อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 28 พ.ค.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 28 พ.ค.61

พระยากำแหงร้องไห้อย่างสิ้นอาย เจ็บใจที่อยุธยาต้องตกเป็นเมืองขึ้น โดยมีขันทอง หลวงศรีมะโนราชและขุนรักษ์เทวายืนดูอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลวงศรีมะโนราชถอนใจเอ่ยขึ้นว่า

“อย่าเสียใจไปเลยเจ้าค่ะท่านเจ้าคุณ นึกเสียว่ารักษาชีวิตคนไว้จะได้ไม่มีใครต้องมาตายเพราะศึกนี้อีก” ถูกขุนรักษ์เทวาประชดว่าตนหูฝาดหรือ คุณหลวงตัวปลอมหรือกินยาผิดสำแดงมากันแน่ แต่ขันทองบอกว่า

“ที่คุณหลวงพูดก็ถูกนะเจ้าคะ อโยธยาถูกล้อมมาเกินปี แลอังวะตั้งค่ายในระยะปืนใหญ่ ยิงถล่มทั้งวันและคืน ไม่มีปาฏิหาริย์ใดทำให้เราพ้นจากความพ่ายแพ้ไปได้ สู้ยอมแพ้เสีย ยังรักษาชีวิตคนได้อีกมาก”



“ฉันรู้” พระยากำแหงร้องไห้ข่มกรามแน่นอย่างแค้นใจ “แต่ฉันแค้นใจแลอับอาย จนอยากจะตายไปเสียประเดี๋ยวนี้ ก่อนหน้าฉันนึกตำหนิท่านเจ้าคุณตากที่หนีศึก แต่มาบัดนี้ฉันอยากจะหนีไปด้วยเสียจริง จะได้ไม่ต้องทนอับอายเป็นเมืองขึ้นเมืองออก”

ooooooo

สภาพในกรุงศรีอยุธยาหลังสงคราม...ศพเกลื่อนกลาด มากจนเก็บไม่ทัน ต้องปล่อยให้แร้งกา จิกกินอย่างน่าสมเพช ส่วนชาวบ้านที่เหลือก็อยู่อย่างสิ้นหวัง บ้างตีอกชกตัวอย่างแค้นใจที่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น

แต่ที่เรือนพระยาพลเทพ พระยาพลเทพกำลังคุยกับขุนแผลงฤทธิ์จะให้เป็นผู้ส่งสาส์นไปถึงกองทัพอังวะ ขุนแผลงฤทธิ์กลัวจะถูกอังวะเข้าใจผิดจับฆ่าเสียก่อน

“ถึงอย่างไรก็ต้องเสี่ยง” พระยาพลเทพยืนยัน “เราทำกันมาถึงขนาดนี้ อีกนิดเดียวลาภยศทรัพย์สมบัติทั้งมวลก็จะเป็นของพวกเราแล้ว จะยอมให้อโยธยา ยอมแพ้ได้อย่างไร” ขุนแผลงฤทธิ์ถามว่าถูกล้อมทุกด้านเช่นนี้จะฝ่าออกไป...แต่พูดไม่ทันจบพระยาพลเทพก็ขัดขึ้นว่า “ถ้าทำสำเร็จ ฉันสัญญาว่าตำแหน่งมหาอุปราชจะเป็นของท่านขุน”

ขุนแผลงฤทธิ์ชะงักไป สีหน้าเปลี่ยนเป็นโลภขึ้นมา ทันที

หัวค่ำวันนี้ เนเมียวสีหบดีจึงได้รับจดหมายจากพระยาพลเทพ และนำไปอ่านให้มังมหานรธาที่นอนป่วยอยู่ฟัง พออ่านจบก็หัวเราะลั่น

“อ้ายพระยาพลเทพผู้นี้ ช่างโลภโมโทสันนัก ถึงกับให้คนเสี่ยงตายเอาหนังสือมาบอก ว่าหากไม่ยอมแพ้ แลตั้งมันปกครองอโยธยา มันจะให้บรรณาการแก่อังวะเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า”

“ไม่มีผู้ใดจะทำร้ายคนไทได้มากเท่าคนไทด้วยกันเองเลยจริงๆ” มังมหานรธาเอ่ยทั้งที่ไข้สูงอาการหนัก เนเมียวสีหบดีถามว่าท่านเห็นว่าอย่างไร มังมหานรธราพนมมือขึ้นเหนือหัว “พระพุทธเจ้าอยู่หัว ไม่ได้ทรงต้องการให้อโยธยาเป็นประเทศราช เพราะที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนไทมิยอมอยู่ใต้อำนาจได้นาน”

