อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13 วันที่ 13 ก.ค. 56

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13 วันที่ 13 ก.ค. 56


มิถิลาถูกพวกนางในวังติฉินนินทา ดูถูก รังเกียจว่าเป็นลูกกบฏ มิถิลาทนไม่ได้ตอบโต้ว่า

“อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีกัน ฉันกับผู้ใหญ่ไม่ได้มีอุดมคติเดียวกัน คนในครอบครัวเดียวกันขัดแย้งกันในทุกๆเรื่องก็มีถมไป”

บรรดานางในวังกลุ่มนั้นก็ยิ่งพากันหัวเราะเยาะ จนอสุนีโผล่พรวดออกไปปกป้องมิถิลา จ้องหน้าพวกนางในวังขมึง



“ท่าทางงานฝ่ายในจะว่างมาก แต่ถ้าพวกคุณยังไม่เลิกกระแนะกระแหนน้องสาวผม รับรองเจอดีแน่!”

เจอท่าทีดุดันของอสุนี พวกนางในวังก็แยกย้ายกันไปตัวใครตัวมัน อสุนีปลอบน้องว่า

“เจ้าไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดของคนพวกนั้น น้องต้องอดทนจนกว่าเราจะพิสูจน์ตัวเองได้ว่า เรา...พี่น้องคือข้ารองพระบาทองค์ศิขรนโรดมที่จงรักภักดีพระองค์อย่างแท้จริง”

“เจ้าน่านปิงนรเทพไม่ปล่อยพ่อลอยนวลแน่”

อสุนีบอกว่าเราต้องเป็นคนจับพ่อเราเอง มิถิลาถามว่าจับได้แล้วจะทำอย่างไร

“พี่ต้องดูแลให้พ่อปลอดภัย แล้วให้พ่อได้รับโทษอย่างโปร่งใสที่สุด” มิถิลาถามว่าถ้าพ่อไม่ยอม? “เราทุกคนต่างมีหน้าที่ต่อแผ่นดิน อย่าให้เรื่องสายเลือดมาทำให้เราเสียคำสัตย์สาบาน”

“เราเหมือนตัวอะไรไม่รู้ ใครเขาจะเชื่อใจ จะทำอะไรก็เหมือนจะเป็นอันตรายไปทั้งนั้น ส่วนพ่อก็ต้องชี้หน้าว่าเราคือลูกเนรคุณ”

“เราทำสิ่งที่ถูกต้อง น้องไม่ต้องกลัว พี่ก็จะไม่กลัว เราต้องมั่นคงกับความคิดของเรานะ”

อสุนีลูบผมน้องอย่างให้กำลังใจแล้วออกไป ศิขรนโรดมที่แอบฟังแต่ต้น รีบเข้ามาหามิถิลา ถามว่า

“พวกเจ้ากลัว...หรือไม่กลัวอะไรกัน...คนที่ควรจะกลัว มันไม่ใช่ข้าหรอกหรือ ขอถามหน่อย...”

มิถิลาอึกอัก ไม่ตอบอะไร ศิขรนโรดมถามว่า “พ่อของเจ้าอาจจะติดต่อเจ้ามาในไม่ช้า...จริงไหม” มิถิลาถามว่าฝ่าบาททรงคิดอะไร ศิขรนโรดมตอบอย่างหนักใจ คิดเครียดว่า

“ก็คิดว่า...ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจเสียแล้ว สิ่งที่เราวางแผนว่า จะทำอย่างสันติ อาจถูกบีบให้ต้องมีการฆ่าฟัน”

มิถิลาใจไม่ดี ถามว่าฝ่าบาทจะฆ่าพ่อตนหรือ ถ้าเช่นนั้น “หม่อมฉันควรจะไปให้พ้นจากที่นี่ไหม เพราะอาจจะมีคนคิดว่าหม่อมฉันกับพี่ชายจะเป็นอันตรายต่อฝ่าบาท หรือพระเทวี”

“เจ้ากับอสุนีก็ต้องท้าทายคนที่คิดเช่นนั้นสิ” ศิขรนโรดมดึงมิถิลาที่ถามว่าจะทำอย่างไรเข้าไปกอดบอก “อยู่เคียงข้างข้า ให้ทุกคนเห็น และหากได้ข่าวราชิดกับโกศิน ต้องให้ข้ารู้ก่อน”

“หม่อมฉันกับพี่ จะทำทุกอย่างตามพระบัญชาเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์เสมอเพคะ” มิถิลาตอบอย่างนั้นทั้งที่ใจเศร้าอย่างที่สุด

“ผิดแล้ว มิถิลา ไม่ได้คิดถึงบัลลังก์หรือความมั่นคงอะไรเลย แต่เราเพียงจับคนพวกนี้ไว้ให้ได้ ก็จะเป็นการช่วยชีวิตผู้คนมากมาย ประชาชนคีรีรัฐก็จะไม่ต้องหลั่งโลหิตอีก เจ้าต้องคิดถึงจุดนี้ก่อนเรื่องอื่น เข้าใจไหม”

