มิถิลาไปเชิญเสด็จเจ้าพี่กับม่านฟ้ามาด้วย มาทยาธรทักท้วงว่าให้มิถิลาไปได้อย่างไรใช้เด็กๆดีกว่า พระเทวีนึกได้บอกแม่นมว่าควรจะฝึกมิถิลาให้เตรียมถวายตัวได้แล้ว
มาทยาธรเสนอให้มาร่วมโต๊ะด้วยเลย
“ทูลกระหม่อมเพคะ จะดีหรือเพคะ” แม่นมตกใจ ศิขรนโรดมรีบบอกว่าดีมากเลยเดี๋ยวจะไปตามมิถิลาเอง แล้ววิ่งไปอย่างร่าเริง ไปจนถึงห้องมิถิลา แม่นมกระหืด กระหอบตามมา ทักท้วงทัดทานว่า
“ฝ่าบาท...เวลานี้ทรงเป็นเจ้าหลวงแล้ว ทรงเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องทรงพระทัยเย็นๆหน่อย อย่าเพิ่งทรงด่วน...รักชอบใครเลยเพคะ น่าจะทรงวางองค์เป็นเจ้าหลวงหนุ่มโสด ให้ราษฎรชื่นชมไปนานๆ และให้นานาชาติเขาได้ปลาบปลื้มในเจ้าหลวงรูปงามวัยเยาว์ของเรานะเพคะ...หม่อมฉันขอ...” แม่นมทรุดลงกราบแทบเท้าจนศิขรนโรดมตกใจรีบประคองขึ้นมา
แม่นมยังพูดด้วยนํ้าเสียงวิงวอนว่า “ทรงพระเยาว์นัก ยังทอดพระเนตรเห็นโลกแคบๆอยู่เลย ในแผ่นดินของเราก็มีสตรีงามอีกมาก น่าจะทรงได้เปิดพระทัย ได้รู้จักกับใครๆให้มากกว่านี้ คนที่เหมาะสมคู่ควรกว่านี้”
“แม่นม...นี่มันอะไรกัน แม่นมไม่ชอบมิถิลาหรือ” ศิขรนโรดมถามอย่างไม่สบายใจ ก็พอดีนางในสองคนวิ่งหน้าตื่นมาบอกว่ามิถิลาหนีไปแล้ว ทิ้งแต่จดหมายไว้ให้พระเทวี
“บ้าแล้ว!” ศิขรนโรดมรีบรับจดหมายไปอ่าน แม่นมถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ “มิถิลาเขา...ขอลาออกจากการทำงานที่นี่...” ศิขรนโรดมหน้าซีดเศร้าขรึมไปทันที...
ooooooo
ที่บ้านสี่ฤดู จ้าวไทไทให้อากงเรียกผิงอันไปพบ อากงบอกผิงอันว่า ถ้าท่านพูดอะไรคุณหนูต้องรับปากทำให้ได้ ผิงอันใจคอไม่ดี คาดเดาไม่ได้ว่าจ้าวไทไทเรียกไปพบเรื่องอะไร
ผิงอันเข้าไปเห็นจ้าวไทไทยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ถอนใจเฮือกใหญ่แล้วจึงหันมาพูด...
อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15 วันที่ 17 ก.ค. 56
โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