“น่าเวทนาไอ้พระยาพลเทพนัก” เนเมียวสีหบดียิ้มร้ายเอ่ยสีหน้าเหี้ยมเกรียมดุดัน “เช่นนั้นก็ต้องทำลายให้ย่อยยับ”

ooooooo

บ่ายวันนี้ขณะขันทองมาเจอแมงเม่าที่มุมหนึ่งในวัง แมงเม่าจะเดินหนี ขันทองรีบเรียกไว้ถามว่าทำไมต้องหลบหน้าตนด้วย นับแต่วันนั้นผ่านมาเดือนเศษ แล้วตนเพิ่งเจอหน้าเจ้าสองครั้งเอง

ขณะนั้นเองขันทองเห็นเจ้าจอมเพ็ญเดินคุยมากับจมื่นศรีสรรักษ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดจึงดึงแมงเม่าหลบฟัง

เจ้าจอมเพ็ญไม่พอใจและห้ามจมื่นศรีสรรักษ์ที่จะอาสาออกรบทั้งที่ตัวเองไม่เก่งกาจชาญศึก ถามว่าอยากไปตายหรืออย่างไร

“ไม่มีผู้ใดอยากตายดอกขอรับ แต่ถ้าต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูก็สู้ตายเสียยังจะดีกว่า อังวะมันหยามน้ำหน้าเรานัก ขนาดยอมเป็นเมืองขึ้นเมืองออกแล้วก็ยังกดหัวไม่ให้มีปากเสียงอีก ถ้าไม่สู้ก็อย่าเกิดเป็นคนเลย”

เจ้าจอมเพ็ญขอให้รอเสร็จศึกแล้วค่อยมาคิดกัน จมื่นศรีสรรักษ์ชี้ให้เห็นว่าการที่อังวะไม่ยอมรับการเป็นเมืองขึ้นของอโยธยาก็ชัดเจนแล้วว่าคุณพี่ถูกหลอก ไม่มีกระไรที่เราต้องคิดอีกแล้ว

เจ้าจอมเพ็ญพยายามรั้งน้องชายไว้ จมื่นศรีสรรักษ์น้ำตาคลอคุกเข่าลงเอ่ยเสียงสะท้านสะเทือนใจว่า

“กระผมก็รักคุณพี่ ทั้งรักแลเคารพมากกว่าผู้ใดทั้งสิ้น แต่สิ่งที่คุณพี่กระทำนั้นมันเกินกว่ากระผมจะยอมรับได้ การรักษาเกียรติให้อโยธยาเป็นทางเดียวที่กระผมจะไถ่บาปให้กับตัวเองได้”

จมื่นศรีสรรักษ์ก้มกราบแทบเท้าเจ้าจอมเพ็ญเป็นครั้งสุดท้าย เจ้าจอมยังพยายามยื้อขอว่า

“พี่ขอเจ้าอีกครั้ง ทำเพื่อพี่เพื่อตัวเอง อย่าไปเลย”

“ถึงกระผมจะเป็นคนเลว แต่กระผมก็เป็นคนไทขอรับ กระผมไม่ทรยศแผ่นดินเกิดเป็นอันขาด”

จมื่นศรีสรรักษ์ลุกขึ้นเดินจากไปทั้งน้ำตา เจ้าจอมมองตามน้องชายน้ำตาท่วม แล้วร้องไห้โฮคุกเข่าลงวางมือกับพื้นอย่างหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว

แม้ขันทองจะแค้นเจ้าจอมเพ็ญที่ฆ่าแม่ตน แต่เห็นสภาพของเจ้าจอมเพ็ญวันนี้แล้วก็อดสมเพชไม่ได้บอกแมงเม่าว่า สิ่งที่เจ้าจอมได้รับเพลานี้นับเป็นโทษานุโทษที่ฉันไม่จำเป็นต้องก่อกรรมเพิ่มเลย แมงเม่าบอกว่า

ออกพระคิดได้เช่นนี้ตนก็อนุโมทนาบุญด้วย แต่เมื่อขันทองทวงคำตอบว่าทำไมนับแต่วันนั้นจึงต้องหลบหน้าตนด้วย

“ฉันไม่รู้จะทำตัวอย่างไรเจ้าค่ะ ที่แล้วมาฉันคิดเสมอว่าออกพระเป็นขันที  ซึ่งไม่ต่างจากตัวฉันเท่าใดนัก แต่วันนี้...” ขันทองถามว่าแล้วไม่ดีรึที่ตนเป็นชาย  แมงเม่ายิ่งว้าวุ่นใจ “ฉัน...เอ่อ...อย่าให้ฉันตอบกระไรเลยนะเจ้าคะ ฉันตอบไม่ได้เจ้าค่ะ” พูดแล้วเดินหนีไปเลย ขันทองได้แต่ชะเง้อมองตามอย่างไม่เข้าใจ

จมื่นศรีสรรักษ์ขี่ม้านำทหารออกรบ ปลุกใจทหารว่า

“อังวะยกทัพมารุกรานเราก็ถือว่าเป็นไปตามธรรมเนียม ของการแสดงบุญญาบารมี แต่การไม่ยอมรับเป็นเมืองขึ้น ไม่เคยมีเช่นนี้มาก่อน พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกมันข่มเหงเรานัก แล้วเลือดไทในกายพวกเอ็งจะยอมพวกมันอย่างนั้นรึ ไป ออกไปกับข้า แสดงให้เห็นว่าอโยธยาไม่เคย สิ้นคนกล้า”

