อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 5 วันที่ 28 เม.ย.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 5 วันที่ 28 เม.ย.61

รุ่งขึ้นแมงเม่าไปกราบกรมขุนวิมลแต่เช้า ท่านสวมกอดแมงเม่าด้วยความดีใจที่ปลอดภัยกลับมา คุณท้าวโสภาถามว่า ได้ยินว่าหลวงศรีขันทินเป็นคนฆ่าทหารหน่วยหน้าสองคนที่คิดร้ายกับเจ้าหรือ

“เรื่องจะเป็นมาอย่างไรเอาไว้ค่อยเล่าก็ได้ ตอนนี้ไปพักผ่อนให้สบายก่อนเถิด นอนกลางป่ามาทั้งคืนลำบากเจ้านัก”

กรมขุนวิมลเดินพาแมงเม่าเข้าข้างใน คนอื่นต่างแห่ตามไปด้วยความดีใจที่แมงเม่าปลอดภัย

สายวันเดียวกัน...พระยาพลเทพกำลังโมโห



เป็นฟืนเป็นไฟที่ขุนแผลงฤทธิ์มารายงานเรื่องขันทองฆ่าทหารสองคน ด่าไอ้หน้าโง่โดนคนไม่ชายไม่หญิงฆ่าเอาได้ เสียชาติเกิดนัก พลันก็ระแวง สั่งเข้มว่า

“เออ...ท่านขุนอย่าลืมไปจัดการให้เรียบร้อย อย่าให้สาวมาถึงพวกเราได้ล่ะ”

ขุนแผลงฤทธิ์บอกว่าอย่ากังวลเลย กรมเวียงคาดว่ามันอยากได้ทรัพย์ของนังลูกเศรษฐีแลตนก็ได้ให้เงินทองแก่ลูกเมียสองคนนั้นแล้วพอสมควร พวกมันไม่กล้าซัดทอดว่าทำงานรับใช้ท่านเจ้าคุณดอก แต่ติงเรื่องเจ้าจอมเพ็ญแท้ง พระยาพลเทพถามทันทีว่า เจ้าจอมเพ็ญรู้หรือไม่ว่ามาจากความผิดพลาดของเรา

“ไม่ขอรับ คุณพระนายเองก็ไม่รู้ คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่กระผมก็เกรงว่าจะโยงกันได้จึงปิดเรื่องที่เราฆ่านังลูกเศรษฐีผิดพลาดไม่ให้คุณพระนายรู้ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าจอมเพ็ญก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง หากหมดความสำคัญอย่างไรก็ต้องเขี่ยทิ้งจากกระดานอยู่ดี เพียงแต่ตอนนี้ยังมีคุณกับเราอยู่ ก็จำต้องรักษาไว้ก่อน ก็เท่านั้นเอง” พระยาพลเทพยิ้มร้าย

ผ่านมาอีก 7-8 วัน เจ้าจอมเพ็ญกำลังจับแขนเลื่อนพยุงเดินช้าๆอยู่ในตำหนัก โดยมีพระยาพลเทพกับ ขุนแผลงฤทธิ์เดินตาม พระยาพลเทพปั้นหน้าเศร้าเสียใจที่เจ้าจอมเพ็ญแท้ง แต่ทราบว่าเจ้าจอมต้องพักฟื้นจึงรอถึงเจ็ดแปดวันค่อยมา เจ้าจอมเพ็ญถามหมายความว่ากระไร

“กระผมไม่สบายใจ จึงให้ท่านขุนแผลงฤทธิ์ลอบไปพบขรัวท่าน พอบอกท่านเรื่องหน่อพระพุทธเจ้า

ขรัวท่านตกใจนัก ด้วยไม่คิดว่าจะมีหน่อพระพุทธเจ้ามาเกิดในครรภ์เพลานี้ ด้วยอีกสองปีถึงจะมีหน่อพระพุทธเจ้าที่มีบุญบารมียิ่งใหญ่มาเกิด การมาเพลานี้จึงถือว่าเร็วเกินไปขอรับ”

“กระผมมั่นใจว่าด้วยบุญบารมีของหน่อพระพุทธเจ้า พระองค์ที่สองจึงทำให้เจ้าจอมแท้งในครานี้ เพราะไม่อาจแข่งบุญบารมีได้ขอรับ” ขุนแผลงฤทธิ์รีบสนับสนุน

