อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 29 เม.ย.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 29 เม.ย.61

ในศาลาลูกขุน ขันทองอธิบายข้อเสนอของตนให้พระยาพลเทพ พระยากำแหง ขุนแผลงฤทธิ์ แน่น และขุนนางคนอื่นๆในที่ประชุมฟังว่า

 “เมื่ออังวะคิดเพียงแค่ยึดทวายกับเชียงใหม่ เราจึงมิควรตั้งรับอยู่ในแดนของเรา แต่ควรส่งกองทัพใหญ่ไปช่วยทวายแลเชียงใหม่เจ้าค่ะ ด้วยเหตุที่อังวะไม่ได้เตรียมตัวมารับกองทัพใหญ่  แลเรายังได้ชัยภูมิเมืองทวายกับเชียงใหม่ช่วยอีกด้วย จึงมีความได้เปรียบมากอยู่ อีกทั้งทวายแลเชียงใหม่สวามิภักดิ์ต่อเราแล้ว เมื่อเกิดศึกเราไม่ยกทัพไปช่วย ก็จะโกรธเคืองแลเสียใจได้เจ้าค่ะ”

พระยาพลเทพชมว่าข้อเสนอของพระศรีขันทินก็ไม่เลว แต่เห็นว่าเราควรตั้งรับอยู่ในเขตแดนเพราะถ้าเราส่งกองทัพใหญ่ออกไปแล้วเกิดไม่ได้ชัย เราจะไม่เสียทั้งคนทั้งขวัญกำลังใจรึ ขันทองติงว่าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับเราปล่อยให้ทวายแลเชียงใหม่รับศึกตามลำพัง



“จะห่วงกระไร พวกเมืองประเทศราช ถึงจะถูกยึดไปก็หากระเทือนถึงอโยธยาไม่” พระยาพลเทพตัดบท

พระยากำแหงตกใจท้วงติงว่า ท่านไม่กลัวว่าหัวเมืองพวกนี้จะโกรธเคืองที่อโยธยาทอดทิ้งหรือ

ขุนแผลงฤทธิ์สวนทันทีว่า โกรธก็โกรธไปเมืองขึ้นพวกนี้ก็เหมือนบ่าวรองมือรองตีนนาย แต่ละปีมีหน้าที่ส่งบรรณาการเท่านั้น เรื่องอื่นอย่าไปสนใจเลย

“พูดเช่นนี้มันเอาแต่ได้แล้วท่านขุน บรรณาการก็อยากได้ แต่พอเกิดเรื่องกลับทอดทิ้ง แล้วต่อไปใครจะยอมสวามิภักดิ์” พระยากำแหงโมโหมาก

พระยาพลเทพปรามพระยากำแหงให้ใจเย็นๆ ขุนแผลงฤทธิ์เจรจาโดยซื่อ อย่าถือโทษโกรธเคืองเลย แล้วหันไปพูดกับทุกคนว่า

“เอาเป็นว่าฉันขอเสนอให้ใช้แผนเดิมในการรับศึกอังวะ ทุกคนเห็นเป็นอย่างไร”

ขุนนางสอพลอเห็นด้วย ขันทองจะท้วงติงถูกแน่นกระตุกชายเสื้อไม่ให้พูด พระยาพลเทพจึงรวบรัดว่า

“ออกพระศรีคงไม่เห็นด้วย ฉันเข้าใจ แต่อันที่จริงเรื่องการศึกก็ไม่เกี่ยวกับขันทีอย่างคุณพระเลย ที่ฉันให้เข้าประชุมด้วยก็เพื่อจะได้เตรียมสะสมเสบียงแลควบคุมฝ่ายในให้มีความเรียบร้อยเพลามีศึกเท่านั้น ฉะนั้นคุณพระอย่าได้ออกความเห็นให้เป็นที่หัวร่อเลย”

พระยาพลเทพทำเสียงขำๆในคอ พรรคพวกคนอื่นพากันหัวเราะขบขัน พระยากำแหงไม่พอใจกับการเหยียดหยามนี้มาก แต่ขันทองกับแน่นกลับนิ่งไม่หวั่นไหวกับคำพูดและท่าทีเยาะหยันนั้นเลย

