อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15
ผิงอันเข้าไปเห็นจ้าวไทไทยืนเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง ถอนใจเฮือกใหญ่แล้วจึงหันมาพูด...“เราทุกคนล้วนมีชะตากรรมเป็นของตัวเองทั้งนั้น... ข้าก็มีของข้า เจ้าก็มีของเจ้า อาซันเขาก็มีของเขาเองเหมือนกัน...ผิงอัน ถ้าอาซันไม่กลับมา เธอดูแลตระกูลจ้าวไหวไหม กล้าพอหรือเปล่า เก่งพอไหม เลิกกลัวอะไรไร้สาระได้หรือยัง”
ผิงอันตระหนกว่าเกิดเรื่องอะไรกับพี่ใหญ่หรือ ทำไมพี่ใหญ่จึงไม่กลับมา และหวาดหวั่นลังเลที่จะดูแลตระกูลจ้าว...
ผิงอันจึงไปหาฉินเจียง เจอลูกค้าอารมณ์ร้อนกำลังด่าทั้งสองที่ปิดร้านให้รออยู่นานเพราะทั้งสองช่วยกันไปหาซื้อของเก่ามาเข้าร้าน ฉินเจียงโมโหจะชกหน้าดีแต่ซูหลิงรั้งไว้บอกว่าเราผิดเอง
“ขอโทษนะคะ” ผิงอันทักขึ้น ฉินเจียงตกใจไม่คิดว่าผิงอันจะมาหาถึงที่นี่ เมื่อนั่งคุยกัน ผิงอันบอกว่า “เห็นพี่ไม่ได้แวะไปที่บ้านบ้างเลย ทุกคนก็เลยเป็นห่วง” ฉินเจียงขอบใจให้บอกทุกคนว่าตนสบายดี “แต่ท่าทางพี่ชายรองดูเศร้าๆ”
ฉินเจียงตอบผ่านๆ ว่าเรื่องที่ร้าน พอลงมาทำเอง จริงๆจังๆ ก็รู้สึกว่ามันไม่ง่าย แล้วถามถึงจ้าวซันว่าเป็นอย่างไรบ้าง ติดต่อมาบ้างหรือเปล่า ผิงอันส่ายหน้า ฉินเจียงหน้าสลดพูดเปรยๆ...
“อยู่ดีๆก็อยากเจอขึ้นมา ไม่รู้ทำไม ทั้งๆที่เมื่อก่อนเหม็นขี้หน้ากันจะตาย”
ผิงอันพูดผ่านๆ ว่าพี่ชายใหญ่คงยุ่งถึงไม่กลับมาเสียที ฉินเจียงจึงชวนน้องไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านอร่อยฝั่งโน้น แต่พอเห็นร้านเล็กๆโทรมๆ ผิงอันก็รู้สึกสลดใจสงสารพี่ชายที่ตกอับถึงเพียงนี้ แต่ก็ทำร่าเริงชวนซื้อไปกินที่ร้านกันดีกว่า
ooooooo
มิถิลาหนีไปขอบวชชีที่วัดริมแม่น้ำเวียงสาย แม่ชีที่สำนักบอกว่าเวลานี้เจ้าสำนักออกธุดงค์ในป่าไม่รู้จะกลับเมื่อไร ให้มิถิลากลับไปคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่วันหลัง
“คิดดีแล้วเจ้าค่ะ” มิถิลาอ้อนวอนขอบวชเพราะตั้งใจจะบวชไม่สึกให้พ่อ ทดแทนบุญคุณท่าน ขอให้โกนหัวให้เลยได้ไหม แม่ชีเลยให้เพื่อนชีพาเข้าไปในสำนักก่อนดีกว่ารอท่านกลับมาแล้วคอยดูวาท่านจะว่าอย่างไร
“บวชไม่ได้” เสียงเจ้าสำนักแทรกเข้ามา ทุกคนหันมอง เจ้าสำนักเดินมาด้วยอาการสงบน่าเลื่อมใสศรัทธา มองมิถิลาบอกว่า “ยังร้องไห้ตาแดงมาแบบนี้ ไม่มีใครเขาบวชให้หรอก จะบวชจริง ใจต้องพร้อมก่อน การบวชไม่ใช่การซับน้ำตาถ้าจิตยังเศร้าหมอง บวชไปก็แก้อะไรไม่ได้ จะทำให้ผ้าขาวมัวหมองเสียเปล่าๆ มีแม่ชีเที่ยวเดินร้องไห้ร่ำไรพิลาปรำพันมันไม่เหมาะ ทำใจให้สงบได้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันใหม่”
มิถิลาจึงอยู่ช่วยงานที่สำนักไปด้วยหัวใจที่บอบช้ำ...
