อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14 วันที่ 15 ก.ค. 56

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14 วันที่ 15 ก.ค. 56

อสุนีไม่หลีก ทั้งมิถิลาก็เข้าช่วยพี่ชาย ตะโกนบอกโกศินว่า “พวกข้าไม่ใช้กบฏ พวกข้าไม่เหมือนพ่อ และท่านต้องรับโทษ” แต่อสุนีกับมิถิลาก็พลาดให้กับเสือเฒ่า โดนโกศินเตะและชกกระเด็น แต่พอโกศินจะหนี ภูสินทรจะยิง จ้าวซันร้องห้ามแต่ช้าไปแล้ว โกศินถูกยิงตายคาที่

เหลือแต่จัตุรัสที่ยังแค่ถูกแทงบาดเจ็บ จ้าวซันสั่งให้จัตุรัสไปตามหมอหลวงมา จัตุรัสหัวเราะในลำคอแล้วกัดลิ้นตัวเองตายต่อหน้าจ้าวซัน! สามทหารแก่สิ้นลายตายเคียงกัน...

“ผู้นำฝ่ายกบฏเสียชีวิตหมดแล้ว พวกเจ้าที่อยู่ตรงนี้ ยังยืนยันจะแปรพักตร์หรือไม่” ภูสินทรถามทหารของพวกราชิด พวกนั้นพากันวางปืนยอมสวามิภักดิ์ทุกคน

อสุนีกอดปลอบมิถิลาที่เห็นพ่อตายต่อหน้า ต่างหันมองจ้าวซันอย่างสับสน...

ooooooo

เมื่อเหตุการณ์สงบแล้ว มาทยาธรนอนให้หมอหลวงตรวจอาการอยู่ ศิขรนโรดมเอ่ยขึ้นว่า

“ทั้งหมดเป็นเพราะความปรีชาสามารถของเจ้าพี่ ที่มองการณ์ไกลและอ่านเหตุการณ์ออก เราถึงได้สามารถกำราบพวกกบฏในครั้งนี้ได้”

“น่านปิง...” สิริวาระตีเอ่ย “ป้าต้องขอบใจหลานมาก ที่ช่วยปกป้องราชบัลลังก์ไว้โดยไม่คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต”

“น่านปิง...ลุง...ลุงขอโทษ ถ้าตอนนั้น ลุงไม่หลงเชื่อคำยุแยงของเจ้าราชิด ละโมบหิวโหยอำนาจ จนก่อการกบฏปล้นราชบัลลังก์จากอนุชาของตนเอง ครอบครัวหลานก็คงมีความสุขไม่ต้องระหกระเหเร่ร่อนไปเติบใหญ่ในดินแดนต่างบ้านต่างเมือง...เจ้าด้วย...ม่านฟ้า ข้าขอโทษ ทุกสิ่งที่กระทำกับครอบครัวของเจ้าเช่นกัน ถึงลุงจะไม่รู้ว่าหลานต้องต่อสู้กับอะไรบ้าง แต่ลุงก็รู้ว่ามันต้องไม่ง่ายแน่ๆ บาปกรรมที่ลุงได้ก่อเอาไว้ ลุงขออโหสิกรรมให้ด้วย”

“หม่อมฉันไม่เคยนึกอาฆาตใดๆต่อพระองค์เลย” จ้าวซันเอ่ย

“หม่อมฉันก็เช่นกันเพคะ สิ่งใดผ่านไปแล้ว ล้วนย้อนกลับคืนมาไม่ได้เพคะ” บราลีพูดต่อ

“น่านปิง ลุงยินดีจะคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของหลาน ลุงจะสละตำแหน่งคืนให้หลาน หลานคือเจ้าหลวงตัวจริงของคีรีรัฐ” จ้าวซันไม่ต้องการ บอกว่าผู้ที่คู่ควรกับบัลลังก์คือเจ้าน้องต่างหาก ให้เหตุผลว่า

