อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 1 วันที่ 12 เม.ย.61

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 1 วันที่ 12 เม.ย.61

“พระเจ้าอลองพญาทรงแผ่ขยายอำนาจของกรุงอังวะ จนยึดครองได้ทั่วพุกามประเทศ กรุงศรีอยุธยาหวั่นเกรงในอำนาจของพระองค์มาก จึงให้การสนับสนุนมอญก่อกบฏต่อกรุงอังวะ พระเจ้าอลองพญาทรงพิโรธมาก มีพระราชสาส์นถึงกรุงศรีอยุธยาให้หยุดการสนับสนุน แต่กรุงศรีอยุธยาเพิกเฉยเสีย พระองค์จึงกรีธาทัพ 40,000 คน บุกกรุงศรีอยุธยาในเดือนธันวาคม พุทธศักราช 2302”

คืนหนึ่ง...ณ ชานเมืองอยุธยา...ทหารอังวะส่วนหนึ่งบุกเข้าเข่นฆ่าชาวบ้านอย่างโหดเหี้ยม อีกส่วนหนึ่งปล้นสะดมทรัพย์สินและเสบียงอาหาร ชาวบ้านบ้างหนีตายหัวซุกหัวซุน บ้างก็พยายามสู้แต่ก็ต้องถูกฆ่าตาย



เศรษฐีมิ่งในวัยห้าสิบแห่งบ้านนางเลิง พาชื่นกับแมงเม่าภรรยาและลูกสาววัย 12-13 หนีการบุกโจมตีของทหารอังวะอย่างหวาดกลัว โดยมีม่วงลูกชายคนโตวัย 22-23 ใช้ดาบสู้กับพวกอังวะ คุ้มกันให้พ่อ แม่เลี้ยง และน้องหนีอย่างกล้าหาญจนทหารอังวะกลุ่มนั้นถอยไป

ขณะมิ่งพาชื่นกับแมงเม่าหนีไปอีกทางนั้น ถูกทหารอังวะอีกกลุ่มหนึ่งกลุ้มรุมเข้ามา ม่วงจะเข้าช่วยก็ทะลวงเข้าไปไม่ได้ มิ่งชักดาบออกสู้แต่ถูกทหารอังวะถีบจนคว่ำ มันเงื้อดาบจะฟันมิ่งกับแมงเม่า

ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องกึกก้องขึ้นจนทหารอังวะตกใจหันมอง เห็นขุนทองโจรใจฉกาจที่ทุกคนขยาดหวาดกลัวพาหาญและลูกน้องขี่ม้าบุกตะลุยเข้ามาช่วยชาวบ้าน ทหารอังวะตกใจหันไปสู้กับขุนทอง แต่ในที่สุดก็ถูกขุนทองฆ่าตายเป็นเบือ

“เสือขุนทอง...เฮ้ย...เสือขุนทองมาช่วยพวกเราแล้ว” มิ่งดีใจสุดชีวิตตะโกนบอกชาวบ้าน ชาวบ้านพากันคว้าดาบ มีดพร้ากระทั่งไม้คานเข้าร่วมต่อสู้กับพวกอังวะจนพวกมันหนีตายกันอลหม่าน หาญกับลูกน้องจะตามไป แต่ถูกขุนทองตะโกนห้าม

“ไม่ต้องตาม เรามีงานสำคัญต้องไปทำ อย่าพะวงให้เสียการ” แล้วขุนทองก็หันสั่งการชาวบ้าน “พวกเอ็ง จงหนีไปตามทางนี้ ที่ท้ายคลองมีค่ายของออกญาพลเทพตั้งอยู่ ออกญาท่านจะปกป้องพวกเอ็งทุกคนเอง”

สั่งการแล้ว ขุนทองก็ขี่ม้านำหาญและลูกน้องออกไป ชาวบ้านต่างโห่ร้องสรรเสริญเสือขุนทองเยี่ยงวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ ที่ช่วยชาวบ้านรอดพ้นจากการเข่นฆ่าปล้นสะดมของทหารอังวะที่เหี้ยมโหด

ooooooo

ที่ทางเดินในป่า...กองคาราวานทหารอังวะกำลังขนเสบียงและทรัพย์สินที่ปล้นสะดมจากชาวบ้านเป็นขบวนยาวเหยียด ทั้งแบกหามและใส่เกวียนเทียมวัว