ฝ่ายศิขรนโรดมคิดไม่ตก ไม่รู้ว่ามิถิลาหนีไปด้วยเหตุใด จ้าวซันแนะว่าต้องไปคุยกับเธอเองให้รู้เรื่อง สะกิดให้คิดว่าเรื่องครอบครัวก็น่าจะทำให้มิถิลาคิดมากเหมือนกัน
“ทำไมล่ะเจ้าพี่ ก็พี่เขาและตัวเขาก็จงรักภักดีกับเรา จนตัวเองต้องเจ็บต้องลำบากทุกอย่าง เขาไม่เหมือนพ่อเขาสักหน่อย แล้วพอน้องได้เป็นเจ้าหลวง อย่างที่เขาก็แทบจะยอมตายถวายชีวิตก็ได้เพื่อให้น้องมาสู่จุดนี้ ในเมื่อเจ้าพี่ทรงสละตำแหน่งหน้าที่นี้ให้น้องสมดังที่เขาฝันจริงๆ เขากลับทิ้งน้องไป แบบนี้มันใช้ได้หรือ” ศิขรนโรดมรำพึงรำพันคิดไม่ตก
อสุนีเองก็ร้อนใจ ไปหามิถิลาที่วัด ถามว่าทำไมถึงทำแบบนี้ทั้งที่น้องไม่เคยใฝ่ใจทางธรรมะมาก่อนเลย
“เมื่อก่อนเราไม่เคยมีความทุกข์อย่างนี้ เวลานี้คนอย่างเราจะมีหน้าไปอยู่ร่วมอะไรกับคนดีๆเขาได้”
“แต่น้องไม่ได้เกี่ยวข้องกับพ่อ น้องยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับพ่อด้วยซ้ำ”
“แต่บาปทั้งหมดมันตกกับเรานะพี่...ผู้คนในวังเขาก็รังเกียจเราทั้งนั้น” อสุนีถามว่าใคร “ช่างมันเถอะพี่ ในเมื่อพ่อเคยทำบาปมันก็น่าจะดีมิใช่หรือ ถ้าน้องบวชเพื่อล้างบาปให้ท่าน”
อสุนีย้ำว่าเธอควรอยู่เคียงข้างเจ้าหลวง มิถิลาไม่อาจบากหน้าทำได้ อสุนีถามว่าแล้วจะทิ้งเจ้าหลวงให้ทรงโดดเดี่ยวหรือ มิถิลาชี้แจงทั้งที่เจ็บปวดใจว่า
“ไม่ได้ทรงโดดเดี่ยวเลย เจ้าหลวงทรงมีพี่ที่ทรงรักและเจ้าพี่ของพระองค์ก็ทรงสนิทเสน่หาในเจ้าหลวงมาก ถึงกับถวายตำแหน่งเจ้าหลวงให้ง่ายๆ เราสิพี่...เราสองคนคือคนอื่น ตรงนั้น...ไม่ใช่ที่ทางของคนอย่างเราเลย”
อสุนีฟังเหตุผลของมิถิลาแล้วอึ้งไป
ooooooo
ที่บ้านครูเฒ่า กลายเป็นที่พูดคุยความในใจกัน ของหมอหลวงและภูสินทร โดยมีครูเฒ่าร่วมฟังและทัดทานท้วงติงเตือนสติในบางครั้ง
หมอหลวงบ่นเสียดายที่จ้าวซันตัดสินใจเช่นนั้น ภูสินทรพูดอย่างสิ้นหวังว่าเมื่อเป็นพระประสงค์ของพระองค์แล้วเราจะทำอย่างไรได้ ครูเฒ่าติงว่า...
