อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 30 เม.ย.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 30 เม.ย.61

เจ้าจอมอำพันถามกรมขุนวิมลว่าเราควรไปดูอาการแม่เพ็ญหรือไม่ เห็นเป็นลมไปกับตาไม่ดูดำดูดีเลย ก็กระไรอยู่ คุณท้าวเสนอให้คนไปถามไถ่อาการก็พอ อย่าไปด้วยตนเอง เจ้าจอมเพ็ญก็หาได้ชื่นชอบพวกเราเท่าใดนักเดี๋ยวจะค่อนแคะว่าไปเยาะเย้ยเอา แมงเม่าเลยเสนอตัวขอไป ไม่รู้ตอนผีเข้าตนทำกระไรไม่งามไปบ้าง จะได้ไปขอประทานโทษเจ้าจอมด้วย

เพียงเห็นหน้าแมงเม่า เจ้าจอมเพ็ญก็มานั่งที่ตั่งท่าทางไม่เหมือนคนที่เพิ่งกลัวผีจนเป็นลมเมื่อครู่นี้เลย แมงเม่ารายงานว่ากรมขุนวิมลให้ตนมาเยี่ยมเจ้าจอมและตนก็อยากมาขอประทานโทษเจ้าจอมที่ได้ล่วงเกิน



เจ้าจอมเพ็ญบอกว่าแมงเม่าถูกผีเข้าตนจะถือโทษได้อย่างไร ฝากขอบพระทัยเสด็จพระองค์หญิงด้วย

แมงเม่าเลียบเคียงถามว่า เมื่อเจ้าจอมสนิทสนมกับคุณท้าวสาลิกามาก่อน เป็นไปได้หรือไม่ว่าผีคุณท้าวมาเข้าตนเพราะอยากจะขอร้องให้เจ้าจอมทำอะไรให้ เจ้าจอมเพ็ญหน้าเสียบอกว่าถ้าจริงตนก็ยินดี แต่...

“คุณท้าวเองก็มีลูกอยู่ ถ้าต้องการกระไรก็น่าจะไปเข้าฝันบอกลูกมากกว่ามาขอฉันไม่ใช่รึ” เป้าถามว่า คุณท้าวสาลิกามีลูกด้วยหรือ เคยได้ยินว่าความผิดของคุณท้าวทำให้ถูกประหารสิ้นทั้งโคตรไปแล้ว “ก่อนเข้าวังคุณท้าวสาลิกาเคยมีผัวเป็นโจรแลมีลูกด้วยกันคนหนึ่ง ฉันเองยังเคยเห็นผัวคุณท้าวกับตามาแล้วครั้งหนึ่งเลย”

เจ้าจอมเพ็ญเล่าเหตุการณ์เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่ตนยังเป็นวัยรุ่นอยู่ว่า วันแรกที่เข้าเป็นข้าหลวง ตนเดินเก้ๆกังๆ เข้าครัวในวัง เจอคุณท้าวสาลิกาที่สูงวัยกว่าตนไม่กี่ปี คุณท้าวเป็นคนสวยแลมีฝีมือในทุกด้าน คุณท้าวถูกโจรฉุดไปและได้เสียเป็นผัวเมียกัน พ่อของคุณท้าวหาทางเอาตัวลูกสาวกลับไปแล้วส่งเข้าวังเพื่อไม่ให้โจรผู้นั้นมายุ่งเกี่ยวได้อีก แต่ตนก็ไม่ค่อยเชื่อนัก

จนคืนหนึ่งในการเสด็จประพาสป่า ฝ่ายในตามเสด็จด้วย ตนเห็นเสือขุนทองลอบเข้ามาจึงแอบดู เสือขุนทองเข้ามาจะชิงตัวสาลิกาไป แม้จะรักขุนทองและลูกเพียงใดแต่คุณท้าวเกรงว่าหากไปกับขุนทองพ่อแม่ก็จะมีผิด พ่อจะไม่ยอมให้เราอยู่ด้วยกันอยู่ดีต้องส่งคนไปพาตนกลับมาอีก