ออกจากศาลาลูกขุน ขันทองเดินคุยกับแน่นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า การวางแผนรับศึกของเจ้าคุณพลเทพเช่นนี้ หากไม่ใช่จงใจให้อโยธยาเสียเปรียบ ก็ต้องถือเป็นเวรกรรมของบ้านเมืองโดยแท้ที่ได้คนเช่นนี้มีอำนาจในกลาโหม แน่นเตือนว่า

“ข้ารู้ว่าเอ็งห่วงบ้านเมือง แต่ที่อ้ายเจ้าคุณพลเทพพูดมันก็ถูก เอ็งเป็นขันทีมาจากเมืองโต้ระกี่ ควรรึที่จะมีความรู้ด้านพิชัยสงครามกับเขา แสดงปัญญามากเท่าใดเอ็งจะยิ่งเดือดร้อนนาโว้ย”

ขันทองคิดตาม ถอนใจหนัก ขอบน้ำใจแน่นที่เตือนสติและว่าต่อไปตนจะระวังให้มากกว่านี้

“เออ...แล้วเอ็งคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อ ถ้าอังวะมันยึดเชียงใหม่กับทวายคืนได้แล้วจะกลับหรือไม่”

“ก็หวังให้เป็นเช่นนั้น แต่ข้าเกรงว่าอังวะจะย่ามใจ ด้วยเห็นว่าเราอ่อนแอ ยอมปล่อยให้ยึดหัวเมืองประเทศราชได้ง่ายๆ จากที่ไม่คิดโจมตี ก็จะกลายเป็น...”

แน่นเหลือบเห็นเป้าถือขันสำหรับใส่ดอกไม้เดินไปทางสวนก็ตัดบทว่าตนมีงานต้องไปทำแล้วลิ่วไปเลย

ooooooo

ที่แท้แน่นเผลอใจลิ่วไปหาเป้าทักทายกรุ้มกริ่มและเก็บดอกไม้ให้ จนเป้าแปลกใจว่าไม่เคยเห็นขันทีคนใดหยอกล้อกับนางข้าหลวงแบบนี้มาก่อน เผลอหัวเราะออกมาบอกว่าเกรงคุณท้าวมาเห็นจะหยิกเอาเนื้อเขียว

แน่นบอกว่าอย่ากลัวเลยตนไม่ใช่ชายแท้ คุณท้าวจะดุไม่ได้ดอก พูดจนเป้าหายกังวลคุยด้วยอย่างสนิทใจ แน่นเลยช่วยเก็บดอกไม้ให้อย่างมีความสุข

ฝ่ายแมงเม่าร้อนใจเมื่อได้ข่าวอังวะจะยกทัพมาอีก ออกจากห้องมาถามขันทองที่กำลังนั่งคุยกับอินที่โถงบ้าน ขันทองแกล้งไม่ตอบ แมงเม่าคะยั้นคะยอถามก็ยิ่งแกล้ง หยิบพานใส่ผ้าพับที่วางอยู่ยกขึ้นบอกว่า

“กรมขุนวิมลท่านทรงได้ผ้าสวยมาจึงให้ฉันเอามาให้เจ้า”

แมงเม่าไหว้พานรับมา ยังย้ำถามเรื่องอังวะอีก ขันทองกลับหันไปคุยกับอินต่อจนแมงเม่าทนไม่ไหว โวยลั่น แต่พอดีมิ่งกับชื่นเดินนำพระยากำแหงขึ้นเรือนมา ชื่นดีใจบอกแมงเม่าให้รีบมาไหว้ท่านเจ้าคุณเสีย

พระยากำแหงที่มีใจให้แมงเม่าอยู่รับไหว้กรุ้มกริ่ม แล้วหันไปทักขันทองว่านี่ถ้ารู้ว่าคุณพระจะมาที่เรือนนี้คงมาด้วยกันแล้ว แมงเม่าชิงพูดตัดหน้าว่าคุณพระศรีกำลังจะกลับ แล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ดึงแขนขันทองบอกว่าจะไปส่ง ขอตัวกับพระยากำแหงว่า “ขอไปส่งคุณพระศรีสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” แล้วดึงแขนขันทองลงเรือนไปทันที

