อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 12 วันที่ 22 มี.ค.61

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 12 วันที่ 22 มี.ค.61

“มิใช่ข้าหรอกแม่มารี พระยาวิไชยเยนทร์ผัวเจ้ามีอำนาจนักเพลานี้ ใครๆก็ย่อมสงสัยว่าเขาจะทำอะไร แน่นอนไม่มีใครคิดว่าเป็นในทางดี ยิ่งถ้ารู้ว่าเขาให้ทหารฝรั่งเศสมาตั้งมากมายแบบนี้ก็ต้องทำอะไรที่ต้องใช้กำลัง”

มารีกังวลในเรื่องนี้ถึงได้มาบอก ไม่อยากให้ถึงเลือดถึงเนื้อถึงความตาย เกศสุรางค์จึงขอให้มารีจับตาดูฟอลคอนไว้ อย่าให้ทำอะไรที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง

“ถ้าเจ้ายึดมั่นความถูกต้องนะแม่มารี ต่อไปเจ้าจะไม่อายฟ้าอายดิน ใครจะรู้ว่ามันอาจทำให้เจ้ามีชื่อจารึกไว้...ต่อไปอีกเป็นสิบเป็นร้อยปี อาจยังมีคนจดจำเจ้าได้ไม่ลืม” เกศสุรางค์พูดทำนองรู้กาลข้างหน้า แต่ไม่สามารถบอกได้ มารีรู้สึกเลื่อมใสความคิดของการะเกด



พอมารีกลับไป เกศสุรางค์ก็นำความมาบอกออกญาโหราธิบดี...วันต่อมาระหว่างรอเข้าเฝ้าขุนหลวง ออกญาโหราธิบดีเล่าเรื่องที่มารีบอกให้พระเพทราชากับ

หลวงสรศักดิ์ฟัง สองพ่อลูกเชื่อว่าฝรั่งสัญชาติไพร่อย่างฟอลคอนต้องคิดไม่ซื่อแน่

ooooooo

หลายวันผ่านไป ปริกกลับจากตลาดเห็นบ่าวไพร่ทำอาหารกันอย่างขะมักเขม้นไม่สนใจ จึงเปรยว่าถ้าตนบอกว่าขุนศรีวิสารวาจากลับมาคงจะตื่นเต้นกัน พริบตาเดียวทุกคนในครัววิ่งพรวดออกไป เหลือปริกยืนโด่เด่อยู่คนเดียว

เกศสุรางค์ทัดดอกไม้ที่หูเดินออกมาจากห้อง

ไม่ฟังคำทัดทานของผินกับแย้ม พอเจอจำปาจึงโดน

เล่นงานว่าทำแบบนี้มีแต่ผู้หญิงงามเมือง หญิงสาวโต้เถียงว่าเรารู้แก่ใจว่าเราไม่ใช่ เดินอยู่แต่ในบ้านไม่เสียหายอะไร จำปาสะอึกที่โดนย้อนลมขึ้นเรอเอิ้กๆ...

บ่ายคล้อย ออกญาโหราธิบดีกับจำปานั่งรอคอยด้วยท่าทางพยายามสงบความตื่นเต้น ปริกเดินแทรกบ่าวไพร่เข้ามานั่งแทบเท้าจำปาสีหน้าเซ็งทำนองไม่มีใครรอ เกศสุรางค์เองก็ตื่นเต้นพึมพำว่าหมอนของตนป่านนี้จะเน่าแค่ไหน ทันใดขุนศรีวิสารวาจาเดินขึ้นเรือนพร้อมกับกอดห่อหมอนมาด้วย สบตาเกศสุรางค์ด้วยแววตาระยับ บ่าวไพร่เห็นแล้วอมยิ้มตามๆกัน

ขุนศรีวิสารวาจาเข้ามากราบพ่อกับแม่ เกศสุรางค์ทักว่าเขาดูขาวขึ้น ท่านขุนหันมาเผชิญหน้า บอกทางโน้นไม่มีแดด มีแต่ลมหนาว ว่าแล้วกอดกระชับหมอน

ให้เห็น หญิงสาวสะเทิ้นอายเสียเอง จำปาแทรกว่าให้การะเกดไปจัดของว่างและน้ำชาให้ท่านขุน

ระหว่างที่เกศสุรางค์จัดวางของว่างและน้ำชาตรงมุมหนึ่ง ขุนศรีวิสารวาจานั่งจ้องมองแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ออเจ้าดูสมบูรณ์ขึ้นหนา มิผอมเกร็งอย่างแต่ก่อน”

“หือ...แปลว่าอ้วนเหรอเจ้าคะ” เกศสุรางค์ก้มสำรวจตัวเอง

“มิอวบอ้วนดอก มีน้ำมีนวลกำลังงาม”

“แหมใจหายเลย คุณพี่เป็นกระไรบ้างเจ้าคะ เจ็บไข้บ้างไหมเจ้าคะ อากาศหนาวอย่างนั้น”

