อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 5 วันที่ 3 พ.ย.61

อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 5 วันที่ 3 พ.ย.61

พุดกรองดึงลิ่มไปจากมือหลวงราช บอกว่าคุณสารภีใจร้าย แล้วทำท่าเงื้อลิ่มอย่างที่สารภีแทงจีนสง  แทงไปในอากาศ หลวงราชตกใจที่เด็กน้อยพุดกรองเลียนแบบสารภีอย่างคล่องแคล่ว ถามว่าสารภีทำแบบนี้กับใคร รู้จักหรือไม่ ไม่ทันที่พุดกรองจะตอบ สารภีก็บอกชบาที่เดินตามหลังมาพร้อมกรงหนูตะเภาว่า

“เอาคืนเจ้าของเขาไปสิ เขาห่วงจะแย่แล้ว” สารภีเข้ามาพร้อมกับหมวกของหลวงราช

พุดกรองเห็นหนูตะเภาก็ดีใจจนลืมคุยกับหลวงราช ปราดเข้ารับกรงหนูตะเภาจากชบา ชบาบอกว่ามันหลบเข้าไปในห้องคุณสารภีตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้



สารภีเอาหมวกสวมให้หลวงราชอย่างใกล้ชิด ส่งสายตาให้แต่หลวงราชมองสารภีอย่างไม่แน่ใจ สารภีจึงถอยออกมาเก้อๆ

พอหลวงราชไป สารภีก็หันมาคาดคั้นกับพุดกรองว่า

“แกคุยอะไรกับคุณยศ...อย่าโกหกนะ ฉันเห็นว่าแกคุยกับคุณยศนานสองนาน”

“แกอยากหูหนวกตาบอดเหมือนหนูของแกใช่ไหม” ชบาขู่สำทับ

พุดกรองเห็นหนูวิ่งพล่านอยู่ในกรงก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนูตะเภาของตัวเอง พอดีนิ่มได้ยินเสียงพุดกรองจึงออกมาดู เห็นสารภีอยู่กับพุดกรองก็ถามว่า

“คุณสารภีทำอะไรพุดกรองเจ้าคะ”

“สั่งสอนลูกแกไม่ให้ปากมากน่ะสิ” กระชากเสียงตอบแล้วเดินไปเลย ชบารีบเดินตามไป

นิ่มถามพุดกรองว่าเขาทำอะไรลูก พุดกรองบอกว่าเจ้าหนูน้อยของตนมันตาบอดเสียแล้ว นิ่มมองหนูตะเภาในกรง เห็นเลือดกรังรอบดวงตาก็ถามว่า...คุณสารภี? พุดกรองพยักหน้า

ที่แท้สารภีบังคับให้ชบาเอาเข็มในกล่องอุปกรณ์ปักผ้าแทงตาหนูตะเภาจนบอด แล้วยิ้มเลือดเย็น ฝ่ายชบาทำแล้วพึมพำโล่งใจว่า

“ดีกว่าถูกเอาหนูตะเภายัดปากวะ อีชบาเอ๊ย...”

หลวงราชเอาลิ่มแบ่งชาไปให้เจ้าคุณต่วน เจ้าคุณต่วน หยิบดูถามว่านี่หรือที่หลวงบริบาลกับหมอฝรั่งตามหา บอกหลวงราชว่า

“หากหมอฝรั่งและหลวงบริบาลพิสูจน์ได้ว่าลิ่มนี้ทำให้จีนสงตาย คดีก็น่าจะปิดลงได้เสียที”

“กระผมคิดว่าไม่ใช่แต่คดีของจีนสงหรอกครับ...เราอาจจะปิดคดีเก่าได้ในคราวเดียวกันด้วยขอรับ”

ooooooo

เมื่อจางวางเอาวันเดือนปีเกิดของสินไปให้ขรัวตาที่วัดดูกลับมา เอื้อยถามทันทีว่าขรัวตาว่าอย่างไร เพียรมองพิกุลอย่างเป็นห่วง ยกขันน้ำขึ้นดื่ม บอกพิกุลที่ทำไม่รู้ไม่ชี้ว่า

“ท่านว่าดวงเอ็งกับสินไม่เกื้อกูลกัน แม้นว่าเกิดมาเป็นคู่ ก็เป็นคู่เวรคู่กรรมที่มีวิบากต้องชดใช้ร่วมกันเท่านั้น”