“อะไรที่เกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นก็คือดีอยู่แล้ว ถ้าจงรักภักดีต่อองค์น่านปิงนรเทพจริง ก็หยุดวิพากษ์วิจารณ์เถอะ”
“เสียดาย...ที่เราทำทุกอย่างมาตลอดชีวิตเพื่อเป้าหมายนั้น แต่แล้วพระองค์กลับไม่ทรงต้องการ” ภูสินทรบ่นต่อ
“ผมก็เสียดายแทนบ้านเมือง แทนที่จะมีเจ้าหลวงเก่งๆ รู้เรื่องการบริหาร เรื่องเศรษฐกิจโลก เรื่องประเทศต่างๆมาทรงดูแล ต้องกลับ...”
“หยุดเถอะๆ ขอร้องล่ะ เจ้าหลวงพระองค์นี้ สำหรับผม ถือว่าทรงดีพอ ไม่แพ้องค์น่านปิงเหมือนกัน และองค์น่านปิงก็คงจะทรงเป็นที่ปรึกษาอยู่ ไม่ทิ้งไปไหนหรอก”
แต่เวลาเดียวกันนี้เอง บราลีกำลังหว่านล้อมจ้าวซันว่าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วให้ไปจากที่นี่เสีย จ้าวซันติงว่า
ศิขรนโรดมยังต้องการความช่วยเหลืออยู่
“การช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหลวงศิขรนโรดมคือ เสด็จจากไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่ทรงสมควรกระทำ เพราะองค์ศิขรจะเติบโตแล้วจะทรงทำอะไรก็สำเร็จทุกอย่างเมื่อไม่มีเจ้าพี่” นอกจากนี้ บราลียังชี้ให้เห็นว่า จ้าวซันเองก็จากที่นี่ไปนานและตอนจากไปก็ยังเด็กเหลือเกิน ย้ำว่า “ถ้าเจ้าหลวงต้องทรงช่วยตัวเองไม่มีพี่จะต้องทรงเติบโตเข้มแข็ง แล้วก็อาจจะเก่งในเพียงเวลาข้ามคืนก็ได้”
ฟังเหตุผลของบราลีแล้วท่าทีของจ้าวซันเริ่มอ่อนลง เมื่อไปบอกมาทยาธรกับพระเทวี ทั้งสองตกใจที่จ้าวซันจะทิ้งศิขรนโรดมไป มาทยาธรถามว่ายังโกรธลุงอยู่ใช่ไหม
ระหว่างคุยกัน ศิขรนโรดมเข้ามาถามว่าคุยอะไรกันหรือดูเครียดๆ เมื่อรู้จากพระเทวีว่าจ้าวซันกับบราลีจะลากลับฮ่องกง ศิขรนโรดมก็แทบจะดิ้นพล่านโวยวายงอแง
“ไม่เอา...น้องไม่ให้พี่กลับ...” จ้าวซันบอกว่าน้องเป็นต้นไม้ที่ต้องโตเองได้ “ไม่จริง น้องยังเป็นไม้อ่อน ต้องการพี่เป็นไม้ช่วยค้ำยันน้องให้แข็งแรงก่อน น้องยังอยู่ด้วยตนเองไม่ได้”
มาทยาธรและพระเทวีมองหน้ากันอย่างกังวล...