จมื่นศรีสรรักษ์แววตามุ่งมั่น  ตายเป็นตายแต่ไม่ยอมหนีอีกแล้ว บรรดาทหารต่างโห่ร้องอย่างฮึกเหิม

“ฆ่ามัน บุกไปให้ถึงค่ายมันเลย”

จมื่นศรีสรรักษ์ตะโกนก้องขี่ม้าลุยไปจนทหารอังวะถอยร่น แต่แล้วจมื่นก็ถูกยิงที่หน้าอกตกจากหลังม้ากระนั้นก็ยังก็ยังพยายามจะหยิบดาบขึ้นสู้ แต่ถูกทหารอังวะกรูกันเข้ามารุมกระทืบจนกระอักเลือด ในที่สุดก็ตาเหลือกสิ้นใจตาย ส่วนทหารก็ตกใจแตกหนีไป ศพของจมื่นศรีสรรักษ์นอนตายอย่างโดดเดี่ยวในทุ่งโล่ง...

“กองทัพของจมื่นศรีสรรักษ์เป็นกองทัพสุดท้ายที่กรุงศรีอยุธยาส่งออกไปต่อสู้ หลังจากนั้นก็ไม่มีกองทัพใดถูกส่งออกไปอีกเลย” คำบรรยายสรุป

เจ้าจอมเพ็ญฟูมฟายกับศพของจมื่นศรีสรรักษ์ที่ถูกนำกลับวังว่า

“พี่ทำทุกอย่างไปก็ด้วยหวังให้เจ้าสุขสบาย เมื่อเจ้าด่วนจากพี่ไปเช่นนี้ แล้วพี่จะทำไปเพื่อใคร”

เจ้าจอมเพ็ญทะเลาะกับพระยาพลเทพว่าไม่ทำตามสัญญา พระยาพลเทพโทษว่าอังวะคืนคำแล้วจะให้ตนทำอย่างไร ใช่ว่าเจ้าจอมจะเสียหายฝ่ายเดียว แล้วโยนความผิดทั้งหมดมาให้ตนจะถูกหรือ เจ้าจอมชี้หน้าพระยาพลเทพอาฆาตว่า ขอให้จำคำพูดนี้ไว้ให้ดี สักวันตนจะให้ท่านเจ้าคุณชดใช้

เมื่อเจ้าจอมเพ็ญกลับไป พระยาพลเทพยิ้มเจ้าเล่ห์บอกขุนแผลงฤทธิ์ว่า

“ฉันก็รู้แล้วว่าสักวันต้องเป็นเช่นนี้ ช่างเถิดอย่างไรเสียนังผู้หญิงคนนี้ก็หมดประโยชน์แล้ว วันใดที่ฉันขึ้นครองอโยธยา ฉันจะเห็นแก่มันที่รับใช้ฉันมานาน เพียงส่งไปอยู่ไกลๆให้พ้นหูพ้นตา ไม่ฆ่าทิ้งก็แล้วกัน”

ooooooo

สิบกว่าวันต่อมา พระยาตากไปตั้งค่ายที่ระยอง มีชาวบ้านชายหญิงช่วยกันทำงานในค่ายอย่างเอาการเอางาน และทหารก็ฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง ทั้งเสบียงอาหารและกำลังพลเพิ่มขึ้นอย่างมาก

พระยาตากเห็นว่ากำลังเราเพิ่มมากขึ้นก็จริงหากจะคิดทำการใหญ่เห็นทีจะยังไม่พอ ระยองก็อยู่ได้ระยะหนึ่งแต่หากจะยึดเป็นที่มั่นก็ยังไม่มั่นคง พันหาญถามว่าแล้วท่านเจ้าคุณจะไปปักหลักที่ใดหรือ

“ข้อนี้ฉันต้องไตร่ตรองให้รอบคอบก่อน เพราะมันเกี่ยวกับแผนการที่จะกู้กรุงสืบไป”

ม่วงเสนอว่าเรื่องคนเราเกณฑ์คนมาเพิ่มดีหรือไม่ ละแวกนี้มีหมู่บ้านมาก  หากให้ทหารไปเกณฑ์ผู้คนมาก็จะได้ไม่น้อย

พระยาตากสวนทันที “ไม่ได้ การเกณฑ์ผู้คนนั้นเป็นดาบสองคม หากเขาไม่เต็มใจก็จะพาลรบพุ่งไม่เต็มมือ ทำให้เสียมากกว่าได้ และในสมัยสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า อโยธยารุ่งเรืองยิ่งใหญ่ได้ก็ด้วยกองอาสาทั้งสิ้นหาใช่การเกณฑ์ผู้คนไม่”

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 28 พ.ค.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