“มิเป็นอันใดดอก คงเพราะได้เสื้อบุนุ่นของออเจ้าจึงอุ่นสบายดี ข้ามีบางสิ่งจักให้ออเจ้าด้วยหนา” ท่านขุนส่งกล่องไม้สลักลวดลายแบบฝรั่ง

เกศสุรางค์ตื่นเต้นคาดว่าเป็นเครื่องเพชรราคาแพงหรือน้ำหอมเมืองฝรั่ง แต่พอเปิดกล่อง กลับเห็นสมุดแบบเมืองนอก ก็ทำหน้าผิดหวังงงๆ ท่านขุน

แย็บว่ามิได้หอบนางฝรั่งมาหรือยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งคนใดเลย หญิงสาวบิดมือเขินอายพึมพำว่า...น่ารัก

พอได้กลับเข้าห้อง เกศสุรางค์ก้มหน้าก้มตาอ่านสมุดที่ท่านขุนให้ เป็นบันทึกเรื่องราวที่อยู่ฝรั่งเศส แม้ลายมือนั้นจะอ่านยากก็พยายาม...1 กันยายน จ.ศ. 1048 กำหนดการให้เข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ท้องพระโรงใหญ่พระราชวังแวร์ซาย ในห้องกระจกเป็นห้องหินอ่อนมีหน้าต่างบุด้วยกระจกเจียระไนสูงแต่พื้นจดเพดานด้านละ 17 บาน

“โห...นับด้วยเชื่อเขาเลย...ระย้าแก้วเจียระไน อะไร...อ๋อ แชนเดอเลียร์ จุดเทียนสว่างไสวห้อยย้อยจากเพดาน สวยงามแพรวพราวไปทั้งห้อง สมชื่อห้องกระจก...โถ จดมาละเอียดลออนะพ่อคุณ...พอกรมวังเบิกตัวคณะทูต ท่านราชทูตคุกเข่านำคณะคลานเข้าไป พนมมือถวายบังคมแบบเบญจางคประดิษฐ์” เกศสุรางค์เงยหน้าระลึก “คุณพี่ขุน...ข้าเคยเห็นในรูปภาพเหมือนอย่างนี้ ทุกคนแต่งเต็มยศใส่ลอมพอก กราบ เบญจางคประดิษฐ์”...

ด้านหน้าห้อง ผินกับแย้มคุยกันว่าแม่นายจะอ่านอย่างนี้ทั้งคืนหรือไม่ แล้วอดปลื้มปริ่มว่าท่านขุนรักแม่นายเหลือเกิน ถึงขนาดบันทึกมาอยากให้นางได้เห็นอย่างที่ท่านเห็น

ด้านขุนศรีวิสารวาจาเห็นออกญาโหราธิบดีมีท่าทางป่วยไข้ก็ถามไถ่อย่างห่วงใย ท่านบอกสามวันดีสี่วันไข้มิเป็นกระไรมาก แล้วเปรยว่าลูกไปเกือบสองปี ที่นี่มีเรื่องมากมาย “เกิดกบฏมักกะสันของพวกแขกจาม หากแต่พระวิไชยเยนทร์ผัวนางตองกีมาร์ได้กำราบเสียสิ้น อำนาจฝรั่งผู้นั้นเริ่มล้นเหลือ สึกพระไปสร้างป้อมสร้างกำแพงเสียมากมาย พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรบ่อยครั้ง ก็มีเพียงพระวิไชยเยนทร์แลพระปีย์ที่พระองค์ท่านทรงเรียกหาให้เข้าเฝ้า” ขุนศรีวิสารวาจาแปลกใจว่าใคร ออกญาบอกว่ายศใหม่ที่ฟอลคอนได้รับหลังจากปราบกบฏมักกะสัน ท่านขุนนึกได้ว่าเคยได้ยินการะเกดพูดชื่อนี้ ออกญาสบตาลูกอย่างฉุกคิดบางอย่าง

ooooooo

ค่ำนั้นเกศสุรางค์ยืนยิ้มมองจันทร์ คิดถึงคำพูดของท่านขุนที่ว่า มิได้หอบนางฝรั่งมาแลมิได้ยุ่งเกี่ยวกับนางฝรั่งคนใด คิดแล้วก็ทำท่าเขินพึมพำ “บื้อจัง แต่ก็...น่ารักเป็นบ้า”

พอหันกลับมาก็ชนเข้ากับขุนศรีวิสารวาจาจนเซ เขารวบตัวเธอไว้ทันแล้วถามออกมาทำไม ฝนเพิ่งซาเม็ด เธอจึงย้อนถามเขาเช่นกัน แล้วกระเซ้าหรือคิดถึงตน ท่านขุนอมยิ้ม

“ข้ามาดูดวงจันทร์ ดูที่อื่นไม่ชัดเท่าตรงนี้”

