อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 25 พ.ค.61
หัวค่ำนี้ที่ค่ายพระยาตาก มีทหารและชาวบ้านจำนวนหนึ่งมารออยู่ที่หน้ากระโจมของพระยาตาก โดยมีหลวงพิชัย ม่วงและพันหาญยืนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน เยื้อนเองก็อยู่ในกลุ่มชาวบ้านพระยาตากเดินออกจากกระโจมมองหน้าทุกคนก่อนตัดสินใจพูดด้วยเสียงอันดังและหนักแน่นว่า
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาพร้อมกันในคืนนี้เพราะฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก ฉันมั่นใจแล้วว่าอโยธยาจะเสียแก่ข้าศึกเป็นแน่แท้ แต่ฉันจะไม่ยอมก้มหัวให้พวกอังวะเป็นอันขาด คืนนี้ฉันจะพาทุกคนฝ่าวงล้อมของอังวะออกไป เพื่อไปตั้งหลักที่หัวเมืองตะวันออก แล้วรวบรวมผู้คนกลับมากู้อโยธยาคืนมา”
ทันใดนั้นเนเมียวสีหบดีก็จ่อคบไฟเข้ากับสายชนวนปืนใหญ่ยิงถล่มทันที
หลวงพิชัยพูดเสียงดังว่าอังวะเปิดฉากยิงปืนใหญ่แล้ว เป็นโอกาสดีที่เราจะตีฝ่าออกไป
“พวกเราจะไปกันในคืนนี้ ผู้ใดจะติดตามท่านเจ้าคุณก็ตามมา” ม่วงตะโกนทันที
ทหารผู้หนึ่งกล่าวอย่างไม่พอใจว่าเสียแรงที่ตนสู้ตายเพื่อท่านเจ้าคุณ เพลาคับขันมาทิ้งกันไปได้อย่างไร ทหารอีกคนหนึ่งโมโหโต้ว่า
“หรือเอ็งจะต้องให้ตายวะ เห็นอยู่ว่าสู้ไม่ได้หนีไปตั้งหลักรอกลับมาเอาชัยไม่ดีกว่ารึ”
ทั้งทหารและชาวบ้านแตกเป็นสองฝ่าย เถียงกันเสียงขรมระหว่างฝ่ายที่จะสู้ตายและฝ่ายที่จะหนีไปตั้งหลัก
“จนป่านฉะนี้ยังจะโต้เถียงกันอีก ควรแล้วที่ต้องเสียเมืองให้กับอังวะ” เยื้อนงึมงำอย่างรำคาญใจ
ooooooo
ทหารอังวะยังคงระดมยิงปืนใหญ่ตลอดเวลา ท่ามกลางเสียงเนเมียวสีหบดีสั่งระห่ำ
“ยิงเข้าไป กระสุนแลดินปืนเรามีมากนัก ยิงถึงหนึ่งปีก็ไม่หมด จงถล่มอโยธยาให้ราบเป็นหน้ากลอง”
ส่วนที่ค่ายพระยาตาก ชาวบ้านยังเถียงกันไม่หยุดแข่งกับเสียงปืนที่ดังถี่ขึ้นทุกที พระยาตากจึงตะโกน
“หยุดโต้เถียงกันได้แล้ว...ฉันรู้ว่าการตัดสินใจเช่นนี้ย่อมมีคนไม่เห็นด้วย แต่หากเราต้องการช่วยอโยธยาแลขับไล่อังวะ สิ่งแรกที่เราต้องมีคือชีวิต เพราะคนตายไม่อาจปกป้องแลขับไล่ผู้ใดได้ เหตุนั้นเราจึงต้องกล้ำกลืนความอัปยศในวันนี้ เพื่อรักษาชีวิตเอาไว้”
เสียงโต้เถียงกันของชาวบ้านเริ่มเบาลง หลายคนเงียบฟังพระยาตากพูด
“ฉันมีเชื้อสายจีน คนจีนมีคำกล่าวว่า ‘ขุนเขายังอยู่ ไม่กลัวไร้ฟืน’ คนเราหากยังมีชีวิตก็สามารถพลิกร้าย ให้กลายเป็นดีได้ ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า จะยังเชื่อใจฉันหรือไม่”
ทหารคนที่ด่าว่าตนสู้ตายกับท่านเจ้าคุณเพลาคับขันจะมาทิ้งกันได้อย่างไร ก็บอกว่าจะลองเชื่อท่านเจ้าคุณดูอีกสักครั้ง มีเสียงทั้งจากทหารและชาวบ้านขานรับมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเสียงโต้แย้งก็เงียบไป ทุกคนสามัคคีกันขึ้นมาอีกครั้ง
พระยาตากมองทุกคนอย่างมั่นใจ ในที่สุดก็รวบรวมผู้คนได้สำเร็จ แล้วการทะลวงแนวปิดล้อมก็เริ่มขึ้นดังคำบรรยายที่ว่า...
