อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14 วันที่ 29 มี.ค.61

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14 วันที่ 29 มี.ค.61

จันทร์วาดอยู่เป็นเพื่อนและช่วยแต่งตัวให้เกศสุรางค์ในห้อง พอถึงพิธีตักบาตร เกศสุรางค์นึกถึงยุคสมัยตน ชิงจับทัพพีเหนือมือพระศรีวิสารสุนทร พระสงฆ์เก้ารูปนั่งสวดมนต์ให้ศีลให้พร และมีการกั้นประตูเงินประตูทองตามประเพณี

ปริก จวง และบุญช่วยกันใส่ใบเงิน ใบทอง ใบนาก หญ้าแพรก ผิวส้มป่อย ผิวมะกรูด และกลีบดอกไม้หอมลงในบาตรน้ำมนต์ พอเวลาพระซัดน้ำมนต์ บ่าวสาวนั่งตรงกลางห่างกัน เพื่อนบ่าวสาวนั่งขนาบสองข้าง ส่งเสียงร้องดีใจแล้วดันบ่าวสาวเข้าไปจนเบียดกันอย่างสนุกสนาน

พระศรีวิสารสุนทรเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวใหม่



ส่งชุดที่เปียกชุ่มน้ำมนต์ให้เด็กชายคนหนึ่งรับแล้ววิ่งร้องเฮเอาไปตาก เสียงเด็กสนุกสนานไปพร้อมมโหรีที่กำลังบรรเลง

ตกดึกเมื่อบ่าวสาวถูกส่งตัวเข้าหอ เกศสุรางค์ปลดเครื่องประดับออกวางจนหมด พระศรีวิสารสุนทรถามชอบเครื่องทองเครื่องเพชรเหล่านี้ไหม เธอบอกไม่ชอบอย่างยิ่ง เขาจึงส่งสังวาลทับทิมเส้นที่ขาดแล้วร้อยใหม่ให้ หญิงสาวดีใจมาก โผกอดคอเขาพร้อมกล่าวขอบคุณ พระศรีวิสารสุนทรกระซิบข้างหู นัยน์ตาวิบวับ

“เคยละเล่นโล้สำเภาฤาไม่”

“เรือเหรอคะ ข้าเคยเห็นค่ะ แต่ไม่เคยขึ้นเรือสำเภาซักที”

“กระนั้นฤา...มาเถิดพี่จักสอนให้” พระศรีวิสารสุนทรเห็นนางจะถามก็ประกบปากจูบอย่างนุ่มนวล

เกศสุรางค์กอดตอบอย่างละมุนละไม ทั้งสองล้มตัวลงนอนคลอเคลียมีความสุข

ooooooo

รุ่งเช้าเกศสุรางค์กระซิบข้างหูปลุกพระศรีวิสารสุนทร เขาลืมตาและหลับลงอีกเพราะท่าทางนางจะมีคำถาม แต่พอเธอหอมแก้มเขาเสียงดัง พระศรี-วิสารสุนทรลืมตาลุกนั่งต่อว่าทันที

“เจ้าจูบพี่ก่อนอีกแล้ว...วันก่อนเจ้าก็จูบพี่ก่อน แล้ววันนี้ยัง...”

“เอ้า ทำไมจูบก่อนไม่ได้คะ”

“เจ้าเป็นแม่หญิงนะ เหตุใดเจ้าถึงทำสิ่งที่แม่หญิงทั่วไปไม่ทำ”

“อ้อ เข้าใจแล้ว แหม...ผู้หญิงฝรั่งเศสไม่จูบก่อนหรือคะ”

“ข้าไม่รู้...ข้าจะรู้ได้ยังไร”

เกศสุรางค์ล้อว่าเขาต้องเคยจูบกับหญิงฝรั่งเศส ถึงรู้ว่าหญิงฝรั่งเศสจูบผู้ชายก่อน พระศรีวิสารสุนทรลุกพรวดเดินหนีไปยืนริมหน้าต่าง ปฏิเสธว่าไม่เคย แค่เคยเห็น เธอยังล้ออีกว่าเขาแอบดู พระศรีวิสารสุนทรเสียงเข้มว่าตนไม่หยาบคายอย่างนั้น หญิงสาวจะล้อต่อ แต่โดนเขารวบตัวมาจูบอย่างดูดดื่มจนอ่อนระทวยทรุดนั่งมองสามีนัยน์ตาวิบวับ เขากำชับว่าอย่าถามเช่นนี้อีก

“จะทำไมเหรอคะ”

“จะโดนอย่างที่โดน”