ที่ริมทาง...ขุนทอง หาญ และลูกน้องกำลังซุ่มเตรียมบุกปล้นเสบียงเหล่านั้น หาญมองกองคาราวาน กระซิบกระหยิ่มกับขุนทองว่าเป็นไปตามข่าวที่ได้มาจริงๆ ถ้าเราทำลายเสบียงของพวกมันได้ คราวนี้คงตัดกำลังทัพอังวะได้โขอยู่ ขุนทองเขม้นมองไปในความมืดพึมพำว่า

“แต่ข้าว่ากองเสบียงครานี้ดูประหลาดนัก

เพียงแต่มันมืด ข้าเห็นไม่ถนัด จึงบอกไม่ได้ว่าประหลาดอย่างไร”

หาญติงว่าไม่เห็นประหลาดตรงไหน ก็เหมือนทุกคราวที่เราปล้นมา ลูกน้องเร่งให้รีบตัดสินใจ หากพ้นป่านี้ไปจะมีกองทหารของพวกมันรออยู่ เราคงหมดโอกาสปล้นแล้ว ขุนทองลังเลอึดใจก่อนตัดสินใจตะโกน

“อ้ายเสือ บุก!”

ขุนทองชูดาบกระโจนจากที่ซ่อนพร้อมกับหาญและลูกน้อง ทหารอังวะถูกซุ่มโจมตีตกใจตั้งรับกันอลหม่าน ถูกขุนทองกับพวกที่ฝีมือเหนือกว่าบุกตะลุยก็พากันหนีกระเจิง ขุนทองเดินไปที่เกวียนบรรทุกเสบียง รู้สึกแปลกๆจึงเดินมองไปรอบๆ พลันก็ตกใจคู้เข่าลงตรงล้อเกวียน จึงเห็นว่าล้อเกวียนไม่ได้กินดินลงไปเลย!

ขุนทองลุกขึ้นเปิดเสื่อที่คลุมเกวียนออก พบแต่ฟางข้าวไม่มีเสบียงอาหารเลยแม้แต่น้อย!

“หลงกลมันแล้ว รีบหนีเร็ว”

ขุนทองตะโกนก้อง แต่ช้าไปแล้ว ทหารอังวะจำนวนมากกรูกันเข้าห้อมล้อมขุนทองกับพวกทันที ขุนทองนำหาญกับลูกน้องบุกทะลวงวงล้อมของทหารอังวะเปิดทาง พลางตะโกน “ตามข้ามา” แต่เพราะทหารอังวะมากกว่าจึงต้านขุนทองไว้ได้

พระราชบุตรมังระ พระราชโอรสองค์ที่ 2 ของพระเจ้าอลองพญา ยืนทอดพระเนตรการต่อสู้อยู่ ชี้ไปที่ขุนทองถามทหารว่า “นั่นน่ะรึ อ้ายเสือขุนทอง”

“ใช่แล้วพระพุทธเจ้าข้า อ้ายเสือขุนทองคนนี้มันเป็นโจรใหญ่แต่กลับใจมาช่วยอโยธยารบ หลายวันมานี่ มันทั้งซุ่มโจมตี ทั้งเผาทำลายเสบียงของเราจนเสียหายไปไม่น้อยพระพุทธเจ้าข้า”

“โจรปล้นเขากิน ยังมีใจห่วงบ้านเมือง อโยธยาไม่สิ้นคนดีจริงๆ” พระราชบุตรมังระชื่นชมในที

เวลาเดียวกันนั้น...เณรขันทอง ลูกชายคนเดียวของขุนทองวัย 17-18 ปี บวชเป็นเณรตั้งแต่เด็ก กำลังก้มกราบพระประธานในโบสถ์ เงยมองพระประธานด้วยสีหน้าเรียบเฉย เณรขันทองสวดมนต์เบื้องหน้าพระประธานเบาๆตลอดเวลา ในขณะที่ขุนทองกำลังหันหลังชนกันกับหาญสู้ตายกับพวกอังวะ

เพราะพวกอังวะมีกำลังเหนือกว่ามาก หาญถามขุนทองว่าจะเอาอย่างไรดี ขุนทองมองไปรอบๆบอก

“เอ็งคอยดูข้า ข้าตีฝ่าไปทางใด เอ็งก็รีบตีหักพาพวกเราหนีไป” หาญถามว่าแล้วพี่ล่ะ “ข้าอยู่ยงคงกระพัน ไม่ตายง่ายๆหรอกโว้ย แต่หากข้าตาย เอ็งต้องสืบหาคนที่หักหลังเราให้จงได้ การลอบปล้นเสบียงครานี้ มีคนรู้ไม่กี่คน ถ้าไม่มีคนทุรยศเป็นไส้ศึกให้อังวะ ลวงพวกเรามาฆ่า ไหนเลยพวกอังวะมันจะรู้ได้”

