อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 5 วันที่ 27 เม.ย.61
เป็นเรื่องราวเมื่อ 20 ปีก่อน...พ่อของขุนทองในวัยเกือบ 50 ในเรือนไทยใหญ่โตแสดงถึงฐานะที่ร่ำรวยกำลังต้อนรับแขกเหรื่อที่มางานเลี้ยงของตนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุขขณะนั้นพ่อของสาลิกาแต่งกายแบบชาวโต้ระกี่มีฐานะร่ำรวยเช่นกันแต่ไม่เท่าพ่อของขุนทอง เดินเข้ามาหาพ่อของขุนทองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ครู่เดียวมีแขกผู้ใหญ่มา พ่อของขุนทองจึงไปรับแขกผู้ใหญ่ พ่อของสาลิกามองตามพ่อของขุนทองไปด้วยสายตาที่เกลียดชัง ริษยารุนแรง
ขันทองเล่าให้แมงเม่าฟังว่า...
“ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าสองคนเป็นเพื่อนรักกัน คนหนึ่งเป็นชาวอโยธยา แต่อีกคนเป็นชาวโต้ระกี่
ทั้งคู่สร้างเนื้อสร้างตัวจากคนยากไร้จนกลายเป็นเศรษฐีร่ำรวยมหาศาล แต่พ่อค้าชาวอโยธยานั้นไม่เคยรู้เลยว่าเพื่อนรักของตนแอบริษยาตนมาตลอดเวลา...”
ขันทองเล่าว่า พ่อค้าชาวโต้ระกี่ที่พ่อของขุนทองเรียกว่า “ไอ้มาน” สมคบกับขุนนางชั่วใส่ความเพื่อนว่าเป็นกบฏเป็นเหตุให้ต้องโทษประหารทั้งโคตร พ่อของขุนทองจึงเอาผ้าห่อเพชรนิลจินดาพาครอบครัวหนี
พ่อของขุนทองถูกทหารที่ไล่ฆ่าตามทันฟันเข้าที่กลางหลังเป็นแผลฉกรรจ์ทำห่อสมบัติหลุดหล่นกระจาย ขณะที่พวกทหารที่ตามไล่ฆ่าหันไปรุมกันแย่งสมบัติเหล่านั้น ขุนทองพร้อมดาบในมือก็เข้าไล่ฆ่าพวกนั้นล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ทหารที่เหลือจึงต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดกัน
ขุนทองรีบกลับมาดูอาการของพ่อบอกพ่อให้แข็งใจไว้ก่อนตนจะพาพ่อหนีเอง พ่อบอกว่าตนคงไม่รอดให้ขุนทองหนีไป สั่งเสียก่อนสิ้นใจว่า
“จำความแค้นครานี้ไว้ อ้ายมานมันใส่ร้ายพ่อ ทำให้เราบ้านแตกสาแหรกขาด เจ้าอย่าได้ลืมความแค้นนี้เป็นอันขาด”
“ฉันสัญญาพ่อ ฉันจะจำความแค้นนี้ไว้ แม้ตายฉันก็จะไม่ลืม” ขุนทองกอดพ่อไว้ น้ำตาอาบหน้า แต่ไม่มีเสียงสะอื้นเลย มีแต่สายตาที่แข็งกร้าว เด็ดเดี่ยว
ขันทองเล่าด้วยสีหน้านิ่งขรึมว่า...
“ลูกชายคนโตของพ่อค้าชาวอโยธยา หนีอาญาบ้านเมืองไปเป็นโจรอยู่ในป่า อาศัยว่าเมื่อตอนเล็กเคยกราบครูดีจึงมีฝีมือติดตัวเป็นที่เลื่องลือ อีกทั้งยังเลือกปล้นแต่พวกขุนนางโฉดโดยมีกฎว่าก่อนการปล้นจะส่งคำเตือนและระบุว่าจะปล้นไปจำนวนเท่าใดทุกครั้ง ซึ่งไม่เคยเลยที่จะปล้นมากไปกว่าที่ระบุไว้แม้แต่เบี้ยเดียว”
ขันทองเล่าเรื่องของขุนทองอย่างละเอียดลึกซึ้งว่า...