ขณะกำลังยื้อยุดกันนั่นเอง พวกโขลนก็นำกำลังพร้อมอาวุธจำนวนมากตรงเข้ายื้อยุดคุณท้าวไว้ ทำร้ายขุนทองจนได้รับบาดเจ็บ ตนตกใจจึงตะโกน

“ช่วยด้วย มีโจรจะฆ่าคุณท้าว ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”

พวกโขลนและทหารเข้ามาเสริมจนคุณท้าวสาลิกาตะโกนให้ขุนทองรีบหนีไป ขุนทองจึงจำต้องตีฝ่าวงล้อมหนีไป

แมงเม่าฟังเจ้าจอมเพ็ญเล่าแล้วแปลกใจที่เรื่องราวคล้ายต่อเนื่องกับที่ขันทองเล่าให้ตนฟัง และตกใจมากเมื่อเจ้าจอมเพ็ญเล่าถึงจอมโจรผู้นั้นว่า

“แลต่อมา ยังกลับใจมาทำคุณให้บ้านเมืองอีกด้วย พวกเจ้าก็น่าจะเคยได้ยินชื่อมาบ้างกระมัง เสือขุนทองอย่างไรเล่า”

แมงเม่าตกใจอุทาน “เสือขุนทอง” เป้าถามว่าเป็นกระไรหรือ แมงเม่าบอกว่าตนเคยได้ยินชื่อเสือร้ายนี้มาก่อน พอดีข้าหลวงคนหนึ่งเข้ามาบอกว่า เสด็จพระองค์ ชายเชษฐ์เสด็จมาเยี่ยมหม่อมแม่ เจ้าจอมเพ็ญรีบให้ไปทูลเสด็จ แมงเม่ากับเป้าจึงรีบกราบลา

พระองค์เจ้าเชษฐ์ในวัย 26-27 ปี หล่อเหลาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม เข้ามาเห็นแมงเม่ากับเป้ากำลังคลานเข่าออกไป พระองค์เจ้าเชษฐ์เห็นแมงเม่าก็ตะลึงในความงามจนมองตามกรุ้มกริ่ม

ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเจ้าจอมเพ็ญที่แอบสังเกตเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

ooooooo

เพียงเย็นวันนี้ พระองค์เจ้าเชษฐ์ก็ไปที่ตำหนักของกรมขุนวิมลขอแมงเม่ากับกรมขุนวิมล แต่ถูกปฏิเสธเพราะแมงเม่าเป็นไพร่กรมขุนวิมลมิอาจบังคับได้ พระองค์เจ้าเชษฐ์จะเอาทองหนักเท่าตัวแมงเม่าไปขอกับพ่อแม่ด้วยตนเอง

เจ้าจอมอำพันช่วยพูดว่าแมงเม่าเป็นคนดื้อ เคยประกาศไว้ว่าหากไม่รักแล้วก็จะไม่ยอมออกเรือนกับผู้ใด ถึงพระองค์ชายไปสู่ขอก็คงไม่สำเร็จ พระองค์เจ้าเชษฐ์โมโหถามว่านางคนนี้จะกล้าบอกปัดตนเชียวหรือ คุณท้าวจึงช่วยพูดอีกคนว่า

“แม่คนนี้ นิสัยใจคอผิดหญิงทั่วไป แลหากจะใช้อำนาจก็เกรงจะเป็นที่ครหาได้ว่าผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย คงมีแต่ต้องให้แม่แมงเม่าผูกสมัครรักใคร่ในตัวเสด็จเองเพคะ”

พระองค์เจ้าเชษฐ์จึงขอให้กรมขุนวิมลช่วยพูดความดีของตนเพราะรู้ว่าแมงเม่าเคารพนับถือท่าน ถ้าแมงเม่าได้ฟังความดีของตนก็คงรักได้ไม่ยากนัก ยังความกระอักกระอ่วนใจแก่กรมขุนวิมลยิ่งนัก

ฝ่ายเจ้าจอมเพ็ญกระหยิ่มยิ้มย่องสะใจอยู่ที่ตำหนักว่า ป่านนี้กรมขุนวิมลคงปวดพระเศียรอยู่เป็นแน่ จะยกแมงเม่าให้พระองค์เจ้าเชษฐ์ก็ไม่ได้ ไม่ยกให้ก็ต้องถูกรบเร้า ครั้นไม่คล้อยตามก็จะผิดพระทัยกันอีก