หาญใจคอไม่ดีที่ขุนทองพูดเป็นลางแต่ถูกขุนทองตวาด “ไป!” แล้วตะลุยใส่ข้าศึกเปิดทางให้หาญพาพวกหนีออกไป ขุนทองสู้ไปถอยไปแต่ในที่สุดก็ถูกทหารอังวะคนหนึ่งฟันเข้ากลางหลังจนเสื้อขาดวิ่น แต่แผ่นหลังขุนทองมีเพียงรอยเลือดซิบๆ ทหารอังวะมองขยาดได้แต่ล้อมไว้ไม่กล้าเข้าปะทะ

พระราชบุตรมังระยิ้มพอใจที่ขุนทองมีวิชาอยู่ยงคงกระพัน มีวิชาดาบ เห็นว่าการล้อมจับง่ายกว่าการฆ่า สั่งทหารว่า “เอาเถิด ข้าจะจัดการมันเอง”

พระราชบุตรมังระหยิบปืนสั้นที่เอวออกมา เดินช้าๆเข้าหาขุนทอง พูดกับฟ้าดินว่า...



ธุรกิจโฆษณา

inRead invented by Teads

“หากบุญบารมีของข้าถึงเศวตฉัตรแห่งพุกามประเทศแล้วไซร้ ก็ขอให้กำจัดอ้ายเสือขุนทองได้ด้วยเถิด”

ขุนทองกำลังตะลุยฟันทหารอังวะเห็นพระราชบุตรมังระเดินเข้ามาจึงกระโจนเข้าใส่เงื้อดาบฟันเต็มแรงแต่คมดาบห่างพระศอเพียงเส้นยาแดงเดียว ขุนทองก็ถูกพระราชบุตรลั่นกระสุนใส่หงายหลังสิ้นใจคากองเลือด

ในโบสถ์ที่เณรขันทองกำลังสวดมนต์อยู่ เทียนไขหน้าโต๊ะหมู่บูชาดับวูบลงอย่างไม่มีสาเหตุ เณรขันทองหยุดสวดมนต์เหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่าง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ขณะเณรขันทองกำลังกวาดลานวัด หาญก็โซซัดโซเซเข้ามาในสภาพแผลเต็มตัวเลือดโซมกายอาการสาหัส เณรขันทองวิ่งเข้าไปถามว่า “น้าหาญ เกิดอะไรขึ้น”

“ฉันถูกอ้ายพวกอังวะมันไล่ล่าหนีรอดมาได้คนเดียว อ้ายพวกที่เหลือตายหมดสิ้นแล้ว” เณรขันทองถามว่าแล้วโยมพ่อขุนทองเป็นอย่างไรบ้าง “พี่ขุนทองเป็นคนตีฝ่ามาให้ฉันแต่แรก ฉันไม่รู้ว่าพี่เป็นอย่างไรแต่เมื่อรุ่งสางฉันได้ข่าวว่า...พี่ขุนทองถูกพวกอังวะฆ่าเสียแล้วพ่อเณรเอ๋ย พวกเราโดนอังวะมันซ้อนกลเพราะมีไส้ศึก เราต้องลากตัวมันออกมาล้างแค้นให้พี่ขุนทองให้ได้นะพ่อเณร”

หลวงตาที่ยืนห่างออกไป ถอนใจอย่างกังวลว่า เณรขันทองจะสึกไปล้างแค้นแทนพ่อแน่

ooooooo

พระเจ้าอลองพญาตั้งค่ายอยู่หน้าเมืองอยุธยา ทหารอังวะยิงปืนใหญ่ใส่กรุงศรีอยุธยาสนั่นหวั่นไหว

พระราชบุตรมังระคุยกับพระเจ้าอลองพญาว่าปืนใหญ่ระดมยิงใส่อโยธยาทั้งกลางวันกลางคืนหลายวันแล้ว แต่กระสุนปืนใหญ่ตกอยู่แค่หน้ากำแพงเมือง เกรงว่าปืนใหญ่ของเราจะทนไม่ไหว

