อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 1 พ.ค.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 1 พ.ค.61

พระยากำแหงไปถึงตำหนักกรมขุนวิมล แมงเม่ากำลังร้อยมาลัย ร้อยเสร็จไปพวงหนึ่งส่งให้กรมขุนวิมลดู ท่านชมว่างามจริงแล้วส่งให้คุณท้าวโสภาดู คุณท้าว ชมว่าถ้าไม่เห็นด้วยตาต้องคิดว่าแมงเม่าไปจ้างคนอื่นทำเป็นแน่แล้วส่งคืนให้แมงเม่า

แมงเม่ายกดมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เป้าทักท้วงว่าดมได้อย่างไร มาลัยนี้จะเอาไปถวายพระ แมงเม่าตกใจบอกว่าตนไม่รู้ กรมขุนวิมลบอกว่าช่างเถิดร้อยเอาใหม่ก็ได้ พระยากำแหงได้ช่องขอแมงเม่ายกมาลัยนี้ไห้ตนได้หรือไม่

ขณะนั้นเองพระองค์เจ้าเชษฐ์ก็เข้ามายิ้มแย้มทักทายทุกคน เห็นแมงเม่าร้อยมาลัยอยู่บอกว่าได้กลิ่นหอมของมาลัยเลยตามเข้ามา เอ่ยขอมาลัยกับแมงเม่าว่าจะเอาไปไว้ข้างหมอนคืนนี้คงหลับฝันดี



แมงเม่าขอประทานอภัยเพราะออกญาวังขอไว้แล้ว แต่พอร้อยมาลัยเสร็จ แมงเม่ายื่นมาลัยสองพวงออกมา บอกว่า

“พวงหนึ่งหม่อมฉันขอถวายเพคะ ส่วนอีกพวงเป็นของออกญาวังเจ้าค่ะ”

ทั้งพระองค์เจ้าเชษฐ์และพระยากำแหงต่างหน้าเจื่อนเพราะเท่ากับแมงเม่าไม่เลือกใครเลย

ooooooo

กองทัพของเนเมียวสีหบดียึดเชียงใหม่ได้ก็ตีเข้าล้านช้างสำเร็จ จากนั้นเข้าตีลำปางและพักกองทัพที่นั่นเพื่อสะสมเสบียงอาหารรอเวลาได้เปรียบในการทำศึกระยะยาวต่อไป

ในขณะที่กรุงศรีอยุธยามั่นใจว่าหัวเมืองทางเหนือจะรับศึกได้จึงไม่ได้ส่งทัพไปช่วย แต่กลับยกทัพใหญ่ลงใต้เพื่อป้องกันกองทัพของมังมหานรธา แต่มังมหานรธากลับหลบการป้องกันของกรุงศรีอยุธยา ยกทัพลงยึดเมืองมะริดและตะนาวศรีก่อนไปชุมพรแล้วจึงวกกลับขึ้นมา

ฝ่ายจมื่นศรีสรรักษ์ส่งทหารไปสอดแนมมาว่าทัพหน้าของข้าศึกมีจำนวนห้าพัน แต่ในกองทัพมีธงประจำตัวแม่ทัพอยู่ด้วย จมื่นศรีสรรักษ์กระหยิ่มเอ่ยกับแม่ทัพว่ามีแค่ห้าพันแต่เรามีหมื่นสองศึกนี้เราชำนะแน่ แม่ทัพติงว่าประมาทไม่ได้เพราะเมื่อมีธงแม่ทัพอยู่แสดงว่ามังมหานรธาบัญชาศึกนี้ด้วยตัวเอง

“กระผมได้ยินมาว่ามังมหานรธาอายุถึงหกสิบเศษแล้วเราจะกลัวอันใดกับคนแก่เล่าท่านเจ้าคุณ”

จมื่นศรีสรรักษ์หัวเราะชอบใจ แต่แม่ทัพเครียด ยังไม่วางใจนัก

แต่ที่ทุ่งโล่ง มังมหานรธากำลังปลุกระดมขวัญกำลังใจของเหล่าทหารให้ฮึกห้าวเหิมหาญ ชักดาบชูประกาศก้อง “จงไปแสดงการรบเยี่ยงชาวพุกามให้ศัตรูได้เห็น” เหล่าทหารโห่ร้องกึกก้องฮึกเหิมถึงขีดสุด

