อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13 วันที่ 30 พ.ค.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13 วันที่ 30 พ.ค.61

ที่กำแพงกรุงศรีอยุธยา เนเมียวสีหบดีขี่ม้ามาถึง เมื่อทหารรายงานว่าเราขุดถึงฐานกำแพงอโยธยาแล้ว กำลังรอคำสั่งจากท่านแม่ทัพอยู่ เนเมียวสีหบดี

สั่งเฉียบขาดทันที

“เผา”

เมื่อเผาจนกำแพงพังลงแถบหนึ่ง ทหารอังวะก็กรูกันเข้าไปปล้นฆ่าเผาบ้านเรือนชาวบ้านเพื่อสร้างความโกลาหลขึ้น ดังคำบรรยายว่า...

“เวลาประมาณ 2 ทุ่มของคืนวันที่ 7 เมษายน พุทธศักราช 2310 กำแพงเมืองกรุงศรีอยุธยาด้านหัวรอได้พังทลายลง กองทัพของอังวะได้บุกเข้ามาทางด้านนั้นและเริ่มต้นการทำลายล้างกรุงศรีอยุธยาทันที และถือเป็นการสิ้นสุดการเป็นราชธานีของกรุงศรีอยุธยาที่ยืนยาวมากว่า 417 ปีอีกด้วย”



เสียงกรีดร้องของชาวบ้าน เสียงปืนใหญ่ และเสียงดาบที่ปะทะกันดังแว่วมาในตำหนักกรมขุนวิมลไม่ขาด ทันใดข้าหลวงคนหนึ่งก็วิ่งตื่นกลัวเข้ามาบอกว่า

“กรุงแตก กรุงแตกแล้ว พวกอังวะบุกเข้ามาแล้ว หนีเร็ว”

แมงเม่าตั้งสติได้ก่อนร้องบอกกรมขุนวิมลให้ตามตนมา เห็นเป้าก็ร้องบอกให้ตามมาเร็ว

ทหารอังวะบุกเข้าไปที่ตำหนักเจ้าจอมเพ็ญ ข้าหลวงคนหนึ่งพุ่งเข้าขวางถูกแทงตาย เจ้าจอมเพ็ญถือโอกาสนั้นวิ่งหนีไปทันที

แมงเม่าพากรมขุนวิมลกับเป้าวิ่งออกมาเจอเจ้าจอมอำพันกับคุณท้าวโสภาจึงพาทั้งหมดวิ่งไป แต่ถูกทหารอังวะเข้าขวางจะฟันเจ้าจอมอำพัน ก็ถูกขันทองถีบกระเด็นและแย่งดาบมาฟันมันตายคาที่ คนอื่นกรูกันเข้ามารุมขันทอง ถูกขันทองที่มีฝีมือกว่าหลบหลีกตอบโต้อย่างสวยงาม

พระยากำแหงสู้กับพวกอังวะหันมาเห็นฝีมือการฟันดาบของขันทองก็มองอึ้ง พลันก็กระโจนเข้าใส่ขันทองทันที ขันทองถามว่าทำร้ายตนทำไม

“มึงไม่ต้องตีสองหน้า เพลงดาบมึงร้ายกาจถึงเพียงนี้หาใช่ขันทีจริงเป็นแน่ มึงเป็นจารบุรุษปลอมตัวมาทำลายอโยธยา กูน่าจะเชื่อคำของหลวงศรีมะโนราชไม่ควรปล่อยมึงไว้เลย”

พระยากำแหงพุ่งเข้าใส่ขันทองทันที ขันทองตั้งรับอย่างใจเย็น พอฉากออกมาได้ก็พยายามชี้แจงว่า

“กระผมเป็นจารบุรุษจริง แต่มิได้คิดคดทำลายอโยธยา เพียงแต่เพลานี้ไม่สะดวกอธิบาย หากมีวาสนาเราคงได้เจอกันอีกขอรับ”

พระยากำแหงไม่ยอมให้ขันทองหนี ขันทองหลบหลีก เตะพระยากำแหงจนเซแล้วหนีไปได้

ขุนรักษ์เทวาเจอหลวงศรีมะโนราชเมานั่งพิงคอพับอยู่จึงพาหนีมาจนถึงห้องหนึ่ง หลวงศรีมะโนราชก็สะบัดหลุดแล้วทุบท้ายทอยขุนรักษ์เทวาจนสลบ ค้นกุญแจไขเข้าไปในห้องเห็นสมบัติมากมายก็ตาโตพึมพำ