“เบี้ยอัฐที่ได้มาจากการปล้นขุนนางชั่ว นอกจากจะแบ่งปันให้ลูกน้องไว้กินไว้ใช้แล้ว ยังเหลือแบ่งให้พวกคนยากจนที่ถูกกดขี่ข่มเหงอีก ไม่นานนักชื่อเสียงของโจรผู้เคยเป็นลูกเศรษฐีใหญ่ก็ยิ่งเลื่องลือขจรขจายมากขึ้นอย่างไม่เคยมีโจรคนใดโด่งดังเท่ามาก่อน”
ooooooo
แมงเม่าฟัง “นิทาน” ที่ขันทองเล่าแล้วแทนที่จะหลับ กลับตื่นตัวใช้ความคิด ถามขันทองว่า
“ปล้นขุนนางชั่วมาช่วยเหลือเจือจานคนยากจนแลยังส่งคำเตือนบอกอีกด้วยว่าจะปล้นจำนวนเท่าใด...นี่คุณหลวงเอาเรื่องเสือขุนทองมาเล่าให้ฉันฟังนี่เจ้าคะ”
“เจ้ารู้จักเสือขุนทองด้วยรึ” ขันทองแปลกใจ
แมงเม่าเล่าอย่างกระหยิ่มว่า
“เสือขุนทองมีชื่อเสียงออกปานนั้น เหตุใดฉันจะไม่รู้จัก อย่าว่าแต่รู้จักเลย ฉันเคยพบตัวจริงมาแล้วด้วยในศึกพระเจ้าอลองพญา เสือขุนทองกลับใจมาช่วยบ้านเมืองรบกับพวกอังวะ แลยังช่วยฉันกับครอบครัวไว้จากทหารอังวะอีกด้วย ฉันจำได้ไม่มีวันลืม” พูดอย่างรู้ทันว่า “คุณหลวงแต่งนิทานลวงฉันไม่ได้ดอกเจ้าค่ะ”
ขันทองหยอกว่าเมื่อรู้แล้วก็คงไม่อยากฟังต่อไป แมงเม่าโวยว่าอยากฟัง ถ้าคุณหลวงไม่เล่าต่อ ตนถือว่าโกง ขันทองยิ้มขำๆกับกิริยาเด็กๆของแมงเม่า บอกว่าเรื่องที่จะเล่าต่อรับรองว่าเจ้าไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเป็นแน่ ตั้งใจฟังไว้เถิด เจ้าตัวดี...
ooooooo
ขันทองเล่าย้อนหลังไปเมื่อ 20 กว่าปีก่อนว่า...
“ขุนโจรผู้โด่งดังรออยู่ไม่นานนัก โอกาสแก้แค้นก็มาถึง เมื่อพ่อค้าชาวโต้ระกี่ให้บุตรสาวคนสวยออกเรือนกับขุนนางหนุ่มเพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปสู่อำนาจแลความมั่งคั่ง”
แต่ขุนเผด็จเข้าห้องหอยังไม่ทันกระไร ขุนทองก็มาเคาะประตู พอขุนเผด็จเปิดประตูออกมาก็ชกเข้าเต็มหน้าจนสลบในหมัดเดียวแล้วเข้าใช้มีดสั้นจี้ฉกตัวสาลิกาเจ้าสาว มัดมือมัดปากไม่ให้ร้องพาขี่ม้าเข้าป่าไป
สาลิกาทั้งตกใจทั้งกลัว ขู่ขุนทองว่ารู้หรือไม่ว่าพ่อตนเป็นผู้ใด ทั้งพ่อและท่านขุนของตนอีก ระวังเงาหัวเอ็งจะไม่พ้นคืนนี้ ขุนทองตวาดคืนว่า
“ผัวที่ยังไม่ได้เข้าหอของเอ็งน่ะรึ ข้าไม่สนดอกว่าจะเป็นขุน เป็นหลวง แต่พ่อของเอ็งข้ารู้จักดีทีเดียวอ้ายคนชาติชั่วทุรยศเพื่อน ถึงข้าจะไม่มีเงาหัว ข้าก็จะเอาเลือดพ่อเอ็งมาล้างตีนให้สมแค้นให้จงได้”