เสียงโห่ร้องของทหารอังวะข่มขวัญกองทัพกรุงศรีอยุธยาอย่างหนัก แม่ทัพปลอบขวัญทหารว่าไม่ต้องกลัว พวกมันเพียงแต่ส่งเสียงดังขู่เท่านั้น ทหารกล้าแห่งอโยธยาจะไม่มีวันถอยเพียงเพราะเสียงข้าศึกเป็นอันขาดแล้วสั่งบุก เหล่าทหารโห่ร้องทยอยตามแม่ทัพเข้าตีศัตรู

จมื่นศรีสรรักษ์กลัวมากชักดาบเก้ๆกังๆ แกล้ง ตะโกนเสียงดังให้บุกไปฆ่าอังวะให้หมด แต่ตัวเองกลับไม่ขยับแม้แต่น้อย ซ้ำยังค่อยๆชักม้าถอยหลังอีกด้วย

กองทัพมังมหานรธาเข้าตีเมืองเพชรบุรีได้สำเร็จ แต่กองทัพเมืองเพชรบุรีต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ยันกองทัพของมังมหานรธาไว้ได้ มังมหานรธาเกรงกองทัพของตนจะเสียหายจึงถอยทัพกลับเมืองทวาย แต่กรุงศรีอยุธยาก็ต้องเสียเมืองทวาย มะริดและตะนาวศรีเป็นการถาวรนับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

ส่วนกองทัพทางเหนือและใต้ของอังวะ ต่างส่งกองกำลังเล็กๆจำนวนมากออกปล้นสะดมเพื่อสะสมเสบียงและสำรวจภูมิประเทศ ที่ใดไม่ขัดขืนก็ไม่ทำร้าย แต่ที่ใดขัดขืน เนเมียวสีหบดีสั่งเหี้ยมว่า

“ฆ่าให้สิ้น อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว ให้คนไทได้รู้ว่าการต่อต้านอังวะจะลงเอยเช่นไร” แต่เมื่อเห็นชาวบ้านหวาดกลัวกอดกันร้องไห้ เนเมียวสีหบดีก็ลุกขึ้นพูดเสียงดัง “คำสั่งของข้าคือประกาศิต มันผู้ใดทำร้ายผู้สวามิภักดิ์ มีโทษตายสถานเดียว”

สถานการณ์เวลานั้น จึงเป็นดั่งคำสรุปว่า...

“แผนการของฝ่ายอังวะ นับว่าได้ผลอย่างดีเยี่ยม บรรดาชาวบ้านที่หวาดกลัวต่างพากันยอมแพ้ ส่วนพวกที่ไม่ยอมก็ต้องไปรวมตัวกันเกิดเป็นป้อมค่ายจำนวนมากเพื่อป้องกันตัวเองจากทหารอังวะ ทำให้การรวบรวมเสบียงของฝ่ายอังวะเป็นไปอย่างราบรื่น เหลือเพียงรอเคลื่อนทัพสู่กรุงศรีอยุธยาในช่วงหน้าฝนปีหน้าเท่านั้น”

ooooooo

การส่งทัพเล็กออกปล้นสะดมของอังวะ ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าขนไม้มาอโยธยา ทำให้โรงงานกระดาษของมิ่งขาดแคลนไม้จากทางเหนือที่จะผลิตกระดาษอย่างดี

ชื่นปลอบใจมิ่งว่าศึกพระเจ้าอลองพญาว่าหนักหนาเราก็ผ่านมาแล้ว ศึกนี้เราก็ต้องผ่านไปได้

“จริงจ้ะพ่อ ต่อให้ข้าศึกมาถึงชานกรุงอีกเราก็หลบเข้าหลังกำแพงเหมือนคราก่อน กำแพงเมืองอโยธยา มั่นคงนัก ไม่มีวันถูกตีแตกได้ดอก” ม่วงให้กำลังใจ