ศิขรนโรดมประคองหน้ามิถิลาขึ้นประสานสายตายืนยัน มิถิลาสบตาอย่างสับสนในใจ...

ooooooo

เพราะจ้าวซันยังต้องรักษาตัวทั้งแผลระบมและ ยาที่ทำให้นอนหลับดี บราลีจึงเฝ้าดูแลเขาอย่างใกล้ชิด ตลอดเวลา เธอยืนส่องกล้องที่หน้าต่างสังเกตการเคลื่อนไหว ภายนอกอย่างระแวดระวัง

เมื่อจ้าวซันตื่นขึ้น เขาเหลือบมองบราลีบอกให้เธอพักผ่อนเสียบ้าง บราลีไม่วางใจเกรงเขาจะได้รับอันตราย จ้าวซันติงว่าเราอยู่ในวังไม่มีอันตรายอะไรแล้ว บราลีหัวเราะหยันให้ทีติงว่า

“ในวังไม่มีอันตรายหรือ ทรงประมาทแล้ว ในที่นี้เราสองคนคือคนแปลกหน้า อย่าทรงลืมเด็ดขาด” ย้ำว่า “อยู่ที่นี่นานไป หม่อมฉันชักไม่ค่อยชอบ ทรงเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้อื่นมากไปแล้ว หากราชิดยิงปืนแม่นกว่านี้...”

“เพราะน้อง...ที่เก่งจริงๆ ถ้าไม่ได้น้อง ป่านนี้พี่ตายไปแล้ว” จ้าวซันชื่มชมจากใจ

“บอกแล้ว ว่าผู้หญิงไม่ใช่ภาระ ข้างหลังผู้ชายที่ประสบความสำเร็จ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่เสมอ” จ้าวซันขอโทษที่ตนคิดผิด พูดแล้วหลับตาลง บราลียังคุยต่ออย่างกังวลว่า “ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้จริงๆสักอย่าง อยู่ๆราชิด กับโกศินก็โผล่มา จะมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีก...”

เห็นจ้าวซันเงียบไป หันมองร้องอ้าวขำๆ เพราะเขาหลับไปแล้ว บราลีลูบแก้มเขาเบาๆแล้วไปยืนส่องกล้องต่อ เห็นพวกนางกำนัลและทหารเคลื่อนไหวผิดปกติท่าทางร้อนใจ เธอจึงเดินออกไป จนถึงหน้าห้องบรรทมของมาทยาธร

บราลีแอบได้ยินเจ้าหลวงเพ้ออย่างหวาดกลัวว่าอินปงกับจันทร์แรมมา ถามอย่างตื่นตระหนกว่า

“มันตายไปแล้วไม่ใช่หรือ มันโดนพวกจัตุรัสฆ่าตายไปนานแล้ว ที่แม่น้ำเวียงสายในคืนนั้น”

แม่นมปรารภว่า หากเรื่องราวที่เจ้าหลวงเป็นแบบนี้เผยแพร่ออกไป บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร พระเทวีเสนอว่า

“หรือว่าถึงเวลาแล้ว เราจะรีบสถาปนาเจ้าหลวงองค์ใหม่ขึ้นแทน”

“องค์ศิขรนโรดมก็ทรงเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว อาจช่วยสร้างขวัญและกำลังใจแก่ไพร่ฟ้าได้” แม่นมเห็นด้วย

“ข้าไม่ได้หมายถึงศิขร แต่ข้าหมายถึงองค์รัชทายาทตัวจริง ที่มีตราประจำราชบัลลังก์คีรีรัฐอย่างถูกต้องต่างหากและเวลานี้ ก็ทรงประทับอยู่ที่นี่แล้วนะแม่นม”

“พระเทวี!!” แม่นมอุทานตกใจมองพระเทวีอย่างไม่เห็นด้วย

บราลีแอบฟังอยู่ เธอตกใจมาก ยิ่งเห็นถึงอันตรายที่จะมาถึงจ้าวซัน รีบกลับไปที่ห้องจ้าวซัน เจออสุนีอยู่ใกล้จ้าวซันจนผิดสังเกต ถามว่าทำอะไร อสุนีตกใจเล็กน้อยปฏิเสธว่าเปล่า ถูกบราลีพุ่งเข้าไปผลักออก บอกว่าเขาไม่มีหน้าที่อะไรในห้องนี้ อสุนีก้มหัวขอโทษ อ้างว่าเห็นไม่มีใครดูแลจ้าวซันก็เลยอยากเข้ามาดูให้แน่ใจว่าพระองค์ไม่ได้เป็นอะไรมาก