สุดถามว่าแล้วจะถึงเลือดตกยางออกหรือไม่ เพียรพยักหน้าเศร้าๆ บอกว่าท่านให้พิกุลทำบุญให้มากเข้าไว้ พิกุลอดใจไม่ได้ถามว่าแล้วพ่อว่าอย่างไร

“ก็ท่านขรัวตาออกปากอย่างนั้น ก็คงเพลาเรื่องนี้กับเอ็งลงบ้างหรอก”

พิกุลถอนใจโล่งอก เอื้อยมองพิกุลแล้วพยักหน้าเหมือนดีใจด้วย

ฝ่ายจางวางพ่วงคาดคั้นสินว่าเขียนเวลาตกฟากของใครให้ สินสารภาพว่าตนนึกขึ้นเอง เพราะพ่อไม่เคยบอกให้กระจ่างว่าตกฟากเมื่อใด จางวางถามว่า

“ไอ้สิน มึงไม่ได้คิดทำเรื่องนี้เพราะจะเลี่ยงออกเรือนกับพิกุลใช่ไหม”

“มิได้จ้ะ” สินตอบเบาแทบไม่ได้ยินเสียง จางวางฮึดฮัดไม่แน่ใจคำตอบของสิน สินเองดูออกแต่ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไร

ฝ่ายเพียรสั่งเอื้อยกับพิกุลให้เตรียมเครื่องปรุงไว้ ตนจะตามสินให้ไปตัดใบตองทำกระทงห่อหมก

เมื่อตามสินมาแล้ว เพียรถามว่าพ่อจางวางบอกหรือยัง สินตอบอึกอัก เพียรปลอบใจว่า

“ทำใจเถิดไอ้สินเอ๊ย หากฝืนเอาแต่ใจตัวเอง มันจะไม่พ้นฉิบหายกันทั้งคู่” แล้วบอกให้สินช่วยตัดใบตองตนจะทำห่อหมก อยากปลอบใจสินจึงถามว่า หรืออยากกินปลาเผา ก็ให้ฟันหยวกมาด้วย จะเผาให้กิน พอสินไปเอามีด เพียรพึมพำอย่างเป็นห่วง

“ไอ้สินเอ๊ย...เอ็งมันแพ้ดวงแท้ๆเชียว”

ฝ่ายเอื้อยเห็นสินก็เรียก สินรู้ทีบอกว่าไม่ต้องมาปลอบ เอื้อยถามว่าแล้วจะให้สมน้ำหน้ารึ? สินมองพิกุลอย่างเห็นใจแต่ไม่สามารถบอกความจริงได้ พิกุลปรามเอื้อยให้พูดกันดีๆเถิด

สินไม่พูดอะไร คว้ามีดที่เหน็บข้างฝาเดินออกไปเลย พิกุลยิ่งสงสัย เอื้อยมองตามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“หมั่นไส้นัก เดี๋ยวแม่จะทำห่อหมกใบบอนให้กิน มันจะได้คันคะเยอทั้งปาก ดูซิว่าจะอมพะนำได้ถึงเมื่อไหร่” แล้วก้มหน้าก้มตากระแทกสากตำพริกแกงปึงๆ

พิกุลมองสินอย่างรู้สึกผิดปกติ ได้แต่สงสัย

ooooooo

สินไปนั่งที่ท่าน้ำคิดเรื่องถูกจางวางพ่วงจับผิด พลันก็สะดุ้งเมื่อมีมือมาจับไหล่นึกว่าเอื้อย แต่กลายเป็นมุด สินตกใจรีบดึงมุดออกไปคุยกันที่อื่น พิกุลที่กำลังมาหาสินเห็นดังนั้นจึงตามไปด้วยความสงสัย

สินลากมุดไปอีกมุมหนึ่งท่าทางลึกลับ มุดถามว่าท่านขรัวตาว่าเจ้านายตนต้องสะเดาะเคราะห์อย่างไร สินบอกว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น  มุดหาว่าสินไม่พูดหมายจะให้คุณหลวงฉิบหายล่มจมหรือ

“ทำอย่างนั้นแล้วข้าจะเจริญอย่างไรได้ ยังพอสำนึกบุญคุณเจ้านายเอ็งอยู่หรอก แต่เรื่องอื่นมันก็อีกเรื่อง” มุดถามทันทีว่าเอ็งหมายถึงเรื่องอะไร สินตอบทันทีว่า “ข้าไม่พูด...”