พระเจ้าอลองพญาบอกว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นต้องเร่งตีอโยธยาให้เร็วที่สุดก่อนที่น้ำเหนือจะหลากลงมาจนเราตั้งค่ายไม่ได้ แล้วสั่งทหาร

“พวกเอ็งทำกระไรกัน ยิงไม่ถึงกำแพงเมืองเสียด้วยซ้ำ คิดจะให้ข้าสิ้นเปลืองลูกปืนใหญ่รึ”

ทหารกลัวมากจึงอัดดินปืนเต็มที่แล้วยิงปืนใหญ่ออกไป ลูกปืนใหญ่พุ่งใส่ยอดปราสาทของพระบรมมหา ราชวังหักสะบั้นลง วินาทีเดียวกัน ปืนใหญ่กระบอกนั้นก็ระเบิดเพราะทนแรงดินปืนไม่ไหว แรงระเบิดกระแทกทั้งทหารที่ยิงและพระเจ้าอลองพญาที่อยู่ใกล้ๆบาดเจ็บสาหัสทันที พระราชบุตรมังระวิ่งเข้าไปดู สั่งทหารให้รีบตามหมอมา หันชี้หน้าทหารที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนสั่งเสียงเฉียบขาด

“ส่วนพวกมึง หากใครแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป กูจะตัดหัวมันให้สิ้นเสียทั้งโคตร”

พระราชบุตรมังระกอดพระเจ้าอลองพญาที่บาดเจ็บสาหัสและสิ้นสติไว้ด้วยความเป็นห่วงอย่างที่สุด

“พระเจ้าอลองพญา สวรรคตเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พุทธศักราช 2303 แต่เหล่าแม่ทัพของอังวะได้ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับสุดยอด ทำให้สามารถถอยทัพได้อย่างเป็นระเบียบและปลอดภัย ซึ่งแม้สงครามครั้งนี้จะไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ แต่ก็ทำให้ฝ่ายอังวะเห็นถึงข้อผิดพลาดในการศึกครั้งนี้ และนำมาแก้ไขเพื่อใช้ในการศึกครั้งต่อไป”

ooooooo

3 ปีผ่านไป...ขันทองสึกแล้วกลายเป็นหนุ่มหล่อในวัย 20–21 ไว้ผมยาว หาญเข้ารับราชการมีบรรดาศักดิ์เป็น “พัน” ชื่อว่า พันหาญ พร้อมกับแน่น มากราบลาหลวงตา

“กระผมจะมากราบลาแลขอพรให้การกระทำการสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีขอรับ” หลวงตามองหน้าขันทองอย่างไม่สบายใจนัก พลางเอ่ย

“ข้าให้พรเอ็งไม่ได้ดอก เพราะสิ่งที่เอ็งกำลังจะไปกระทำนั้น ขัดต่อกิจของสงฆ์ แต่ข้าขอให้สติเอ็งแทนก็แล้วกัน สติมาปัญญาเกิด คนเราเมื่อมีสติอยู่กับตัวไม่ว่าจะเผชิญภัยอันตรายใดก็สามารถแก้ไขได้ทั้งสิ้น”

“ขอบพระคุณขอรับ” ขันทองพนมมือไหว้รับพรอย่างมีกำลังใจ

เพียง 2-3 วันผ่านไป คืนนี้ที่ “ท่าเรือ เมืองธนบุรี” บรรยากาศคึกคัก เพราะมีคนมาค้าขายกันมากมาย ขันทองในชุดโทรมๆนั่งกินข้าวจากห่อใบตองอยู่มุมหนึ่งสายตาสอดส่องไปรอบๆตลอดเวลา ครู่หนึ่งพันหาญกับแน่นเดินมาหามีผ้าห่อใหญ่มาด้วย ทั้งสองอยู่ในชุดโทรมๆเหมือนกัน

ขันทองถามพันหาญอย่างร้อนใจว่า ว่าอย่างไรบ้าง พันหาญบอกว่า

“ไม่ต้องห่วง ออกพระราชาข่านรับสินบนเราไปแล้ว อย่างไรเราก็ได้เข้าไปแน่” แน่นช่วยเสริมว่า

“มีขันทีจากเมืองโต้ระกี่” แน่นเรียกชาวตุรกีในเวลานั้น “มาใหม่สองคน ออกพระท่านให้พวกเราปลอมตัวเป็นทาสของขันทีทั้งสองเพื่อเข้าสู่วัง”