ชื่นหน้าเสียแก้ต่างให้แมงเม่าว่าคิดว่าคุณพระศรีเป็นเช่นเดียวกับตัวเองเลยจับมือถือแขน พระยากำแหงพูดเอาใจว่าพวกข้าหลวงในวังก็ทำเช่นนี้หลายคน ตนไม่ถือดอก มิ่งชมว่าใจกว้างแล้วชวนไปนั่งพักกัน

พอแมงเม่าดึงขันทองลงเรือนไปแล้ว ขันทองจึงตอบแมงเม่าเรื่องอังวะว่า

“เรื่องอังวะ เพลานี้มีสองทัพบุกเข้าตีทวายแลเชียงใหม่ ส่วนภายหน้าจะบุกถึงอโยธยาหรือไม่ฉันไม่กล้าเดา ได้แต่หวังว่าคงไม่” แมงเม่าหน้าเครียดบ่นเสียดายที่ตนมิใช่ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะช่วยบ้านเมืองได้ “ผิดแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิงหากมีความตั้งใจก็ช่วยบ้านเมืองได้ทั้งนั้น มิแน่ สักวันอโยธยาอาจจะต้องพึ่งพาหญิงอย่างเจ้าก็เป็นได้”

พระยากำแหงมองจากบนเรือนเห็นแมงเม่าคุยกับขันทองอย่างสนิทสนมก็ไม่พอใจ ครู่ใหญ่ก็ไปหาขันทองที่เรือนพร้อมกับเหล้าองุ่นจากเมืองฝรั่งมาฝาก ขันทองบอกว่าตนไม่ดื่มสุรา แต่ถึงไม่มีของกำนัลตนก็ยินดีแลเต็มใจรับใช้ท่านเจ้าคุณอยู่แล้ว

พระยากำแหงจึงเอ่ยด้วยท่าทีเขินอายว่าตนชอบแมงเม่า ขอให้คุณพระเป็นสื่อให้ได้หรือไม่ เพราะถ้าคุณพระช่วยพูดต้องสำเร็จแน่ ขันทองกระอักกระอ่วนใจ

แนะว่าเรื่องนี้ท่านเจ้าคุณพูดกับเศรษฐีมิ่งหรือแมงเม่าเองก็ได้ไม่ต้องให้ตนช่วยเลย

“ด้านเศรษฐีไม่กระไรดอก แต่แม่แมงเม่าดูเฉยชากับฉันนัก...อ้ายฉันจะเกี้ยวก็ไม่มีโอกาสสักที คงต้องพึ่งคุณพระแล้ว”

พระยากำแหงยอมรับว่าไม่กล้าพูดกับผู้อื่นกลัวจะปากมาก ส่วนผู้ชายไม่ต้องพูดถึง ใครฝากปลาย่างไว้กับแมวก็โง่เง่าเต็มทน จึงเหลือแต่คุณพระที่ตนหวังพึ่งได้

ขันทองหนักใจเพราะตัวเองก็เริ่มมีใจกับแมงเม่าแล้วแต่จำต้องรับปาก พระยากำแหงดีใจมาก จากนั้นพูดถึงเรื่องสงครามที่จะต้องบอกกันไว้ว่า

“เปิดศึกเมื่อใดฉันคงต้องกวดขันฝ่ายในหนักกว่าเดิม และมีคำสั่งลงมา เห็นผู้ใดมีพิรุธให้จับกุมได้โดยไม่ต้องรอหลักฐาน”

“ศึกนอกจะเป็นอย่างไรยังไม่อาจรู้ได้ กลับมาสร้างศึกในเพิ่มขึ้นอีก ทำเช่นนี้เท่ากับให้อยู่กันด้วยความหวาดระแวง แลเป็นช่องทางให้คนไม่ชอบกันทำร้ายกันเสียเปล่าๆ”

“ฉันก็ไม่เห็นด้วยดอก แต่เมื่อมีคำสั่งก็ต้องทำตาม” พระยากำแหงตอบเครียด

ooooooo

มีฉากแผนที่แสดงการเคลื่อนกำลังทัพของอังวะ พร้อมเสียงบรรยายว่า...