แมงเม่าถามว่าแล้วตอนเสียกรุงคราก่อนเล่า ม่วงบอกว่านั่นไม่นับเพราะมีไส้ศึกและเพลานั้นน้ำยังไม่ท่วม ถ้าน้ำท่วมก่อนเราไม่แพ้ดอก แมงเม่าบ่นว่าแผนตั้งรับรอน้ำท่วมใช้มาตั้งแต่ตั้งกรุงสี่ร้อยกว่าปีแล้ว ถามม่วงว่าอังวะจะไม่หาทางแก้บ้างรึ

ม่วงโวยว่าแมงเม่าขวางตนได้ทุกเรื่อง ชื่นปรามว่าจะทะเลาะกันให้ได้กระไรขึ้นมา ทั้งสองจึงหยุด อินเสนอเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศว่าวันพรุ่งจะมีงานลอยพระประทีปและมีมหรสพทั้งคืน เราเตรียมไปงานพรุ่งนี้กันเถอะ มิ่งเห็นด้วย ทหารเรามีอยู่เต็มเมืองจะต้องกลัวกระไร ไปเที่ยวงานให้เพลิดเพลินจะดีกว่า

ทุกคนแยกย้ายกันไป เหลือแต่แมงเม่ายืนอยู่คนเดียว รำพึงอย่างกลัดกลุ้ม...

“จัดงานลอยพระประทีปทั้งๆที่ข้าศึกออกปล้นสะดมไปทั่วอย่างนั้นรึ”

ที่ตำหนักเจ้าจอมเพ็ญ เจ้าจอมชื่นชมกระทงที่ขันทองออกแบบและจ้างช่างพิเศษทำให้อย่างสวยงามว่าเป็นพระประทีปที่งดงามที่สุดและมีเพียงหนึ่งเดียวในอยุธยา ขันทองได้แต่มองอย่างเหนื่อยหน่าย

ออกจากตำหนักแล้ว ขันทองคุยกับแน่นอย่างอ่อนใจว่าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอโยธยาถึงเป็นเช่นนี้ได้

“ไม่เพียงแต่ประมาท ยังเห็นแก่ตัวนัก หัวเมืองจำนวนมากต้องรับศึกกันเอง คิดดูเถิดว่าคนในหัวเมืองนั้นจะน้อยเนื้อต่ำใจเพียงใดที่ถูกอโยธยาทิ้งขว้าง พอจำต้องยอมแพ้เพื่อเอาตัวรอดก็ถูกก่นด่าว่าไม่รักแผ่นดินเสียอีก”

แน่นถามว่าศึกนี้จะเสียเมืองหรือไม่ ขันทองส่ายหน้าบอกว่าอโยธยามีชัยภูมิได้เปรียบ อาวุธและเสบียงอาหารก็บริบูรณ์ อาจจะไม่เสียเมืองก็เป็นได้ พูดอย่างหนักใจว่า

“แต่ที่เสียแน่นอนคือความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่ง ใจเดียวกันของคนไท จะอีกนานเท่าใดกันถึงจะมีผู้รวมไทให้เป็นหนึ่งเดียวดังที่ผ่านมาได้”

ooooooo

ที่ชายป่า...พระยาตาก หลวงพิชัย และทหารจำนวนหนึ่ง กำลังโห่ร้องบุกตะลุยเข้าสู้กับทหารอังวะอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายฝีมือทัดเทียมกัน แต่ถูกทัพพระยาตากกับหลวงพิชัยบุกตะลุยไล่ฟันจนอังวะต้องถอยร่น

พระยาตากถือดาบมือเดียวบุกเข้าฟาดฟันพวกอังวะ ส่วนหลวงพิชัยถือดาบสองมือตะลุยฟันพวกอังวะตายเป็นใบไม้ร่วง

พระยาตากตั้งรับอย่างมีสติ ใจเย็นเพื่อดูทางดาบคู่ต่อสู้ จนพระยาตากได้จังหวะฟันเข้ากลางลำตัวหัวหน้าทหารอังวะจนตายคาที่ พวกทหารอังวะเห็นหัวหน้าตายก็ขวัญเสียวิ่งหนีกันกระเจิง