ขันทองติงว่าเป็นทาสอย่างมากก็อยู่ได้ประเดี๋ยว เดียวจะไปสืบทันกระไร พันหาญบอกว่าขอให้ได้เข้าไปก่อนเถิด เพราะออกพระราชาข่านมีอำนาจสูงสุดในบรรดาขันทีฝ่ายใน แม้เราจะอาศัยอยู่วังในไม่ได้ แต่ก็คงเข้านอกออกในฐานะทาสของขันทีใหม่ได้ ถึงตอนนั้นโอกาสก็คงมาเอง

ขันทองรับห่อผ้าจากพันหาญ แก้ห่อเอาผ้ามาเปลี่ยนชุดใหม่

ooooooo

ในเรือนแพที่ออกพระราชาข่านใช้รับรองขันทีที่มาใหม่จากโต้ระกี่ให้อาศัยพักหนึ่งคืนก่อนเดินทางไปอยุธยาพรุ่งนี้เช้า พระราชาข่านกำลังทะเลาะกับสิขันทิน ขันทีใหม่จากโต้ระกี่ มีกริชเหน็บไว้ที่เอวด้วย

สิขันทินแจ้งแก่ออกพระราชาข่านว่า มีคำสั่งจากองค์สุลต่านเห็นว่าท่านสูงวัยแล้วรับใช้ราชสำนักอโยธยาได้ไม่เต็มที่ จึงให้ตนมาเป็นหัวหน้าแทน

ออกพระราชาข่านด่าสิขันทินว่าโป้ปดมดเท็จขณะกำลังทะเลาะกัน พลันก็ต้องหยุดเมื่อมีเสียงเคาะประตู ออกพระราชาข่านอนุญาตให้เข้ามา ขันทอง พันหาญ และแน่นในชุดทาสก็ถือถาดใส่สำรับอาหารเข้ามา

ออกพระราชาข่านสั่งให้วางไว้ ทั้งสามจึงวางสำรับอาหารและน้ำดื่มไว้ที่โต๊ะกลางห้อง

สิขันทินมองทั้งสามอย่างสังเกตถามว่าพวกนี้เป็นใครไม่ใช่คนที่คอยรับใช้ตน ออกพระราชาข่านบอกว่าตนย้ายพวกนั้นไปที่อื่นแล้ว นับแต่นี้คนพวกนี้จะคอยรับใช้แทน สิขันทินตวาดว่าไม่เอา ตนต้องการคนเดิมเท่านั้น

ออกพระราชาข่านโมโหเสียงเข้มใส่ว่าอย่าเรื่องมากนักเลย สิขันทินชักกริชที่เอวออกมาตะคอกคืนว่าตนต้องการคนเดิม เพราะหากว่าคนพวกนี้เกิดสมคบกันทำร้ายตนระหว่างทางตนจะทำอย่างไร

แน่นเห็นท่าไม่ดีเข้าไปจับสิขันทินไว้ เลยถูกกริชตวัดบาดข้อมือเป็นแผล พันหาญกับขันทองเตรียมสู้ทันที ออกพระราชาข่านพุ่งเข้าไปล็อกตัวสิขันทินจากด้านหลังพยายามแย่งกริช สิขันทินยื้อกริชโวยวายว่า

“คิดจะฆ่าข้ารึ ข้าจะทูลองค์สุลต่านแล้วจะแจ้งราชสำนักอโยธยาว่าท่านทรยศ”

“หุบปากของเจ้าได้แล้ว เจ้าคิดจะแย่งตำแหน่งข้า พอข้าไม่ให้ก็ระแวงไปเองทั้งนั้น ไม่มีใครทำกระไรเจ้าสักหน่อย”

เกิดยื้อแย่งกริชกันพัลวัน กริชแทงเข้าท้องของสิขันทินเป็นแผลฉกรรจ์ เลือดทะลัก จนสิขันทินสิ้นใจตายออกพระราชาข่านมองกริชชุ่มเลือดในมือตกใจสุดขีด

ขันทองเครียดหนักเพราะขันทีใหม่ตายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พวกตนจะหาทางออกเรื่องนี้ยังไงดี

ooooooo

1 ปีผ่านไป...