“หลังจากรวบรวมกำลังพลได้ กองทัพของอังวะก็เคลื่อนกำลังเข้าโจมตีเมืองทวายและเชียงใหม่พร้อมกันตามแผนทันที โดยมีการต่อต้านเพียงเล็กน้อยจาก

เมืองทวาย ก่อนจะเสียเมืองให้กับอังวะอย่างง่ายดาย  สร้างความตกใจให้กับกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก กรุงศรีอยุธยาจึงได้เปลี่ยนใจส่งกองทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่ แต่กองทัพยังเดินทางไปไม่ถึง เมืองเชียงใหม่ก็เสียให้กับอังวะไปก่อน ซึ่งการเสียเมืองทั้งสองนี่เอง ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเสียกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา...”

ผ่านมา 10 กว่าวัน พระยาตากเดินคุยมากับขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งในวัง โดยมีหลวงพิชัยกับพันหาญเดินตามหลัง พระยาตากคุยเครียดว่า

“กระผมรู้มาว่า หลังจากอังวะยึดเชียงใหม่ได้ก็แบ่งกำลังส่วนหนึ่งจากเชียงใหม่ไปตีล้านช้าง หาก ‘ล้านช้างร่มขาว’ เสียแก่อังวะแล้วไซร้ อังวะคงมีกำลังแลเสบียงอาหารเพิ่มมากขึ้นอีกเป็นอันมาก แลหากอังวะยกมาตีระแหงแขวงเมืองตาก เมืองเล็กของกระผมคงไม่อาจต้านได้ จึงจำเป็นต้องเกณฑ์ทหารเพิ่ม ขอท่านเจ้าคุณโปรดเร่งนำเรื่องนี้ไปให้กลาโหมพิจารณาด้วยเถิดขอรับ”

ขุนนางผู้ใหญ่บอกว่าจะเร่งให้ แต่เมืองเล็กๆอย่างเมืองตาก พวกอังวะจะเอาไปทำกระไรตนยังสงสัย

“แม้เมืองตากจะเล็ก แต่เป็นชัยภูมิสำคัญ หากจะเคลื่อนทัพจากเหนือลงสู่อโยธยา อย่างไรก็ต้องยึดไว้ขอรับ” ขุนนางรับปากอย่างไม่เห็นสำคัญแล้วเดินเลี่ยงไป

“จนเสียเชียงใหม่ไปแล้วยังทำทองไม่รู้ร้อนอีก พวกผู้ดีกรุงศรีนี่อย่างไรกันนะ” หลวงพิชัยไม่พอใจ พันหาญเบะปากดูถูกว่า ต้องรอให้อังวะล้อมกรุงเหมือนคราศึกพระเจ้าอลองพญาจึงจะสำนึกได้ หลวงพิชัยพึมพำเครียดว่า “จะเกณฑ์ทหารเองก็เกรงถูกหาว่าเป็นกบฏ มิเช่นนั้นคงไม่ต้องพึ่งพาอ้ายพวกนี้ดอก”

“ช่างเถิด เรามีหน้าที่ต้องทำตามกฎ” พระยาตากถอนใจ หันบอกพันหาญว่า “หัวพันไปรอตามที่นัดไว้ก็แล้วกัน แล้วฉันจะตามไป”

ขณะพันหาญเดินไปอีกมุมหนึ่งในวัง ก็เจอแน่นกับขันทองเข้าโดยบังเอิญ ต่างดีใจมากที่ได้เจอกันอีก

ขันทองถามว่าไปอย่างไรมาอย่างไรถึงได้อยู่กับพระยาตาก

“น้ากับพวกอาสาไปรบที่เชียงใหม่ แต่ยังไปไม่ถึงก็เสียเมืองเสียก่อน โชคดีเจอท่านเจ้าคุณเข้า ท่านชวนมาอยู่ด้วย พวกน้าก็เลยไปเป็นทหารอาสาที่เมืองตากกัน แต่เมืองตากเล็กนัก ท่านเจ้าคุณเกรงจะต้านศึกอังวะไม่ได้ จึงมาที่อโยธยาเพื่อขอเกณฑ์ทหารเพิ่ม น้าก็เลยติดสอยห้อยตามมาด้วย”

ขันทองบอกว่าน้าพันหาญกับพวกเราไปพึ่งใบบุญท่านเจ้าคุณตนก็หมดห่วง แต่ตนไม่สบายใจที่น้ากลับมาที่อโยธยาอีก เกรงจะปะกับคนของอ้ายพระยาพลเทพเข้า แต่พอรู้ว่าพันหาญเจอพวกพระยาพลเทพแล้ว แน่นก็ตกใจเกรงน้าพันหาญจะถูกทำร้ายถามว่า หรือน้าอยู่กับพระยาตากพวกมันเลยไม่กล้า