เจ้าจอมเพ็ญถามเลื่อนว่าเรื่องที่ให้ไปทำเป็นอย่างไรบ้าง เลื่อนหน้าเสียบอกว่าได้มาแล้ว ท่านเจ้าคุณพลเทพให้ยันต์สะกดวิญญาณแลคาถามากำกับโดยให้ทำพิธีในเวลากลางคืนที่อ่างแก้ว รับรองว่านับแต่นี้ผีคุณท้าวสาลิกาจะไม่มารบกวนหม่อมแม่อีกแล้ว

เจ้าจอมสั่งเลื่อนให้ไปทำพิธีคืนนี้เลย เลื่อนหน้าเสียเพราะกลัวผี แต่กลัวเจ้าจอมเพ็ญมากกว่า

ooooooo

แมงเม่ากลับไปเล่าเรื่องที่ฟังจากเจ้าจอมเพ็ญให้ขันทองฟัง ขันทองบอกว่าตนรู้อยู่แล้วว่าเสือขุนทองเป็นผัวคุณท้าวสาลิกา แมงเม่ามองอย่างระแวงถามว่ารู้แล้วทำไมไม่บอกตน

“เรื่องเช่นนี้คนเก่าคนแก่ในวังรู้กันทั้งสิ้น ฉันไม่เห็นเป็นความลับกระไรเลยไม่ได้บอก” ขันทองแก้ตัว แต่แมงเม่าก็ยังติดใจสงสัยว่าเรื่องที่เจ้าจอมเพ็ญเล่าคล้ายกับนิทานที่ออกพระเล่าให้ตนฟัง “เรื่องรักไม่สมหวังถูกกีดกันกระไรพวกนี้ก็เล่าต่อๆกันมาซ้ำๆเช่นนี้แหละ ก็คงจะคล้ายไปพ้องเข้าบ้างไม่เห็นจะมีกระไรเลย”

แมงเม่ามองอย่างระแวง ขันทองถามว่าทำไมมองตนเช่นนี้ แมงเม่าถามว่าอย่างไรหรือ ขันทองเอามือถ่างตาแมงเม่าบอกว่า มองอย่างนี้อย่างไรเล่า

เยื้อนที่แอบดูอยู่ส่งเสียงเรียก “คุณพระเจ้าคะ” ขัดจังหวะขึ้น ขันทองชะงักถามว่าทำไมมาถึงที่นี่ เยื้อนบอกว่าขุนจิตใจภักดิ์มีกิจสำคัญต้องการพบ แมงเม่าจึงขอตัวไป

ที่แท้เยื้อนหึงขันทองที่สนิทสนมกับแมงเม่าจึงแต่งเรื่องขัดจังหวะ เยื้อนโผเข้ากอดขาขันทองบอกว่าตนไม่อาจหักใจไม่ให้คิดได้ด้วยคุณพระดีกับบ่าวนัก ขันทองถอนใจบอกเยื้อนว่า

“ฉันดีกับเจ้าเพราะเราล้วนเป็นคนเหมือนกัน เป็นเพื่อนที่เกิดมาร่วมชาติเดียวกัน หาใช่ฉันมีจิตชอบพอเจ้าไม่ แล...ฉันไม่อาจทำให้เจ้าสมหวังได้ดอก”

“บ่าวทราบว่าคุณพระสิ้นความเป็นชายแล้ว แต่บ่าวไม่เคยสนใจเรื่องนี้ ขอเพียงแต่คุณพระเมตตาบ่าวบ้าง บ่าวก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ” เยื้อนบีบน้ำตายังคงกอดขาขันทองไว้ ขันทองดึงขาออก บอกว่า

“เจ้าไม่เข้าใจ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดดอก”

ขันทองดึงขาออกแล้วเดินเลี่ยงไปเลย เยื้อนผิดหวังเจ็บใจมากที่ถูกชายที่ไม่ใช่ชายแท้ปฏิเสธเอาได้

ขันทองเดินไปอึดใจเดียวก็ได้กลิ่นธูป เอะใจเดินตามกลิ่นไป จึงเห็นเลื่อนกำลังเอ่ยขอเสียงสั่น