“เพราะถ้าเจ้าน้องเป็นเจ้าหลวง บ้านเมืองจะต้องสงบสุข เพราะน้องจะเห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นก่อนตัวเองเสมอ พี่เชื่อว่าน้องทำได้...พี่ฝากคีรีรัฐด้วย”

“น่านปิงนรเทพ...ถ้าเจ้าพ่อเจ้าแม่ของหลานยังอยู่ จะต้องภาคภูมิใจในตัวหลานอย่างมาก” สิริวาระตีผู้เป็นป้าชื่นชม

อสุนีและมิถิลา ต่างกลับไปที่บ้าน คุกเข่าลงตรงหน้ารูปราชิดผู้เป็นพ่อ มิถิลาพร่ำขอโทษพ่อ อสุนีปลอบน้องว่า

“มิถิลา...จำคำที่พ่อเคยสอนได้ไหม สิ่งใดที่เราตัดสินใจเลือกทำแล้ว สิ่งนั้นดีที่สุด จงยอมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างมีศักดิ์ศรี...เจ้าอย่าเสียใจเลย พ่อไปสงบแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนในวังวนกิเลสอีกแล้ว...เราควรช่วยกัน ส่งพ่อให้ไปสู่สุคติครั้งสุดท้าย”

มิถิลาปาดน้ำตา สูดลมหายใจเข้มแข็งขึ้น ถามพี่ชายว่า

“แล้วต่อจากนั้น...เราสองคน...จะอยู่ในฐานะ ใดอีกพี่”

“ในฐานะ...ผู้จงรักภักดีต่อองค์ศิขรนโรดม...แต่ผู้เดียวเท่านั้น” อสุนีตอบแววตากร้าว

ooooooo

หลังจากซูหลิงประกันตัวฉินเจียงออกมาอยู่ที่คอนโดฯ กันอย่างมีความสุขไม่นาน ฉินเจียงก็คิดจะกลับไปทำงานที่ฉินเย่ว์กรุ๊ป พอรู้จากซูหลิงว่าเหม่ยอิงเข้าทำงานแทนจ้าวซันแล้ว ฉินเจียงโทรศัพท์ไปที่ฉินเย่ว์กรุ๊ปทันที

ฉินเจียงโทร.ไปเรียกเกาเฟยออกมาพบตน แต่เมื่อถึงเวลานัด กลับกลายเป็นเหม่ยอิงมาถึงก่อน ฉินเจียงถามว่ามาได้ไง ตนนัดพบกับ...

“เกาเฟย คนรู้ใจ” เหม่ยอิงบอกฐานะที่เปลี่ยนไปของเกาเฟย ทั้งยังพูดให้เจ็บใจว่า “ตอนนี้เขาไม่ใช่คนของพี่อีกต่อไปแล้ว ถ้าจะพูดกันแบบตรงไปตรงมา เกาเฟยไม่เคยเป็นคนของพี่มาตั้งนานแล้ว”

“แกเพ้อเจ้ออะไร”

“เหมือนกันหมด ผู้ชายตระกูลจ้าว ในที่สุดก็ต้องประสบหายนะเพราะมองข้ามศักยภาพของเพศหญิง”

ระหว่างนั้นเกาเฟยขี่มอเตอร์ไซค์มา ฉินเจียงรับรู้ด้วยความเจ็บใจจากเกาเฟยว่า ตลอดมาเกาเฟยไม่เคยเห็นเขาเป็นเจ้านายเลย ที่แล้วมาตนยอมทุกอย่างก็เพื่อรอวันนี้ ซ้ำยังพูดให้เจ็บใจว่า

“พอดีผมชอบทำงานกับนายผู้หญิงมากกว่านายผู้ชายครับ”

ฉินเจียงหันหลังกลับไปมึนๆ เหม่ยอิงกับเกาเฟยเลิกคิ้วสบตากันกับปฏิกิริยาของฉินเจียง...