“พ่อข้าไปทำกระไรให้เอ็งรึ” สาลิกาตกใจและเป็นห่วงพ่อ แต่ถูกขุนทองเอาผ้ามัดปากไว้ไม่ให้พูดอีก
ขุนเผด็จถูกฉกเจ้าสาวก็ตามไปในป่า เห็นสาลิกาถูกมัดอยู่ก็จะเข้าไปช่วย สาลิกาพยายามบอกใบ้ขุนเผด็จให้หนีไปนี่เป็นกับดัก แต่ช้าไปแล้วขุนเผด็จและทหารถูกธนูของขุนทองล้มตายเป็นเบือ
ขุนเผด็จกลัวเพราะฝีมือดาบขุนทองเหนือกว่ามากจึงเข้าดึงสาลิกาให้หนีไปกับตน สาลิกาถามว่า
“แล้วทหารของท่านขุนเล่าเจ้าคะ”
“อย่าเพิ่งคุยเลย รีบหนีไปก่อนเถิด พวกมันเป็นทหารของฉัน มีหน้าที่ตายแทนฉันอยู่แล้ว”
ขุนเผด็จพยายามให้สาลิกาขึ้นหลังม้า แต่พอขุนทองฆ่าทหารคนสุดท้ายตายก็ย่างสามขุมเข้าหาทั้งคู่ ขุนเผด็จหยิบดาบเข้าฟันขุนทอง ประดาบกันไม่กี่ครั้งขุนทองก็เตะขุนเผด็จล้มกลิ้งแล้วจะฟันซ้ำ สาลิกาถลันเข้าเอาตัวบังดาบร้องสุดเสียง “อย่า...”
“สู้จับลูกสาวมันมาเป็นเหยื่อล่อ กลับผิดแผนเสียได้ ไม่ถึงที่ตายจริงๆ” ขุนทองบ่นอย่างหงุดหงิด
ขุนเผด็จได้โอกาสที่ขุนทองหัวเสียแทงใส่ แต่ขุนทองปัดดาบออกแล้วแทงสวน พริบตานั้นขุนเผด็จผลักสาลิกาไปรับดาบแทนจึงถูกแทงที่ท้อง ขุนทองตกใจรีบเข้าประคองสาลิกา ขุนเผด็จฉวยโอกาสนั้นขี่ม้าหนีไป
ขณะที่ขุนทองถามสาลิกาอย่างเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้างนั้น สาลิกามองขุนเผด็จที่ขี่ม้าหนีไปโดยไม่สนใจไยดีตนแม้แต่น้อยด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
แมงเม่าฟังขันทองเล่าถึงตอนนี้ก็โวยวาย
“กระไรกันเจ้าคะ ถูกฉุดมาคืนวันส่งตัวยังไม่พอ ยังถูกเจ้าบ่าวผลักออกมารับดาบให้ตายแทนอีก เกินไปแล้วนะเจ้าคะคุณหลวง นิทานกระไรกันนี่”
ขันทองถามว่าผู้ใดบอกว่าตาย ถามว่าหูฟั่นเฟือนหรือว่าฟังไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียดกันแน่ แมงเม่าขอประทานโทษเร่งให้เล่าต่อถามว่า “ถูกแทงแล้วอย่างไรต่อเจ้าคะ ใครเป็นคนช่วยแม่สาลิกาไว้”
ooooooo
สาลิกาหลับไปสามวัน ขุนทองตำยาพอกแผลให้จนทุเลา พอตื่นขึ้นมาจำได้ว่าขุนทองคือโจรที่จับตนมาก็ตกใจ แต่พอจำได้ว่าขุนเผด็จเป็นคนผลักร่างตนมารับดาบแทนตัวเองก็เสียใจ
แต่ความแค้นและกลัวขุนโจรทำให้สาลิกาคว้าดาบของขุนทองที่พิงผนังดึงจากฝักเงื้อฟันตะโกน
“อ้ายโจรชั่ว เอ็งอย่าอยู่เลย”
ขุนทองหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ถามว่าตนช่วยไว้แล้วสนองคุณกันอย่างนี้รึ สาลิกาด่าว่าจับตัวตนมาแล้วยังจะมาทวงบุญคุณอีกหรืออ้ายโจรหน้าหนา พลางเงื้อดาบจะฟัน ขุนทองหลบย้อนว่า
“หน้าหนาอย่างไร คงไม่ได้เท่าครึ่งท่านขุนผัวเอ็งดอกวะ เอาเมียบังดาบแทนตนเพื่อเอาตัวรอด ผู้ชายกระไรวะ”
สาลิกาถูกแทงใจดำก็น้ำตาร่วง ขุนทองเห็นน้ำตาก็สงสารเปลี่ยนเรื่องบอกว่าจะพอกยาให้ สาลิกาสะบัดเสียงว่า “ข้าทำเองได้ เอ็งไสหัวออกไปได้แล้ว”
“มากไปแล้วโว้ย ไม่มีใครกล้าไล่เสือขุนทองมาก่อน”
สาลิกาจ้องหน้าอย่างไม่ยอม ขุนทองถามว่าเอ็งถือดีกระไร สาลิกาสวนไปทันทีว่า
“ถือดีที่มีดาบอย่างไรเล่า ถ้าเอ็งไม่ไป ก็เป็นผีเฝ้ากระท่อมไปเสียเถิด” ขาดคำก็ไล่ฟันขุนทองที่หนีไปรอบๆ แต่เมื่อเห็นว่าสาลิกาไล่ฟันไม่เลิก ขุนทองจึงออกไปจากกระท่อมอย่างหงุดหงิด
ooooooo
ผ่านไป 2–3 เดือน...ขุนทองพาสาลิกามาอยู่ที่หมู่บ้านโจรของตน เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่เป็นครอบครัวโจร อยู่กันอย่างสงบร่มเย็นและรักใคร่ปรองดอง ขันทองเล่าว่า...
“แม่หญิงลูกครึ่งโต้ระกี่ ถูกมหาโจรผู้นั้นจับตัวมานานเดือน จนจากความเกลียดชังที่มีให้กัน กลายเป็นความรักที่ก่อตัวขึ้นมาโดยที่ทั้งคู่ก็ไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน แต่แม่หญิงก็ยังหวังที่จะได้กลับไปหาพ่อแม่ตนตามเดิม”
วันนี้เมื่อสาลิกาเจอขุนทองที่เข้าไปอโยธยามาก็ถามว่าได้ข่าวพ่อแม่ตนหรือไม่
“พ่อแม่เอ็งก็อยู่สุขสบายดี พยายามวิ่งเต้นหากำลังทหารมาปราบปรามข้าอยู่ แต่ขุนน้ำขุนนางในอโยธยาล้วนเป็นพวกปากกล้าขาสั่น ได้ยินชื่อข้าก็กลัวจนหัวหด เลยยังหาคนมาไม่ได้เหมือนเดิม”
สาลิกาหน้าเศร้าคิดถึงพ่อแม่อยากกลับไปหา
“เอ็งก็รู้ว่าข้าจับตัวเอ็งมาเพื่อกระไร อย่านึกฝันว่าข้าจะปล่อยตัวเอ็งกลับไปเลย”
“ฉันรู้ ถึงไม่ได้ขอร้องอย่างไรเล่า เพียงแต่ฉันอยากจะถามเจ้าเท่านั้น ว่าที่ผ่านมายังไม่สมแค้นอีกรึ นอกจากชื่อเสียงฉันกับพ่อจะถูกทำลายจนป่นปี้แล้ว คนที่ช่วยฉันทุกคนก็ถูกเสือขุนทองฆ่าจนหมดสิ้น คนพวกนี้ก็มีพ่อแม่ลูกเมียเช่นกัน หากพวกเขาจะล้างแค้นบ้าง ชีวิตเสือขุนทองคนเดียว ชดเชยพอรึ”
ขุนทองฟังแล้วอึ้ง รู้อยู่แก่ใจว่าการล้างแค้นของตนรังแต่จะยิ่งผูกความแค้นหนักขึ้น แต่...ตนก็ถลำลึกและเริ่มรักสาลิกาเสียแล้ว ไม่อยากเสียสาลิกาไป...