“หมายตามานาน ในที่สุดก็ถึงคราวของข้าเสียที” แล้วถอดผ้าคาดเอวออกโกยทรัพย์สมบัติไปมากที่สุดเท่าที่จะขนไปได้

ooooooo

เจ้าจอมเพ็ญหนีกระเจิงมาถึงอ่างแก้วก็ตกใจ ได้ยินเสียงพวกอังวะโห่ร้องตามมาจึงลงในอ่างแก้วเพื่อซ่อนตัวพลันก็ตกใจสุดขีดเมื่อเห็นศพของสาลิกาลอยอยู่ตรงหน้าแต่ไม่กล้าร้อง กลัวอังวะได้ยิน ต้องทนกลัวอยู่กับวิญญาณของสาลิกาที่เห็น

แมงเม่าพาพวกกรมขุนวิมลวิ่งมาถึงทางระบายน้ำบอกให้ทุกคนลงไปในนั้นเพื่อหนีออกไป ส่วนตนกับเป้าก็สู้กับทหารอังวะ เป้าถูกทำร้ายหัวกระแทกต้นไม้จนสลบ ทุกคนตกใจสุดขีดเห็นเป้าแน่นิ่งไปก็นึกว่าตายแล้ว แต่ในที่สุดพวกกรมขุนวิมลก็ถูกทหารอังวะจับไป แมงเม่าดิ้นรนจะไปช่วยพวกกรมขุนวิมลก็ถูกพวกอังวะกรูกันเข้าทำร้าย และพวกกรมขุนวิมลก็ถูกอังวะลากตัวไปจนได้

พอดีขันทองวิ่งมาถึงตรงเข้าฟันทหารอังวะช่วยแมงเม่าแต่พระยากำแหงก็โผล่มาฟันขันทองจากด้านหลังตะโกนด่า “อ้ายไส้ศึก มึงอย่าอยู่เลย” แต่ขันทองหลบทัน ทั้งพระยากำแหงและขันทองจึงอยู่ในภาวะร่วมกันสู้กับพวกอังวะและหันมาสู้กันเอง

ขันทองเหลือบเห็นทหารอังวะกำลังจะยิงมา จึงกดพระยากำแหงลงแต่พระยากำแหงก็ยังถูกกระสุนที่แขนขวาเลือดอาบ แมงเม่ากำลังจะถูกอังวะฟัน ขันทองพุ่งดาบปักหลังอังวะตายแล้วบอกพระยากำแหงให้ทำเหมือนตายแล้วจะปลอดภัย ตนช่วยได้แค่นี้ แล้วรีบวิ่งไปช่วยแมงเม่าพาหนีไปตามทางระบายน้ำ

ฝ่ายพระยากำแหงไม่เชื่อขันทองลุกขึ้นลุยเข้าใส่พวกอังวะเลยถูกฟันเข้าที่ตาเลือดทะลัก กระนั้นพระยากำแหงก็ยังลุยสู้ตายไม่ยอมแพ้

กรุงศรีอยุธยาเวลานั้นเต็มไปด้วยการปล้นฆ่าทั้งจากพวกอังวะและคนไทยที่สวมรอยปล้นกันเอง เป็นดังคำบรรยายว่า...

“กรุงศรีอยุธยาถูกทำลายลงอย่างย่อยยับด้วยฝีมือของกองทัพอังวะและคนไทยด้วยกันที่สวมรอยเข้าปล้นฆ่า และในคืนเดียวกันนั้นเอง เวลาประมาณยามสอง ก็ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ไปทั่วกรุงศรีอยุธยา โดยต้องใช้เวลาถึงสิบห้าวันกว่าเพลิงจะดับสนิท นับเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองและมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่เพียงเท่านี้”

ขันทองพาแมงเม่าหนีอยู่ในป่าต้องแอบซุ่มตีพวกอังวะเพื่อแย่งเสบียงและน้ำมาให้แมงเม่าที่ร้องไห้เสียใจไม่หยุด บอกแมงเม่าว่า

“อยากร้องก็ร้องเถิด แต่เมื่อเจ้าร้องไห้จนพอใจแล้วก็กินของที่ฉันหามาให้เสีย จะได้มีกำลังเดินทางต่อ”

ooooooo

หลวงศรีมะโนราชโกยสมบัติลงเรือมามากมาย พอจะขึ้นจากเรือก็เจอกล้ายืนมองอยู่ หลวงศรีมะโนราชเห็นไม่ใช่พวกอังวะก็โล่งอก พูดอย่างวางอำนาจ