หลวงพิชัยอาสาโห่ร้องก้องสนามรบ นำทหารวิ่งตามทหารอังวะไปหมายบดขยี้ให้สิ้นซาก

พระยาตากยืนอย่างองอาจมีสง่าราศีท่ามกลางสมรภูมิรบ

ooooooo

เมื่อได้ชัยชนะกลับไปเมืองตาก พระยาตากก็ได้รับสาส์นที่ส่งมาจากกรุงศรีอยุธยา โดยมีหลวงพิชัยอาสา และหลวงยกกระบัตร เป็นตำแหน่งประจำทุกเมืองมีหน้าที่พิจารณาคดีความอยู่ด้วย

เห็นพระยาตากอ่านสาส์นหน้าเครียด หลวงยกกระบัตรถามว่ามีกระไรหรือ สาส์นว่าอย่างไรบ้าง

“อโยธยามีคำสั่งให้ฉันนำทหารจำนวนหนึ่งไปช่วยอโยธยารบ เผื่อข้าศึกบุกถึงชานพระนคร” หลวงพิชัยฟังแล้วถามว่าเช่นนี้เท่ากับปล่อยให้เมืองตากตายเท่านั้น “ใจเย็นก่อนเถิดพวกเจ้า ฉันรู้ว่าพวกเจ้าคิดอย่างไร แต่ขอให้ตรองดูเถิดว่าถ้าอโยธยาเสียแก่ข้าศึก  เมืองตากเองก็ใช่จะอยู่รอดไปได้ แต่ถ้าอโยธยายังอยู่ ถึงเสียเมืองตากก็ยังฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ ฉะนั้น เราจึงจำเป็นต้องปกป้องอโยธยาไว้ก่อน”

เหตุผลที่พระยาตากพูด ทำให้พวกทหารเงียบไป แม้ว่าจะไม่พอใจก็ตาม

ooooooo

หลวงยกกระบัตรเครียดกลัวว่าถ้าพวกอังวะยกทัพใหญ่มาจะรับมือไม่ได้ พระยาตากบอกว่าตนวางทางหนีทีไล่ไว้แล้ว ถ้าคุณหลวงเห็นว่าเหลือกำลังก็พาคนหนีไป และให้ชาวบ้านออกไปยอมแพ้จะได้หลีกเลี่ยงการสูญเสีย ส่วนหลวงพิชัยให้ตามตนไป

“สุดแต่ท่านเจ้าคุณเถิดขอรับ กระผมสาบานว่าชาตินี้จะรับใช้ท่านเจ้าคุณอยู่แล้ว แต่กระผมรบเพื่อท่านเจ้าคุณนะขอรับ หาใช่รบเพื่อคนเห็นแก่ตัวในกรุงศรีไม่” หลวงพิชัยตอบทันที

กระนั้นพระยาตากก็ยังหนักใจ เพราะการกระทำของกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ ทำให้เกิดรอยร้าวในหมู่ประชาชนมากขึ้นทุกที

แต่เมื่อถึงวันลอยพระประทีปบรรยากาศริมแม่น้ำในกรุงศรีอยุธยาก็วับแวมด้วยแสงไฟจากกระทงจำนวนมาก

ขันทองได้รับเมตตาจากกรมขุนวิมลให้มาเที่ยวเปิดหูเปิดตา แต่ขันทองก็ไม่อาจทำใจให้รื่นเริงได้

แน่นถือกระทงมาสองใบจะไปลอยกับเป้า ขันทองเป็นห่วงกระซิบเตือนว่า “เอ็งรู้ตัวนะ ว่าตอนนี้ เอ็งคือใคร” แน่นรับรองว่าตนไม่ทำเสียแผนหรอก เป้าชวนขันทองไปลอยกระทง แต่ขันทองขอตัวอ้างว่ายังมีธุระต้องสะสาง