“ในวังนี่หาความปลอดภัยได้ยากจริงๆด้วย เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น” จ้องหน้าอสุนีบอกว่า “คนที่คุณควรต้องถวายการรับใช้ใกล้ชิด คือองค์ศิขรนโรดม ไม่ใช่องค์น่านปิงนรเทพ...เชิญ!!” บราลีเชิญอสุนีออกไปด้วยท่าทีแข็งกร้าว

ooooooo

ที่บ้านสี่ฤดู...นับวันเหม่ยอิงก็ยิ่งวางอำนาจเป็นเจ้าของบ้านแทนจ้าวไทไท วันนี้เธอไปช็อปปิ้งโดยมีเกาเฟยคอยเดินตามถือของให้ เธอถามเกาเฟยว่าอยากได้อะไรไหมในฐานะที่ช่วยเหลือตนมาโดยตลอด

เกาเฟยที่หลงรักเหม่ยอิงมานาน เมื่อเธอใส่จริตด้วยก็ได้ใจ เอื้อมมือโอบเธอ ถูกเหม่ยอิงด่าว่าทำอะไร? จะบ้าหรือ! พูดใส่หน้าว่าตนไม่เคยคิดอะไรอย่างนั้น อย่าสะเออะ “หัดเจียมกะลาหัวไว้บ้าง แกเป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร!” พูดแล้วสะบัดออกจากเกาเฟยจนของที่ถือมาร่วง เธอเดินแหวกผู้คนขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไป เกาเฟยเก็บของพลางร้อง...

“เดี๋ยวก่อนครับคุณหนู...คุณหนู...” แล้วลุกตามไป

“กลับไปได้แล้ว ไม่ต้องตามฉัน เกลียดนักพวกขี้ข้า ที่ทำตัวเสมอเจ้านาย!”

เกาเฟยยังตามอ้อนวอน คุกเข่าขอโทษ บอกว่าจะให้ตนกราบขอโทษตรงนี้ก็ยอม เหม่ยอิงสะบัดหน้าไปอย่างไม่แยแส ทิ้งเกาเฟยให้คุกเข่าตรงบันได้เลื่อน ส่วนตัวเธอขึ้นบันไดเลื่อนห่างออกไปทุกที...

เกาเฟยคิดถึงอดีตที่เหม่ยอิงอ่อยตนเพื่อใช้งานผิดกับวันนี้อย่างสิ้นเชิง! เกาเฟยบิดมอเตอร์ไซค์พุ่งออกไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน

ooooooo

ภูสินทรคุกเข่ากราบแทบเท้าจ้าวซันที่ตัวเองบกพร่องทำให้จ้าวซันได้รับอันตรายสมควรถูกลงโทษ จ้าวซันเห็นว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ราชิดหลุดจากคุกมาได้ทำให้เราตั้งรับไม่ทัน

แต่ครูเฒ่ากลับเห็นว่าคนที่ควรถูกลงโทษคือจ้าวซันกับบราลีที่ทำเอาทุกคนหัวใจจะวายกันหมด สั่งว่าต่อไปนี้ห้ามทำอะไรกันโดยพลการอีก บราลีเสนอให้จ้าวซันกลับฮ่องกงเสียเพราะที่นี่ไม่น่าไว้ใจไม่ปลอดภัยสำหรับเขา เขาไม่ควรที่จะต่อสู้เพื่อคนอื่นต่อไปแล้ว

“คนอื่นที่ไหน น้องชายของพี่ทั้งคน ถ้าพี่กลัวตายศิขรก็จะต้องสู้ตามลำพังนะน้อง” จ้าวซันท้วงติง บราลีแย้งว่าทั้งอสุนีและมิถิลาล้วนจงรักภักดีต่อศิขรนโรดมทั้งสิ้น “น้องลืมแล้วหรือว่า สองคนนั่น ลูกใคร จริงอย่างที่น้องพูดว่าคนที่นี่น่ากลัวเพราะฉะนั้น เรายิ่งต้องอยู่ช่วยศิขรนโรดมให้ถึงที่สุด”

เหตุผลของจ้าวซันทำให้ทุกคนนิ่งอึ้ง เถียงไม่ออก

บราลีเห็นว่าทั้งอสุนีและมิถิลาล้วนได้รับการฝึกอาวุธมาเป็นอย่างดี จึงกะเกณฑ์ให้จ้าวซันฝึกอาวุธให้ตนเพื่อยามจำเป็นจะได้สู้กับสองคนนั้นได้ จ้าวซันจึงสอนให้ เรียนไปหยอกกันไปอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน ระหว่างนั้นมีทหารเดินผ่านมาสองคน และมีพลุสัญญาณลอยขึ้น จ้าวซันบอกว่าคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ชวนบราลีไปลองวิชาที่เพิ่งเรียนมากันไหม?