เจ้าจอมเพ็ญเชื่อสนิท อารมณ์ดีขึ้นทันทีบอกว่าสองปีตนรอได้อยู่แล้ว ฉุกคิดอะไรได้ถามเลื่อนว่า พระราชาข่านสิ้นแล้วจะต้องมีการแต่งตั้งหัวหน้าขันทีคนใหม่เพื่อดูแลฝ่ายใน มีการเลือกกันไปแล้วหรือไม่

“ยังเจ้าค่ะ บ่าวได้ฟังมาว่ากรมขุนวิมลภักดีจะทรงเลือกในบ่ายวันนี้เจ้าค่ะ แต่บ่าวเห็นว่าหม่อมแม่ยังเศร้าใจอยู่จึงไม่ได้กราบเรียนเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นก็ยังทัน” เจ้าจอมเพ็ญยิ้มพอใจ

เวลาเดียวกันนั้น หลวงศรีมะโนราชกำลังเดินคุยมากับขุนเทพชำนาญและขุนเทพรักษาอย่างอารมณ์ดี

ขุนเทพรักษาประจบว่า มิพักต้องสงสัยเลยว่าผู้ที่จะขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีคนต่อไปแทนพระราชาข่านต้องเป็นคุณหลวงแน่

ขุนเทพชำนาญสอพลอว่าถ้าไม่ติดว่าหลายวันมานี้มีเหตุต้องสะสางมากมาย คุณหลวงคงได้ขึ้นแต่

วันแรกที่พระราชาข่านตายแล้ว

“ขึ้นแต่วันแรกก็น่าเกลียดเกินไป รอสักหน่อยจะงามกว่า...แต่ทันทีที่ฉันได้ขึ้นเป็นหัวหน้าขันที ฉันจะไม่ปล่อยให้อ้ายศรีขันทินมันเป็นสุขอีกเลย” หลวงศรีมะโนราช

ยิ้มร้าย

ขุนเทพชำนาญและขุนเทพรักษาต่างสอพลออาสาจะลงมือเพราะชังน้ำหน้ามานานเหลือเกินแล้ว

ooooooo

ที่เรือนขันทอง เยื้อนเก็บข้าวของของขันทองลงหีบ ถามว่าเราจะย้ายไปอยู่เรือนอื่นจริงหรือ

“ช้าหรือเร็วก็ต้องไป คุณหลวงศรีมะโนราช

ไม่ชอบหน้าฉันมานานหนักหนาแล้ว ครานี้ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าขันที ฉันคงต้องรับเคราะห์เป็นแน่ แค่ถูกไล่ออกจากเรือนนี้ยังถือว่าสถานเบานะเจ้า”

เยื้อนบอกว่าออกหลวงจะไปอยู่ที่ใดบ่าวก็จะตามไปรับใช้ทุกที่ ขันทองบอกว่าตนอาจต้องไปอยู่ที่ทิมขันทีเจ้าไปด้วยไม่ได้ดอก “อย่ากลัวเลย ฉันฝากฝังเจ้ากับขุนรักษ์เทวาแล้ว เจ้าจะได้อยู่สุขสบายเหมือนเดิม”

เยื้อนเข้าไปกอดขาขันทองร้องไห้ฟูมฟายว่าตนไม่อยากแยกจากออกหลวง อย่าทิ้งบ่าวไป ขันทองไม่ชอบที่เยื้อนมาถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้ กระอักกระอ่วนใจ บอกให้เยื้อนปล่อยเถิดอย่าทำเช่นนี้เลย เมื่อเยื้อนปล่อยแต่ยังร้องไห้ ขันทองถอนใจเอ่ย

“ขอบน้ำใจเจ้านักที่ภักดีต่อฉัน แต่ถ้าฉันต้องระเห็จไปอยู่ทิมขันทีจริง อย่างไรก็ให้เจ้าไปด้วยไม่ได้ ที่ฉันช่วยได้ก็คือ ไม่ให้เจ้าที่เป็นบ่าวลำบากลำบนไปด้วยเท่านั้น” แต่เยื้อนยังจะอ้อนต่อ ขันทองตัดบทว่า “ทำใจเสียเถิด เจ้าเองก็กำเนิดเป็นลูกพระยา ย่อมเห็นความไม่จีรังของวาสนาอยู่แล้ว อย่าดื้อดึงให้ฉันต้องลำบากใจไปด้วยเลย”