“คุณท้าวเจ้าขา อย่ามาหลอกมาหลอนกันอีกเลยนะเจ้าคะ บ่าวกลัวแล้ว ไปที่ชอบ...ที่ชอบเถิดเจ้าค่ะ”

เห็นเลื่อนเอามือคุ้ยดินฝังอะไรไว้แล้วรีบออกจากอ่างแก้วไปทันที ขันทองเข้าไปคุ้ยดูจึงเห็นเป็นแผ่นยันต์เขียนด้วยอักขระแปลกประหลาด พึมพำ...“แผ่นยันต์...นี่กลัวจนต้องมาสะกดวิญญาณแม่ข้าเชียวรึ”

ooooooo

เช้านี้ที่เรือนขันทอง แน่นพาแม้นเด็กสาวที่ตนเพิ่งซื้อมาให้มารับใช้ขันทองอีกคน เยื้อนติงว่าเรือนแค่นี้ บ่าวคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว ขันทองบอกว่าอยากให้ช่วยแบ่งเบางานของเยื้อนแล้วให้พาไปสอนงาน

พอเยื้อนพาแม้นไป ขันทองบอกแน่นว่าแผนที่ให้แมงเม่าแกล้งผีเข้าขู่เจ้าจอมเพ็ญไม่สำเร็จ เพราะเจ้าจอมมีสติพอที่จะกลบเกลื่อนเรื่องราวไม่ให้เป็นพิรุธ แน่นเสนอว่าเรื่องนี้เห็นทีต้องพักไว้ก่อน เพราะขันทองมีงานต้องสะสางก่อน

นั่นคือการตรวจสอบบัญชีซื้อของในวังที่มีพิรุธว่าทุกอย่างที่หลวงศรีมะโนราช ขุนเทพชำนาญ และขุนเทพรักษาซื้อ แพงเกินเหตุทั้งสิ้น

หลวงศรีมะโนราชถามขันทองว่าต้องการอะไร ถ้าอยากฟ้องก็คงฟ้องไปนานแล้วไม่ใช่หรือ

“ที่ฉันไม่ฟ้องเพราะเห็นว่ายังพูดจากันได้ แลไม่อยากให้คุณหลวงกับพวกต้องโทษเฆี่ยนตีเป็นที่อนาถ เอาอย่างนี้เถิด คุณหลวงกับท่านขุนทั้งสองชดใช้เงินทองที่ใช้จ่ายเกินไปมา แลนับแต่นี้ หน้าที่ดูแลบาญชี ขอให้เป็นของท่านขุนรักษ์เทวา เช่นนี้ดีหรือไม่” ขันทองหว่านล้อม

 “ฉันเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือของคุณพระแล้วนี่ ยังจะกล้าไม่เห็นดีอยู่อีกรึ” หลวงศรีมะโนราชมองหน้าขันทองอย่างเกลียดชัง แล้วเดินออกจากศาลาในวังไปทันที

ขุนรักษ์เทวากับแน่นบ่นว่าไม่น่าพูดดีด้วยเลยใจดีกับคนเช่นนี้ไม่ต่างจากช่วยงูเห่าดอก

“ฉันไม่อยากเพิ่มศัตรูโดยไม่จำเป็น แลหวังว่าเรื่องครานี้จะเป็นบทเรียนให้หลวงศรีมะโนราชกลับใจได้ก็พอ” พูดแล้วขันทองมองตามพวกหลวงศรีมะโนราชไปด้วยสีหน้ากังวล เพราะปัญหาของตัวเองก็มากอยู่แล้ว ไม่อยากเพิ่มปัญหาอีก

ooooooo

บ่ายวันนี้ ขันทองไปซื้อของย่านร้านค้ากับขุนรักษ์เทวาและทาส ซื้อของเสร็จขณะขุนรักษ์เทวาเอาถุงเงินออกมาเพื่อจ่ายร้านค้า ถูกโจรกลุ่มหนึ่งชิงถุงเงินวิ่งหนีไป