“เรื่องอะไรที่พี่พูดไม่ได้รึพี่สิน” พิกุลโพล่งขึ้นแล้วหันถามมุด “พี่สินเขาไหว้วานอะไรรึ”

“ก็ไอ้สินมัน...มันซักไซ้เอาเวลาตกฟากของคุณหลวง ไปให้จางวางน่ะสิ มันว่าจะเอาไปให้ขรัวตาสะเดาะเคราะห์ แก้ชะตาร้ายให้กลายเป็นดีน่ะแม่พิกุล”

“พี่สิน...นี่พี่...”

“พิกุล...พี่หวังดี”

พิกุลนึกถึงที่เพียรบอกเรื่องคำทำนายของขรัวตา พิกุลใจหายเดินไปอย่างคนหมดแรง สินรีบตาม มุดได้แต่มองงงจับต้นชนปลายไม่ถูก

สินตามไปชี้แจง พิกุลเดินหนีไม่อยากฟัง แต่เดินไปเจอหลวงราช คุณหลวงถามไอ้สินทำอะไรพิกุลรึ พิกุลบอกว่าสินไม่ได้ทำอะไร หลวงราชกลับหาว่าพิกุลปกป้องสิน ถามว่าถ้าไม่มีอะไรแล้วหล่อนร้องไห้ทำไม

หลวงราชคาดคั้นจนพิกุลต้องปดว่าสินเล่าเรื่องชวนเสียน้ำตาให้ฟัง ตนคิดว่าเป็นเรื่องจริงแต่ที่แท้กลายเป็นเรื่องหลอกเล่น ตนอายตัวเองที่หลงกลสิน

หลวงราชปรามสินว่าอย่าคิดล้อเล่นกับพิกุลเยี่ยงนี้อีก พิกุลจึงตัดบทขอตัว พอเดินออกมาน้ำตาก็ไหลออกมาอีก ฝ่ายหลวงราชปรามสำทับสินอีกว่า

“ข้าไม่อยากเห็นพิกุลเสียน้ำตาอีก ไม่อย่างนั้นเอ็งกับข้าได้ออกแรงกันอีกรอบเป็นแน่”

พิกุลกลับไปนั่งที่หน้าห้องครัว เอื้อยออกมาเห็นถามว่าเป็นอะไรตาแดงๆ พิกุลบอกว่าไม่เป็นอะไร พอดีสินตามมาถึง เอื้อยถามสินว่าพิกุลเป็นอะไร สินส่ายหน้าแล้วเดินกลับไป

“เออ...ดี เห็นอีเอื้อยมันเป็นอากาศธาตุหรือยังไง ถามอะไรไม่มีใครตอบสักคน”

ขณะจางวางพ่วงนั่งรอสำรับอาหารเย็นก็อดคิดถึงเรื่องที่ขรัวตาบอกไม่ได้ว่า

“อ้ายพ่วง!!! เอ็งเอาสายสิญจน์ไปบูชา” จางวางเข้าไปรับสายสิญจน์มาสองเส้น “คนของลูกสาวเอ็งมันมีวาสนานัก พื้นชะตานั้นบอกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ เป็นที่รักของเจ้านาย และได้เติบใหญ่ในวงราชการ น่าเสียดายแท้ๆที่เป็นแต่เพียงคู่เวรคู่กรรมกัน...สายสิญจน์นี่เก็บไว้ให้ดี เผื่อผ่อนร้ายลงได้บ้าง...มันสองคนต้องชดใช้กรรมกันด้วยชีวิตเท่านั้น”

จางวางพ่วงคิดแล้วยิ่งหนักใจ

ขณะพิกุลยกสำรับมานั้น หลวงราชก็ขึ้นเรือนมาไหว้จางวาง เอ่ยปากฝากท้องเย็นนี้ที่นี่ด้วย จางวางไม่ตอบ แต่สั่งพิกุลให้ลงไปบอกในครัวแล้วรอที่นั่น ตนมีเรื่องจะคุยกับคุณหลวง

พิกุลกลับไปห้องครัวกังวลจนกินข้าวไม่ลง เอื้อยถามว่า

“หล่อนห่วงว่าพ่อจางวางจะขอเวลาตกฟากคุณหลวงไปถามขรัวตาอีกคนรึ” พิกุลตกใจที่เอื้อยรู้เรื่องนี้บอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น “พ่อจางวางก็น่าจะใจอ่อนลงแล้วล่ะน่า ไม่ขอวันนี้ก็ต้องขอวันอื่น”