พูดแล้วขันทองเดินเข้าข้างใน เยื้อนมองตาม สีหน้าแววตาเปลี่ยนไปทันที ไม่ร้องไห้แต่พึมพำไม่พอใจ

“สู้อุตส่าห์ทำถึงขั้นนี้แล้ว ยังไม่เข้าใจอีก สมแล้ว ที่ไม่ใช่ชายแท้”

เวลาเดียวกัน ที่ตำหนักกรมขุนวิมลกำลังมีการประชุม มีทั้งเจ้าจอมเพ็ญ เจ้าจอมอำพัน และเจ้าจอมอื่นนั่งตั่งระดับต่ำลงมา

“หลวงศรีมะโนราชมีอาวุโสสูงกว่าทุกคน แลทำราชการได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ฉะนั้นฉันเห็นควรให้หลวงศรีมะโนราชขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีแทนพระราชาข่าน ทุกคนเห็นเป็นเช่นไร” กรมขุนวิมลมองหน้ารายตัว

เจ้าจอมอำพันเห็นว่าเป็นไปตามธรรมเนียม

ไม่มีผู้ใดคัดค้าน แต่พอกรมขุนวิมลจะสรุป เจ้าจอมเพ็ญก็ทักท้วงขึ้นว่า

“หม่อมฉันไม่เห็นด้วยเพคะ” กรมขุนวิมลถามว่าเหตุใดจึงไม่เห็นด้วย “หลวงศรีมะโนราชมีอาวุโสมากก็จริง แต่ก็มีคนไม่ชอบพออยู่มาก หากขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีดูแลฝ่ายใน เกรงจะมีความวุ่นวายขึ้นได้เพคะ”

คุณท้าวโสภาถามว่าจริงหรือที่มีคนไม่ชอบพอหลวงศรีมะโนราชอยู่มาก เหตุใดตนไม่เคยรู้มาก่อน เลื่อนรีบตอบแทนว่า

“หลวงศรีมะโนราชเป็นคนเจ้าโทสะ โมโหร้าย มีหลายคราที่ดุด่าเหล่าข้าหลวงเกินกว่าเหตุ บางคราวก็ถึงขั้นลงมือทำร้าย เรื่องนี้แม่เป้าก็รู้เห็นอยู่เจ้าค่ะคุณท้าว”

คุณท้าวโสภาถามเป้าว่าจริงหรือ เป้าอ้อมแอ้มว่าจริง แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแล้ว คุณท้าวจึงให้เล่า

“เจ้าค่ะ ครานั้นมีข้าหลวงหลายคนจับกลุ่ม

คุยกันเสียงดัง หลวงศรีมะโนราชไม่พอใจจึงฟาดหวายเข้าใส่ ฉันอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเจ้าค่ะ”

เจ้าจอมเพ็ญยิ้มพอใจที่เป้าเล่า แต่เจ้าจอมอำพันทักท้วงว่า

“หลวงศรีมะโนราชทำตามกฎ หากไม่ควบคุมเข้มงวดจะรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ได้รึ” แล้วหันถามกรมขุนวิมลว่า “จากข้อนี้ หม่อมฉันยิ่งเห็นควรให้หลวงศรีมะโนราชขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีเพคะ”

กรมขุนวิมลฟังความสองฝ่าย สีหน้าครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรดี เจ้าจอมเพ็ญยิ้มหวานเอ่ยขึ้นว่า

“ฉันรู้ว่าแม่อำพันสนิทสนมกับหลวงศรีมะโนราชมากกว่าคนอื่น”

“แล้วอย่างไร แม่เพ็ญพูดให้จบสิ อย่าพูดครึ่งๆ กลางๆให้คนอื่นเข้าใจฉันผิด”

เจ้าจอมเพ็ญเบือนหน้าไปทางอื่นไม่พูดอะไรอีก เจ้าจอมอำพันยิ่งโมโห กรมขุนวิมลเรียกปรามเจ้าจอมอำพัน เจ้าจอมอำพันไหว้ขอประทานอภัย กรมขุนวิมลจึงพูดกับทุกว่า