ooooooo

เมื่อถูกเหม่ยอิงกดขี่ข่มเหงจนทนไม่ได้ ผิงอันเริ่มคิดถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

วันนี้ก็ให้อากงและอาม่าเอาหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษไปอ่านเพื่อค้นคว้าการเคลื่อนไหวของบริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ปอย่างจริงจังเพื่อรอวันที่จ้าวซันกลับมาจะได้รายงานได้ทันที บอกกับอากงว่า

“ผิงอันจะไม่ยอมเป็นเด็กเบบี้ให้พี่เหม่ยอิงกดขี่ตลอดไปหรอกค่ะ”

พลันทั้งผิงอันและอากง อาม่าก็สะดุ้งตกใจ เมื่อจ้าวไทไทลืมตาขึ้นเอ่ยชื่อ “ฉินเจียง...” ต่างนึกว่าพวกตนเสียงดังทำให้จ้าวไทไทตื่น อาม่าคิดว่าจ้าวไทไทละเมอ แต่ไม่ใช่

“ไปตามฉินเจียงมา” จ้าวไทไทสั่ง ผิงอันบอกว่าฉินเจียงยังอยู่ในคุก “มันออกมาแล้ว ออกจากคุกมาแล้ว ไปตามมันมาพบฉันเดี๋ยวนี้ ฉันต้องพบมันด่วน ไปตามมันมา!!” เห็นทุกคนยังลังเล จ้าวไทไทเสียงดัง “ไปตามฉินเจียงมา ไป!!”

ทุกคนตกใจกับความเด็ดขาดดุดันของจ้าวไทไท

ooooooo

ฉินเจียงเดินออกจากเกาเฟยและเหม่ยอิงเหมือนคนไร้ชีวิตจิตใจ เกาเฟยยังตามมาเยาะเย้ยว่าถ้ามีความลำบากอะไรให้บอกแม้แต่เรื่องการเงินตนก็ช่วยได้

“ไอ้เลว!!” ฉินเจียงหันชกเปรี้ยงจนเกาเฟยที่ไม่ทันระวังตัวกระเด็นแล้วตามไปกระทืบไม่ยั้ง แต่เขาต้องหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงแกร๊ก! ข้างหลังพร้อมกับเสียงเหม่ยอิงตวาด

“พอได้แล้วพี่รอง พี่รองชอบลุแก่โทสะอยู่เรื่อย นิสัยนี้มันห่วยมากเลยนะ เลิกซะทีเถอะ สมัยยังรุ่งอยู่คนอื่นเขาจำเป็นที่จะต้องยอมให้พี่ แต่เวลานี้ ขืนพี่ยังทำกร่างไม่เลิก เผลอๆ จะตายอยู่ข้างถนนจับมือใครดมไม่ได้”

ไม่เพียงเท่านั้น เหม่ยอิงยังสั่งเฉียบขาดว่า“ต่อไปนี้ ไม่ว่าพี่จะอดอยากขาดแคลนอะไรก็ตาม อย่าได้เดินมาที่บ้านสี่ฤดู หรือบริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ปอีก เรื่องต่อสู้คดี ทางเราก็จะไม่ซัพพอร์ตพี่แล้ว ทนายของบริษัทน้องจำเป็นต้องให้ไปทำอย่างอื่นพี่ก็ไปใช้พวกทนายของรัฐบาลที่มีไว้ช่วยคนอนาถาก็แล้วกัน แล้วก็รู้จักทำมาหากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองบ้าง จะได้รู้จักประหยัด ไม่ดีแต่ล้างผลาญเงินกงสีอีก”

