อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13 วันที่ 31 พ.ค.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13 วันที่ 31 พ.ค.61

“พวกเอ็งฟังไว้ เชื้อพระวงศ์อโยธยากลัวทหารอังวะถึงกับซ่อนองค์ในกอสวะเลยโว้ย” เนเมียวสีหบดี หัวเราะลั่นอย่างสะใจ “เอาไปรวมกันไว้ แล้วสร้างคอกขึ้นมาขังพวกมัน แบ่งแยกชายหญิงอย่าให้ปะปนกัน ถึงเวลาข้าจะพากลับไปอังวะ”

เจ้าจอมอำพันร้องไห้แค้นใจว่าพวกมันสร้างคอกขังพวกเรา มันเห็นเราเป็นสัตว์หรืออย่างไร คุณท้าวโสภา ร้องไห้ พูดด้วยความแค้นใจอย่างที่สุดว่า

“แพ้ศึกแล้ว ต่อให้มันเห็นเราต่ำกว่าสัตว์ก็จะทำอย่างไรได้เจ้าคะ”



ขณะนั้นเองทหารอีกคนเข้ามาหาเนเมียวสีหบดีรายงานว่ามีผู้แจ้งว่าพระยาพลเทพมาขอพบ เนเมียวสีหบดี แกล้งพูดเสียงดังให้ได้ยินทั่วกันว่า

“ออกญาพลเทพผู้นี้มีความดีความชอบต่ออังวะเรานัก หากไม่ได้ไส้ศึกที่ดีเช่นนี้ ไหนเลยจะพิชิตอโยธยาลงได้ ข้าคงต้องไปปูนบำเหน็จเสียหน่อยแล้ว”

กรมขุนวิมล เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา สบตากัน ตกใจสุดขีด

ooooooo

ฟังเนเมียวสีหบดีแกล้งพูดดังๆให้ได้ยินทั่วกันแล้ว ขุนนางอโยธยาคนหนึ่งในกลุ่มเชลยลุกขึ้น

ชี้หน้าพระองค์เจ้าเชษฐ์ถามด้วยความโมโหสุดขีดว่า

“ทรงได้ยินชัดแล้วกระมังเสด็จพระองค์ชาย อ้ายออกญาพลเทพมันเป็นไส้ศึก คราที่มีการฟ้องร้อง พระองค์กลับไม่ลงโทษมัน จนอโยธยาแตกก็ยังสืบสวนคดี

ไม่แล้วเสร็จ ที่เป็นเช่นนี้เพราะพระองค์รับสินบาทคาดสินบนใช่หรือไม่”

คนที่โกรธแค้นต่างโห่ร้องด่าทอพระองค์เจ้าเชษฐ์เสียงขรม ช่วยปาเศษหินเศษดินใส่อย่างโกรธแค้น พระองค์เจ้าเชษฐ์กลัวตัวสั่นยกมือปัดป้องร้องเสียงหลง “อย่าทำข้า...ข้ากลัวแล้ว”

กรมขุนวิมลเห็นสภาพพระองค์เจ้าเชษฐ์แล้วถึงกับร้องไห้ ทั้งเสียใจและสมเพช แต่ก็ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น

เนเมียวสีหบดีเดินคุยกับพระยาพลเทพเข้าไปในกระโจม โดยมีขุนแผลงฤทธิ์ตามมาอย่างกระหยิ่มที่เนเมียวสีหบดีบอกว่าจะปูนบำเหน็จให้

เข้าในกระโจมที่มีทหารของเนเมียวสีหบดีประจำการอยู่พร้อมแล้ว พระยาพลเทพและเนเมียวสีหบดีต่างยกยอปอปั้นกันไปมา เนเมียวสีหบดีถามพระยาพลเทพว่ามาวันนี้คงต้องการบำเหน็จตามสัญญากระมัง พระยาพลเทพเขินที่ถูกรู้ทัน เนเมียวสีหบดีพูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า

“เช่นนั้นข้าก็จะให้ด้วยการไว้ชีวิตท่านเจ้าคุณก็แล้วกัน”

พระยาพลเทพหน้าถอดสี แต่รีบปั้นยิ้มถามว่าท่านแม่ทัพพูดเล่นกระมัง แล้วย้ำว่า

“ตามสัญญา ฝ่ายอังวะจะต้องให้กระผมขึ้นครองอโยธยาไม่ใช่รึ”