“ตำแหน่งหัวหน้าขันที แม้จะมีบรรดาศักดิ์เพียงแค่พระ แต่มีอำนาจมากกว่าบรรดาศักดิ์นัก ด้วยเหมือนควบคุมฝ่ายในเอาไว้กึ่งหนึ่ง ฉะนั้น ฉันจึงอยากให้คนที่เป็นหัวหน้า เป็นที่ยอมรับแก่ทุกฝ่าย” แล้วหันพูดกับเจ้าจอมเพ็ญ “แม่เพ็ญคงเข้าใจนะ”

“เข้าใจเพคะ แลเพราะเหตุนี้หม่อมฉันจึงอยากเสนอให้คนที่ทำราชการเข้ากับทุกผู้ทุกคนได้ แลเป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใดขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีเพคะ”

“แม่เพ็ญหมายถึงผู้ใดรึ” กรมขุนวิมลถาม ในขณะที่ เจ้าจอมเพ็ญอมยิ้มมั่นใจ

ooooooo

ที่ศาลาในวัง...เย็นวันนี้มีการประกาศพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้หลวงศรีขันทินขึ้นเป็นพระศรีขันทินตำแหน่งหัวหน้าขันที มีหน้าที่ดูแลขันทีและราชการฝ่ายใน นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

หลวงศรีมะโนราชที่เตรียมตัวมารับตำแหน่งหัวหน้าขันทีเต็มที่รวมทั้งขุนเทพชำนาญและขุนเทพรักษา แม้จะก้มกราบรับพระบรมราชโองการแต่สีหน้านั้นโกรธแค้นอย่างที่สุด หลวงศรีมะโนราชจะเข้าไปเอาเรื่องขันทอง แต่ขุนเทพรักษาห้ามไว้เกรงเรื่องบานปลายจะมีโทษหนัก แม้ขุนศรีมะโนราชจะโกรธจนตัวสั่น

แต่ก็ยอมฟัง

ขันทองกับแน่นชำเลืองมองกันอึ้งอย่างคิดไม่ถึง มีแต่ขุนรักษ์เทวาที่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้า

ขันทองเห็นความโกรธแค้นของหลวงศรีมะโนราชแล้วถอนใจเฮือกใหญ่ ได้เลื่อนตำแหน่งก็จริงแต่ไม่ดีใจเลย เพราะมีแต่จะสร้างศัตรูมากขึ้นดังที่เห็น

คืนนี้หลวงศรีมะโนราชไปกินดื่มจนเมามายและอาละวาดอยู่ที่เรือนขุนเทพรักษาโดยมีขุนเทพชำนาญอยู่คอยรับใช้และปลอบใจด้วย

ขุนเทพรักษากระวนกระวายจนขุนเทพชำชาญถามว่าเป็นกระไร จึงรู้ว่าขุนเทพรักษาเอาลูกสวาทเข้ามา ถามขุนเทพชำนาญว่าจะทำอย่างไรดี ขุนเทพชำนาญยิ้มเจ้าเล่ห์บอกว่าคืนนี้คุณหลวงเมาขนาดนี้คงกลับเรือนไม่ไหวแน่และคงค้างที่นี่ บอกขุนเทพรักษาที่กำลังใจคอไม่ดีว่า

“ถ้าอย่างไร ฉันจะพาลูกสวาทออกจากวัง ให้เจ้าถ่วงเวลาคุณหลวงไปพลางๆก็แล้วกัน”

คืนนี้ขณะที่แน่นเดินตรวจตราตามหน้าที่ เจอพวกทาสแบกหีบเดินมาก็รู้ว่าเป็นหีบที่ใช้ขนลูกสวาทเข้าออกวัง จึงซุ่มดูเห็นขุนเทพชำนาญเดินนำพวกทาสออกไปก็เอะใจว่าไม่ใช่ทางออกวังแต่เป็นทางไปเรือนขุนเทพชำชาญ