ขุนรักษ์เทวาร้องวี้ดว้ายเต้นเร่าๆ ตะโกนให้โจรเอาถุงเงินคืนมา ขันทองบอกท่านขุนไม่ต้องตาม สั่งพวกทาสให้รออยู่ที่นี่ห้ามไปที่ใดเป็นอันขาดแล้วตัวเองก็วิ่งตามโจรไป

วิ่งตามโจรไปถึงทางเปลี่ยว โจรวิ่งเข้าตรอก ขันทองตามไปปรากฏว่าเป็นตรอกตัน ถูกพวกโจรที่ซุ่มอยู่กรูกันออกมาล้อมกรอบ ขุนรักษ์เทวาตกใจมาก ขันทองบอกว่าเราหลงกลมันแล้วบอกขุนรักษ์เทวาว่า

“เราแต่งกายเช่นนี้ ดูแต่ไกลก็รู้ว่าเป็นขันทีในวัง โจรทั่วไปจะกล้าขโมยของพวกเรารึ แสดงว่าคงรับจ้างมาทำร้ายพวกเราเสียมากกว่า”

ขุนรักษ์เทวากลัวตัวสั่นกดแขนขันทองไว้แน่นให้ช่วยตนด้วย ขันทองมิได้หวาดหวั่นแม้แต่น้อย แต่ด้วยตัวเองเป็นขันทีปลอม จึงจำต้องทำเป็นกลัว เห็นโจรคนหนึ่งพุ่งเข้ามา จึงแกล้งถีบก้นขุนรักษ์เทวาหน้าคว่ำไปแล้วเข้าต่อสู้กับโจรเพื่อไม่ให้ขุนรักษ์เทวาเห็นชั้นเชิงลีลาการต่อสู้ของตน

เพื่อให้สมจริงขันทองสู้ไปก็ร้องขอความช่วยเหลือไป พลางก็ร้องหลอกพวกโจร บอกขุนรักษ์เทวาว่าให้หลบไป มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว พลางตะโกนขอความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำอีก

แม้พวกโจรจะมีคนมากกว่าแต่ไร้ฝีมือ จึงถูกขันทองเล่นงานล้มเป็นใบไม้ร่วง ขุนรักษ์เทวาหลบออกไปเงยหน้าดูขันทอง ขันทองจึงไปถีบก้นหน้าคว่ำไปอีกเพื่อไม่ให้เห็นการต่อสู้ของตน

ด้วยวิชาและชั้นเชิงการต่อสู้ที่เหนือกว่ามาก ไม่นานโจรคนสุดท้ายก็ถูกเล่นงานลงไปกองกับพรรคพวกเหมือนกองขยะ

ooooooo

ที่แท้เป็นพวกที่หลวงศรีมะโนราชจ้างมาดักทำร้ายขันทอง เมื่อรู้ว่าโจรรับจ้างถูกปราบไม่เป็นท่าก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นฝีมือของออกพระศรีขันทินคนเดียว ขุนเทพชำนาญบอกว่าโจรยืนยันเช่นนั้นจริง

“ก็โดนพวกมันหลอกเอาน่ะสิ ดูสารรูปอ้ายศรีขันทินมันบ้างเถิด ของหนักที่สุดที่มันเคยยกคงไม่พ้นกระโถนน้ำหมาก ใครที่เชื่อว่าจะเอาชำนะโจรได้ก็โง่จนไม่รู้จะเปรียบกับกระไรแล้ว มันคงรับเบี้ยพวกเจ้าไปแล้วไม่ทำงาน แลปั้นเรื่องมาหลอกเอาตัวรอดต่างหาก” หลวงศรีมะโนราชตะคอกอย่างกราดเกรี้ยว

ขุนเทพรักษาถามว่าถ้ากระนั้นคุณหลวงจะให้พวกตนทำกระไร หลวงศรีมะโนราชบอกว่าของพวกนี้ทำบ่อยครั้งก็เท่ากับรับสารภาพเสียเอง หมดโอกาสแล้วจะทำได้อีกรึ

“แต่เพลานี้ใกล้จะมีศึกอีกอาจเกิดเหตุวุ่นวายได้ทุกเมื่อ เราค่อยฉวยโอกาสตอนนั้นก็ได้นะเจ้าคะ” ขุนเทพรักษาเสนอ ขุนเทพชำนาญก็สัญญาว่า