การหนีไปของมิถิลาทำให้ศิขรนโรดมกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตัดสินใจไปหาอสุนีที่บ้านถามว่ามิถิลาอยู่ไหน
อสุนีไม่ยอมบอกทั้งยังขอให้ปล่อยน้องไปเสีย น้องต้องการไปหาความสงบเพื่อสร้างกุศลให้กับพ่อและรักษาจิตใจที่บอบช้ำ ศิขรนโรดมอ้อนวอนว่าตนต้องการมิถิลา ตนอยู่ไม่ได้โดยไม่มีเธอ อสุนีตัดบทว่าตนไม่อยากบังคับน้อง
จากการพูดคุยกัน อสุนีรู้ว่าจ้าวซันกับบราลีกำลังจะเดินทางกลับฮ่องกงวันเสาร์นี้ อสุนีถามว่าเป็นกลลวงอะไรหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อว่าจ้าวซันจะทิ้งคีรีรัฐไปได้
ศิขรนโรดมถามอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมเจ้าคิดอย่างนั้น”
“นั่นสิ หม่อมฉันควรจำใส่หัวไว้ว่าองค์น่านปิงนรเทพทรงประเสริฐเลิศเลอ ไม่หวังอะไรเลย ทรงสละได้ทุกสิ่งราวกับเทพเจ้าก็ไม่ปาน” อสุนีประชดประชัน ทำให้ศิขรนโรดมยิ่งไม่พอใจ แต่อสุนีคิดอะไรบางอย่างในใจแล้ว
ooooooo
เต๋อเป่ายังอยู่โรงพยาบาลในสภาพที่หมอกับพยาบาลพากันงุนงงว่าทำไมอาการของเขาไม่ดีขึ้นสักที ทั้งที่สมองไม่ได้กระทบกระเทือนอะไรเลย พยาบาล ตั้งข้อสังเกตว่าเขาแกล้งบ้าหรือเปล่า หมอคิดว่าคงไม่ใช่
แต่ผู้กองเหลียงจับได้ว่าเต๋อเป่าแกล้งบ้าเพราะมาได้ยินเต๋อเป่าเผลอตะโกน “เฮ้อ...น่าเบื่อจริงโว้ย”
เมื่อจับได้ว่า เต๋อเป่าแกล้งบ้า ผู้กองเกลี้ยกล่อมให้บอกความจริง โดยจะรับรองความปลอดภัยให้ เต๋อเป่าจึงต้องเล่าความจริงให้ฟังว่าตนถูกเหม่ยอิงพยายามฆ่า ผู้กองบอกว่าตำรวจก็ระแคะระคายเหมือนกัน แต่เห็นจ้าวซันมอบหมายให้เหม่ยอิงดูแลบริษัทแทนและเกาเฟยก็มาเป็นผู้ช่วย ตำรวจจึงตัดข้อสงสัยที่ว่าสองคนนี้เป็นคนร้ายออกไป
“คุณชายจ้าวซันยังไม่รู้เรื่องนี้ใช่ไหม” ผู้กองเหลียงถาม
“คิดว่ายัง ว่าแต่ทำไมคุณชายรองถึงยอมปล่อยให้คุณเหม่ยอิงเข้าไปครองบริษัทได้ง่ายๆ”
“จ้าวฉินเจียงกำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย และก็มีคดีติดอยู่มากมาย คงทำอะไรไม่ได้มากตอนนี้” ผู้กองบอก
“รีบติดต่อคุณชายจ้าวซันตอนนี้ด่วนเลย คุณชายจ้าวซันอยู่ไหน” เต๋อเป่าร้อนใจ แต่ตำรวจทุกคนก็ส่ายหน้าสิ้นหวัง
หลังจากได้ข้อมูลจากเต๋อเป่าแล้ว ผู้กองให้หมวดจางกับจ่าหมงไปเฝ้าเต๋อเป่าไว้อย่าเพิ่งให้ออกจากโรงพยาบาล ให้เขาทำเป็นบ้าต่อไป ส่วนเหม่ยอิงกับเกาเฟยเรายังจับไม่ได้เพราะหลักฐานไม่เพียงพอ