จ้าวซันกระโจนออกไปสู้กับทหารคีรีรัฐแบบหนึ่งต่อสองด้วยมือเปล่า จนพวกนั้นชักมีดออกมา บราลีตะโกนให้ระวัง แล้วเธอก็คว้าไม้ไปช่วยอย่างที่เพิ่งฝึกกับจ้าวซันมา แม้จะเก้ๆกังๆแต่ก็ทำให้ทหารคีรีรัฐต้องห่วงหน้าพะวงหลัง จนสุดท้ายจ้าวซันจับพวกมันได้ถามว่าใครใช้ให้มา มันไม่บอก ถามว่าพลุสัญญาณนั่นคืออะไร มันบอกว่าไม่รู้

ทันใดนั้น ทหารอีกคนที่ถูกจ้าวซันเตะกระเด็นไปก็คว้ามีดพุ่งเข้าปาดคอเพื่อนตัวเองแล้วแทงท้องตัวเองตายตาม

บราลีปิดตาอย่างหวาดเสียว ส่วนจ้าวซันช็อกกับภาพตรงหน้า!

ooooooo

ที่บ้านครูเฒ่า ครูเฒ่ากับภูสินทรเห็นพลุสัญญาณเช่นกัน ภูสินทรบอกครูเฒ่าว่าท่าทางจะมาจากในป่า แล้วขอตัวออกไปสืบ ครูเฒ่าเตือนให้ระวังตัวด้วยเพราะเวลานี้เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

“น่าจะเป็นพวกราชิด มันจะมาเล่นตลกอะไรกับเราอีกก็ไม่รู้” ภูสินทรคาดคะเน ภูสินทรจะออกไปดู

เจอเด็กรับใช้ที่บ้านเข็นเกวียนบรรทุกกระสอบข้าวมาเต็ม เล่าหน้าตาตื่นว่าในวังมีเรื่องในครัวจึงสั่งให้เอาข้าวสารไปตุนไว้ก่อน

แต่ที่แท้ ราชิดกับโกศินซ่อนตัวมาในกระสอบข้าว ทั้งสองออกจากกระสอบข้าวเข้าเล่นงานครูเฒ่า แทงท้องครูเฒ่าจนล้มเลือดนอง สั่งภูสินทรให้พาไปหาจัตุรัสเดี๋ยวนี้ ภูสินทรปฏิเสธเลยถูกราชิดชักปืนออกมาขู่ ครูเฒ่าพยายามร้องห้ามภูสินทรว่า “อย่า-ไป-บอกมัน” แล้วแน่นิ่งไป ภูสินทรประคองครูเฒ่าถามว่าครูไหวไหม

“จะเอายังไง ข้าคิดถึงจัตุรัสเพื่อนรักของข้าเหลือเกินแล้ว ถ้าแกยอมพาข้าไปหาจัตุรัส ข้าก็จะยอมให้พาไอ้แก่นี่ไปทำแผล หรือจะให้มันเสียเลือดตายตรงนี้ก็ตามใจ” ราชิดถาม แล้วทั้งราชิดและโกศินก็ระเบิดหัวเราะกันออกมาอย่างสะใจ

ooooooo

จ้าวซันกับบราลีกลับมาถึงบ้านครูเฒ่า เห็นข้าวของกระจัดกระจายได้ยินเสียงร้องไห้อยู่ในครัว ตามไปเจอเด็กรับใช้ร้องไห้ตัวสั่นอยู่ที่มุมห้อง

“พระครูหายไปไหน” จ้าวซันถาม เห็นเสื้อเด็กเปื้อนเลือดถามว่า เกิดอะไรขึ้น เด็กรับใช้ก็ยิ่งร้องไห้จนพูดไม่ออก

จ้าวซันกดจุดห้ามเลือดให้ครูเฒ่า ไม่นานหมอก็มาถึง จ้าวซันสั่งครูเฒ่าห้ามถอดใจ ต้องอยู่ช่วยกันปราบกบฏก่อน

เพื่อความปลอดภัยของครูเฒ่า จ้าวซันพาท่านไปอยู่ถ้ำในป่าลึก หมอหลวงบอกว่าครูเฒ่าต้องใช้เวลาพักฟื้นนานหน่อยเพราะอายุมากแล้ว จ้าวซันพูดให้สบายใจว่า แต่ไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่ปลอดภัยไม่มีใครตามเจอแน่

จ้าวซันเชื่อว่าพวกกบฏต้องบุกเข้าไปในวังแล้วแน่ จะไปช่วยศิขรนโรดมต่อสู้ ภูสินทรเตือนว่าไม่ควรรีบร้อนจนกลายเป็นประมาท

“ฉันรู้ ทุกอย่างเวลานี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของฉันเอง ทั้งที่เราเป็นฝ่ายรุกและกำลังคุมเกมได้ แต่สุดท้ายเรากลายเป็นฝ่ายตั้งรับ ฉันคิดว่าคุมทุกอย่างได้ แต่จริงๆ ไม่ได้เลย แล้วฉันยังทำให้ศิขรนต้องมีอันตรายไปด้วย”

ในเวลาที่จ้าวซันเครียดและเริ่มสติทรุด บราลี

กลับเข้มแข็งแน่วแน่และช่วยเตือนสติให้กำลังใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าพี่ก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ตนรู้ว่าปัญหาครั้งนี้ไม่ง่าย แต่ก็เชื่อว่าเจ้าพี่จะหาทางออกได้