“พวกดีฉันขอสัญญาว่าจะแก้ตัวไม่ให้ผิดพลาดเหมือนครานี้อีก คุณหลวงอย่าเพิ่งตัดโอกาสพวกดีฉันเลยนะเจ้าคะ”

หลวงศรีมะโนราชนิ่งคิดครู่หนึ่ง จึงตอบด้วยความแค้น แววตาอาฆาตว่า

“ถึงเพลานั้นค่อยมาพูดกันอีกทีเถิด ถ้ามีช่องให้ทำได้ ฉันก็ไม่มีวันปล่อยมันเช่นกัน...อ้ายพระศรีขันทิน”

ooooooo

เช้านี้เมื่อขันทองเล่าเรื่องสู้กับโจรให้แน่นฟัง แน่นขำ บ่นเสียดายที่ไม่ได้อยู่ด้วยเลยอดเห็นสภาพของพระยาพลเทพ

ขันทองส่ายหน้า บอกว่าอ้ายพลเทพไม่ชอบหน้าตนแต่ไม่เคยสงสัยและคนที่มาดักทำร้ายตนฝีมืออ่อนด้อยเกินไป น่าจะเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อยเสียมากกว่า แน่นว่าถ้าเช่นนั้นก็น่าจะเป็นหลวงศรีมะโนราชเพราะเพิ่งโกรธแค้นกัน ถามว่า “เช่นนี้แล้ว เอ็งจะทำอย่างไรต่อ”

“ไม่ต้องทำกระไร พลาดไปเช่นนี้คงสงบได้อีกพักใหญ่ เรื่องตัวข้าไม่กระไรนักดอก ที่ข้าห่วงที่สุดตอนนี้คือเรื่องของบ้านเมืองมากกว่า” ขันทองสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด

ต่อมาที่ศาลาลูกขุนในวัง พระยาพลเทพ จมื่นศรีสรรักษ์และขุนนางคนอื่นๆกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียด โดยพระยาพลเทพเป็นเหมือนประธานในที่ประชุม

ขุนนางหนึ่งเอ่ยเครียดว่า กองทัพมังมหานรธายังอยู่ที่ทวายไม่มีทีท่าว่าจะกลับ ส่วนเนเมียวสีหบดีก็เข้าตีล้านช้าง คาดว่าคงแตกอีกไม่ช้านี้ ชะรอยว่าทัพทั้งสองคงยกมาตีอโยธยาพร้อมกันเป็นแม่นมั่น

พระยากำแหงว่าทัพของเนเมียวสีหบดีไม่น่าหนักใจเพราะยังมีอีกหลายเมืองเป็นด่านกั้น ขอเพียงเราให้เมืองเหล่านี้เกณฑ์ทหารเพิ่มทัพสักหมื่นสองหมื่น เนเมียวสีหบดีก็ยากจะผ่านมาได้ แต่ทัพทางทวายนี้หนักหนาอยู่ จึงควรรวมกำลังหัวเมืองด้านใต้ไปร่วมรับศึกจึงจะได้

พระยาพลเทพเห็นด้วยว่าทัพของมังมหานรธาเป็นปัญหาใหญ่ แต่เราจะยอมให้มีการเกณฑ์ทหารเพิ่มไม่ได้เป็นอันขาด เกิดพวกหัวเมืองฉวยโอกาสก่อกบฏขึ้นมาจะทำอย่างไร มีผู้ใดในที่นี้รับผิดชอบได้บ้าง ทุกคนมองหน้ากันแม้จะไม่เห็นด้วยนักแต่ก็ไม่มีใครกล้ารับผิดชอบหากเกิดขึ้นจริง พระยาพลเทพจึงเสนอว่า

“ศึกด้านเหนือฉันเชื่อว่าทหารหัวเมืองที่มีอยู่เพียงพอต่อการรับศึกแล้วไม่จำเป็นต้องเกณฑ์เพิ่ม แต่ศึกด้านใต้ ฉันจะส่งทหารจากอโยธยาหกหมื่นคนไปช่วยป้องกันแทน รับรองว่าไม่มีทางผ่านขึ้นมาเห็นกำแพงเมืองอโยธยาได้เป็นอันขาด”