“ผมให้ทุกฝ่ายพยายามติดต่อคุณชายจ้าวซันแล้ว แต่ยังไม่มีใครติดต่อได้เลย” อเล็กซ์เอ่ย
“นึกซิว่ามีใครที่พอจะติดต่อคุณชายจ้าวซันได้อีกบ้าง” ผู้กองสั่ง ตำรวจได้แต่มองหน้ากันเครียดๆ
ooooooo
วันนี้...ขณะจ้าวซันกับบราลีไปลาครูเฒ่าที่บ้าน ศิขรนโรดมตามไปขอร้องให้บราลีช่วยพามิถิลากลับวัง ถ้างานนี้สำเร็จก็จะยอมให้ทั้งสองกลับฮ่องกง
แต่เมื่อบราลีพาศิขรนโรดมไปที่วัดแม่น้ำเวียงสา เห็นมิถิลากำลังช่วยงานสำนักอยู่อย่างเศร้าเหม่อลอย บราลีให้ศิขรนโรดมเข้าไปหาและหว่านล้อมมิถิลากลับ แต่ศิขรนโรดมกลับไม่กล้า บราลีจึงพากลับวันหลังค่อยมาจัดการใหม่
หลังจากนั้น พระเทวีก็ไปหามิถิลาด้วยตัวเอง เล่าอดีตของตัวเองให้ฟังว่า เมื่อยี่สิบปีที่แล้วตนก็เคยคิดจะมาบวชที่นี่เหมือนกัน บวชไม่สึกเลยด้วย มิถิลามองตะลึง พระเทวีเล่าอีกว่า
“แต่สุดท้ายก็มีคนมาเตือนสติฉันว่า การบวชไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไร ฉันก็เลยกลับไป เผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้น ค่อยๆทนแก้มันไปเรื่อยๆ อาศัยคนคนนั้นคอยเป็นกำลังใจให้ฉันเสมอมา”
“ดีจังเลยนะเพคะที่พระองค์มีคนคอยให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา”
“จริงๆแล้วเขาไม่ได้ตั้งใจให้กำลังใจฉันหรอก แต่ฉันอาศัยเขาเป็นกำลังใจมากกว่า” มิถิลาถามว่าใครหรือ “ลูกชายของเรา...ศิขรนโรดม...ศิขรเป็นเด็กดี อ่อนโยนมาตั้งแต่เล็กจนโต”
มิถิลาเสียความรู้สึกขอตัวไปทำงานต่อ พระเทวีตัดสินใจขอร้อง “มิถิลา...กลับไปแต่งงานกับศิขรได้ไหม” แต่ถูกมิถิลาปฏิเสธเพราะตนตั้งใจจะมาศึกษาพระธรรมและตัดเรื่องทางโลกแล้วจริงๆ เธอกราบแทบเท้าพระเทวีหมอบนิ่ง
เพราะศิขรนโรดมไม่ยอมแตะต้องอาหาร เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง จ้าวซันเข้าไปดูจึงรู้ว่ามีไข้สูงมาก เขาปรารถกับบราลีอย่างหนักใจว่า “เจ้าน้องทรงมาเป็นแบบ นี้...แล้วเราจะกลับไปได้ยังไง”
ส่วนที่ฮ่องกง วันนี้เหม่ยอิงโกรธตาแทบลุกเป็นไฟ เมื่อเกาเฟยมาบอกว่า ที่ดินตรงร้านของซูหลิงนั้นผิงอันมาซื้อตัดหน้าไปแล้ว!
เหม่ยอิงกลับไปเล่นงานผิงอันอย่างหนัก คาดคั้นถามว่าเอาเงินจากไหน ธนาคารที่ไหนเขาให้กู้เพราะยังไม่บรรลุนิติภาวะ ผิงอันเผชิญหน้าตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ฉันไม่บอก!”