“เวรแท้” แน่นส่ายหน้าปลงๆที่ขุนชำนาญลักกินของเพื่อนหน้าตาเฉย

ooooooo

หลังจากเจ้าจอมเพ็ญเสนอให้ขันทองขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีแล้ว เช้านี้เดินคุยกับจมื่นศรีสรรักษ์อย่างกระหยิ่มยิ้มย่องโดยมีเลื่อนเดินตามคอยรับใช้

จมื่นศรีสรรักษ์ติงว่าคุณพี่ไม่น่าสนับสนุนอ้ายพระศรีขันทินขึ้นเป็นหัวหน้าขันทีเลย ตนเห็นหน้ามันแล้วไม่ใคร่ถูกชะตา ดูหูตามันไม่น่าไว้ใจอย่างไรพิกล เจ้าจอมเพ็ญจึงสอนน้องอย่างใจเย็นว่า

“เจ้าจะทำงานใหญ่ก็ต้องรู้จักใจกว้าง จะถือเอาอารมณ์ของตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ดอก พี่สนับสนุนออกพระศรีน่ะถูกต้องแล้ว ด้วยหลวงศรีมะโนราชสนิทสนมกับเจ้าจอมอำพันมากกว่าพี่ ขืนให้ขึ้นเป็นใหญ่ อำนาจในฝ่ายในของพี่ก็สั่นคลอนน่ะซี”

“ผู้อื่นก็มี เหตุใดต้องเป็นออกพระศรีผู้นี้ด้วย”

เลื่อนที่เดินตามมาสาระแนตอบแทนว่า

“ออกพระศรีเป็นคนเฉลียวฉลาดนะเจ้าคะ รับราชการไม่ทันไรก็ได้เป็นคุณหลวง แลไม่มีผู้ใดรังเกียจ เหล่าข้าหลวง เหล่าโขลนล้วนชื่นชอบพ่อปันหยีรูปงามกันทั้งนั้นล่ะเจ้าค่ะ”

เลื่อนตอบแล้วหัวเราะคิกๆอย่างมีจริต จมื่นศรีสรรักษ์หน้าตึง พูดอย่างหมั่นไส้ว่า

“ชายไม่ใช่ชาย ถึงรูปงามแล้วใช้ทำกระไรได้ โง่เง่า”

“แต่ที่นังเลื่อนพูดก็มีส่วนถูก คุณพระศรีผู้นี้ไม่มีผู้ใดรังเกียจแลไม่อยู่ฝ่ายใด ถ้าพี่สนับสนุนก็ไม่มีใครตำหนิได้ว่าพี่เอาคนของตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ แต่ในความเป็นจริงคือพี่สร้างบุญคุณกับคุณพระศรีแล้ว ก็เท่ากับ

คุณพระผู้นี้ อยู่ใต้อำนาจพี่อย่างไรเล่า”

จมื่นศรีสรรักษ์ยิ้ม ชมว่าคุณพี่ช่างฉลาดนัก เจ้าจอมเพ็ญยิ้มรับ แล้วหันสั่งเลื่อนให้จัดของหวานมาให้ ตนจะฝากคุณพระนายเอาไปให้หลาน พอเลื่อนไปเจ้าจอมเพ็ญก็หันถามจมื่นศรีสรรักษ์หน้าขรึมว่า ไปเจอขรัวท่านแล้วหรือไม่ ท่านว่าอย่างไรบ้าง

“เจอแล้วขอรับ” จมื่นศรีสรรักษ์ตอบด้วยสีหน้าไม่สบายใจ พลางหยิบขวดใส่ยาเล็กๆออกมาให้บอกว่า “กระผมได้ยามาตามที่คุณพี่ต้องการแล้ว แต่หากคุณพี่ต้องการทำเสน่ห์เพิ่มก็ต้องรออีกสองเดือนจึงจะได้ฤกษ์ขอรับ”

เจ้าจอมเพ็ญดีใจมากรับขวดยาไปดูแล้วรีบเก็บไว้ จมื่นศรีสรรักษ์ติงนิ่มๆว่าตนไม่นับถือขรัวผู้นี้เลย ดูเป็นคนเจ้าเล่ห์ แลเราก็เสียทรัพย์ให้ขรัวเถื่อนผู้นี้ไปมากแล้ว นอกจากพร่ำบ่นคาถาแล้วตนยังไม่เห็นจะทำอะไรเลย เจ้าจอมเพ็ญสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ถามเสียงขุ่นว่า