“อ๋อ เขินใช่ไหมเอ่ย” เกศสุรางค์มองนัยน์ตาท้าทาย พระศรีวิสารสุนทรก้าวเข้าหา เธอหลบวิ่งหนีหัวเราะร่า เสียงหัวเราะดังลอดออกไปนอกห้อง

คุณหญิงจำปากำลังคุมปริกกับจวงจัดสำรับให้ออกญาโหราธิบดี ต่างชะงักทำหน้าไม่ถูก คุณหญิงจำปาจะไปปราม ออกญาโหราธิบดีแตะมือห้าม

“คุณพี่...หากมิห้ามก็จักทำอีก เพราะแม่การะเกดชักนำเป็นแน่ หัวเราะหัวใคร่ดังจนได้ยินทั้งเรือน มิงามเลย เกลือกว่าผู้ใดได้ยิน”

ออกญาโหราธิบดีให้คุณหญิงจำปาหันไปมองว่าพวกบ่าวมีสีหน้าอมยิ้มเป็นสุขถ้วนทั่ว

“จริงเจ้าค่ะ ในเรือนเราจักเป็นยังไรไปเจ้าคะ เหมือนดั่งที่แม่นายอนุญาตให้ทัดดอกไม้นั่นแหละเจ้าค่ะ ถึงผิดธรรมเนียมแต่เราหาต้องถือเคร่งไม่ในเรือนของเรา”

“เจ้าค่ะ...คุณแม่ปริก” คุณหญิงจำปาประชดปริกที่จีบปากจีบคอพูด...บ่าวคนอื่นๆหัวเราะครืน

ooooooo

กลุ่มทูตฝรั่งเศสกลับบ้านเมืองไปแล้ว พระเพท-ราชาแปลกใจที่ทูตลาลูแบร์ยังอยู่และคอยสอดส่องมีล่ามคนไทยคอยแปลแล้วจดลงสมุด เห็นคนมีรอยสักก็ซักถามแล้วจด ไม่ทันไรล่ามไทยเข้ามาบอกพระเพทราชาว่า ทูตลาลูแบร์ขอตามไปดูจับช้างพลายเถื่อนด้วยเพื่อเป็นความรู้

พระเพทราชาเดินหนี หลวงสรศักดิ์เดินตาม ข้าราชการคนอื่นๆพากันเดินหนีและมองทูตลาลูแบร์อย่างเหยียดๆ...กลับถึงเรือน พระเพทราชาสะใจที่ไม่มีใครพูดคุยกับทูตลาลูแบร์ แต่ยังสงสัยว่าทูตคนนี้คอยสอดแนมเรื่องราวของอยุธยาทำไม หลวงสรศักดิ์เห็นว่าควรระวัง

“มิใช่ระวังแต่ต้องกำจัดให้สิ้นไป คืออ้ายพระยาวิไชยเยนทร์แลมิใช่มันผู้เดียว อ้ายฝรั่งเศสทั้งปวงด้วย ต้องไม่มีอยู่ในอยุธยาอีกต่อไป” พระเพทราชาเข่นเขี้ยว...

วันต่อมา ออกญาโหราธิบดีมีสีหน้าเศร้าหมอง เล่าให้คุณหญิงจำปาฟังว่าเมื่อคืนฝันถึงลูกชาย...จมื่นศรีมากราบแทบเท้าบอกว่าคิดถึงเหลือเกิน แล้ววางแหวนพระราชทานวงหนึ่งกับโคลงบทหนึ่งลงบนมือตน เกศสุรางค์ได้ยินก็ฉุกคิดถึงศรีปราชญ์กับโคลงที่ว่า

“แหวนนี้ท่านได้แต่ใดมา เจ้าพิภพโลกา ท่านให้...” คิดแล้วใจหายเงยหน้ามอง

คุณหญิงจำปารำพึงเบาๆน้ำตาปริ่มเมื่อฟังคำโคลงที่ว่า...เราผิดท่านประหาร...เกศสุรางค์ได้ยินนำเรื่องนี้มาถามพระศรีวิสารสุนทร เขาเล่าว่า

“เจ้าคุณพ่อท่านเคยดูดวงชะตาพี่ศรีไว้ว่าจะถึงฆาตตั้งแต่ยังไม่แก่ คุณแม่คงรู้แล้วด้วยญาณบางอย่างที่พี่ศรีมาหาคุณพ่อ”

เกศสุรางค์รู้เรื่องราวของศรีปราชญ์ บ่นเสียดายเผลอรำพึงออกมาว่า “พระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนพระอาทิตย์ อยู่ใกล้ก็รังแต่จะรุ่มร้อน แลแผดเผาตัวเองให้มอดไหม้ หากอยู่ไกลก็จักพลอยหนาวเหน็บไม่สบายกาย” พอเห็นสายตาพระศรีวิสารสุนทรฉงนก็เฉไฉว่าสงสาร...