ooooooo
พ่อของสาลิกาเจรจากับขุนเผด็จให้จัดพิธีแต่งงานใหม่กับสาลิกาอีกครั้ง เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าขุนเผด็จมิได้รังเกียจสาลิกา เพราะได้ชื่อว่าเป็นเมียทำพิธีส่งตัวเข้าหอไปแล้วเพียงแต่เกิดเหตุขึ้นก่อนเท่านั้น
ขุนเผด็จเสียงแข็งว่าตนรังเกียจ เพราะสาลิกาโดนเสือขุนทองฉุดไปหลายเดือน ตนไม่โง่รับของเหลือเดนดอก แม้พ่อของสาลิกาจะยืนยันว่าลูกสาวตนซื่อสัตย์มิได้ถูกล่วงเกินก็ตาม
สาลิกาแอบฟังเรื่องทั้งหมด ได้แต่ร้องไห้เสียใจและเจ็บใจที่ถูกดูถูกแม้จะหมดรักขุนเผด็จนับแต่ผลักตนไปรับดาบแทนแล้วก็ตาม
คืนนี้เองขณะสาลิกานอนครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ อยู่ๆขุนทองก็ปีนหน้าต่างเข้ามาหา สาลิกาตกใจกลัวพ่อเห็น ขุนทองทั้งรักและสงสารสาลิกาดึงตัวเข้าไปกอดบอกว่า
“ข้ารู้เรื่องหมดแล้ว อ้ายขุนเผด็จมันหยาบหยามเอ็งนัก เอ็งไม่เคยผิดต่อมัน มิเพียงมันไม่เชื่อ มันยังเอาเอ็งไปประจานอีก หนี้แค้นครานี้ข้าต้องให้มันชดใช้ให้เอ็งให้จงได้”
สาลิกาขอร้องว่าอย่าเลย ให้ถือว่าสิ้นวาสนาต่อกันไปแล้วเถิด แต่พอขุนทองถามว่าแล้วเอ็งจะทำอย่างไรต่อไป สาลิกาบอกว่าตนมืดแปดด้านไปหมดแล้ว ขุนทองเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า
“อย่างไรเสียเอ็งก็ได้ชั่วเพราะข้า ให้ข้าได้ไถ่ความผิดครั้งนี้เถิด...” สาลิกาบอกว่าไม่ต้องดอก “แต่ข้ารักเอ็ง ข้าอยากอยู่ร่วมกับเอ็งไปชั่วชีวิต...หากเอ็ง...เอ่อ...ข้าไม่รู้ว่าเอ็งรักข้าหรือไม่ แต่ขอให้ข้าได้ดูแล...”
ขุนทองพูดไม่ทันจบสาลิกาก็โผกอดเขาแน่นเพราะตนก็รักขุนทองเช่นกัน แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างทำให้พูดไม่ออก แต่ตอนนี้ไม่มีที่ไปแล้ว เมื่อมีขุนทองก็ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไป...
ขันทองเล่าให้แมงเม่าฟังว่า
“6-7 ปีต่อมา...ทั้งคู่อยู่กินกันมาด้วยความรักใคร่จนมีบุตรชายคนหนึ่ง ผู้เป็นแม่สอนลูกอ่านเขียนตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กน้อยรู้ทั้งภาษาไทแลภาษาโต้ระกี่ เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ แลขุนโจรผู้เป็นพ่อก็หันไปทำสัมมาอาชีวะแทนการออกปล้น ทุกอย่างดูจะลงเอยด้วยดี แต่ความสุขนั้น...ก็สั้นยิ่งนัก...”