ฉินเจียงจ้องเหม่ยอิงตาแทบปะทุ แต่เธอไม่แยแสหันไปสบตาเกาเฟยยิ้มเลือดเย็นให้กัน

ฉินเจียงกลับไปถึงร้านของซูหลิงอย่างเสือสิ้นลาย จนแทบจะกลายเป็นคนเสียสติ ซูหลิงสงสารมากเธอโทรศัพท์หาจ้าวซันเพื่อปรึกษาแต่ติดต่อไม่ได้ เธอพึมพำอย่างกังวล

“ปิดเครื่อง...แต่คุณชายไม่เคย...เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่านะ...”

ooooooo

หลังจากปราบกบฏจนราบคาบแล้ว บราลีถามว่าเขาจะทำอะไรต่อไป จ้าวซันย้อนถามว่า แล้วเธอล่ะอยากให้ทำอะไรต่อไป

บราลีบอกว่าตนไม่มีความต้องการสำหรับตัวเองแต่อยากให้เขาพักเหนื่อย ปล่อยวางจากทุกๆภาระหน้าที่ อยากให้เขายิ้ม หัวเราะ ไม่เศร้า ไม่เครียด ไม่อยากให้รับผิดชอบอะไรมากมายอีก จ้าวซันติงว่าแต่คีรีรัฐเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเรา เราต้องรับผิดชอบให้ถึงที่สุด

“อย่าเอาความรู้สึกส่วนตัวของน้องมาเป็นสาระเลยค่ะ เจ้าพี่อยู่ไหนน้องก็อยู่ด้วย...เจ้าพี่ก็คือเจ้าชีวิตของน้อง ชีวิตน้องเกิดมาเพื่อรับใช้พี่ หากพี่เห็นดีที่จะกระทำสิ่งใด ขอให้รับทราบว่า น้องจะรับสนองพระบัญชาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าทุกข์ สุข ไม่ว่าเสี่ยงอันตรายหรือสะดวกสบายสำหรับน้องขอให้ได้อยู่เคียงข้างพี่ก็พอค่ะ”

จ้าวซันจับบ่าบราลีให้หันมาสบตา...

“ส่วนพี่ ก็มีสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่น้องที่พวกท่านสละชีวิตเพื่อพี่ ว่าพี่จะต้องทำให้น้องมีความสุข และปลอดภัยเสมอ และพี่ก็จะต้องทำให้ได้เหมือนกัน”

จ้าวซันตัดสินใจจะมอบพระราชลัญจกรแก่มาทยาธร แต่ทั้งมาทยาธรและพระเทวีไม่ทรงรับ อีกทั้งมาทยาธรยังประกาศสละราชสมบัติตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และ ขอแต่งตั้งให้จ้าวซันเป็นเจ้าหลวงองค์ใหม่ของนครคีรี–รัฐสืบต่อไป

จ้าวซันจะไม่รับ แต่ศิขรนโรดมเอ่ยแสดงความยินดีด้วยทันทีและขอให้รับไว้เพราะทุกอย่างเหมาะสมตามสมควรแล้ว พูดแล้วคุกเข่าลงกับพื้นเอ่ย “ถวายบังคมองค์เจ้าหลวง” แต่จ้าวซันยังยืนกรานไม่รับตำแหน่งเจ้า หลวงแห่งคีรีรัฐ

“ใช่...ยังไม่ใช่ตอนนี้ คงต้องรอให้มีการสถาปนาเจ้าหลวงองค์ใหม่เกิดขึ้นก่อน ซึ่งถ้าดูตามฤกษ์แล้ว...” มาทยาธรเอ่ยมองไปทางโหร

“อีกสามวันที่จะถึง เป็นวันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำเหมาะกับการจัดงานมงคลเป็นอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ” โหรรายงาน

“ดี...ตกลงว่าอีกสามวัน นครคีรีรัฐของเราจะมีเจ้าหลวงองค์ใหม่เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติ” มาทยาธรประกาศ มองหน้าจ้าวซันเอ่ยอย่างจริงจัง “ให้เราได้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควรสักเรื่อง ก่อนที่เราจะสิ้นลมบ้างแล้วกัน”