เอื้อยกระเซ้าหมายให้พิกุลรู้สึกดีขึ้น แต่พิกุลก็ยังกังวลอยู่ดี

ฝ่ายจางวางพ่วงไม่รอช้า ขอวันเดือนปีเกิดหลวงราช คุณหลวงบอกว่าตนรู้แต่วันตกฟากอย่างสากล แต่เวลาตกฟากอย่างจะเอาไปผูกดวงนั้นตนจะให้มุดไปหามาให้

คืนเดียวกันขณะจีนพ้งกำลังฟังช่างซอและการขับร้องเพลงจีนอย่างรื่นรมย์นั้น ปิงมือขวาของจีนพ้งก็เข้ามากระซิบบางอย่างกับจีนพ้งจากข้างหลัง ฟังแล้วจีนพ้งโบกมือให้ปิงออกไป

ปิงออกมาเจอชบายืนส่งสายตาอ่อยให้อยู่มุมหนึ่ง ปิงเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ ชบาชักสีหน้าแล้วกลับเข้าห้องนวดให้สารภีตามปกติ พูดแก้ตัวว่าตนรอสืบข่าวจากปิงเลยมาช้า

สารภีถามว่าจะพึ่งมันทำไมคนของเราก็มี ถึงไม่มีมันตนก็รู้ว่าคุณหลวงยังวิ่งไปวิ่งมาที่กระทรวงอยู่ชบาถามว่าหมายความว่าคุณหลวงปดทุกคนหรือ สารภีบอกว่าอาจไปจัดการงานที่ค้างอยู่กระมัง

ชบาพูดเอาใจว่าคุณหลวงคงไม่ปดคุณสารภีแน่ พอสารภีบอกว่าไม่รู้สิ ชบาก็สอพลอว่า

“คุณสารภีแน่ใจเถอะเจ้าค่ะ อีชบานี่แหละจะช่วยกำจัดคนที่มันมาขวางคุณสารภี คุณสารภีจะต้องขึ้นเป็นคุณนายของคุณหลวงเจ้าค่ะ”

ฝ่ายหลวงราชพอกลับเข้าห้อง มุดตามเข้าไป คุณหลวงถามว่าท่านจางวางว่าอย่างไร มุดบอกว่าไม่เห็นว่ากระไร พอรับแล้วก็ไล่ตนกลับทันที หลวงราชเบาใจคิดว่าทุกอย่างคงเรียบร้อย

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้นจางวางพ่วงก็ลากสินกับพิกุลไปที่ตึกท่านเจ้าคุณจนเพียรกับเอื้อยร้องขอให้ใจเย็นๆ มุดแอบตามมาแอบฟังอย่างอยากรู้ ท่านเจ้าคุณได้ยินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไรรึท่านจางวาง

“กระผมจะขอให้ท่านเจ้าคุณผูกข้อมือให้เด็กสองคนนี้ขอรับ”

เจ้าคุณถามเพียรที่ตามมางงๆว่ามันอะไรกัน จางวางส่งสายตาปรามเพียรไม่ให้พูดแล้วตัวเองก็บอกท่านเจ้าคุณด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า

“หากกระผมพึ่งบารมีของท่านมิได้ เห็นทีกระผมต้องพาวงกลับเมืองสุพรรณ เพราะอย่างน้อยคนที่นั่นก็ไม่รู้เห็นว่าพิกุลมันถูกกระทำ ถูกใส่ความให้ฉาวโฉ่อย่างไร”

พอมุดได้ยินว่าจะมีการผูกข้อมือก็วิ่งหน้าตื่นไปหาหลวงราชทันที พอรู้จากมุด คุณหลวงก็เดินลิ่วมาที่ห้องดนตรีเห็นพิกุลกับสินนั่งอยู่ตรงหน้าเจ้าคุณที่ตัดสินใจผูกข้อมือให้สินแล้วและกำลังจะผูกให้พิกุล

ทันใดนั้นสายสิญจน์ที่เจ้าคุณจะผูกให้พิกุลก็ถูกท่านจันปัดออกไป แต่พอมือท่านจันถูกสายสิญจ์ก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวดชักมือกลับ ท่านจันช่วยอะไรไม่ได้ก็มองไปที่หน้าต่าง บานหน้าต่างปิดกระแทกอย่างแรงจนทุกคนตกใจ แต่จางวางพ่วงไม่สนใจเร่งเจ้าคุณให้จัดการผูกข้อมือพิกุลเสียให้เสร็จสิ้น

ขณะเจ้าคุณกำลังจะผูกข้อมือพิกุล หลวงราชก็พรวดเข้ามาร้องอย่างตกใจ

“คุณพ่อขอรับ!!!”

