อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14 วันที่ 27 มี.ค.61

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14 วันที่ 27 มี.ค.61

“เขาพูดกันหนาหูว่าน่าแปลกที่ขุนหลวงยกเมืองทั้งเมืองให้ฝรั่งเศสไป แต่นี่คือเมืองบางกอกนะพุทธเจ้าค่ะ เมืองหน้าด่านไม่กี่ก้าวก็ถึงอยุธยา”

“กูรู้ว่ากูกำลังทำอะไร พวกเขาเป็นมิตร เอาวิชาความรู้มาช่วยเรา อีกอย่างเอ็งไม่เห็นรึว่าพวกวิลันดามันรุกรานเรายังไร”

พระเพทราชาไม่พอใจเช่นเดียวกับประชาชน ที่เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์เหิมเกริมขึ้นทุกวัน ร่วมมือกับนายพลเดส์ฟาร์จและทูตเดอโชมองต์ให้ฝรั่งเศสส่งทหารเข้ามาเป็นพันคน เรือรบอีก 5 ลำ ติดอาวุธเต็มอัตราศึก ขุนหลวงแก้ต่างว่าให้เข้ามาแนะนำการก่อสร้างเท่านั้น



พระเพทราชามองขุนหลวงด้วยความผิดหวัง “ขุนหลวงทรงรับฝรั่งเข้ามากดหัวประชาชน มันยโสโอหัง เหิมเกริมวางอำนาจ เหยียดหยามทหารกรุงศรี มันขับไล่ชาวบ้านที่อยู่ในเขตป้อมที่ธนบุรี ชาวบ้านต้องยอมเพราะพวกมันเป็นคนของขุนหลวง”

“อ้ายเดื่อลูกชายมึงต่อยเขาจนกระเด็น ใครกันแน่ที่เหิมเกริมวางอำนาจ มันอยู่ไหนอ้ายเดื่อ ทำผิดแล้วหายหัวไปไหน ลูกผู้ชายหนีทำไม”

“ขุนหลวงทรงรู้หรือไม่ว่า แม้แต่พระสงฆ์ก็เจ็บช้ำ น้ำใจกับพวกคริสเตียน ขุนหลวงไม่เอาใจใส่ศาสนาพุทธเลย ไอ้วิไชยเยนทร์สึกพระออกมาทำงานกุลีเป็นร้อยองค์ ขุนหลวงไม่เห็นว่ามันทำผิดหรือพุทธเจ้าค่ะ”

พระเพทราชาทูลลาด้วยความคับแค้นใจ ระหว่างเดินจ้ำออกมาเจอเจ้าพระยาวิไชยเยนทร์ยืนอยู่กับลูกน้อง พูดลอยๆว่า อย่าหวังว่าทำผิดแล้วจะหนีพ้น พระเพทราชาขุ่นเคืองแต่ยั้งอารมณ์ไว้ชี้หน้ายั่วยุก่อนจะเดินจากไป

“สะใจกูยิ่งนัก มึงมันสมควรโดนยิ่งกว่านั้นอีก ไอ้ฝรั่งไพร่เอ๊ย”

เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์เข่นเขี้ยว บอกลูกน้องว่าคนคนนี้อันตรายมาก ลูกน้องเสนอให้กำจัด แต่เจ้าพระยาวิไชยเยนทร์กลับคิดว่า พระเพทราชาทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีกำลัง ไม่มีทหาร มีแต่ช้าง ถึงจะคุมช้างเป็นร้อยๆ เชือกก็เอามาสู้กับปืนไม่ได้...

พระเพทราชามาที่เรือนออกญาโหราธิบดีเพราะไปที่เรือนอาจารย์ชีปะขาว คนที่นั่นบอกว่าท่านมาที่นี่ ทุกคนยังล้อมวงคุยกันอยู่ พระเพทราชาเล่าอย่างคุกรุ่น

“ข้าเพิ่งมาจากไปเฝ้าขุนหลวง ท่านอาจารย์ขอรับ มันจะปั่นป่วนกันไปใหญ่แล้วขอรับ เรื่องสึกพระกลายเป็นเรื่องใหญ่ขอรับ ชาวพุทธเราจะยอมให้ฝรั่งข่มเหงรังแกได้ฤา”

“ก็มีคนจัดการกับอ้ายคนสึกพระแล้วมิใช่ฤา” อาจารย์พูดอย่างขบขัน

“ข้าให้พ่อเดื่อล่องเรือหนีไปบางกอกแล้วขอรับ แต่มันคงเอาเรื่องจนถึงที่สุด ขุนหลวงก็คงเข้าข้างมันรอดูความให้ทรงหายเกรี้ยว...”