จมื่นศรีสรรักษ์ตื่นเต้นกับกำลังทหารหกหมื่นมากกว่าศัตรูนัก อย่างนี้ก็คงชำนะศึกได้ไม่ยาก อยากได้ความชอบจึงอาสาออกศึกเพื่อทดแทนบุญคุณแผ่นดิน จะได้ให้อ้ายพวกอังวะมันเห็นฝีมือชาวอโยธยาเสียบ้าง

“เมื่อคุณพระนายมีใจรักแผ่นดินเช่นนี้ ฉันจะขัดขวางได้อย่างไร ฉันจะให้เป็นรองแม่ทัพก็แล้วกัน”

“เป็นพระคุณขอรับ” จมื่นศรีสรรักษ์ไหว้ดีใจมาก กระหยิ่มยิ้มย่องว่าศึกนี้ชนะง่ายๆตนก็ได้ความชอบไม่ยาก จบศึกได้เป็นพระยาแน่ๆ แต่พระยากำแหงเครียดไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการรบครั้งนี้เท่าใดนัก

ooooooo

เมื่อพระยากำแหงคุยกับขันทองต่างไม่เห็นด้วยกับแผนรบของพระยาพลเทพแต่ทักท้วงไม่ได้ผล จึงต้องปล่อยไปเพราะสิทธิ์ขาดเป็นของพระยาพลเทพ

ขันทองถามว่าเจ้าคุณพลเทพเป็นใหญ่ในกรมนา เหตุใดจึงมีสิทธิ์ขาดในศึกสงครามได้ แล้วฝ่ายกลาโหมเล่า?

“ออกญากลาโหมก็มีชื่อเท่านั้นดอก ที่ได้ตำแหน่งนี้มาก็เพราะเคยทำความดีความชอบครั้งใหญ่ไว้ พอมีศึกถึงได้ให้ออกญาพลเทพบัญชาการอย่างไรเล่า”

พระยากำแหงมองขันทองอย่างจับผิดว่าเป็นห่วงเป็นใยบ้านเมืองและมีความรู้เรื่องการศึกไม่น้อย ตนไม่เคยเห็นขันทีคนใดเป็นอย่างคุณพระมาก่อนเลย ขันทองปั้นหน้าเศร้าชี้แจงว่า

 “ดีฉันเป็นคนต่างด้าวท้าวต่างเมืองก็จริง แต่สำนึกในบุญคุณข้าวแดงแกงร้อนของอโยธยา จะไม่เป็นห่วงเป็นไปได้อย่างไรเล่าเจ้าคะ ส่วนความรู้ด้านการศึกนั้น คนเมืองโต้ระกี่ก็พอมีติดตัวทุกคน หากวันใดท่านเจ้าคุณได้ไปเมืองโต้ระกี่ก็คงจะเห็นเองเจ้าค่ะ”

คำชี้แจงเนียนๆของขันทองทำให้พระยากำแหงเชื่อสนิทใจ แต่เมื่อเราทำกระไรไม่ได้ก็มีแต่ต้องทำใจนึกได้ถามว่า “แล้วเรื่องที่ฉันฝากฝังคุณพระไว้เป็นอย่างไรบ้าง”

ขันทองกระอักกระอ่วนใจ บอกว่าแมงเม่าอยู่ที่ตำหนักกรมขุนวิมล ให้เจ้าคุณไปหาเองก็ได้ พระยากำแหงว่าตนไม่มีเหตุที่จะเข้าตำหนัก ขันทองจึงเอาสร้อยคอที่เจ้าจอมอำพันทำขาดและให้ไปซ่อมเอาไปคืนแทนตน พระยากำแหงดีใจมาก ขอบน้ำใจคุณพระ ชมว่า “ฉันไหว้วานไม่ผิดคนเลย”

“เสน่ห์แรงเหลือเกินนะแม่คุณ” ขันทองมองตามพระยากำแหงที่ดีใจจนเนื้อเต้นที่จะได้ไปเจอแมงเม่า

ooooooo

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 30 เม.ย.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