เนเมียวสีหบดีตอบหน้าตายิ้มแย้มว่า “เพลานั้นเรายังไม่ได้ชัยเหนืออโยธยาจะให้สัญญาอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น บัดนี้เราเอาชัยได้แล้ว คิดว่าระหว่างตั้งท่านเจ้าคุณกับให้คนของอังวะขึ้นปกครอง ควรจะเลือกอย่างไหนมากกว่า”

“ไอ้สับปลับ มึงหลอกพวกกู” พระยาพลเทพสติแตก ขุนแผลงฤทธิ์ชักดาบออกมาทันที แต่ทันใดนั้นทหารในกระโจมก็ชักดาบออกพร้อมกันกรูเข้าล้อมทั้งสองไว้ พระยาพลเทพและขุนแผลงฤทธิ์หน้าเสีย ส่วนเนเมียวสีหบดีหัวเราะ พูดขำๆว่า

“เห็นใจข้าเถิดท่านเจ้าคุณ ข้าจำเป็นต้องทำ ด้วยท่านเป็นคนทุรยศ เนรคุณได้แม้แต่แผ่นดินเกิดแลคนที่ให้ข้าวแดงแกงร้อน แล้วข้าจะเลี้ยงท่านเจ้าคุณไว้ได้อย่างไร”

พระยาพลเทพเจ็บใจที่ถูกหักหลังแล้วยังถูกประจานต่อหน้าพวกเชลยอีก แต่ทำอะไรไม่ได้ เนเมียวสีหบดียังคงพูดต่อไปว่า

“แต่หากเปรียบกับพระเจ้าชำนะสิบทิศบุเรงนองที่ตัดหัวพระยาจักรีแล้ว ข้าปล่อยท่านไปก็ถือว่าข้าใจดี มาก แต่ก็ไม่ต้องขอบน้ำใจข้าดอก ข้าทำบุญไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทนอยู่แล้ว”

พระยาพลเทพขบกรามแน่นแค้นแทบกระอักเลือดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ซ้ำร้ายเมื่อกลับไปเจอกล้า พอกล้ารู้ว่าพระยาพลเทพถูกอังวะหักหลังก็สิ้นหวังคิดคดไม่ยอมขึ้นต่อ พระยาพลเทพขอสมบัติที่ปล้นมาก็ไม่ให้ซ้ำเอาปืนที่ปล้นมาได้ขู่พระยาพลเทพที่จะไม่ให้ตนแยกตัวไปว่า

“ถ้าท่านเจ้าคุณไม่ยอมให้กระผมไป ระหว่างกระผม ท่านขุนกับท่านเจ้าคุณ ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งตายกันวันนี้ล่ะขอรับ”

พระยาพลเทพเห็นปืนก็หน้าเสียแต่ยังชี้หน้ากล้าอาฆาตว่า “มึงจำไว้ไอ้กล้า สักวันกูจะเอาคืน”

ขุนแผลงฤทธิ์ก็ชี้หน้ากล้าอาฆาตแล้วเดินตามพระยาพลเทพไป กล้าถอนใจโล่งไม่คิดเหมือนกันว่าตนจะกล้าทรยศต่อพระยาพลเทพเช่นนี้

ooooooo

ฝ่ายพระยากำแหงบาดเจ็บสาหัสทั้งที่ท้องและดวงตา ได้รับการช่วยเหลือจากเป้าและขุนรักษ์เทวาพามาพักรักษาตัวที่โบสถ์ร้าง

เป้าทำแผลและเช็ดตัวให้พระยากำแหงที่ไข้สูงจนทุเลา ขุนรักษ์เทวาก็หุงข้าวและออกจับกบมาเป็นอาหารกินกันพอประทังชีวิต จนพระยากำแหงลุกเดินได้ เอ่ยอย่างซึ้งใจว่า

“นี่ถ้าฉันไม่ได้ท่านขุนรักษ์เทวากับแม่เป้าคอยดูแล ฉันคงตายไปเสียนานแล้ว บุญคุณครานี้มิรู้ว่าคนพิการตาบอดอย่างฉันจะทดแทนได้หรือไม่ แต่ฉันขอจดจำไว้ไม่มีวันลืม”

“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ เราก็เหมือนเป็นเพื่อนร่วมตายกันแล้ว มีแต่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันเท่านั้น จึงจะผ่านความทุกข์ยากสาหัสครานี้ไปได้” เป้าเอ่ย