เหม่ยอิงกรี๊ดสุดเสียง ถามว่า จ้าวซันใช่ไหม ติดต่อจ้าวซันได้แล้วใช่ไหม ผิงอันหันมาทำหน้าเย้ยแต่ไม่ตอบแล้วเข้าห้องปิดประตูเลย เหม่ยอิงตามไปกระหน่ำทุบประตูแทบพัง จนอากง อาม่า และแม่สี่พากันส่ายหน้า...
ooooooo
อาการไข้จนเพ้อของศิขรนโรดมทำให้พระเทวี วิตกมาก เฝ้าเช็ดตัวลดความร้อนให้ ได้ยินศิขรนโรดมเพ้อไม่เป็นภาษาก็พึมพำอย่างสะเทือนใจ
“โธ่...ลูกหนอลูก ทรงแข็งแรงมีพระอนามัยดีแท้ๆ ทำไมกลายเป็นอ่อนแออย่างนี้ ลูกคือเจ้าหลวงของคนทั้งคีรีรัฐ ใครๆก็ฝากความหวังไว้ที่ลูกนะลูก...”
แม่นมขอประทานอภัยที่ตนเป็นต้นเหตุนี้ เพราะตนไม่รู้จริงๆ ว่าองค์เจ้าหลวงจะทรงรักมิถิลาขนาดนี้ สัญญาว่า “ต่อไป หม่อมฉันจะไม่บ่น ไม่ว่า ไม่ทำอะไรไม่ดีต่อคุณมิถิลาอีกแล้ว”
“เอาเถอะแม่นม...เรื่องมันแล้วไปแล้ว อย่ามามัวแต่โทษตัวเองเลย” พระเทวีปลอบ แม่นมภาวนาขอให้มิถิลากลับเร็วๆ ด้วยเถิด “นม...ฉันว่า รีบไปตามหมอหลวงมาเถอะ ท่าจะไม่ดีแล้วล่ะ”
ขณะนั้นเอง จ้าวซันเข้ามาพร้อมบราลี เห็นสภาพของศิขรนโรดมแล้วตกใจถามว่า
“ทำไมเจ้าหลวงเป็นขนาดนี้ เจ้าหลวงมีโรคประจำพระองค์หรือเปล่าเจ้าป้า กระหม่อม”
“ทอดเนตรเอาเองก็แล้วกัน เจ้าหลวงไม่มีพระโรคทางกายอะไรเลย แต่พระทัยน่ะสิ ทรงมีพระทัยที่อ่อนแอเกินไป เช่นนี้แล้ว...ฝ่าบาทจะยังทิ้งน้องไปได้ลงคออีกหรือเพคะ”
จ้าวซันไม่ตอบ นั่งลงที่เตียงข้างตัวน้องด้วยสีหน้าหนักใจ...