พิกุลเห็นหลวงราชมาก็น้ำตาไหลพราก มีความหวังสุดท้ายว่าหลวงราชจะช่วยระงับการผูกข้อมือได้ หลวงราชถามจางวางว่า จะให้คุณพ่อผูกข้อมือพิกุลทั้งที่น้ำตานองหน้าเช่นนี้หรือ

“ถึงจะร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือด กระผมก็ต้องทำ” บอกท่านเจ้าคุณว่า “แต่หากท่านเจ้าคุณคับข้องใจไม่อาจผูกข้อมือให้เด็กสองคนนี้ กระผมจะไม่กวนท่านเจ้าคุณขอรับ แต่ก็มิได้หมายความว่ากระผมจะให้อิสระมัน กระผมจะพามันกลับไปแต่งงานที่เมืองสุพรรณเสียตอนนี้”

เจ้าคุณถามว่าจางวางกำลังต่อรองกับตนอยู่หรือ จางวางบอกว่าตนไม่มีทางอื่น การแต่งงานเท่านั้นที่จะหยุดเสียงนินทาว่าร้ายลูกสาวตน เจ้าคุณมองพิกุลที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างลังเล จางวางตัดบทว่า

“กระผมจะไม่ทำให้ท่านเจ้าคุณหนักใจไปกว่านี้ กระผมและลูกวงจำต้องไปเสียจากที่นี่ขอรับ”

จางวางลุกไปทันที เจ้าคุณร้องขอว่าอย่าใจเร็วนัก แล้วตัดสินใจจะผูกข้อมือให้พิกุล

หลวงราชมองอย่างไม่อาจทนได้ ท่านจันก็กรีดร้องอย่างเจ็บปวดแต่ไม่มีใครได้ยิน

หลวงราชคิดหนักว่าจะทำอย่างไร แล้วจู่ๆก็หัวเราะเบาๆพูดกับเจ้าคุณเหมือนเหตุการณ์นั้นเป็นเรื่องล้อเล่นว่า

“ท่านจางวางเรียกร้องความสงสารจากคุณพ่อสำเร็จแล้วขอรับ ใช้ข้ออ้างสงสารลูกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่แท้จริงก็แค่จะต่อรองให้ได้อาศัยใต้ชายคาเรือนของเรา...ก็เท่านั้น”

จางวางพ่วงกับเจ้าคุณอึ้ง หลวงราชยิ้มเย้ยจางวาง พูดต่อไปอย่างจงใจยั่วโทสะว่า

“กระผมนึกแต่แรกว่าจะได้เห็นความเด็ดเดี่ยวของท่าน นึกว่าจะเห็นท่านก้าวออกจากเรือนอย่างอาจหาญมีเกียรติ มิใช่ทำพิรี้พิไรเมื่อเห็นว่าจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ท่านออกไปเสียแต่ตอนนี้ กระผมยังพอจะเหลือความนับถืออยู่บ้างนะขอรับ”

“ตายศ อย่าพูดพล่อย ขอขมาท่านจางวางเดี๋ยวนี้” เจ้าคุณปรามเมื่อเห็นจางวางโกรธ

“ไม่ต้อง!! คนอย่างพวกมึงมันก็เหมือนกันหมดไม่ว่าจะพระหรือหลวง สูงส่งแค่ไหนก็สันดานเดียวกันหมด...ไป...กลับ” จางวางสั่งลูกวงและดึงมือพิกุลออกไปทันที

เจ้าคุณวางสายสิญจน์ที่จะผูกข้อมือพิกุลตามออกไปหมายขอโทษจางวาง หลวงราชติงว่าอย่าไปต่อความเลย ถูกเจ้าคุณหันมาตำหนิอย่างโกรธเกรี้ยวว่าทำอะไรทำไมไม่คิดถึงหน้าตนบ้าง หลวงราชเสียงอ่อนขอร้องว่า

“คุณพ่อจะด่าว่าผมอย่างไรก็ได้ขอรับ แต่ครั้งนี้ขอให้เชื่อผมสักครั้ง”