จ้าวซันอึ้งหนักใจแต่พูดไม่ออก ส่วนอสุนีที่ฟังอยู่ด้วยไม่พอใจหันสบตากับมิถิลาแต่เธอก้มหน้าลง พอเงยขึ้นเห็นบราลีมองอยู่เลยปรบมือแสดงความยินดี กลบเกลื่อนตามคนอื่นไปด้วย

ooooooo

อากงไปบอกฉินเจียงให้ไปพบจ้าวไทไทที่บ้านสี่ฤดู ฉินเจียงมีอคติว่าจ้าวไทไทเกิดรักและสงสารตนหรือ เวลานี้ตนเป็นแค่ตัวตลกตัวหนึ่งเท่านั้นใครจะมาต้องการทำไม

เมื่อฉินเจียงไปหาจ้าวไทไท ก็ได้รับมอบหีบสมบัติที่จ้าวฉินเย่ว์ซื้อให้ผู้หญิงอังกฤษคนนั้น ซึ่งก็คือแม่ของฉินเจียง แต่ตนขัดขวางไว้ ถามว่าตนมีสิทธิ์ใช่ไหมในเมื่อตนเป็นเมียหลวงที่ถูกสามีทรยศ จ้าวไทไทบอกฉินเจียงว่า เขาทำร้านขายของเก่าอยู่ ของพวกนี้เป็นของเก่าแก่เผื่อจะเอาไปขายกินได้ หรือเอาไปสู้คดีซึ่งกว่าจะชนะของพวกนี้ก็คงมีประโยชน์ถ้าอยู่กับเขามากกว่าอยู่กับตน

ฉินเจียงยโสไม่ยอมรับ จนจ้าวไทไทต้องให้อากงอุ้มหีบสมบัติตามไป พอดีเจออาหลี่ อากงเลยฝากอาหลี่ให้ไปส่งฉินเจียงและเอาหีบสมบัตินี้ไปให้ด้วย

ฉินเจียงถามอาหลี่ว่าจ้าวซันจะกลับเมื่อไร เขาไปประเทศคีรีรัฐใช่ไหม อากงกับอาหลี่สะดุ้งถามว่ารู้ได้ยังไง

“ฉันอาจจะโง่หลายๆเรื่องในสายตาพวกแก แต่ก็มีหลายเรื่องที่ฉันพอจะปะติดปะต่อเชื่อมโยงได้ จ้าวซันมีสายสนกลในเกี่ยวกับเมืองคีรีรัฐถึงได้เดือดร้อนนักเรื่องที่ฉันค้าขายกับนายพลพวกนั้น”

ฉินเจียงยังรู้อีกว่าจ้าวซันไปกับบราลี หัวเราะอย่างแค้นใจถามว่า จ้าวซันไปทำงานการเมือง ทำธุรกิจที่คีรีรัฐและฉวยโอกาสไปฮันนีมูนกับบราลีด้วยใช่ไหม

เหม่ยอิงแอบฟังอยู่ เธอผงะ หน้าซีด ช็อก พาลหา เรื่องกับทุกคน โดยเฉพาะผิงอันหาว่าเป็นคนพาบราลีมารู้จักกับจ้าวซัน ผิงอันยืนยันว่า

“เขารักกัน บรีรักพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ก็รักบรีมาก แม่ใหญ่...จ้าวไทไทก็รักบรี สั่งเสียให้บรีเป็นคนดูแลพี่ชายใหญ่ด้วยซ้ำ”

เหม่ยอิงพลอยแค้นจ้าวไทไทไปอีกคน จนแม่สี่เตือนว่าให้ทำใจเถิด เพราะจ้าวซันก็มองเธอเหมือนน้องสาวแท้ๆคนหนึ่ง แบบนี้ก็ดีแล้ว แทนที่เหม่ยอิงจะเข้าใจ ทำใจ เธอกลับหาว่าทุกคนรวมหัวกันเป็นฝ่ายจ้าวซันเพราะอิจฉาตน เกลียดตน อยากให้ตนผิดหวัง กล่าวอาฆาตว่า “คอยดู...คอยดู! ทุกคนจะต้องชดใช้!” แล้ววิ่งร้องไห้ออกไป

