อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 27 พ.ค.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 27 พ.ค.61

ม่วงตกใจถามว่าพวกมันมาสองพันเรามีห้าร้อยแล้วจะรับมืออย่างไร หลวงพิชัยอาสาระวังหลังให้ ท่านเจ้าคุณล่วงหน้าไปก่อนเถิด พระยาตากหัวเราะใจเย็นขอบน้ำใจคุณหลวง แต่...

“ทหารเพียงสองพันยังไม่เพียงพอจะทำให้ฉันหนีได้ดอก”

ม่วงติงว่ามันมากกว่าเราถึงสี่เท่าเชียวนะขอรับ พระยาตากจึงถือโอกาสสอนลูกน้องในทีว่า

“การทำศึก วัดกันด้วยกำลังพลกระนั้นหรือเช่นนั้นก็เป็นเพียงแม่ทัพชั้นเลวเท่านั้น ผู้รู้จักใช้ชัยภูมิในการทำศึกจึงจะถือว่าเป็นแม่ทัพที่พอใช้การได้ แต่ผู้ที่สามารถใช้ธรรมชาติรอบตัว ทั้งดินน้ำลมไฟให้เป็นคุณได้นั้น จึงจะถือเป็นยอดแห่งแม่ทัพ”



มีการแสดงภาพระหว่างทัพอังวะเคลื่อนพลมา และกองทัพพระยาตากซุ่มอยู่สองข้างทาง พระยาตาก อธิบายว่า...

“อังวะเร่งเดินทางมา กำลังพลย่อมอ่อนล้า แต่เราได้พักเต็มที่ นี่เป็นข้อได้เปรียบที่หนึ่ง เรามาถึงก่อน ชำนาญชัยภูมิกว่า นี่เป็นข้อได้เปรียบที่สอง ฉันจะแบ่งกำลังออกสองกอง ซุ่มไว้สองข้างทาง ทัพอังวะผ่านเข้ามาเมื่อใดก็โจมตีพร้อมกัน”

หลวงพิชัยติงว่าเรามีจำนวนน้อยกว่าศัตรูนัก เกรงว่า ถึงเราจะซุ่มโจมตีก็อาจจะไม่ชำนะ พระยาตากถามว่า

“ตอนที่ฉันหนีมา ฉันสู้กับอังวะเท้าเปล่า ฉันยัง ไม่กลัว ตอนนี้ฉันมีม้าเพิ่มมาถึงห้าตัว แล้วยังจะต้องกลัวอีกรึ”

ooooooo

ใกล้เช้าที่ชายป่า...นายกองอังวะนำทัพมาอย่างเร่งรีบเพื่อจะตามให้ทันพระยาตาก เป็นกำลังเดินเท้าทั้งหมด ทันใดนั้นนายกองก็สังเกตเห็นความผิดปกติข้างหน้า สั่งหยุดทันที

ที่กองดินสูงข้างหน้า พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า พระยาตากขี่ม้ามาพร้อมด้วยหลวงพิชัย พันหาญ ม่วง และทหารอีกคนหนึ่ง ทั้ง 5 นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างองอาจ พระอาทิตย์อยู่หลังพระยาตากทำให้แสงอาทิตย์เข้าตา ทหารชี้ไปที่พระยาตากร้องบอก “นี่ล่ะ อ้ายพระยาตาก” นายกองเอ่ยพลางยิ้มเยาะ

“ท่านแม่ทัพบอกว่ามันชำนาญการศึก ข้ากลับเห็นว่ามันมารนหาที่เยี่ยงคนโง่แท้ๆ” พลางหยิบปืนสั้นออกมาเตรียมพร้อม พลันพระยาตากชักดาบควงตะโกนก้อง

“บุก”