เหตุการณ์บังคับให้จ้าวซันกับบราลีต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เด็ดขาดรวดเร็ว ด้วยการให้บราลีแต่งชุดดำไปอุ้มมิถิลาจากวัด ขณะเธอกำลังตากผ้า บราลีใช้ผ้าคลุมหัวและพันตัวมิถิลาอุ้มออกไป
“ม่านฟ้า...คุณคิดจะทำอะไรน่ะ เอาผ้าออกไปจากตัวฉันเดี๋ยวนี้นะ” บราลีตกใจถามว่ารู้ได้ไงว่าเป็นตน “ฉันจำกลิ่นน้ำหอมท่านได้น่ะสิ กลิ่นน้ำหอมฝรั่ง...ท่านทำบ้าอะไร คิดจะแก้แค้นข้าหรือ”
บราลีบอกว่าระหว่างเราไม่มีความแค้น จ้าวซันก็เตือนว่า ให้ปล่อยวางเรื่องเก่าเสียเถิด ขอร้องว่าก่อนบวชพวกตนจะพาไปดูคนคนหนึ่งก่อน แล้วหากเธอยังต้องการบวช พวกเราจะพากลับมาส่งทันที
ooooooo
มิถิลาถูกพาไปที่บ้านพักตากอากาศริมน้ำตก ที่นั่นภูสินทรและคนของเขายืนกันอยู่เต็มไปหมด มิถิลาชะงัก บราลีคว้ามือไว้
“ไม่มีอะไรเป็นอันตรายกับเธอหรอกน่า สิ่งที่
น่ากลัว คือ คนคนหนึ่ง อาจจะอาการหนักหนาสาหัสกว่านี้”
มิถิลาถามว่าใคร จ้าวซันเชิญเธอเข้าไปดูเองก็แล้วกัน...มิถิลาจะกลับ ภูสินทรเข้ามาขอร้องให้เธอให้ความร่วมมือ บราลีจึงอาสาเข้าไปเป็นเพื่อน แล้วเดินนำไป
พอเข้าไปเห็นสภาพของศิขรนโรดม มิถิลาอึ้ง แต่ยังไม่วางใจถามว่าแกล้งทำหรือเปล่า แล้วเข้าไปดูใกล้ๆ พอดีศิขรนโรดมขยับตัวลืมตา เห็นมิถิลาลางๆ
ศิขรนโรดมก็ยิ้มออกมาถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
“มิถิลา...นี่...นี่เราคงฝันไปสินะ” แล้วหลับไปอีก
เมื่อเข้าไปจับตัว มิถิลาถึงกับสะดุ้งถามว่าทำไมทรงมีไข้สูงขนาดนี้ เธอจับมือศิขรนโรดมร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสะเทือนใจ
เมื่อศิขรนโรดมรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง มิถิลาดีใจมาก โผเข้าเรียก “เจ้าหลวง...ฝ่าบาท...ทรงเป็นยังไงบ้างเพคะ ปวดพระเศียรหรือว่าปวดเมื่อยตัวหรือเปล่า ทรงติดเชื้อในกระแสพระโลหิตเพคะ”
แต่ศิขรนโรดมไม่ได้สนใจคำถาม เฝ้าแต่จ้องหน้ามิถิลาถามว่าตนฝันไปหรือเปล่า...นี่คือความจริงใช่ไหม...
“จริงสิเพคะ หม่อมฉันมาถวายรับใช้เจ้าหลวงแล้ว เหมือนที่เคยรับใช้ ตอนที่เราไปต่างประเทศด้วยกัน”
ทั้งคู่ต่างระลึกถึงวันเวลานั้นที่สนิทสนมและสนุก
สนานกันมาก แต่พอกลับมาถึงคีรีรัฐเรากลับห่างเหินกัน
“หม่อมฉันไม่มีทางอื่นเพคะ...ไม่มีจริงๆ ในฐานะที่หม่อมฉันเป็นลูกของท่านพ่อ หม่อมฉันคิดว่าหากหม่อมฉันไปล้างบาปแทนท่าน น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด หม่อมฉันไม่อาจอยู่ท่ามกลางผู้คนที่เกลียดชังหม่อมฉัน”
ศิขรนโรดมถามว่า แล้วคนที่รักเธอล่ะ มิถิลาก้มหน้าตอบแผ่วเบา “หม่อมฉันไม่คู่ควรกับความรักของใคร”
“แม้แต่ความรักของฉันงั้นเหรอ”
“ไม่มีใครรับได้หรอกเพคะ”
ทั้งสองต่างอ้างเหตุผลของตัวเอง จนศิขรนโรดม ขอให้เธอไว้ใจตน ตนจะปกป้องและทำให้ทุกคนยอมรับ เธอให้ได้
“ฉันเป็นเจ้าหลวงไม่ใช่เหรอ ถ้าแค่ดูแลเธอ
คนเดียว ฉันยังทำไม่ได้ แล้วฉันจะไปดูแลคนทั้งคีรีรัฐได้ไง...แต่งงานกับฉัน อยู่กับฉันตลอดไปนะ...มิถิลา...”
มิถิลาพยักหน้าเขินๆ ศิขรนโรดมแทบหายไข้ในวินาทีนั้นเลย...
หลังจากนั้น พระเทวีเรียกอสุนีมาพบ เอ่ยปากขอน้องสาวเขามาเป็นพระเทวีของเจ้าหลวง อสุนีหมอบกราบขอถวายมิถิลา เจ้าหลวงจะโปรดให้ไปรับใช้อะไรสุดแท้แต่นํ้าพระทัย
นาทีนี้...ทั้งพระเทวีและมาทยาธรต่างยิ้มให้กันอย่างโล่งใจ...
ooooooo
ผู้กองเหลียง เร่งสืบและติดตามเกาเฟยและเหม่ยอิง โดยเฉพาะเส้นทางการเงินของทั้งสอง
เกาเฟยถูกติดตามและถ่ายรูปขณะเขาอยู่ในชุดราคาแพง ขับรถหรู ไม่ว่าเดินไปทางไหนในบริษัทฉินเย่ว์ พนักงานต่างพากันหลีกทางและทำความเคารพ
ภาพเกาเฟยเดินอย่างยิ่งใหญ่เข้าบริษัท ถูกบันทึกไว้ทุกระยะ
ส่วนทางด้านการเงิน อเล็กซ์กดแล็ปท็อปให้
เต๋อเป่าและผู้กองเหลียงดูพลางอธิบาย
“เส้นทางของเงินที่เข้าไปที่บัญชีของเกาเฟย ที่เวียดนามและที่เมืองจีน มาจากบัญชีของบริษัทในเครือฉินเย่ว์กรุ๊ปทั้งสิ้น เป็นบริษัทที่จ้าวเหม่ยอิงเพิ่งเข้าไปบริหารแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหลังจากจ้าวซันไม่อยู่นี่เอง”
“หลักฐานเท่านี้ยังไม่พออีกหรือครับ ส่วนเรื่องการปล้นรถสื้อฉวนคนรถตายก็เป็นฝีมือมันแน่ๆ แต่ผมหาหลักฐานพยานไม่ได้เท่านั้น พวกคุณต้องหาทางเข้าไปในโรงงานกันเองว่าหลังจากการปล้นวันนั้นแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในโรงงานหรือเปล่า”
พอดีหมวดจางที่ไปสืบมาถึง หมวดจางรายงานว่า เหม่ยอิงยกเลิกการซื้อวัตถุดิบของบริษัทคู่ค้าเก่าหลายแห่ง และไปซื้อจากร้านใหม่ในเมืองจีนที่คุณภาพต่างจากสเปกมาก เหม่ยอิงบอกว่าเป็นการลดต้นทุน ทำให้ขายได้กำไรมากขึ้น
เต๋อเป่ามองทะลุว่า เหม่ยอิงคงไม่ได้ใช้ของผิดสเปกเพื่อกำไรที่มากขึ้นอะไรนั่นหรอก ผู้กองเหลียงถามว่าแล้วทำเพื่ออะไร เต๋อเป่าฟันธงว่า
“เพื่อทำลายจ้าวซัน!”
ooooooo
อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 16
คืนนี้...เหม่ยอิงนัดพบกับเกาเฟยที่ท่าเรือ เขาถามว่าดำเนินงานขึ้นต่อไปได้เลยใช่ไหม
เหม่ยอิงนั่งอยู่ในรถบอกอย่างพอใจว่างานเราสำเร็จไปอีกขั้นแล้ว เพราะลูกค้าที่ออสเตรเลียคอมเพลน มามากมายว่าสินค้าเมดอินไชน่าล็อตนี้ไม่ได้คุณภาพ เกาเฟยเสริมว่าทางยุโรปก็เหมือนกัน
อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 15-16 วันที่ 18 ก.ค. 56
โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