“พวกมันไม่กล้าทำร้ายข้าโดยตรง แต่อ้ายพลเทพมันเชื้อเชิญท่านเจ้าคุณไปหามันที่เรือนแทน ซึ่งเพลานี้ ท่านเจ้าคุณก็กำลังไปตามคำเชื้อเชิญ”

“นี่พระยาตากไปหาอ้ายพลเทพถึงเรือนเชียวรึ” ขันทองตกใจมาก

ooooooo

พระยาพลเทพยิ้มแย้มยินดีต้อนรับพระยาตาก แต่ขุนพลแผลงฤทธิ์ที่เคยแพ้หลวงพิชัยยับเยินเมื่อคราวก่อนจ้องหน้าอย่างโกรธแค้น แต่หลวงพิชัยจำไม่ได้เพราะเวลานั้นขุนแผลงฤทธิ์โพกผ้าปิดบังใบหน้า

พระยาพลเทพเรียกพระยาตากมาเตือนอย่างไม่พอใจที่รับเสือหาญมาเป็นทหารอาสาว่า

“อ้ายนั่นน่ะ ก่อนที่จะมาเป็นทหารอาสามันเคยเป็นโจรร้ายมาก่อน ทั้งปล้น ฆ่า ข่มขืนกระทำชำเรา คนชั่วช้าเช่นนี้ท่านเจ้าคุณเลี้ยงไว้ได้อย่างไร ไม่ต่างจากเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ข้างกาย”

“เป็นพระคุณเหลือเกินขอรับที่ตักเตือนกระผม แต่ก่อนจะรับมา กระผมทราบมาว่าพันหาญผู้นี้เคยเป็นลูกน้องเก่าเสือขุนทองมาก่อน แลเสือขุนทองก็มีชื่อเสียงว่าปล้นแต่คนฉ้อฉลคดโกง แต่ไม่เคยทำร้ายคนอ่อนแอกว่า แลยังกตัญญูต่อบ้านเมือง คราศึกพระเจ้าอลองพญา

ก็อาสาออกศึกจนตัวตาย พันหาญผู้นี้ เท่าที่ดูก็มีน้ำใจไม่ผิดลูกพี่นัก กระผมจึงเลี้ยงไว้ขอรับ” พระยาตากตอบอย่างรู้ทันว่าพระยาพลเทพต้องการอะไร

ขุนแผลงฤทธิ์ติติงว่าท่านเจ้าคุณพูดเช่นนี้เหมือนไม่ไยดีในน้ำใจของพระเดชพระคุณเลย หลวงพิชัยโต้ทันควันว่า หาก ‘ไยดีในน้ำใจ’ หมายถึงต้องทำตามที่สั่งโดยชี้แจงกระไรไม่ได้ ตนกับท่านเจ้าคุณก็คงอับจนคำพูดแล้ว พระยาพลเทพโมโหมองหน้าพระยาตากพูดเหน็บแนมหน้าตายว่า

“ช่างเถิดขุนแผลงฤทธิ์ พระยาตากไม่ใช่คนไทอย่างเรา บางทีธรรมเนียมจีนคงชอบที่จะเลี้ยงคนชั่วไว้ข้างกาย แลไม่เคารพนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่กระมัง”

พระยาตากได้แต่ยิ้มบางๆมิได้ต่อปากต่อคำแต่อย่างใด แต่เมื่อออกมาที่ท่าน้ำเรือนพระยาพลเทพแล้ว พระยาตากคุยกับหลวงพิชัยว่า

“คงเสียหน้าที่ฉันเห็นทหารอาสาคนหนึ่งดีกว่าพระยานาหมื่นกระมัง ช่างเถิดอย่าเอามาใส่ใจเลย เพลานี้ เป็นยามศึก ทหารที่ออกรบได้คนหนึ่ง มีค่ามากกว่าขุนนางที่รับราชการด้วยปากมากนัก”