ขันทองเล่าว่าพ่อของสาลิกาติดสินบนให้นายกองคนหนึ่งนำทหารเข้าปราบขุนโจรได้สำเร็จ ชิงตัวสาลิกากลับไปและส่งเข้าวังไปเป็นข้าหลวง การต่อสู้และการพลัดพรากอันน่าเศร้าจึงเกิดขึ้น...ขุนโจรจึงให้ลูกชายไปบวชเป็นเณรกับพระภิกษุผู้พี่คนหนึ่งที่มีปัญญามาก แตกฉานในศิลปะแขนงต่างๆแม้กระทั่งพิชัยสงคราม ให้ลูกชายไปบวชเพื่อศึกษาวิชา แลตัวเองออกเสาะหาเมียรักแลหาทางช่วยให้ออกจากวัง...
ooooooo
แมงเม่าคาดว่าขุนโจรคงได้อยู่ครองรักกับสาลิกาอีกคราใช่หรือไม่ ขันทองส่ายหน้ายิ้มเศร้าขณะเล่าต่อไปว่า
“ขุนโจรเพียรอยู่นานปี จึงรู้ว่าเมียของตนเป็นข้าหลวงอยู่ในวังเจ้าฟ้าพระองค์หนึ่ง ขณะกำลังคิดหาทางช่วย เมียของขุนโจรก็ต้องโทษว่าวางยาสมเด็จเจ้าฟ้าและฆ่าตัวตายเสีย ส่วนพ่อแม่กับครอบครัวของนางก็พลอยต้องโทษประหารไปด้วยไม่ผิดกับที่ทำไว้กับพ่อของขุนโจรเลย ส่วนตัวขุนโจรนั้น...อีกไม่กี่ปีถัดมาก็ถูกคนหักหลังจนตายตามไปอีกคน...”
เล่าเรื่องจบ ขันทองพูดถึงทหารสองคนว่า
วันนี้...ฉันเห็นทหารสองคนนั้นมีพิรุธนัก ดูไปแล้วคงตั้งใจจะทำร้ายเจ้าเป็นแน่ ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าบอกฉันได้หรือไม่ว่าไปทำกระไรมาถึงได้ถูกปองร้ายเอาเช่นนี้”
แมงเม่าอึ้งเมื่อถูกถามปมสำคัญ พอตั้งสติได้
เชื่อว่าที่ตนถูกปองร้ายเพราะเรื่องกลักนั่นเป็นแน่ คิดจะเล่าให้ขันทองฟัง พลันก็นึกถึงคำเตือนของม่วงที่ว่า...
“จำไว้นะเจ้าแมงเม่า อย่าเล่าเรื่องกลักนี้ให้ผู้ใดฟังเป็นอันขาด เราไม่รู้ว่าเรื่องที่แท้จริงเป็นอย่างไรออกญาที่ตายอาจจะเป็นคนดีหรือไม่ก็บอกไม่ได้ ฉะนั้น ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอาจจะนำภัยไปสู่ผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจก็เป็นได้”
คิดถึงคำเตือนของม่วงแล้ว แมงเม่าตัดสินใจปิดบังเรื่องกลักไว้เพราะไม่อยากให้ขันทองเป็นอันตราย บอกว่าตนไม่เคยกระทำกระไร ที่มาทำร้ายตนอาจผิดตัวหรือประสงค์ต่อทรัพย์ของตนก็เป็นได้
แมงเม่าหันหลังให้ไม่กล้าสบตาขันทองเกรงหลุดพิรุธ ขันทองเงียบไปไม่ซักถามต่อ แต่คิดหาทางที่จะทำให้แมงเม่ายอมบอกความจริงเรื่องนี้กับตน
ooooooo
อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 5 วันที่ 27 เม.ย.61
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