ฝ่ายเยื้อนที่หลงรักขันทองก็ถือกระทงมาสองใบให้ขันทองใบหนึ่ง คุกเข่าลงตรงหน้าบอกว่าเพื่อไถ่โทษที่ล่วงเกินคุณหลวงไปแต่ไม่มีความคิดอย่างอื่น ขันทองจึงรับกระทงไป เยื้อนดีใจมากรีบเดินตามไป

ฝ่ายครอบครัวมิ่งซึ่งมีพระยากำแหงมาด้วย มิ่งพยายามเปิดโอกาสให้พระยากำแหงได้ลอยกระทงกับแมงเม่าตามลำพังจึงออกอุบายให้ทุกคนแยกย้ายกันไป

ขณะแมงเม่าเดินไปกับพระยากำแหง กล้ามาเห็นก็โมโหหึงประกาศจะไม่ยอมให้ใครมาฉกแมงเม่าที่ตนหมายตามาตั้งแต่ยังแก้ผ้าอาบน้ำคลองอยู่ จึงให้ดำลูกน้องคนสนิทสะกดรอยตามไป

แมงเม่าเดินมาเจอขันทองเดินมาและเยื้อนถือกระทงตามมาติดๆก็ดีใจ ชวนขันทองลอยกระทงด้วยกัน  พระยากำแหงจำใจเออออด้วยท่ามกลางความไม่พอใจของเยื้อนและพยายามทักท้วงว่าไม่เหมาะ

อินแยกไปกับม่วง แต่ม่วงนัดสุ่นจากโรงรับชำเราขาประจำของตนไว้ อินจึงขอตัวกลับ สุ่นมองตามอินไปอย่างไม่สบายใจบอกให้ม่วงตามไปง้อ เพราะตนดูออกว่าแม้อินจะไม่แสดงท่าทีอะไรแต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนชอบให้ผัวตัวเองอยู่กับผู้หญิงอื่น บอกม่วงว่าไปเถิด ไปง้อเมียตัวเองไม่เสียหน้าดอก ม่วงจึงตามอินไป

อินเดินมาเจอกล้ากำลังเร่งให้ดำลูกน้องคนสนิทไปฉุดแมงเม่าก็ตกใจ และแทบช็อกเมื่อหันมาเจอดำยืนจ้องถมึงทึงอยู่จนกระทงร่วงจากมือ

พระยากำแหงขอร้องขันทองให้โอกาสตนได้อยู่กับแมงเม่าตามลำพัง ขันทองจึงแยกไป แต่เจอม่วงเดินหน้าดำคร่ำเครียดตามหาอินอยู่ ขันทองจึงจะไปแจ้งเจ้ากรมเวียงให้คนช่วยออกตามหาด้วย

ดำจับอินไปให้กล้าเป็นตัวประกันแลกกับแมงเม่า ได้ตัวอินแล้วก็ให้ดำไปดักฉุดแมงเม่าที่ทางเดินกลับบ้านซึ่งมีทางเดียว

เป้ากำลังเดินเที่ยวงานอยู่กับแน่นเห็นชายคนหนึ่งสะกดรอยตามแมงเม่าไปก็เอะใจแต่ไม่พูดอะไร จนเมื่อไปเจอขันทองกำลังลงเรือจะไปแจ้งกรมเวียงเรื่องอินหายตัวไป เป้าจึงเล่าที่เห็นคนตามแมงเม่าให้ฟัง ขันทองตกใจนึกถึงกลักขึ้นมาทันที

แมงเม่าเดินเที่ยวกับพระยากำแหงครู่เดียวก็จะกลับ พระยากำแหงจะไปส่งแต่ถูกดำนำลูกน้องเข้าล้อมกรอบ พระยากำแหงสู้ปกป้องแมงเม่าแต่ถูกดำเอาผงสีขาวซัดเข้าตาทำให้ต่อสู้ไม่ถนัด ขันทองตามมาทันจึงเข้าสู้กับดำ ดำเห็นฝีมือการต่อสู้ของขันทองจึงหนีไป แต่ถูกขันทองไล่จับได้คาดคั้นถามว่าเอาผู้หญิงไปไว้ที่ไหน

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 1 พ.ค.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