ไม่นานอาการออกญาโหราธิบดีทรุดลง ชีพจรเต้นอ่อนจนทุกคนทำใจ นิมนต์พระมาสวดมนต์ให้ดวงจิตสงบ หลวงเรืองณรงค์เดชากับจันทร์วาดมาเยี่ยม ออกญาโหราธิบดีสั่งเสียให้พระศรีวิสารสุนทรดูแลเมียบ่าวและลูกๆของตนตามสมควร ชื่นชมคุณหญิงจำปาว่าเป็นเมียที่เลิศด้วยพรหมวิหารสี่ ขอให้ดำรงตนเช่นนี้ต่อไป ส่วนการะเกดขอให้อยู่ดีมีสุข มิต้องกลับไปที่ไหนอีก

ทุกคนน้ำตานองหน้า ออกญาโหราธิบดีจากไปอย่างสงบ จันทร์วาดปลอบใจการะเกดและถามว่าท่านป่วยเป็นอะไร เกศสุรางค์คาดคะเนอย่างลืมตัว

“ข้าว่าอาการอย่างนี้โรคหัวใจ น่าจะความดันตกเพราะเส้นเลือดหัวใจอาจตีบ หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะก็จะมีช่วงหยุดเต้น หรือไม่อาจจะไขมันในเส้นเลือดสูงทำให้...” พลันเห็นหน้าจันทร์วาดงุนงง ก็สรุปความ “โรคหัวใจเป็นภัยเงียบ ไปเร็วเสมอ ไม่ทรมาน”

“ข้าฟังออเจ้าพูดไม่รู้ความเลยแม่การะเกด ออกญาท่านเป็นอะไรตาย”

“ถึงตอนนี้ข้าไม่รู้หรอกแม่จันทร์วาด” คำตอบนี้เล่นเอาจันทร์วาดงงหนักเข้าไปอีก

ooooooo

ขณะเดียวกัน ขุนหลวงรู้องค์ว่าป่วยครั้งนี้หนักหนา จึงสั่งเสียพระปีย์ให้ระวังตัวเพราะจะไม่มีใครคุ้มหัว...

เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ดึงพระปีย์มาถามว่าพร้อมจะเป็นขุนหลวงหรือยัง ตนจะได้ดำเนินการ พระปีย์หวั่นใจประชาชนจะต่อต้าน เพราะเจ้าฟ้าอภัยทศกับเจ้าฟ้าน้อยมีสิทธิ์ยิ่งกว่า เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์คิดว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง กังวลแต่พระเพทราชากับลูกกำลังทำอะไร

พระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ชุมนุมกับกลุ่มขุนนางที่ร่วมขบวนการในโบสถ์แห่งหนึ่ง มีพระสังฆราชนั่งฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วกล่าวเสียงก้องกังวาน

“คนไทยแปลว่าอิสระ เมืองไทยคือเมืองอิสระ กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองพุทธและเป็นเมืองที่ตีให้พ่าย... ไม่ได้”...

หลังจากนั้นหลวงสรศักดิ์ถามผู้เป็นพ่อว่าขุนหลวงอาจเห็นดีเห็นงามกับเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ให้พระปีย์ครองราชย์ จักนิ่งเฉยอยู่หรือ พระเพทราชากล่าวอย่างจริงจัง

“พ่อเดื่อ ถ้าพ่อจะทำสิ่งใดอย่างที่เจ้าคิดว่าพ่อควรจะทำนั้น พ่อขอให้เจ้ารู้ไว้ว่าพ่อมิใช่มักใหญ่ใฝ่สูงอันใด แต่เพราะมีเหตุอันจำเป็นต่อความพินาศฉิบหายของบ้านเมืองเรา”...

เมื่อเสร็จสิ้นงานศพออกญาโหราธิบดี จมื่นศรีได้มาร่วมงานแล้วจะกลับ จ้อยซึ่งแต่เดิมรับใช้จมื่นศรีมาก่อนที่ท่านจะโดนเนรเทศไปอยู่เมืองนคร ขอติดตามไปด้วยเพราะเห็นว่าพระศรีวิสารสุนทรมีเรือนแล้ว แต่จมื่นศรีขอให้จ้อยอยู่ดูแลทุกคนที่เรือน เห็นว่าส่วนใหญ่มีแต่ผู้หญิง

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14 วันที่ 29 มี.ค.61

ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทประพันธ์โดย รอมแพง
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