นายกองยิ้มเยาะเล็งปืนใส่พระยาตาก แต่แสงพระอาทิตย์หลังพระยาตากแยงตาจนนายกองเผลอกะพริบตาขณะเหนี่ยวไก ทำให้กระสุนเฉียดพระยาตากไป นายกองตกใจลนลานใส่ลูกปืนใหม่

ทันใดนั้นม้าพระยาตากก็พุ่งเข้ามาถึงตัวนายกองพร้อมกับคมดาบของพระยาตากฟันคอนายกองขาดกระเด็นทันที พอนายกองตายพวกทหารก็ตกใจ ถูกม้าอีก 4 ตัวบุกทะลวงเข้าใส่จนแตกกระเจิง

ทันใดนั้นทหารของพระยาตากที่ซุ่มอยู่สองข้างทางก็โห่ร้องกรูกันออกมา ไล่ฟันทหารอังวะที่หนีหัวซุกหัวซุน นั่นคือเหตุการณ์ที่บรรยายไว้ว่า...

“ในวันที่ 4 มกราคม พุทธศักราช 2310 พระยาตากกับนายทหารคู่ใจอีกสี่คนได้ขี่ม้าห้าตัว บุกทะลวงเข้าใส่กองทัพอังวะ 2,000 คน ก่อนจะกระหนาบตีจนพ่ายไปโดยไม่เสียกำลังทหารแม้แต่คนเดียว กิตติศัพท์การรบได้ขจรขจายไปทั่ว เป็นเหตุให้มีผู้ศรัทธา เข้าสวามิภักดิ์พระยาตากมากขึ้นเรื่อยๆ และจากวีรกรรมในครั้งนี้ จึงได้กำหนดให้วันที่ 4 มกราคมของทุกปีเป็น ‘วันทหารม้า’ ของไทย”

ooooooo

ผ่านมา 10 กว่าวัน เช้านี้ขณะแมงเม่านั่งซึมอยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ในวัง ขันทองก็เข้าไปยื่นดอกจำปีให้ แมงเม่าชำเลืองดอกจำปีนิดหนึ่งเอ่ยอย่างไม่สนใจว่า

“เป็นพระคุณเจ้าค่ะ แต่ฉันยังไม่อยากได้ดอกไม้กระไรทั้งนั้น” ขันทองตัดพ้อว่าหากดอกจำปีมีชีวิตมันคงเสียใจที่เจ้าไม่ต้องการมัน “ฉันรู้ว่าคุณพระต้องการปลอบใจฉัน แต่ฉันห่วงพ่อแลทุกคนนัก ไม่มีแก่ใจจริงๆเจ้าค่ะ”

ขันทองถอนใจ บอกให้แมงเม่าลุกขึ้นและตามมาตนมีกระไรจะให้ดู ระหว่างเดินไปขันทองถามว่าในตำหนักเป็นอย่างไรบ้าง ตนไม่ได้เข้าเฝ้ากรมขุนวิมลเสียหลายวัน

“เสด็จพระองค์หญิงคงทรงรู้แล้วล่ะเจ้าค่ะว่าบ้านเมืองวิกฤติเพียงใด แต่ก็สายไปเสียแล้ว ทำได้เพียงแค่หาทางช่วยด้วยเวทมนตร์คาถาเท่านั้น” แมงเม่าเล่าเศร้าๆ ขันทองฟังแล้วได้แต่ถอนใจ

ooooooo

แมงเม่าเล่าให้ขันทองฟังถึงความเชื่อและศรัทธาในเวทมนตร์ที่จะช่วยบ้านเมืองได้ของกรมขุนวิมล

“ฉันรู้ว่าเสด็จทรงห่วงบ้านเมือง แต่หากพิธีไสยศาสตร์เช่นนี้ช่วยได้จริงก็คงไม่มีการเสียบ้านเสียเมืองกันเกิดขึ้นดอกเจ้าค่ะ ยิ่งเห็นพิธีเลอะเทอะเช่นนี้ก็ยิ่งหดหู่เหลือเกินเจ้าค่ะ”