ที่บ้านเศรษฐีมิ่ง ซึ่งเป็นโรงงานทำกระดาษที่ใหญ่ที่สุดในอยุธยา มีคนงานมากมาย พวกทาสชายยืนหน้าถมึงทึงล้อมทั่วบริเวณเรือนแน่นหนาราวกับจะเกิดศึกสงคราม

บนเรือน มิ่งคุยกับชื่นแม่เลี้ยงของแมงเม่าซึ่งเป็นน้องแท้ๆของแม่แมงเม่า และอินซึ่งเป็นเมียคนที่สองของม่วงพี่ชายแท้ๆของแมงเม่า

มิ่งถามว่าแมงเม่าเป็นอย่างไรบ้าง ชื่นบอกว่าอย่าห่วงเลย สงบเสงี่ยมเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้อยู่ในห้อง

“ต้องอย่างนี้สิ ดูตัวคราวนี้คุณท้าวท่านมาเป็นแม่สื่อด้วยตัวเอง จะขายขี้หน้าท่านไม่ได้เป็นอันขาด” มิ่งพอใจ

พอเดินมาถึงหน้าห้องแมงเม่า อินเคาะประตูบอกแมงเม่าว่าพ่อกับน้าชื่นมาหา แต่ไม่มีเสียงตอบจากข้างใน มิ่งเอะใจบอกให้เปิดประตูเข้าไปเลย แมงเม่าอาจจะไม่อยากดูตัวเลยตะแหง่แง่งอนเอา

แต่พออินเปิดประตูก็ตกใจเมื่อเห็นแมงเม่ากำลังปีนหน้าต่างจะกระโดดหนี พอเห็นทุกคนเข้ามาแมงเม่าก็โดดผลุงลงไปทันที มิ่งตกใจกลัวลูกกระดูกหัก แต่แมงเม่าโดดผลุงทิ้งย่อ ยิ้มหน้าเป็นบอกพ่อว่า

“กระดูกฉันไม่หักง่ายๆดอกพ่อ ฉันไปก่อนนะ เบื่ออยู่ห้องเต็มทนแล้ว ใครอยากอยู่แทนฉันก็อยู่ไปเถิด” ว่าแล้ววิ่งหนีไปทันที มิ่งมองตาม ถอนใจส่ายหน้า บ่นออด

“ทำไมลูกสาวข้าถึงได้แก่นกะโหลกขนาดนี้”

แต่ชื่นกับอินกลับยิ้มเอ็นดูความแก่นกะโหลกของแมงเม่า

แมงเม่าไปย่านร้านค้ากับติ่นและผลคนงานในโรงกระดาษที่ยกแมงเม่าเป็นลูกพี่และไปไหน

มาไหนด้วยกันเสมอ แมงเม่าเดินดูและซื้อของในย่านร้านค้า เห็นติ่นกับผลก็ถามว่าซื้อของเสร็จหรือยังจะได้กลับเรือนกัน ติ่นบอกว่ายังซื้อไม่ได้เลย พวกทหารไม่ยอมให้เข้าไป

แมงเม่าตวัดตาขวับมองไปที่หน้าร้าน พูดบึ้งตึงไม่พอใจว่า

“กระไรวะ ห้ามคนซื้อของก็ว่าแย่แล้ว ยังดุด่าคนที่จะเข้าไปซื้ออีก วางอำนาจบาตรใหญ่นัก”

พูดพลางแมงเม่าเดินดุ่มเข้าไปหาทหารทั้งสอง ทหารยกดาบกั้นทันที แต่พอเห็นเป็นสาวสวยก็กะลิ้มกะเหลี่ย พูดหวานตาเชื่อมว่า

“ยังเข้าไม่ได้จ้ะน้องสาว พระเดชพระคุณท่านกำลังเลือกซื้อของอยู่ พี่ว่าแม่น้องสาวกลับไปก่อน เถิดจ้ะหรือถ้าอยากจะได้เครื่องหอมกระไรก็บอกพี่ ประเดี๋ยวพี่จะเอาไปให้ถึงเรือนเอง”

แมงเม่าแกล้งยิ้มแย้ม “ขอบน้ำใจ แต่อย่าเลย ฉันขี้เกียจล้างเรือนตอนพ่อกลับไป” ทหารโมโห

ชี้หน้าที่ถูกหาว่าเป็นตัวเสนียด ถูกแมงเม่าปัดมือที่ชี้หน้าอย่างแรงพูดสวนไปทันควันว่า

อ่านละคร หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ตอนที่ 1 วันที่ 12 เม.ย.61

ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทประพันธ์โดย วรรณวรรธน์
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว บทโทรทัศน์โดย เอกลิขิต
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว กำกับการแสดงโดย กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ผลิตโดย บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ละครเรื่อง หนึ่งด้าวฟ้าเดียว ออกอากาศทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