พระยากำแหงมองเป้าพูดอย่างประทับใจว่ารู้จักเป้ามานานแต่ไม่คิดว่าเป้าจะเข้มแข็งถึงเพียงนี้ เป้าบอกว่าตนไม่ใช่คนเข้มแข็ง เพียงแต่เหตุวิกฤติทำให้ตนอ่อนแอไม่ได้เท่านั้น หญิงที่เข้มแข็งจริงๆคือแม่แมงเม่าต่างหาก ทำให้พระยากำแหงนึกได้ว่าตนลืมแมงเม่าเสียสนิท ถามตัวเองว่าเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร

เป้าเหลือบมองพระยากำแหงงงๆว่าพูดอะไร ก็ประสานกันเข้าเต็มตา แม้พระยากำแหงจะเหลือดวงตาเพียงข้างเดียว แต่ในดวงตานั้นมีความรู้สึกบางอย่างที่เปลี่ยนไปจนเป้าต้องหลบสายตามองไปทางอื่น พระยากำแหงยิ้มออกมาบางๆ แล้วสีหน้าก็ขรึมลงอย่างสิ้นหวังเมื่อนึกถึงบ้านเมืองเวลานี้...

ooooooo

ระหว่างแมงเม่าติดอยู่ในป่ากับขันทอง ขันทองฝึกวิชาป้องกันตัวเองและเพลงดาบเพลงมวยให้ สอนและเรียนกันไปก็ตัดพ้อหยอกเย้ากันตามประสา

นอกจากขันทองสอนศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังสอนการดำรงชีวิตในป่าให้ด้วยว่าอะไรกินได้กินไม่ได้ แมงเม่าสงสัยถามว่าก่อนเข้าวังออกพระบวชมาก่อนไม่ใช่หรือ หรือในวัดสอนเช่นนี้ให้ ขันทองบอกว่าพ่อสอนให้ตอนตนอายุ 6-7 ขวบ พ่อบอกว่าพ่อเป็นโจร ไม่มีอะไรจะสอนให้ก็มีแต่วิชาพวกนี้แหละ

ผ่านมา 3-4 วัน...เช้านี้ขณะกลุ่มชาวบ้านล้อมวงกินข้าวกันที่ชายป่า ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกนอย่างตื่นตระหนกให้รีบซ่อนตัว พวกอังวะมาแล้ว ตนจำได้ว่าคนขี่ม้านั่นคือเนเมียวสีหบดีแม่ทัพของอังวะ เยื้อนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านนี้ด้วย ได้ยินว่าพวกอังวะโดยเฉพาะเนเมียวสีหบดีมาด้วย แทนที่จะตกใจกลับวิ่งจากที่ซ่อนกรีดกรายมาดักหน้า คุกเข่าลงตรงหน้าส่งสายตายั่วยวนขอพึ่งใบบุญท่านแม่ทัพ ท่านโปรดเมตตาด้วยเถิด

เนเมียวสีหบดีมาเห็นเยื้อนที่เป็นสาวสวยผิวพรรณดีและมีเสน่ห์ยั่วยวนก็มีท่าทีสนใจ ทหารยุว่าเช่นนี้ปล่อยไปก็เสียดาย เนเมียวสีหบดีลังเลพูดเบาๆว่ามันผิดกฎกองทัพ ทหารผู้นั้นยุว่า “อโยธยาแตกแล้ว ถือว่าสิ้นศึกไม่เป็นกระไรดอกขอรับ” เนเมียวสีหบดีจึงหันถามเยื้อนว่า

“เมื่อเอ็งมีเรื่องเดือดร้อน ข้าก็จะช่วยเอาบุญก็แล้วกัน”

เพียงเท่านั้นเยื้อนก็ยิ้มมั่นใจ ก้มกราบเนเมียวสีหบดีอย่างยอมทอดกาย...

ฝ่ายพวกกรมขุนวิมล เจ้าจอมอำพันและคุณท้าวโสภา ถูกขังในคอกรวมกับเชลยหญิง เมื่อทหารอังวะเอาอาหารใส่ใบตองมาแจก ชาวบ้านก็กรูกันเข้าไปแย่ง คุณท้าวเข้าไปอ้อนวอนชาวบ้านขอปันไปให้เสด็จพระองค์หญิงกับเจ้าจอมบ้างเถิด ก็ถูกชาวบ้านตะคอกใส่ว่า

“เสด็จกระไร กูไม่สนโว้ย สิ้นบ้านสิ้นเมืองแล้วขืนวางอำนาจมากนัก กูจะตบให้ปากฉีกเลย”

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13 วันที่ 31 พ.ค.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