“ปากคอเราะร้ายนัก ถึงกับนินทากรมขุนท่านว่าทำพิธีเลอะเทอะเชียวรึ”

“คนเราหากแม้แต่ความจริงก็พูดไม่ได้แล้วจะเป็นผู้เป็นคนไปไยเจ้าคะ” แมงเม่ามองไปรอบๆถามว่า “คุณพระพาฉันมาที่นี่ทำไมเจ้าคะ”

ขันทองพาแมงเม่าเดินมาที่ท้ายวัง บริเวณทางระบายน้ำที่ตนใช้มุดแอบออกนอกวังบ่อยๆ แล้วชี้ที่ทางระบายน้ำบอกแมงเม่าว่า

“ทางระบายน้ำนี้ ฉันใช้เป็นช่องทางลับเพื่อหลบออกนอกวัง หากเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นเมื่อใด เจ้าจงใช้ทางนี้หลบหนีเอาตัวรอดเถิด” แมงเม่าตกใจถามว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้คุณพระบอกตนทำไม ขันทองหน้าขรึมมองแมงเม่านิ่ง ถามว่า “ยังมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตเจ้าอีกรึ เจ้าตัวดี”

แมงเม่าโผกอดขันทองด้วยความซึ้งใจ ขันทองตกใจทำอะไรไม่ถูก แต่แมงเม่าก็ยังพูดอย่างซึ้งใจว่า

“คุณพระเป็นมิตรในยามยากของฉันโดยแท้ มิว่าฉันมีภยันตรายใด คุณพระก็ช่วยเหลือ คอยห่วงใยฉันอยู่ตลอด ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะ หากเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นจริง ฉันจะใช้ทางลับนี้พาเสด็จพระองค์หญิงหนีไปเองเจ้าค่ะ”

ขันทองประทับใจในความกตัญญูของแมงเม่า แต่เมื่อถูกกอดก็ประหม่าทำอะไรไม่ถูก บอกแมงเม่าว่าตนไม่สันทัดความซาบซึ้งนักดอก ปล่อยตนเถิด แต่แมงเม่ายิ่งกอดแน่นอ้อนว่า

“ไม่ปล่อยเจ้าค่ะ ฉันกอดคุณพระอย่างนี้แล้วรู้สึกอบอุ่นใจ คลายทุกข์ไปได้มาก ขอฉันกอดต่ออีกสักหน่อยนะเจ้าคะ”

ขันทองเอ็นดูความขี้อ้อนของแมงเม่า ยกมือลูบผมอย่างอ่อนโยน แมงเม่ายังกอดขันทองแน่น ถอนใจพูดอย่างโล่งอกว่า

“เคราะห์ดีนักที่คุณพระมิใช่ชาย คงไม่มีผู้ใดดุด่าฉันได้เต็มปากว่าทำตัวไม่งามที่มาถูกเนื้อต้องตัวชายเช่นนี้”

“ฉันมีความลับอีกอย่างที่จะบอกต่อเจ้า” ขันทองตัดสินใจที่จะบอกความจริงแก่แมงเม่า

“กระไรเจ้าคะ”

“ฉันไม่ใช่ขันที” แมงเม่าชะงักอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ขันทองยืนยันชัดเจนว่า “ฉันเป็นชายแท้ที่ปลอมตัวเป็นขันทีเพื่อเข้ามาอยู่ในวัง”

แมงเม่าตกใจสุดขีดผลักขันทองออกไปทันที ขันทองกระอักกระอ่วนใจทำอะไรไม่ถูก แมงเม่ามองขันทองอย่างตกใจ ไม่อยากเชื่อ “คุณพระพูดกระไรออกมา รู้ตัวหรือไม่เจ้าคะ”