“ท่านเจ้าคุณช่างเปรียบเปรยนัก แต่ไม่ใส่ใจเลยก็คงไม่ได้นะขอรับ กระผมว่าเรารู้คำตอบเรื่องเกณฑ์ทหารเมื่อใด ก็รีบออกจากอโยธยากันเถิดขอรับ” พระยาตากพยักหน้ารับแล้วพากันลงเรือที่บ่าวจอดรออยู่

ขณะเดียวกัน ที่เรือนพระยาพลเทพ ขุนแผลงฤทธิ์เป็นเดือดเป็นแค้นบอกว่าถ้าท่านเจ้าคุณให้กำลังตนสักห้าสิบคน ตนมั่นใจว่าจะฆ่าทิ้งทั้งพระยาตาก หลวงพิชัย และอ้ายหาญได้ พระยาพลเทพเห็นว่าถึงฆ่าได้แต่ก็ได้ไม่คุ้มเสีย คงเกิดความวุ่นวายไม่น้อย ถามว่าแล้วพระยาตากมาที่อโยธยาทำไม

“มาขออนุญาตเกณฑ์ทหารเพิ่มเผื่อต้องรับศึกอังวะขอรับ”

“ไปบอกกลาโหมว่า เมืองตากเป็นเมืองเล็กไม่น่าที่อังวะจะบุกตี ฉะนั้นอย่าให้เกณฑ์ทหารเพิ่ม เกลือกพระยาตากจะคิดคดเป็นกบฏได้...ตายด้วยน้ำมืออังวะเสียเถิดวะ อ้ายพระยาตาก” พระยาพลเทพพึมพำเหี้ยม

ฝ่ายพระเจ้ามังระ วางแผนให้มังมหานรธากับเนเมียวสีหบดียกทัพบีบอโยธยาให้อยู่ตรงกลาง ศึกนี้มิได้หมายยึดครองอโยธยาหากแต่เป็นการทำลายอโยธยา มิให้ฟื้นคืนกลับมาเป็นเสี้ยนหนามต่ออังวะได้อีก

พระเจ้ามังระมีพระบรมราชโองการให้ใช้แผนการรบยืดเยื้อให้ทัพทั้งสองสะสมเสบียงไว้ให้มากเพื่อเคลื่อนพลในหน้าหนาวนี้จะได้มีเวลาทำศึกนานขึ้น ให้ยึดเสบียงแลข้าวของแต่ห้ามทำร้ายผู้คนโดยเด็ดขาด แต่หาก

เมืองใดขัดขืนให้ฆ่าสิ้นเสียทั้งเมืองอย่าให้เป็นเยี่ยงอย่าง

มังมหานรธาและเนเมียวสีหบดียกมือท่วมหัวเอ่ยพร้อมกัน

“รับด้วยเกล้าพระพุทธเจ้าข้า”

ooooooo

ใกล้วันงานลอยกระทงแล้ว ขันทองวาดรูปกระทงอย่างสวยงามให้เจ้าจอมเพ็ญดู เจ้าจอมพอใจมากบอกว่าถึงงานประทีปเมื่อใดให้ทำตามนี้เลย แลต้องทำให้ตนผู้เดียวเท่านั้นอย่าทำให้ผู้อื่นเด็ดขาด

แต่ขันทองเหม่อลอยจนไม่ได้ยินที่เจ้าจอมพูดพอรู้สึกตัวก็บอกว่า กังวลว่าทัพทั้งสองของอังวะจะเข้าตีอโยธยา เลื่อนหัวเราะบอกว่าไม่ใช่กงการของฝ่ายในเรา คุณพระเอามาคิดทำไม เจ้าจอมเพ็ญก็ว่าอโยธยามีเทวดาอารักษ์พระเสื้อเมืองทรงเมืองคอยปกปักรักษาอยู่ ศึกพระเจ้าอลองพญาครานั้นถึงขั้นล้อมเมืองและระดมยิงปืนใหญ่เข้ามา ปืนใหญ่ก็แตกจนพระเจ้าอลองพญาสวรรคต เช่นนี้ไม่เรียกว่าบุญบารมีแล้วจะเรียกว่ากระไร

ขันทองฟังแล้วอ่อนใจที่งมงายกันไม่เลิกแถมไม่รู้ สำนึกอะไรทั้งสิ้น จึงได้แต่นิ่งไปอย่างอึดอัด