“หืม...ที่เมืองฝรั่งไม่มีดวงจันทร์หรือเจ้าคะ น่าจะมองเห็นอยู่ทุกคืนนะเจ้าคะ”

ท่านขุนตอบว่าเห็น แล้วเบนสายตาหนี หญิงสาวขำแกล้งเอาไหล่กระแทกไหล่เขาและดักคอว่า คิดถึงตนก็บอกมา ท่านขุนนิ่งไปสักพักก่อนจะเอื้อนเอ่ยออกมาว่า

“ไม่มีวันใดที่ข้าไม่ระลึกถึงเจ้า” ว่าแล้วก็เดินจากไป

“ร้ายนักนะ...แต่ก็น่ารักดีแฮะ” เกศสุรางค์หัวเราะไล่หลัง เก็บความวาบหวามไว้ทั้งคืน

รุ่งเช้า เกศสุรางค์ใส่บาตรเสร็จ ผินกับแย้มกระซิบถามว่าเมื่อคืนฝันดีหรืออย่างไร ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ แล้วถามว่าฝันอะไร หญิงสาวตอบขำๆว่า ฝันว่ามีคนมาปิ๊ง...

“ปิ้งหรือเจ้าคะ?” ผินถามหน้าตาเหลอหลา

“ปิ๊ง...ไม่ใช่ปิ้ง ปิ้งก็ไหม้หมดน่ะสิ”

สองบ่าวหัวเราะน้ำหมากย้อย ขุนศรีวิสารวาจาเดินเข้ามาบอกให้ผินกับแย้มขึ้นเรือนไปก่อน ทั้งสองรีบเดินออกมาแล้วทำมือโอเคให้กัน จ้อยเห็นงงๆ ทั้งสองจึงสอนให้จ้อยทำด้วย

ขุนศรีวิสารวาจากับเกศสุรางค์ยืนมองสายน้ำ

และเรือที่พายผ่านไปมา มีม่วงนั่งรอในเรือที่ท่าน้ำ

ท่านขุนกล่าวขึ้นว่าตนต้องไปแล้ว หญิงสาวรู้ว่าจะไปเข้าเฝ้าขุนหลวง เขาพยักหน้า

“วันนี้โปรดให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ อ่านเรื่องราวที่ไปเยือนฝรั่งเศส...คุณอาขุนปานเป็นผู้บันทึก แลให้ข้าเป็นผู้คัดลอกข้อความ”

“อ้าว...ที่เขียนในสมุดให้ข้านั่น ลอกจากอาขุนปานหรือเจ้าคะ” เกศสุรางค์ฉงน

“ข้อความในนั้นข้าเขียนเองทุกคำ...ความระลึกถึงของผู้ใดจักใช้คำของผู้อื่นได้เล่า โดยเฉพาะที่มีอยู่เต็มหัวอกจนต้องหาที่ระบายออก หาไม่คงจักอัดแน่นจนเจ้าของหัวอกนั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปมิได้” เกศสุรางค์ฟังแล้วสะท้านใจ “หนาวหรือเจ้า...ข้าอยากได้ยินเสียงหัวใจของออเจ้า” เกศสุรางค์ส่ายหน้าไม่อาจสู้สายตาท่านขุนได้ ก้มหน้าเขินอาย ท่านขุนจึงบอกว่า “เมื่อถึงครา...ออเจ้าก็มิใช่คนเก่งอันใดเลย...เพลาค่ำนี้จักมาฟัง”

ท่านขุนพูดจบเดินไปลงเรือ เกศสุรางค์โบกมือ ท่านขุนส่ายหน้าเบาๆปรามแต่เธอยังโบกไม่หยุด ท่านจึงเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะโบกมือตอบด้วยกิริยาเคอะเขิน...ม่วงแอบหัวเราะจึงโดนเอ็ด เสียงเกศสุรางค์ตะโกนบอกให้เขากลับเร็วๆ ท่านขุนยิ้มแก้มแทบปริ

พอกลับขึ้นเรือน เห็นจำปากำลังสั่งบ่าวไพร่ค้นหาของจ้าละหวั่น ผินกระซิบบอกว่าสร้อยหรือจี้ฟังไม่ถนัดของแม่นายหาย...จำปาบ่นพึมว่าต้องมีคนใกล้ตัวเอาไป ปริกได้ยินสะดุ้งถามสงสัยตนหรือ จำปาว่ามีเหตุให้สงสัยเพราะปริกเข้าออกห้องตนได้ตลอดเวลา ปริกน้อยใจเถียงก่อนจะเดินหนี จำปาสั่งเสียงเข้มให้นั่งอยู่ เกศสุรางค์รีบเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์

“คุณป้าเจ้าขา แม่ปริกไม่ได้เอาไปหรอกเจ้าค่ะ เพราะแม่ปริกไม่มีนิสัยขโมยหรอกเจ้าค่ะ”

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 12 วันที่ 22 มี.ค.61

ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทประพันธ์โดย รอมแพง
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