“รู้ตัวสิ รู้อยู่ตลอดเวลาว่าใจฉันคิดอย่างไรที่ฉันพูดความจริง คนเราหากแม้แต่ความจริงก็พูดไม่ได้แล้วจะเป็นผู้เป็นคนไปไย” ขันทองย้อนคำพูดของแมงเม่ามาถาม แมงเม่าสับสนว้าวุ่นใจจนน้ำตาคลอ ขันทองบอกอีกว่า “ในวังนี้มีเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้”

แมงเม่าได้แต่จ้องหน้าขันทอง แววตาสั่นระริกแล้วหันหลังวิ่งตะบึงไปอย่างสับสน ขันทองมองตามถอนใจยาว รู้สึกสบายใจที่ได้บอกความจริงที่เป็นความลับสุดยอดของตนให้แมงเม่ารู้แล้ว...

ooooooo

สายวันเดียวกันที่ค่ายมังมหานรธา ทหารหามแคร่ที่มังมหานรธานอนป่วยหนักอยู่ออกมาพบเนเมียวสีหบดีที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว มีขุนนางอยุธยาคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ เนเมียวสีหบดีทักทายยิ้มแย้มว่า

“มาแล้วรึท่านแม่ทัพ อโยธยาส่งทูตมาหาเราเป็นคราแรกนับแต่เปิดศึก ท่านลองฟังดูเถิดว่าจะมีความใดมาเจรจา”

“ว่าไป” มังมหานรธาถูกพยุงลุกขึ้นนั่ง มองไปที่ขุนนาง

ขุนนางหยิบม้วนสาส์นจากพานขึ้นไหว้จบหัว หน้าเครียด...

“พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบัญชาลงมาให้บอกต่อท่านแม่ทัพทั้งสองว่า อโยธยาศรีรามเทพนคร จะขอเป็นเมืองประเทศราชแก่รัตนะบุรีอังวะสืบไป” แล้วยื่นม้วนสาส์นให้

เนเมียวสีหบดีตบเข่าฉาด หัวเราะลั่นด้วยความสะใจ มังมหานรธาที่ป่วยหนักอยู่ยิ้มบางๆ ดีใจที่อยุธยายอมแพ้ต่อหน้าตน

ข่าวนี้สร้างความยินดีปรีดาแก่เจ้าจอมเพ็ญอย่างมากที่ความหวังเป็นแม่หยั่วเมืองใกล้เป็นจริงแล้ว แต่จมื่นศรีสรรักษ์กลับร้องไห้เสียใจอย่างหนักที่อยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้น

ในตำหนักกรมขุนวิมล...เป้าร้องไห้พูดกับแมงเม่าอย่างเจ็บใจว่า

“ฉันน่าจะเชื่อแม่แมงเม่า แม่เคยบอกฉันว่าเรื่องบ้านเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ฉันก็เอาแต่คิดว่าไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายในแลผู้หญิงอย่างเราควรข้องเกี่ยว มาบัดนี้ฉันรู้ว่าความเจ็บช้ำน้ำใจ สิ้นศักดิ์ศรีจนต้องตกเป็นทาสเขามันเป็นเช่นใด”

“อดทนไว้แม่เป้า วันนี้เราแพ้ เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ขอเพียงแม่ไม่ลืมความเสียใจในครั้งนี้”

“หากฉันย้อนกลับไปได้ฉันจะไม่ทำอย่างที่แล้วมาเลย จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดอย่างนี้” เป้ายังร้องไห้หนัก

กรมขุนวิมล เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภา ต่างร้องไห้หนักเพราะทุกคนคิดเหมือนเป้า มีแต่แมงเม่าเท่านั้นที่คอยปลอบเพราะตนคาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

พระยากำแหงร้องไห้อย่างสิ้นอาย เจ็บใจที่อยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้น โดยมีขันทอง หลวงศรีมะโนราชและขุนรักษ์เทวายืนดูอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลวงศรีมะโนราชถอนใจเอ่ยขึ้นว่า

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 27 พ.ค.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