พอดีจมื่นศรีสรรักษ์เข้ามาพูดไล่ขันทองทางอ้อมแล้วปิดประตูหน้าต่างมิดชิดคุยการลับกับเจ้าจอมเพ็ญ แต่ก็ถูกขันทองแอบฟังและตามเจ้าจอมเพ็ญไปหาขรัวเถื่อนที่กระท่อมกลางป่าให้ทำเสน่ห์ให้ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงของชาววัง

ขันทองคิดถึงเรื่องราวของแม่สาลิกาที่ถูกใส่ความว่าแอบวางยาพระพุทธเจ้าอยู่หัว หนีออกจากคุกและฆ่าตัวตายที่อ่างแก้วแต่สัปเหร่อบอกว่าแม่ถูกฆ่าตายเพราะมีรอยช้ำที่คอ แน่นฉุกคิดว่าแม่ขันทองเป็นหญิงไม่มีวิชาเลยต้องมีคนช่วยพาหนีเพื่อเอาไปฆ่าทิ้งปิดปากแน่ ถามว่าขันทองสงสัยเจ้าจอมเพ็ญหรือ

ขันทองพยักหน้าเล่าว่า ก่อนถวายตัว เจ้าจอมเพ็ญเคยเป็นข้าหลวงในบังคับของแม่มาก่อน แม่อาจจะรู้เรื่องทำเสน่ห์เข้า เจ้าจอมเพ็ญจึงต้องใส่ความ

พอดีกับที่กรมขุนวิมลเรียกแมงเม่าให้มาถือศีลแปดสามวันเพื่อถวายพระพุทธเจ้าอยู่หัว ขันทองจึงวางอุบายให้แมงเม่าอาศัยในช่วงถือศีลแปดนี้ช่วยทำในสิ่งที่ตนทำไม่ได้ทีเถิด สัญญาว่าถ้าแมงเม่าช่วย ตนก็จะยอมทำตามที่แมงเม่าต้องการทุกอย่างหนึ่งครั้งไม่บิดพลิ้วเลย แมงเม่าจึงช่วย

ขันทองให้แมงเม่าทำเป็นถูกผีแม่สาลิกาเข้าสิงขณะเข้าถือศีลที่หอพระในวัง แล้วถามเจ้าจอมเพ็ญว่า

“แม่เพ็ญช่วยบอกฉันทีเถิดว่าฉันตายได้อย่างไร”

เจ้าจอมเพ็ญตกใจมากไม่รู้จะทำอย่างไรจึงกรี๊ดลั่นแล้วทำเป็นสลบไป แมงเม่าเจอไม้ตายนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เลยแกล้งสลบเอาตัวรอดไปด้วย

ooooooo

กรมขุนวิมลตกใจที่ผีเข้าแมงเม่าจึงให้ไปหา น้ำมนต์หลวงตาแช่มวัดพนัญเชิงขันใหญ่มาให้กิน เจ้าจอมอำพันกำชับต้องกินให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียว

“เวรกรรมสนองแท้ๆ” แมงเม่าบ่นเบาๆ เป้าเห็นแมงเม่าทำท่าพะอืดพะอมก็ถามว่าเป็นอย่างไร ถ้ายังไม่ดีขึ้นจะไปเอาน้ำมนต์มาเพิ่มให้อีก แมงเม่ารีบบอก “ดีจ้ะ ดีมาก ไม่เคยรู้สึกดีเช่นนี้มาก่อนเลยจ้ะ”

เจ้าจอมอำพันถามกรมขุนวิมลว่าเราควรไปดูอาการแม่เพ็ญหรือไม่ เห็นเป็นลมไปกับตาไม่ดูดำดูดีเลย ก็กระไรอยู่ คุณท้าวเสนอให้คนไปถามไถ่อาการก็พอ อย่าไปด้วยตนเอง เจ้าจอมเพ็ญก็หาได้ชื่นชอบพวกเราเท่าใดนักเดี๋ยวจะค่อนแคะว่าไปเยาะเย้ยเอา แมงเม่าเลยเสนอตัวขอไป ไม่รู้ตอนผีเข้าตนทำกระไรไม่งามไปบ้าง จะได้ไปขอประทานโทษเจ้าจอมด้วย

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 6 วันที่ 29 เม.ย.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