“เชื่อแก ถ้าเช่นนั้นแกก็ต้องรับในสิ่งที่แกทำด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดผลอะไรขึ้น ฉันจะไม่เกี่ยวข้องด้วย”

เจ้าคุณหุนหันเดินออกไป หลวงราชถอนใจแล้วมองไปที่เรือนจางวางอย่างกังวล

ooooooo

เพียรถามพิกุลว่าคุณหลวงมีใจให้เอ็งจริงหรือไล่กันไม่ไว้หน้าเยี่ยงนี้ นี่รึคนที่มีใจชอบพอกัน พิกุลบอกว่าตนมองคนผิด หากฟังพ่อแต่แรกคงไม่ต้องเช็ดน้ำตาเยี่ยงนี้

พอคุณหญิงรู้เรื่องก็ไปที่เรือนจางวางเร่งให้เก็บของออกไปจากที่นี่ สั่งสร้อยให้ตรวจดูว่าเอาของเราติดมือไปด้วยหรือไม่ สร้อยกับบ่าวตรงไปที่กองข้าวของ เอื้อยพุ่งเข้าขวางประกาศลั่น

“อย่ามาแตะต้องข้าวของของฉัน ฉันเอาเรื่องไม่เว้นแม้แต่หัวหงอกหัวดำแน่ๆ”

สร้อยที่มีคุณหญิงถือหางกร่างเต็มที่ไล่และด่าพวกจางวางว่าเป็นพวกเนรคุณ สั่งบ่าวดูให้ทั่วไม่ต้องเกรงมัน เอื้อยพุ่งเข้าขวางถูกสร้อยตบ สั่งบ่าวให้จับมันไว้ เอื้อยทั้งถีบทั้งเหวี่ยงหลุดออกมา ตะโกนให้สินกับสุดออกมาช่วย สุดคว้าไม้กวาดไล่หวดพวกบ่าว ถูกบ่าวที่มีมากกว่ามารุมล้อม สินก็กันบ่าวที่เหลือไม่ให้มายุ่ง

เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย ข้าวของกระจัดกระจาย จางวางกับเพียรออกมาดู เห็นคุณหญิงตวาดสั่งให้เก็บของออกไปให้พ้นบ้านตนเดี๋ยวนี้ จางวางฉุนขาดยกไม้เท้าชี้คุณหญิง สาปส่งว่า

“ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ขออย่าให้ข้าต้องมาข้องแวะกับไอ้คนพรรค์นี้อีกเลย”

เมื่อจางวางนำลูกวงขนของออกจากประตูใหญ่ พิกุลอดเหลียวมองตึกใหญ่ไม่ได้ เอื้อยเตือนว่าอย่าอาลัยอาวรณ์นักเลย หล่อนก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาไม่เห็นหัวแม้แต่พ่อจางวาง

พิกุลตัดใจหันเดินไปหน้าบ้าน ปรากฏว่าหลวงราชมาดักอยู่ เอื้อยพูดเพื่อกันหลวงราชออกไปว่าคุณหลวงกลัวตนจะเอาอะไรติดมือไปด้วยหรือ ถึงมาดักดูให้เห็นกับตา

หลวงราชขอคุยกับพิกุล เอื้อยไม่ให้คุยอ้างว่าพ่อจางวางรออยู่ หลวงราชดึงพิกุลบอกว่าตนไม่รั้งหล่อนไว้ เพียงแต่ขอคุยสักคำได้ไหม เอื้อยกระซิบพิกุลให้ไปเถิด อยู่นานไปหล่อนมีแต่จะใจอ่อน

หลวงราชเปิดสมุดให้ดูดอกปีบแห้งสองดอกหมายจะรั้งใจพิกุลได้ บอกพิกุลว่าหากหล่อนจำแต่เรื่องร้ายๆ ก็ขอให้เก็บดอกปีบนี้ไว้ ย้ำว่า...

อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 5 วันที่ 3 พ.ย.61

ละคร ปี่แก้วนางหงส์ บทประพันธ์โดย เสน่ห์ โกมารชุน
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ บทโทรทัศน์โดย บลูลาวา
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ กำกับการแสดงโดย แมน เมธี
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ ผลิตโดย บริษัท เมกเกอร์ เจ กรุ๊ป จำกัด
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ ควบคุมการผลิตโดย จริยา แอนโฟเน่
ที่มา ไทยรัฐ