ออกญาโหราธิบดีแทรกว่า ถ้ามีคนพัดไฟอยู่เรื่อยๆจะหายเกรี้ยวได้อย่างไร พระเพทราชากล่าวอย่าง สิ้นหวัง เห็นทีอยุธยาจะล่มด้วยมือฝรั่งพวกนี้เหมือนเมืองแขกเป็นแน่

เกศสุรางค์ฟังอย่างรู้ล่วงหน้าทุกอย่างแต่พูดไม่ได้ พิจารณาดูสีหน้าพระเพทราชา เห็นว่าวิตกกังวลจริงไม่มีสีหน้าของคนมักใหญ่ใฝ่สูงสักนิด...อาจารย์ชีปะขาวกล่าวลอยๆขึ้นว่า

“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” ทุกคนมองท่านด้วยสีหน้าตรึกตรอง

เกศสุรางค์พูดตาม ทุกคนหันมอง หลวงเรืองณรงค์เดชาถามว่าพูดเหมือนรู้ เธอย้ำว่าทุกเรื่องเมื่อจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่มีใครห้ามได้ พระศรีวิสารสุนทรมีทีท่าอยากถาม เกศสุรางค์ยื่นหน้าไปกระซิบเบาๆว่า

“ทุกเรื่องเจ้าค่ะคุณพี่ มิเว้นเลย”

บ่ายคล้อย ทุกคนลากลับ อาจารย์ชีปะขาวกล่าวกับพระเพทราชา “ให้พ่อเดื่อขึ้นมาจากบางกอกเถิด แลไปยังวัดดุสิต พึ่งพระบารมีเจ้าแม่วัดดุสิตพระองค์เจ้าบัวให้ทูลขอประทานอภัย หากทูลตามความจริงว่าฝรั่งผู้นั้นสึกพระ สึกเณรเป็นจำนวนมากเพื่อไปสร้างป้อมสร้างกำแพง พระเจ้าอยู่หัวก็คงมิกริ้วแต่ประการใด ด้วยทรงเมตตาพ่อเดื่ออยู่เช่นกัน”

“แต่อ้ายฝรั่งนั่นกำลังเป็นที่โปรดปรานอย่างหนักเลยหนาขอรับท่านอาจารย์ ข้าเกรงแต่ท่านแม่ใหญ่เจ้าบัวจักช่วยมิได้”

อาจารย์ชีปะขาวขอให้พระยาโกษาธิบดีช่วยอีกแรง เพราะคำขอน่าจะมีน้ำหนักมากขึ้นเพราะเป็นลูก พระยาโกษาธิบดีรับคำแต่ขอให้ตักเตือนหลวงสรศักดิ์ว่า เก็บน้ำขุ่นไว้ข้างใน น้ำใสไว้ข้างนอก จักเป็นการดีต่องานใหญ่ที่มุ่งหวัง และยังเตือนอีกเรื่องที่ทำให้พระเพทราชานิ่งคิด

“ออกพระท่านอย่าได้ดูขุนหลวงผิดไป ทรงโปรดความเฉลียวฉลาดแต่มิได้ทรงโปรดความเจ้าเล่ห์มากกลหรอกหนา...อย่าห่วงมากนักเลย พ่อเดื่อเป็นลูกผู้ใดเราก็รู้แก่ใจ”

เกศสุรางค์และพระศรีวิสารสุนทรเดินมาส่งอาจารย์ชีปะขาวที่ท่าน้ำ ท่านอาจารย์มองข้อมือเกศสุรางค์แล้วย้ำว่าอย่าถอดด้ายฟั่นที่ตนให้ นางรับคำแต่อดไม่ได้ที่จะถาม

“ท่านอาจารย์จะไปจริงๆหรือเจ้าคะ...ท่านรู้ใช่ไหมเจ้าคะว่าอะไรจะเกิด”

“ข้าบอกแล้วอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด...ออเจ้าจักวุ่นวายใจไปไย มิต้องกลัวดอก คุณพี่ของออเจ้ามิเป็น

อันใดไปง่ายๆดอกหนา มีนะหน้าทองนะเมตตาติดตัวมาตั้งแต่เกิด มิว่าผู้ใดก็ล้วนเมตตาเอ็นดู ศัตรูคิดทำลาย

ก็ยังมิได้ ได้คู่เป็นออเจ้าแล้วยิ่งไปกันใหญ่ ภัยร้ายกรายมา ออเจ้ายังดึงชีวิตกลับคืนมาได้นี่หนา ถึงจักเป็นความเล่าลือไปทั่วคุ้งก็เถิด”

“ข้าอยากถามเรื่องที่ข้ามาจากที่โน่นมาถึงที่นี่”

“ชายผู้นั้นบวชเพื่อเจ้าแลด้วยความรักที่เขามีต่อเจ้า รวมกับความต้องการอย่างแรงกล้าของแม่หญิงการะเกดน้องสาวที่อยากให้ออเจ้าช่วย แลความศักดิ์สิทธิ์ของมนต์กฤษณะกาลีประกอบกัน จึงเป็นแรงผลักดันให้ออเจ้ามาเกิดใหม่ในร่างที่เติบใหญ่ของแม่หญิงผู้นี้ เมื่อสี่ปีที่แล้ว”