เหม่ยอิงเตลิดไปตามที่ต่างๆที่เคยไปกับจ้าวซัน ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นยิ่งเจ็บปวด จนกระทั่งไปนั่งในร้านกาแฟ จู่ๆเกาเฟยก็มาหยิบเสื้อคุลมของเธอมาคลุมให้ พอเห็นเกาเฟยเหม่ยอิงก็ทำคอแข็งวางท่าราวกับนางพญาขึ้นทันที

เหม่ยอิงพูดประชดตัวเองว่าตนไม่หนาวแต่ถ้า ตายเสียก็ดี ถามเกาเฟยว่า ถ้าตนตายจะมีใครเสียใจไหม

“คุณหนูต้องไม่ตาย จะตายทำไม คนอื่นสิต้องตาย คุณหนูต้องอยู่ อยู่อย่างดี อยู่อย่างผู้ชนะ” เหม่ยอิงจิกตาพูดว่า คนอื่น...ต้องตาย เกาเฟยย้ำเหี้ยมว่า “ใครที่ทำให้คุณหนูเจ็บ มันต้องตาย!”

“ตายมันง่ายไปเกาเฟย...ต้องตายทั้งเป็นสิ มันถึงจะสาสม”

“ต้องอย่างนั้นสิครับ” เกาเฟยเป่าหูยุยงเหม่ยอิงเต็มที่

ooooooo

วันเวลายิ่งผ่าน จ้าวซันก็ยิ่งเครียด สับสน

ภูสินทรมาเสนอว่า ควรฟื้นพระเกียรติภูมิขององค์เจ้าหลวงพีริยเทพให้กลับมาอีกครั้ง แก้ไขประวัติศาสตร์เสียที จ้าวซันถามว่าจะแก้อย่างไร ก่อนหน้านี้ในประวัติ- ศาสตร์เขาว่าอย่างไร

“เขาบอกว่า เพราะหม่อมฉัน พาเจ้าแม่ของพระองค์หนีไป ทำให้เจ้าหลวงเสียพระทัยจนเสวยยาพิษปลงพระชนม์ตัวเอง เขาเขียนกันแล้วประกาศเรื่องนี้ออกไป ทำให้คนอื่นเชื่อเช่นนั้น”

“เลวมาก!” จ้าวซันสบถ ปรารภว่า ตนจากที่นี่ไปนานมันคงไม่ง่ายที่จะสะสางความผิดพลาดในอดีตทั้งหมด แต่ภูสินทรเชื่อว่า หากพระองค์จะทำมันก็ไม่มีอะไรยากเกินไป

จ้าวซันกับภูสินทรไปหาพระครูเพื่อขอคำปรึกษา เมื่อพระครูฟังทั้งสองแล้วติงว่า

“เรามีวันนี้ได้มันก็ดีพออยู่แล้ว ขอร้องล่ะ อย่าได้รื้อฟื้นเรื่องบาดหมางกันขึ้นมาอีกเลย”

ภูสินทรชี้แจงว่า ตนไม่ได้คิดจะทำอะไรใคร แต่มีหลายอย่างที่เราควรแก้ไข หมอหลวงถามว่า เช่นเรื่องอะไรบ้าง

“เช่นราชิด โกศิน จัตุรัส ปลดคนในสกุลที่จงรักภักดีต่อเจ้าหลวงพีริยเทพไปหมด หรือกลั่นแกล้งส่งไปในถิ่นทุรกันดาร แล้วตั้งพรรคพวกของตัวเองมาแทน เวลานี้ พวกนั้นต่างลำบากยากแค้น เราต้องช่วยเขา”