“อ้ายไพร่ พวกเอ็งมาก็ดีแล้ว มาช่วยข้าที” กล้าทำเป็นถามว่าพระเดชพระคุณจะให้รับใช้กระไรหรือ

“ข้าต้องการไปเมืองธนบุรี พวกเอ็งไปส่งข้าที ข้ามีรางวัลให้”

กล้าถามว่าจะไปขึ้นเรือที่ธนบุรีหรือ มองสำรวจยิ้มๆ ถามว่าพระคุณคงเป็นขันทีจากวังใน คงคิดจะไปขึ้นเรือกลับบ้านกลับเมืองกระมัง

หลวงศรีมะโนราชหัวเราะชมว่าเฉลียวฉลาดดี ดูท่าจะไม่ใช่ไพร่ทั่วไปเสียแล้ว ก็ถูกกล้าตบจนคว่ำแล้วตามเตะจนเลือดกบปาก กล้าพาลูกน้องลงไปค้นในเรือเห็นทรัพย์สินมีค่ามากมายก็ยิ้มเยาะว่า

“ข้านึกแล้วไม่มีผิด อ้ายพวกชาววัง พอกรุงแตกก็ต้องหอบสมบัติหนี ดักปล้นพวกมันระหว่างทางนี่ละโว้ย ดีกว่าไปปล้นฆ่าชาวบ้านเสียอีก”

หลวงศรีมะโนราชกลัวจนตัวสั่นบอกว่าอยากได้อะไรก็เอาไปเลยแต่อย่าทำร้ายตน แต่พูดไม่ทันขาดคำกล้าก็ฟันฉับเข้าที่ต้นขาหลวงศรีมะโนราชจนเลือดกระฉูด

“อันที่จริง กระผมจะปล่อยพระคุณไปก็ได้ เพราะเพลานี้คงไม่มีกรมเวียงมาจับตัวกระผมดอก แต่กระผมไม่ปล่อย” กล้าชักดาบออกมา ไม่ทันที่หลวงศรีมะโนราชจะร้องขออะไรกล้าก็แทงเข้าที่ท้องหลวงศรีมะโนราชสุดแรง หลวงศรีมะโนราชตาเหลือกขาดใจตายไปทั้งที่ยังไม่ได้ร้องขออะไรเลย แล้วสั่งลูกน้อง

“ขนทรัพย์สมบัติกลับไป หากวันนี้ท่านเจ้าคุณพลเทพของกูได้ขึ้นเป็นใหญ่ กูจะเอาของพวกนี้ไปถวายท่านเจ้าคุณของกู”

 ooooooo

ที่ลานกว้างค่ายเนเมียวสีหบดี เชลยถูกต้อนมารวมกันอยู่ ในนี้มีกรมขุนวิมล เจ้าจอมอำพัน และคุณท้าวโสภาด้วย เนเมียวสีหบดีชี้ไปที่กรมขุนวิมลถามว่า

“นังคนนี้แต่งตัวมีสง่าราศี เป็นผู้ใดกัน” ทหารบอกว่าดูจากเสื้อผ้าอาจจะเป็นใหญ่ในฝ่ายใน “เอ็งจงรีบสอบปากคำ หากเป็นผู้ดีมีตระกูล อย่าได้ทำร้ายเป็นอันขาด”

กรมขุนวิมลใจชื้นว่าอาจรอดตาย เนเมียวสีหบดีพูดต่ออย่างย่ามใจว่า

“เพราะข้าจะนำคนพวกนี้ถวายให้พระพุทธเจ้า อยู่หัว เพื่อเป็นหลักฐานแสดงถึงพระบารมีว่าผู้มียศศักดิ์แห่งอโยธยาต้องมาสยบใต้พระบาทของเจ้าเหนือหัวแห่งอังวะ”

พวกทหารอังวะหัวเราะกันอย่างสะใจ ในขณะที่กรมขุนวิมลมองหน้ากันกับเจ้าจอมอำพันและคุณท้าวโสภาหน้าเสียที่กำลังจะถูกจับไปแสดงไม่ต่างจากสิ่งของหรือสัตว์หายากเลย

ขณะนั้นเองทหารก็พาพระองค์ชายเชษฐ์กับชาวบ้านและขุนนางเข้ามา พระองค์ชายเชษฐ์หวาดกลัวตัวสั่นตลอดเวลา ทหารผลักพระองค์ชายเชษฐ์เข้าไป รายงานว่า

“มันผู้นี้บอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ของอโยธยา ข้าพระพุทธเจ้าเจอตัวขณะกำลังซ่อนอยู่ในกอสวะริมน้ำขอรับ”

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 13 วันที่ 30 พ.ค.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