“กลางดึกของวันที่ 3 มกราคม พุทธศักราช 2310 พระยาตากได้นำทหารประมาณ 500 คน ฝ่าวงล้อมของกองทัพอังวะหนีไปทางทิศตะวันออกได้สำเร็จ เป็นการเริ่มต้นการกอบกู้เอกราชในเวลาต่อมา และในคืนเดียวกับที่พระยาตากฝ่าวงล้อมนั้นเอง กระสุนปืนใหญ่ของอังวะก็ได้ตกลงมาในแหล่งชุมชน เป็นเหตุให้เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น สร้างความเสียหายครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งนับแต่เกิดสงครามกับอังวะเป็นต้นมา”
ในวังกำลังโกลาหล ทหารวิ่งกันวุ่น บ้างหิ้วถังน้ำดับไฟ บ้างขนของหนีไฟ พระยากำแหงเห็นแมงเม่าก็รีบเข้าไปถามด้วยความเป็นห่วงว่ามาที่นี่ทำไม แมงเม่าบอกว่าเป็นห่วงพ่อ ขอท่านเจ้าคุณออกไปหาพ่อได้ไหม ขันทองได้ยินรีบห้ามบอกว่าออกไปก็มีแต่ยิ่งทำให้ห่วงหน้าพะวงหลัง
แมงเม่าบอกว่าตนห่วงพ่อจะทำอย่างไรดี พระยากำแหงได้โอกาสบอกว่าอย่าห่วงเลย ตนจะให้ทหารไปที่เรือนหากเหลือบ่ากว่าแรงก็จะพามาที่นี่ก่อน แมงเม่าอ้อนวอนฝากท่านเจ้าคุณด้วย
พระยากำแหงยิ้มดีใจรีบทำคะแนนว่าแม่แมงเม่าวางใจเถิด แล้วเดินไปสั่งทหารให้ไปที่เรือนใหม่มิ่ง
“เพลาเช่นนี้ก็มีแต่ท่านเจ้าคุณที่พึ่งพาได้”
เป้าเอ่ยชื่นชม แมงเม่าพยักหน้าแต่ก็ยังอดกังวลใจไม่ได้ ขันทองหน้าเสียที่ตนอยากช่วยแมงเม่ามากแต่ก็ทำได้เพียงเท่านี้
ที่บ้านมิ่งกำลังวุ่นวายตกใจกลัวกันจนโกลาหลไปหมด ชื่นบอกอินให้ช่วยตนขนของหนีไฟ อินบอกว่าไม่มีอะไรมีค่าแล้วเพราะเราขนไปฝังดินหมดแล้ว
สุ่นเสนอให้หนีไปหาม่วงเพราะม่วงเคยสั่งไว้ว่าถ้าอยู่ไม่ได้ให้หนีไปอยู่กับตนที่ค่าย ผลเห็นด้วยและม่วงก็บอกทางหนีทีไล่ไว้หมดแล้ว ขณะที่มิ่งตัดสินใจจะหนีไปหาม่วงก็ถูกธนูดอกหนึ่งพุ่งมาปักที่หัวไหล่อย่างจัง มิ่งถึงกับทรุดไปทันที ขณะทุกคนกำลังตกใจนั่นเอง กล้าก็เดินยิ้มเหี้ยมเข้ามาสั่งลูกน้อง
“จับเป็นพวกมันกลับไป ข้าจะให้อ้ายม่วงมันตายทั้งเป็นให้สมแค้น”
อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 12 วันที่ 25 พ.ค.61
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