หมอหลวงถามว่า แล้วพวกที่ภักดีต่อมาทยาธรล่ะ ภูสินทรบอกว่า ใครที่เป็นพวกของ 3 คนนั้น เราก็ต้องปลดออก สุริยะถามว่า ทั้งหมดเลยหรือ ภูสินทรบอกว่า “ก็แล้วแต่ เราก็ต้องดูเป็นรายๆไป”

พระครูติงว่า ทำแบบนั้นเราก็คงจะไม่ต่างอะไรจากพวกนั้น

“แต่เราต้องเอาคนของเรากลับมา ไม่งั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าราชบัลลังก์ขององค์น่านปิงจะไม่มีใครมาคอยเป็นหอกข้างแคร่ในอนาคต”

จ้าวซันที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งฟังแล้วคิดหนัก เมื่อกลับมาห้องพัก จ้าวซันมองพระจันทร์รำพึง...

“ใกล้วันเพ็ญแล้วสินะ...เจ้าพ่อเจ้าแม่ ช่วยชี้ทางให้ลูกด้วย...”

ooooooo

รุ่งขึ้น จ้าวซันชวนศิขรนโรดมไปเฝ้าพระสังฆราช ศิขรนโรดมกำลังจะไปแจกผ้าห่มแก่เด็กยากจน จึงให้อสุนีไปแทน และตัวเองไปกับจ้าวซัน บอกว่าตนก็ไม่ได้เฝ้าพระสังฆราชนานแล้วเหมือนกัน

อสุนีไม่พอใจ มิถิลาที่มาเห็นพอดีก็มองอย่างข้องใจ เมื่อสองพี่น้องได้คุยกัน อสุนีย้ำกับมิถิลาว่า จ้าวซันกลับมาก็เพื่อมาเป็นเจ้าหลวงเสียเอง คำพูดหรูหราต่างๆ ของเขาเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ย้ำว่า

“พี่คิดอะไรแล้วไม่เคยผิด พี่ไม่เข้าใจเลย พระเทวีทำไมรักคนอื่นมากกว่าลูก มากกว่าพระสวามี”

แต่มิถิลาเห็นต่าง คิดว่าองค์ชายศิขรนโรดมทรงมีความสุขที่เป็นเช่นนั้น อสุนีเสียงเข้มว่า “พี่ไม่ยอม...มันไม่ยุติธรรม” มิถิลามองพี่ชายบอกว่า “ถ้าทรงพอพระทัยแล้ว เราก็ต้องร่วมยินดีกับพระองค์ ไม่มีอย่างอื่น”

เช่นเดียวกับพวกในวัง ก็มีความชื่นชมต่างกัน

บ้างชื่นชมจ้าวซันที่เก่งกาจกล้าหาญปราบพวกกบฏจนราบคาบ แต่บ้างก็ชื่นชอบศิขรนโรดมว่าทรงไม่ถือพระองค์และดำรงอยู่อย่างคนคีรีรัฐโดยแท้

ฝ่ายอสุนีกับมิถิลา อสุนีไม่พอใจจ้าวซัน แต่มิถิลาไม่ชอบบราลีเพราะฝ่ายนั้นเหนือกว่าตนทุกอย่าง เมื่อสบโอกาสจึงหาเรื่องพูดกระแนะกระแหนจนบราลีเหนื่อยใจกับท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ของมิถิลา

ไม่เพียงแต่ในวังที่มีความเห็นต่างกรณีจ้าวซันจะมาเป็นเจ้าหลวง แม้แต่ในหมู่ชาวบ้านก็มีทั้งเสียงสดุดีด้วยความปีติแต่ก็มีเสียงที่ไม่เห็นด้วย ถือข้างศิขรนโรดม จนเกิดโต้เถียงกัน

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 14 วันที่ 15 ก.ค. 56

โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์
กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