“ดูคุณพระนายจะไม่พอใจในทุกสิ่งที่พี่ทำเลยกระมัง” จมื่นศรีสรรักษ์รีบว่ามิได้ เจ้าจอมเพ็ญถอนใจเสียงอ่อนลงว่า “เรื่องทำเสน่ห์เจ้าไม่เชื่อถือก็ช่างเถิด เอาเป็นว่าพี่เชื่อก็แล้วกัน ส่วนเรื่องทรัพย์สินที่เสียไป เป็นเพียงรายได้ส่วนเล็กน้อยจากที่พี่ได้อยู่ประจำเท่านั้น ยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของที่พี่มีเลย”

“นี่คุณพี่มีทรัพย์สมบัติแอบซ่อนอยู่อีกหรือขอรับ”

“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ นอกจากเจ้าที่เป็นน้อง” เจ้าจอมลูบหัวน้องอย่างเอ็นดู “อโยธยารุ่งเรืองเท่าใด พี่ก็ร่ำรวยเท่านั้น แลพี่เชื่อว่าอโยธยายังจำเริญรุ่งเรืองไปชั่วกัลปวสาน ฉะนั้น เจ้าอย่ากังวลไปเลย”

เจ้าจอมเพ็ญยิ้มลำพองใจ ขณะที่จมื่นศรีสรรักษ์ดีใจเมื่อรู้ว่าพี่สาวตนร่ำรวยกว่าที่คิดมาก

ooooooo

ฝ่ายพระเจ้ามังระเรียกประชุมบรรดาขุนนางและแม่ทัพถามถึงเหตุการณ์ที่ทวายและเชียงใหม่ว่าเป็นอย่างไร ขุนนางรายงานว่าเมืองทวายแลนครพิงค์ เชียงใหม่แปรพักตร์จากอังวะไปเข้าด้วยอโยธยาแล้ว

พระเจ้ามังระเจ็บใจที่อังวะวุ่นวายอยู่นาน ทวายกับเชียงใหม่จึงกระด้างกระเดื่อง อะแซหวุ่นกี้เสนอว่า

“ขอเดชะ เราจะละไว้นานหาเป็นการควรไม่ หากไม่ตีเอาทวายแลเชียงใหม่ให้กลับมาอยู่ในอำนาจแล้วไซร้ หัวเมืองประเทศราชอื่นก็จะเอาเยี่ยงอย่างจนเกิดความเดือดร้อนไปทั่วได้พระพุทธเจ้าค่ะ”

พระเจ้ามังระอยากให้ราษฎรได้พักอีกสองสามปีค่อยคิดการศึก แต่จะไม่ออกรบก็จะเป็นอย่างอะแซหวุ่นกี้ว่า จึงเสนอว่า

“เอาเช่นนี้เถิด ข้าจะสั่งเกณฑ์ทหารจากบรรดาหัวเมืองฉานก็แล้วกัน จะได้ผ่อนภาระชาวอังวะเราได้บ้าง” อะแซหวุ่นกี้เห็นด้วย พระเจ้ามังระจึงสั่งมังมหานรธาผู้เป็นแม่ทัพในวัย 60 ปี ให้ยกทัพสองหมื่นไปยึดเมืองทวายคืนมาให้จงได้ แล้วสั่งเนเมียวสีหบดียกทัพสองหมื่นไปโจมตีนครพิงค์เชียงใหม่

ขุนนางผู้หนึ่งทักท้วงว่าเนเมียวสีหบดีผู้นี้แม้จะมีบิดาเป็นชาวอังวะแต่มีมารดาเป็นชาวล้านนาหาควรส่งไปทำศึกกับล้านนาไม่ ด้วยเกรงจะรบไม่เต็มฝีมือ

เนเมียวสีหบดีเจ็บใจมากเพราะถูกดูถูกมานานว่าไม่ใช่เลือดอังวะแท้ ยกมือไหว้พระเจ้ามังระทันที...

“ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาชีวิตลูกแลเมียเป็นประกัน หากข้าพระพุทธเจ้ายึดเชียงใหม่มามิได้ ก็ขอพระองค์ทรงตัดศีรษะข้าพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยลูกเมียเถิดพระพุทธเจ้าข้า”

“ไม่ต้อง” พระเจ้ามังระยิ้มพอใจ “อันหลักการช่วงใช้คนนั้น สำคัญที่ใช้คนไม่ระแวง ระแวงคนไม่ใช้ เนเมียวสีหบดีเป็นหนึ่งในหกสิบทหารเอกที่สมเด็จพ่อข้าแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง เช่นเดียวกับมังมหานรธา ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องรบพุ่งเพื่ออังวะจนสุดฝีมือเป็นแน่”

เนเมียวสีหบดีได้ฟังก็ก้มกราบดีใจมาก พระเจ้ามังระสั่งด้วยสีหน้าแววตาเด็ดเดี่ยวน่าเกรงขามว่า

“เจ้าทั้งสองจงไปเตรียมตัวให้พร้อม เกณฑ์ทหารได้ครบเมื่อใดก็จงไปสำแดงอำนาจของอังวะให้เป็นที่ประจักษ์ไปทั่วทุกทิศเถิด”

ผ่านมา 10 กว่าวัน การณ์จึงปรากฏว่า...

“พระเจ้ามังระทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองฉานไปทำการรบโดยไม่ทรงทราบว่าหัวเมืองฉานได้แอบส่งเครื่องบรรณาการถวายแด่ “จักรพรรดิ

เฉียนหลง” แห่งราชวงศ์ชิงของจีน เป็นเหตุให้อังวะและจีนผิดใจกันจนเกิดสงครามในเวลาต่อมา ซึ่งสงครามครั้งนี้ได้ส่งผลสำคัญต่อกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย”

ooooooo

ผ่านมา 10 กว่าวันเช่นกัน ที่ทางเดินในวัง พระยากำแหงเดินหน้าเครียดมาเพราะต้องเข้าประชุมด่วน

“ท่านเจ้าคุณเจ้าคะ” เสียงขันทองเรียกจาก

ข้างหลัง พอพระยากำแหงหันมอง ขันทองเดินหน้าเครียด

เข้ามาถามว่าที่มีการเรียกประชุม เพราะข่าวที่ว่าอังวะยกทัพมาใช่หรือไม่ พระยากำแหงพยักหน้า บอกว่า

“พวกเราต้องช่วยกันคิดว่าจะเอาอย่างไร หากต้องตั้งรับอยู่แต่ในพระนครเหมือนคราก่อน ฝ่ายในของเราจะได้เริ่มสะสมเสบียงอาหารกัน”

ขันทองบอกว่าตนคิดว่าอังวะยกทัพมาครานี้คงไม่คิดจะยึดอโยธยาเหมือนทุกครา หากแต่จะเอาทวายแลเชียงใหม่กลับไปเท่านั้น พระยากำแหงถามว่าเหตุใดจึงคิดเช่นนั้น

“เพราะมันผิดปกติเจ้าค่ะ หากพระเจ้ามังระทรงคิดจะยึดอโยธยาเป็นเมืองขึ้นเมืองออกจริง ย่อมต้องทรงยกทัพมาด้วยพระองค์เอง เพื่อให้พระเกียรติยศปรากฏไปในแผ่นดิน ดังเช่นพระเจ้าอลองพญาแลบูรพกษัตริย์พระองค์อื่น แต่นี่กลับให้แม่ทัพมังมหานรธากับเนเมียวสีหบดียกมาเท่านั้น ดีฉันจึงมั่นใจว่ามิได้คิดยึดอโยธยาเป็นที่ตั้งเจ้าค่ะ”

“ก็มีเหตุผลอยู่ แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องเตรียมการตั้งรับไว้อยู่แล้ว อังวะคิดจะยึดครองอโยธยาหรือไม่คงไม่สำคัญ”

“สำคัญเจ้าค่ะ สำคัญมากเสียด้วย เพราะเราจะวางแผนรับมืออังวะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับประสงค์ของอังวะนี่ล่ะเจ้าค่ะ”

“อย่างไรรึ ฉันไม่เข้าใจ”

ขันทองครุ่นคิดว่าจะอธิบายอย่างไรดี

ooooooo

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 5 วันที่ 28 เม.ย.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