เกศสุรางค์ตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าเรืองฤทธิ์บวชเพื่อส่งตนมา พระศรีวิสารสุนทรฟังแล้วสะเทือนใจเดินห่างออกไปไม่อยากฟังต่อ อาจารย์ชีปะขาวตอบเบาๆว่า

“บุพเพสันนิวาสชักนำเจ้ามา...ภพนี้เจ้าจากไปตั้งแต่ยังมิรู้ความ เจ้าจึงต้องกลับมาเพื่อครองคู่กับคนที่พบเจอกันทุกชาติ แม้มีกรรมมาแทรกแต่ไม่อาจแยกจากกันแต่อย่างใด”

“เพราะบุพเพสันนิวาส...อ๋อ...เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ เขาบวชเพื่อส่งข้ามา ให้มาพบเขาใช่ไหมเจ้าคะ”

อาจารย์ชีปะขาวพยักหน้าก่อนจะลงเรือกลับไป

เกศสุรางค์เดินกลับเรือน พระศรีวิสารสุนทรเดินเคียงเงียบๆ สักพักถามว่าชายผู้ใด หญิงสาวหันมาเผชิญหน้า ตอบว่าชื่อเรืองฤทธิ์เป็นเพื่อน พระศรี–วิสารสุนทรข่มความหึงหวงคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่าเพื่อนถึงได้บวชเพื่อให้เธอมาอยู่ที่นี่ เกศสุรางค์พยักหน้ารับ แอบยิ้มสมใจ

“หน้าเรืองฤทธิ์เหมือนพ่อเรืองสิหนา ออเจ้าจึงได้มีทีท่าประหลาดต่อพ่อเรือง ทั้งยังดูสนิทสนมได้ง่ายดายนัก เพราะชื่อเหมือนแลหน้าเหมือนใช่ฤาไม่”

“ฉลาดจังเลย...”

“เขารักเจ้าฤา”

“ถูก...บอกรักข้าแล้วด้วย” เกศสุรางค์หวังจะเห็นพระศรีวิสารสุนทรหึงจนลมออกหู แต่เขากลับนิ่งเฉย “ไม่โกรธหรือเจ้าคะ ไม่หึงสักนิดเลยหรือ”

“หึงหวงอันใด ที่ข้าได้ยินเมื่อครู่ออเจ้าตายจากที่นั่นแล้วมาเกิดใหม่ที่นี่ ถึงยังไรก็กลับไปไม่ได้ เขากับเจ้าก็เท่ากับจากกันตลอดกาลมิมีวันพบเจอกันได้อีก แล้วข้าจักหึงไปไยให้อายผีป่าผีไพรผีบ้านผีเรือน อย่าได้กล่าวเหลวไหลอันใดไป รีบเดินเถิดป่านนี้คุณแม่คงเป็นกังวลแล้ว”

“โธ่เอ๊ย! ไม่ได้ดั่งใจเลย โมโหๆ ไม่รู้ใช่ไหมว่า... เขาคนนั้นคือใครในชาตินี้น่ะ...ก็ไม่รู้” เกศสุรางค์หมั่นไส้เห็นพระศรีวิสารสุนทรเดินนำหน้าไปไกล ก็เร่งฝีเท้าตามไปกระแทกไหล่แซงขึ้นไป พระศรีวิสาร–สุนทรมองตามหลังยิ้มด้วยความรักเต็มหัวใจ

ooooooo

วันต่อมา เกศสุรางค์นั่งอ่านสมุดบันทึกอยู่

ปริกโยนหมากมาใส่เท้า แล้วกวักมือเรียกบอกเกิดเรื่องใหญ่ เกศสุรางค์ฟังเรื่องที่ปริกรู้มาว่ามารีหอบลูกกลับไปอยู่กับพ่อที่ชุมชนโปรตุเกสก็มองออก บอกเดี๋ยวก็กลับมาดีกันไม่ต้องไปเผือกเรื่องเขา แต่ปริกแย้งด้วยสีหน้าจริงจังมาก

“อุ๊ย ไม่ได้เจ้าค่ะ แม่หญิงต้องเสือกเจ้าค่ะ”

เกศสุรางค์สะดุ้งกับคำพูดชัดเจนของปริก ปริกถามอีกว่า ประวัติศาสตร์บอกไว้หรือ

“ฮะ! ว่าไงนะ” เกศสุรางค์มีสีหน้าตกใจ

“ก็นังผินนังแย้มเจ้าค่ะ มันสองคนบอกว่าแม่หญิงมีกุมารทองชื่อประวัติศาสตร์เจ้าค่ะ แม่หญิงทำหน้าอย่างนั้นไม่โอเคเลยนะเจ้าคะ”

“โอเคๆ ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมให้แม่มารีกลับไปหาผัวเอง”

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 14 วันที่ 27 มี.ค.61
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทประพันธ์โดย รอมแพง
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