“ม่านฟ้า เจ้าช่างเหมือนพ่อกับแม่เจ้าไม่มีผิด” จ้าวซันชื่นชม

“หากถึงเวลา หม่อนฉันก็พร้อมสละชีพตนเองเพื่อปกป้ององค์ชายเหมือนที่พ่อแม่ของหม่อมฉันได้เคยทำ”

จ้าวซันมองบราลีอย่างซึ้งใจ ในขณะที่บราลี

มองตอบด้วยแววตาแน่วแน่เด็ดเดี่ยวอย่างที่สุด

ooooooo

เวลาเดียวกันนั้น พวกกบฏก็ส่งกำลังทหารที่แปรพักตร์เข้าโจมตีในวังอย่างทั่วด้าน ศิขรนโรดมถูกชายชุดดำสองคนเข้าโจมตีขณะยืนอยู่ที่ศาลา แต่มิถิลาช่วยไว้ทัน

ชายชุดดำที่บุกเข้ามาคนหนึ่งถูกฆ่าตายอีกคนหนีไปได้ ศิขรนโรดมเสียดายที่เสียพยานไปแต่ก็คาดเดาได้ว่าเป็นคนของราชิด ฉุกคิดเป็นห่วงพระเทวีและเจ้าหลวง จึงรีบพากันไปที่ตำหนัก เจอแต่พระเทวีส่วนเจ้าหลวงออกไปที่ศาลาชมสวน แต่เมื่อตามไปที่นั่น พบแต่ชุดเครื่องเสวย ไม่พบทั้งเจ้าหลวงและทหารรักษาพระองค์

ศิขรนโรดมเห็นเงาคนแว้บๆ ปรากฏว่านั่นคืออสุนี ศิขรนโรดมระแวงว่าอสุนีลักพาเจ้าหลวงไป กระชากคอเสื้ออสุนีไปตะคอกถาม ก็พอดีมาทยาธรเข็นรถออกมา บอกศิขรนโรดมว่า

“อสุนี มาแจ้งพ่อว่าพวกกบฏกำลังเริ่มปฏิบัติการแล้ว เขาเลยมาช่วยพ่อ ไม่ให้ถูกเอาตัวไป”

ศิขรนโรดมอึ้งที่เข้าใจอสุนีผิด พริบตานั้นมีชายชุดดำ 3-4 คนกระโจนเข้ามาหมายสังหารมาทยาธร อสุนีกระโดดเอาตัวขวางปกป้องเจ้าหลวง พลางร้องบอก “หลบเข้าไปในวังก่อน!!”

อสุนีกับศิขรนโรดมช่วยกันสกัดพวกชายชุดดำ จนทุกคนหลบเข้าไปในวังแล้วจึงตามไปปิดประตูแน่นหนา พวกชุดดำที่มีแต่ดาบจึงจำต้องถอยกลับไป

ราชิดกับโกศิน ไปที่ผาห่มดอก ต่อสู้กับทหารที่รักษาการณ์อยู่จนบุกเข้าไปในคุก พบจตุรัสในสภาพใกล้ตายแต่เมื่อเห็นราชิดกับโกศินก็ยิ้มพูดเสียงแผ่วเบาเกือบไม่ได้ยิน

“ข้ารออยู่แล้วว่าพวกท่านต้องมา”

“ไอ้จ้าวซัน มันทำกับเจ้าอย่างนี้ ถึงเวลาที่เราต้องเอาคืน จะไม่มีความปรานีให้พวกมันเด็ดขาด!!”

ราชิดคำราม

ooooooo

ที่บ้านสี่ฤดู...เหม่ยอิงนับวันยิ่งวางอำนาจ บาตร–ใหญ่ วันนี้เห็นผิงอันเล่นกับลูกหมาอยู่ก็ถามอย่างไม่พอใจว่าใครอนุญาตให้เอาลูกหมามาเลี้ยงในบ้าน

แต่นาทีนี้ ผิงอันฮึดสู้แล้ว เธออุ้มลูกหมาเดินมาตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า

“หมาของหนู หนูซื้อมา หนูอนุญาต” เหม่ยอิงบอกว่าจะส่งเธอไปเมืองนอกเร็วๆนี้ “หนูไม่ไปเมืองนอก หนูจะรอพี่ชายใหญ่ก่อน พี่ชายใหญ่จะต้องเป็นคนเลือกโรงเรียน เลือกเมืองที่จะอยู่ แล้วก็บินไปกับหนู ส่งหนูถึงในโรงเรียน ไม่งั้นหนูไม่ไป”

เหม่ยอิงถามว่าทำไมต้องพี่ชายใหญ่ งานเขายุ่งมากแต่ต้องกลับมาเพื่อเรื่องงี่เง่าแบบนั้นหรือ

“เพราะพี่ชายใหญ่รักหนูไง” ผิงอันสวนไปทันควัน ท้าทายอย่างรู้ทันว่า “พี่เหม่ยอิงอยากจะส่งหนูไปเพื่อให้หนูไปให้พ้นๆจะได้ไม่ต้องมาคอยกีดหน้าขวางตาพี่ พี่อยากจะกำจัดหนูไปเพื่อพี่อยากจะทำอะไรไม่ดีได้ตามใจชอบใช่ไหมล่ะ”

เหม่ยอิงใช้ไม้ตายบอกว่าจะตัดเงินเดือนและค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด ผิงอันตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า

“พี่ก็ดีแต่ใช้อำนาจ ใช้เงินมาเป็นเงื่อนไข เอาเลยจะทำอะไรก็ทำ ไม่มีเงินหนูก็จะออกไปหางานทำเลี้ยงแม่สี่ เลี้ยงอาม่าเองก็ได้ ไม่เห็นจะง้อ”

“ดี...แล้วฉันจะคอยดู”

เป็นการเผชิญหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใครแล้ว...

ooooooo

ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียด ทหารในวังเตรียม พร้อมรับมือกับพวกกบฏเต็มที่ เจ้าหลวงมาทยา-

ธรเรียกศิขรนโรดม อสุนี มิถิลาและทหารจำนวนหนึ่งเข้าพบในห้อง

มาทยาธรขอโทษทุกคนยอมรับว่าเป็นความผิดของตนที่ไว้ใจคนผิด พูดกับอสุนีและมิถิลาว่า

“ที่สำคัญ ความโง่งมของข้าเองที่ทำให้พ่อเจ้าต้องตกเป็นเหยื่อของความมักใหญ่ใฝ่สูง ความโลภ ความหลงของข้าที่เป็นเชื้อไฟจุดให้พ่อเจ้ารวมทั้งโกศินและจัตุรัสเป็นลูกเพลิงที่ลุกไหม้ กำลังจะเผาศีรีรัฐของเรา กว่าข้าจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว”

ทั้งศิขรนโรดมและอสุนีต่างให้กำลังใจมาทยาธรและจะร่วมกันต่อสู้จนถึงที่สุด

ทันใดนั้น พวกราชิดนำกำลังบุกเข้ามา ราชิดตะโกนแยกสลายคนเข้าในและปลุกระดมคนของตัวเองให้ฮึกเหิมว่า

“ข้าจะไม่ขอพูดว่าเกิดอะไรขึ้นในวัง แต่ขอบอกว่า พระราชบัลลังก์ของเรากำลังจะล่มแล้ว เพราะคนพวกนี้ขี้โกง ไม่มีตราพระราชลัญจกรตราประจำพระราชวงศ์ ไม่มีสิทธิ์จะครองราชย์บัลลังก์ การกระทำที่ครอบงำคีรี–รัฐอยู่ทุกวันนี้ก็คือการหลอกลวงพวกเราทุกคน โดยเฉพาะลูกๆของข้าอสุนี และมิถิลา เจ้าสองคนอย่าส่งเสริมคนที่ทำผิดกฎมณเฑียรบาลอีกเลย จงยอมรับความจริง สำนึกผิด ยอมแพ้พ่อ กลับมาเข้าข้างพ่อ พ่อให้อภัยเจ้าทุกอย่าง แค่หันไปจับพวกนั้นแล้วเอาตัวมาส่งพ่อในทันที แล้วเจ้าจะพ้นผิด เข้าใจไหม จับพวกมันไว้ซะเร็ว”

พวกในวังที่รวมกันอยู่ในห้องมาทยาธรหันมอง

อสุนีและมิถิลาเป็นตาเดียว ทั้งสองเหงื่อแตกหน้าซีด...

ศิขรนโรดมให้กำลังใจอสุนีและมิถิลาว่าอย่าหวั่นไหว “ข้ารู้จักเจ้าดี ข้าจะไม่มีวันเชื่อราชิดแน่”

อสุนีกังวลว่าราชิดต้องป่าวประกาศเรื่องตราพระราชลัญจกรตราประจำพระราชวงศ์ และชาวบ้านส่วนหนึ่งก็จงรักภักดีต่อเจ้าหลวงองค์เก่าเช่นนี้ย่อมก่อความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน

“เรื่องนี้แก้ไขได้ง่ายมาก” ศิขรนโรดมพูดอย่างมั่นใจ ชี้แจงว่า ให้เจ้าน่านปิงนรเทพปรากฏตัวขึ้นพร้อมตราของท่าน เท่านี้เรื่องทั้งหมดก็จบ จบลงด้วยดีและถูกต้องชอบธรรมด้วย

แต่นั่น ทำให้อสุนีกับมิถิลาสบตากันยิ่งซีดลงไปอีก

ooooooo

ที่ฮ่องกง ซูหลินไปประกันตัวฉินเจียงออกมา ยังความซาบซึ้งใจแก่ฉินเจียงจนน้ำตาไหล แต่ฉินเจียงก็อดพูดไม่ได้ว่าจ้าวซันคงไม่อยากเจอหน้าตนอีกแล้ว

“คุณชายใหญ่ไปต่างประเทศ ส่งข่าวมาเป็นระยะว่ายังไม่กลับ เพราะทำธุระสำคัญยังไม่เสร็จ”

“ธุระสำคัญ...งั้นเหรอ” ฉินเจียงทวนคำอย่างครุ่นคิด

แต่ไม่ว่าใครจะเป็นอย่างไร เวลานี้ นาทีนี้ ฉินเจียงมีซูหลิงอยู่เคียงข้าง เขาก็มีกำลังใจ มีความสุข พากันไปเที่ยวในสวนสาธารณะ เห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกมาพักผ่อนกันอย่างมีความสุขก็พลอยมีความสุขไปด้วย เห็นนก–เป็ดน้ำคู่สัญลักษณ์ของรักเดียวใจเดียว ก็มองกันลึกซึ้ง

เป็นเวลาแห่งความสุขของทั้งคู่อย่างไม่เคยมีมาก่อน...

ooooooo

วันนี้...ที่ทางสามแพร่ง อันเป็นจุดนัดพบของจ้าวซันกับกองกำลังวัยฉกรรจ์ที่แต่งกายแบบชาวบ้านแต่ที่แท้มีอาวุธซ่อนอยู่ในกาย

จ้าวซันขี่มอเตอร์ไซค์มีบราลีซ้อนท้ายมาถึงทางสามแพร่ง บราลีดีใจมากที่เห็นสุริยะอยู่ที่นั่น จ้าวซันประกาศแก่ทุกคนที่นั่นว่า “ผมจะกำจัดคนชั่วให้พ้นไปจากคีรีรัฐในครั้งนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็แปลว่าผมตายไปก่อนแล้ว” ทุกคนตอบรับกระหึ่ม จ้าวซันกล่าวอย่างตื้นตันว่า

“ขอบคุณ...ขอบคุณ...อย่านึกว่าทำเพื่อผม แต่เราทำเพื่อคีรีรัฐของเรา อย่าลืม ทำตามแผนของเรา เร็ว รวบรัด เรียบง่ายเงียบที่สุด อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน อย่าให้ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บหรือเสียเลือดเนื้อแม้แต่คนเดียว...ไปกัน!”

หลังจากสั่งการแล้วก็แยกย้ายกันไป

คืนนี้...บนอาคารสูงตรงข้ามวังนั่นเอง ทหารของราชิดหลายนายซุ่มอยู่บนนั้น จัตุรัสตรวจกำลังสั่งการเฉียบขาด

“คนในไม่ให้ออก คนนอกไม่ให้เข้า เข้าใจไหม”

บนอีกอาคารสูงที่อยู่ตรงข้ามวัง จ้าวซันกับบราลีขึ้นไปส่องกล้องที่เห็นได้ในความมืด เห็นจัตุรัสออกมาสั่งการ จ้าวซันพึมพำเครียด

“ไอ้จัตุรัส...ออกมาได้ มันก็เหมือนงูบาดเจ็บ คงทำร้ายมันได้ยากขึ้นกว่าเดิม” บราลีปรารภว่าพวกมันมีมากจริงๆ “เจ้าลุงปล่อยให้คนพวกนี้ควบคุมทุกส่วนในคีรีรัฐมามากและนานเกินไป ท่านไว้วางใจคนพวกนี้ เพราะพวกมันเป็นมือเท้าให้ท่านทำการสำเร็จ พอเวลานี้ เจ้าลุงหมดวาสนา เจ้าน้องก็ยังเด็ก ใครเขาจะมายำเกรง”

บราลีถามว่าแล้วข้างในเวลานี้เป็นอย่างไรบ้าง จ้าวซันเชื่อว่าศิขรนโรดมจะให้คนมาส่งข่าว บราลีอาสาจะเข้าไปเอง จ้าวซันพูดดุๆ อย่างอ่อนใจว่า “ขอสักเรื่องได้ไหม” บราลีเลยเซ็งไป

ooooooo

มาทยาธรเก็บตัวอยู่ในตำหนัก เจ็บใจที่ถูกราชิดกล่าวหาว่าหลอกลวงประชาชนเพราะไม่มีตราลัญจกร แค้นใจที่จะให้ตนรับบาปคนเดียวเพื่อให้การยึดอำนาจของพวกนั้นกลายเป็นสิ่งชอบธรรม

“มันก็เป็นเช่นนี้เสมอมาไม่ใช่หรือเพคะ เมื่อใครสักคนจะยึดอำนาจของตัวเอง ก็ต้องมีแพะบางตัวที่ถูกเชือดเป็นเครื่องสังเวย คนพวกนี้เป็นคนพาล น้องคิดมานานแล้วว่าสักวันมันก็ต้องทำกับเราเช่นนี้ แต่น้องเชื่อว่าต้องมีคนมาช่วยเราได้”

“ใคร...น่านปิงนรเทพเหรอ” มาทยาธรถาม แม่นมติงว่าท่านทรงมีพระสติแล้วทำไมถึงยังเพ้ออีก “ข้าไม่ได้เพ้อ แต่...น่านปิงนรเทพ มันไม่ได้มาช่วยเรา มันจะมายึดบัลลังก์มันคืน...ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไม่มีที่ปลอดภัยอีกแล้ว ไม่มีใครที่ข้าไว้ใจได้อีกแล้ว แม้แต่เจ้า...สิริวาระตี” มาทยาธรเกิดอาการ ผลักพระเทวีอย่างแรงแล้วพยายามลุกขึ้น แต่แล้วก็ล้มลง...

ราชิด จัตุรัสและโกศิน นำกำลังทหารมาซุ่มอยู่ ราชิดเร่งให้ลงมือเลย เวลานี้ใครลงมือก่อนก็ได้เปรียบ จัตุรัสเห็นด้วยให้บุกเข้าไปวางยาพิษมาทยาธรเหมือนที่

มาทยาธรวางยาพีริยเทพ ทุกอย่างก็จบ!

แต่โกศินกลับเสนอว่าถ้าผลีผลามบุกเข้าไปเกรงว่าพี่น้องทหารเราจะบาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่าย

ราชิดถามว่าแล้วเขามีวิธีดีกว่านั้นหรือ

“โกศินเสนอวิธีลักลอบปีนเข้าไปทางหลังคา เมื่อพากันปีนไปถึงหลังคาตำหนักเจ้าหลวง โกศินพูดอย่างพอใจว่า

“แบบนี้...เรื่องจะเงียบที่สุด ประชาชนจะเห็นเราเป็นวีรบุรุษอย่างแน่นอน” จัตุรัสถามว่าแล้วถ้าพลาด? “อย่าให้ตกลงไปเท่านั้นก็พอ”

ราชิดเริ่มลังเลอยากใช้วิธียิงทหารวังให้ตายหมดแล้วฆ่ามาทยาธรจะง่ายกว่า โกศินแย้งว่า

“ยิงเหรอ...ทำอย่างกับว่าเรามีมือเท้าฝ่ายเดียว พวกมันไม่มีงั้นแหละ พวกเราซื้อปืนมาก็ไม่สำเร็จ แล้วจะมีปืนมีกระสุนให้ยิงกับไอ้พวกจงรักภักดีได้สักกี่น้ำ เผลอๆ พวกมันมีจ้าวซันหนุนหลังอีกล่ะ”

“แล้วทำไมต้องเป็นพวกเราที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้เองด้วย” จัตุรัสบ่น

“ท่านยังไม่เข็ดอีกเหรอท่านจัตุรัส ใช้ลูกน้องทำแล้วเป็นไง น่าจะมีบทเรียนมากพอแล้วนะ ถ้าเราสามคนไม่ลงมือเองแล้วมันเคยสำเร็จบ้างไหม” โกศินเตือนสติ

“สามคนทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เหมือนเมื่อสมัยหนุ่มๆไม่มีผิด ดี...ไปลากคอมาทยาธรมาจัดการด้วยมือของพวกเราเองให้สำเร็จ หมดมันเสียคน ทุกอย่างก็ง่ายล่ะ” ราชิดฮึกเหิมขึ้นมา แล้วทั้งสามก็ค่อยๆ คลานไปบนหลังคา

ooooooo

จ้าวซัน ภูสินทร และสุริยะส่องกล้องเห็นทุกอย่างเงียบ...เงียบเหมือนคืนนั้น...คืนที่ไม่มีใครเตรียมรับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเลย เป็นความเงียบที่ทำให้บราลีถึงกับขนลุก

ในวัง มิถิลาเสนอศิขรนโรดมให้พาเจ้าหลวงกับพระเทวีหนี เราต้องตีฝ่าออกไป แต่ศิขรนโรดมติงว่าเจ้าพ่ออาการไม่ดีและที่สำคัญคือ เราจะพาเสด็จไปไหน?

พวกราชิดลักลอบเข้าไปถึงห้องบรรทม ทุกคนตะลึงที่พบแต่ความว่างเปล่า โกศินตกใจถามว่าพวกมันดักทางของเราได้หรือ ทันใดนั้นอสุนีเดินออกมาเผชิญหน้าตอบคำถามราชิดว่า

“ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากนี่ขอรับท่านพ่อ

เจ้าหลวงมาทยาธรคือหัวใจการศึก...ท่านพ่อเป็นคน

สอนข้าเอง...ข้าจะปล่อยให้พวกท่านเข้าถึงกล่องดวงใจของเราง่ายๆ อย่างไรได้” อสุนียกมือไหว้พ่อขอให้มอบตัวเสียยังไม่สาย

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13 วันที่ 13 ก.ค. 56

โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์
กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