อ่านละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ ตอนที่ 7 วันที่ 11 ก.พ.61

อ่านละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ ตอนที่ 7 วันที่ 11 ก.พ.61

พุฒิเมธ เจนนี่และบุญสิตาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แอบดู ข้างนอกเห็นนักข่าวอยู่เต็มทางออก เจนนี่ถามว่า แล้วเราจะออกไปยังไง บุญสิตาเชื่อว่านักข่าวต้องถามเรื่องบริษัทแน่ๆ

“เรายังไม่ได้เตรียมคำตอบดีๆด้วย พูดอะไรพลาดไปบริษัทเสียแน่” พุฒิเมธกังวล

ทันใดนั้น ทั้งสามเห็นซาร่าเดินออกไปหานักข่าวต่างตกใจ บุญสิตาบอกว่าปล่อยให้ซาร่าพูดบริษัทเละแน่ พูดจบก็พรวดออกไปหาซาร่า พุฒิเมธตกใจรีบตามไป เจนนี่เลยตามไปด้วย กลายเป็นทุกคนออกไปเผชิญหน้ากับนักข่าวที่มาออกันอยู่เต็ม



พอนักข่าวเห็นเมธกับเจนนี่ออกมาก็กรูกันเข้าไป บุญสิตาพยายามเบียดเข้าไปกันเมธออกแต่กลับถูกทัพนักข่าวเบียดกระเด็นออกมา

นักข่าวยิงคำถามทันทีว่าคุณพ่อของมาร์คจะเข้ามาดูแลกิจการต่อจากมาร์คใช่ไหม? ท่านไม่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนจะสู้คุณมาร์คได้ไหม? ความเชื่อถือของบริษัทจะลดลงไหมเพราะถือว่าเป็นมือใหม่?

บุญสิตาเห็นนักข่าวรุมกันกดดันพุฒิเมธกับเจนนี่ให้ตอบคำถามก็ทนไม่ได้ แทรกเข้าไปตอบคำถามเองด้วยท่าทางอย่างมืออาชีพมาก

“ทางนี้ค่ะ...ฉันเป็นผู้จัดการของบริษัท จะตอบคำถามพี่ๆนักข่าวทุกคำถามเองค่ะ”

นักข่าวหันมองบุญสิตาเป็นตาเดียวอย่างแปลกใจและให้ความสนใจ พุฒิเมธมองเธออย่างเป็นห่วง

“ถึงแม้ตอนนี้จะมีการปรับเปลี่ยนโครงการผู้บริหารในบริษัทใหม่ แต่ก็เป็นการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ” บุญสิตาพูดมั่นใจ

“จะดีขึ้นได้ยังไงคะ ในเมื่อผู้บริหารไม่เคยมีประสบการณ์อะไรมาก่อน” นักข่าวแซะ

“ถึงคุณพ่อมาร์ค จะไม่ได้มีความเชี่ยวชาญงานในวงการบันเทิง แต่ท่านก็เป็นนักธุรกิจที่อยู่ในวงการธุรกิจมานาน ท่านจะเข้ามาดูแลด้านการบริหาร ลงทุนธุรกิจต่างประเทศ ส่วนการจัดการต่างๆในบริษัท พัฒนาศักยภาพของศิลปิน เราจะมีซุปตาร์มือวางอันดับหนึ่งอย่างคุณพุฒิเมธ ที่ทั้งหล่อ เก่ง มากความสามารถมาคอยดูแลค่ะ ตอนนี้ทางบริษัทจึงแบ่งหน้าที่สองส่วนกันอย่างชัดเจน”

 บุญสิตาพูดปูทางไว้อย่างดีแล้ว พุฒิเมธเสริมอย่างมั่นใจหนักแน่นว่า

 “เรายังมีคุณศรันย์ผู้จัดการมือขวาของมาร์ค แล้วก็คุณโหน่งครูสอนการแสดงด้วย เพราะฉะนั้นขอให้ พี่ๆนักข่าวทุกคนเชื่อใจ และวางใจในมาร์คเอนเตอร์เทนเมนต์ด้วยนะครับ”

 บุญสิตาและพุฒิเมธช่วยกันให้สัมภาษณ์นักข่าวอย่างมืออาชีพ ทำเอาซาร่ากับเจนนี่ยืนเป็นใบ้ไปเลย

ooooooo

ตกเย็น...ที่ห้องนั่งเล่นในบริษัท ศรันย์ จัสติน โหน่ง และเอ กำลังนั่งดูทีวีกันอยู่ ทุกคนจ้องทีวีเขม็งฟังบุญสิตาให้สัมภาษณ์อย่างคล่องแคล่วฉะฉานว่า

“ตอนแรกทางบริษัทอยากจะเปิดแถลงข่าวเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ แต่ทุกอย่างเพิ่งลงตัว ยังไงก็ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนมากๆนะคะ ที่ให้ความสนใจกับบริษัทเรา แล้วก็เปิดโอกาสให้เราได้ชี้แจงข่าวลือพวกนี้ ขอบคุณค่ะ... ขอบคุณ”

บุญสิตายิ้มให้บรรดานักข่าวอย่างเป็นมิตร ทำเอาศรันย์ จัสติน เอ กับโหน่งที่ดูทีวีอยู่มองกันเหวอ ทึ่ง

ศรันย์ถามอึ้งๆว่านี่นางองค์ลงหรือ จัสตินถามว่าแน่ใจหรือว่านางเป็นแม่บ้านจริงๆ โหน่งก็บอกว่าเจ๊เริ่มงง

“ถ้าไม่บอก เอนึกว่าคุณมาร์คมาสัมภาษณ์เอง” แล้วทุกคนก็พูดจากความรู้สึกเดียวกันว่า

“ไม่อยากเชื่อ”

ค่ำวันเดียวกัน พุฒิเมธกลับไปดูการให้สัมภาษณ์ของบุญสิตาจากไอแพดที่พูดถึงตนว่า “เราจะมีซุปตาร์ อันดับ 1 อย่างคุณพุฒิเมธที่ทั้งหล่อ เก่ง มากความสามารถคอยดูแลค่ะ” ดูแล้วพึมพำว่า

“เดี๋ยวก็มั่นใจ เดี๋ยวก็ขี้อาย เดี๋ยวก็เรียบร้อย แปลก?”

ความสงสัย ทำให้พุฒิเมธหาข้อมูล “โรคคนสองบุคลิก” ในโทรศัพท์อย่างสนใจ

เมื่อเจอสมบัติ สมบัติชมว่าไม่น่าเชื่อว่าหนูซินจะตอบนักข่าวแบบนั้นได้ บอกว่าตอนนี้หายห่วงอีกเรื่องหนึ่งเพราะหนูซินแท้ๆ

พุฒิเมธติงตามความรู้สึกของตนถึงบุคลิกของบุญสิตาว่าน่าเป็นห่วง บางครั้งขี้อายเรียบร้อย แต่บทจะกล้าพูดกล้าแสดงออกก็เป็นเหมือนอีกคน อย่างกับมีสองคนในร่างเดียว

ข้อสังเกตของพุฒิเมธกลับถูกหมอโอบแซวขำๆว่า

“หนูซินเป็นโรคคนสองบุคลิกรึเปล่า ลุงก็ไม่รู้นะ แต่ลุงว่าเมธน่าจะเริ่มเป็นโรคหัวใจซะแล้ว”

แล้วทั้งพ่อทั้งน้าก็พากันแซวจนพุฒิเมธอายพยายามปฏิเสธ ผู้ใหญ่ทั้งสามก็เลยยิ่งแซวทั้งขำทั้งเอ็นดู

ooooooo

เมื่อบุญสิตากลับถึงห้องนอนตัวเอง ณฤทธิ์คิดว่าถ้าเธอเห็นแผลที่ใบหน้าต้องโวยใส่ตนแน่ เลยไปหยิบถุงยาจากกระเป๋ามาเช็ดแผลให้ เอ่ยขอโทษที่ทำให้เธอเจ็บ

พอบุญสิตาตื่น ก็โวยถามว่าเขาทำอะไรกับร่างตน เดินไปที่โต๊ะเห็นข้อความที่ณฤทธิ์เขียนไว้ว่า วันนี้มีเรื่องนิดหน่อยขอให้เธอหายไวๆ พร้อมโพสต์อิตที่เขียนแปะไว้กับยาบนโต๊ะว่า

“ทาทุกวันเช้าเย็นนะ ไม่งั้นเป็นแผลเป็นไม่รู้ด้วย” และยังมีแตงกวา มะเขือเทศ มีโพสต์อิตแปะไว้ว่า

“ฉันทำไว้ให้เธอพอกหน้าจะได้สวยๆ จะเอาใส่น้ำสลัดแล้วกินไปด้วยก็ได้”

บุญสิตาอ่านแล้วยิ้ม แต่แกล้งปั้นหน้าตึงตะโกน “ฉันรู้ว่าคุณอยู่แถวนี้ เลิกซ่อนตัวได้แล้ว” ณฤทธิ์จึงปรากฏตัวบอกว่าจะว่าอะไรก็ว่ามาเลย ตนยอมรับผิด

บุญสิตาต่อว่าที่เขาทำให้ร่างกายตนเจ็บปวด บ่นว่า ทำกันขนาดนี้ตนจะเข้าหน้าเจนนี่ติดไหมเนี่ย ณฤทธิ์บอกว่าปกติเจนนี่เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว อย่าคิดมากเลย ทำหน้าตายพูดว่า

“ถ้าจะคิด ก็มาคิดเรื่องที่ว่าวันนี้ฉันสามารถเข้าร่างเธอได้ดีกว่า เธอไม่ว่ามันแปลกๆเหรอ ฉันเข้าร่างเธอได้ทั้งที่เรายังไม่ได้ช่วยเหลือใครเลย”

“จริงด้วย หรือว่าดลยังคิดสั้นอยู่อีก คุณเลยเข้าร่างฉันได้” บุญสิตาฉุกคิด เครียด เป็นห่วงดนุดลขึ้นมา

ฝ่ายซาร่ากับกันต์ก็ระแวงว่าคำพูดของบุญสิตาเหมือนจะรู้ความสัมพันธ์ของเรา ซาร่ากลัวว่าถ้าบุญสิตารู้เรื่องของเราแล้วเอาไปพูดจะทำยังไงดี กันต์ปลอบว่า

“ถ้าเขาคิดจะพูดคงพูดไปนานแล้ว เธอก็ทำตัวปกติไป ผมจะหาทางสืบเอาว่าผู้หญิงคนนี้มีเจตนาอะไรกันแน่”

ooooooo

เช้าวันใหม่...ที่บริษัทณฤทธิ์ เอ โหน่ง ศรันย์ และจัสตินกำลังจับกลุ่มคุยกันถึงการให้สัมภาษณ์ของบุญสิตา ศรันย์ชื่นชมว่าเธอตอบคำถามนักข่าวได้วอนเดอร์ฟูล อะเมซซิ่งมาก เอก็ชมว่าเก่ง ถ้าเป็นตนคงไปไม่ถูก

โหน่งเสนอว่าแบบนี้ต้องเลื่อนตำแหน่ง ก็พอดีบุญสิตาเข้ามาถามว่าคุยอะไรกันหรือ

จัสตินบอกว่าเรื่องที่เธอให้สัมภาษณ์เมื่อวานไง ศรันย์ขอบคุณที่เธอช่วยพูดให้ บริษัทเราเลยได้เปิดบริษัทสวยๆ ไม่ต้องตั้งโต๊ะจัดงานแถลงข่าวให้เสียเวลา

บุญสิตายิ้มเนียนไปตามสถานการณ์ แต่พุฒิเมธอยู่อีกมุมหนึ่งเห็นท่าทางเธอเหมือนงงๆ บุญสิตารู้ว่าถูกมองอย่างจับผิดอยู่ก็ถามว่า “คุณเมธมีอะไรหรือเปล่าคะ”

“ตามผมเข้าไปในห้องด้วย” พุฒิเมธวางมาดขรึมเดินนำเข้าไปในห้อง

แต่พอบุญสิตาตามเข้าไปเขากลับอึกอักที่ซื้อยามาให้แต่ไม่รู้จะให้ยังไงดี เลยทำฟอร์มว่าคุณพ่อฝากยามาให้ บุญสิตาดูถุงยาแล้วขอบคุณ แต่ตนไม่ได้ป่วยซะหน่อย

พุฒิเมธพูดถึงเรื่องเมื่อวาน บุญสิตาทำหน้างง เขาดักคอว่าอย่าบอกนะว่าจำไม่ได้ เห็นเธออึกอักก็ตัดบทว่า ช่างเถอะจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มองเธอด้วยความห่วงใย ทำเอาบุญสิตาเขิน

ooooooo

เมื่อบุญสิตาเจอกับณฤทธิ์ที่มุมหนึ่งในบริษัทเธอถามทันทีว่าเมื่อวานพูดอะไรกับเมธ ทำไมเขาพูดกับตนแปลกๆ ณฤทธิ์บอกว่าเธออย่าใส่ใจกับเรื่องอื่นเลยไปดูแลดนุดลดีกว่าว่าเขาจะคิดสั้นอีกไหม

บุญสิตานึกได้รีบไปแอบดูดนุดลที่ห้องนั่งเล่นเห็นนั่งอ่านหนังสืออยู่แต่ก็ยังไม่วางใจ เห็นลุงบุญลืออยู่แถวนั้นจึงฝากให้ช่วยดูด้วย ลุงบุญลือกระตือรือร้นหากระดาษมาจดกลัวลืม

กันต์นัดพบกับวัฒน์ที่ร้านอาหารบอกว่าเรื่องหุ้นบริษัทไม่ต้องห่วง เพราะตนรู้จักพ่อของมาร์คดี นักธุรกิจอย่างท่านไม่มีทางบริหารงานที่นี่ได้หรอก ที่ยอมเก็บบริษัทไว้ตอนนี้ก็คงรู้สึกผิดต่อลูกตัวเองมากกว่า

วัฒน์บอกว่าตนจะรอแต่อย่าให้นานก็แล้วกัน ส่วนเรื่องงานที่เกาหลีทางนั้นยังไม่รับข้อเสนอของตนเลย

“ไม่ต้องห่วง ผมจะหาทางบีบพวกเขาเอง...เดี๋ยวผมจะลองสืบข่าวให้ ถ้าได้ข่าวยังไงจะบอกคุณ”

กันต์ให้ซาร่าช่วยปล่อยข่าวดิสเครดิตบริษัทให้เด็กๆลาออกกันให้หมด ซาร่าจึงแกล้งคุยโทรศัพท์ให้นางแบบที่ออกกำลังกายอยู่ใกล้ๆ ได้ยินว่าบริษัทของวัฒน์งานเยอะมากและกำลังมองหาเด็กๆไปแฟชั่นวีกที่ปารีส ถ้าได้งานที่นี่ทุกคนก็จะได้ไม่ต้องเครียดเรื่องมีงานไม่มีงานแบบนี้ แล้วทำเป็นกระซิบกระซาบว่า

“ฉันแอบได้ยินมาว่าสถานการณ์บริษัทแย่มาก งานน้อยลง เห็นว่าจะลดค่าตัวอีก นี่เงินค่าตัวฉันก็ยังไม่ได้เลย”

แกล้งพูดให้นางแบบอื่นได้ยินและเครียด ซาร่าก็แอบสะใจผลงานของตน

ศรันย์ปรารภกับโหน่งและพุฒิเมธว่า แม้ว่าเราจะแก้ข่าวกับนักข่าวได้ แต่เด็กๆในสังกัดไม่เชื่อมั่นกับการบริหารของพ่อมาร์คอยู่ดี โหน่งถามว่าแล้วเราจะเอาไงดี

“ใครที่ไม่อยากอยู่ก็ปล่อยออกไป เหลือแต่คนที่มีใจกับบริษัทและพร้อมจะสู้กับเราก็พอ...ตอนนี้เราพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าบริษัทไม่ได้เป็นอย่างข่าวลือ โปรเจกต์ที่เกาหลีจะเป็นงานแรกที่เราจะเรียกความเชื่อมั่นของทุกคนกลับมา”

ทั้งสามยิ้มให้กันอย่างมีความหวังกับโปรเจกต์ใหญ่นี้ แต่ยิ้มไม่ทันจางทั้งสามก็ตะลึงอึ้งเมื่อเอมาบอกว่า ตนติดต่อไปทางเกาหลี มิสเตอร์คิมบอกว่ากันต์โทร.ไปยกเลิกสัญญาของเราแล้ว!

“เราต้องหาทางเจอมิสเตอร์คิมแล้วอธิบายเรื่องทั้งหมด เราต้องดึงงานนี้กลับมาให้ได้!” พุฒิเมธโพล่งอย่างโกรธจัด แต่พอมองไปที่ประตูเห็นดนุดลยืนฟังอยู่ เขาถามอย่างสิ้นหวังว่างานตนถูกยกเลิกอีกแล้วหรือ

พุฒิเมธให้กำลังใจว่า “ไม่ต้องห่วงดล ยังไงโปรเจกต์นี้ต้องไม่โดนล้มแน่นอน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินแล้ว ถึงไม่มีงานนี้ก็ยังมีงานอื่น ผมพร้อมสู้ครับ” ดนุดลตอบอย่างเข้มแข็ง แม้ใจจะเศร้าแล้วเดินออกไปหงอยๆจนโหน่งกลัวจะคิดสั้นอีก บุญสิตากับณฤทธิ์ได้ยินก็ตกใจ

“รีบไปดูดลเร็ว” ณฤทธิ์เร่งบุญสิตา เธอรีบตามไปทันที เจอลุงบุญลือก็ถามว่าเห็นดลไหม ลุงบอกว่าเห็นเดินไปที่ห้องออกกำลังกาย บุญสิตาวิ่งไปทันที ลุงบุญลือเลยตามไปด้วย

ไปเห็นดนุดลถือคัตเตอร์ทำท่าจะกรีดที่ข้อมือก็โดดเข้าไปแย่งห้ามเสียงหลง แต่กลายเป็นว่าดนุดลจะเอาคัตเตอร์ตัดด้ายที่แขนเสื้อ พอรู้ว่าทั้งสองเป็นห่วงกลัวตนจะคิดสั้น ดนุดลยิ้มปลื้มบอกว่า

“ผมดีใจนะที่ป้าห่วงผม ผมสตรองไม่ทำร้ายตัวเองแล้ว แต่ป้านั่นแหละจะฆ่าผมแล้วไหมล่ะ”

ณฤทธิ์เห็นความสนิทจริงใจของดนุดลกับบุญสิตาก็แซวขำๆว่าดูท่าเด็กจะติดใจเธอซะแล้ว

บุญสิตาขอโทษลุงบุญลือว่าตนตื่นตูมไปเอง

ยอมรับว่ามันหลอน ลุงบุญลือบอกว่าไม่เป็นไร ตอนนี้ทุกคน ในบริษัทเครียดกันไปหมด เด็กๆก็ทยอยลาออก ถามว่าอีกนานไหมกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ถ้าบริษัทปิดจริง ตนก็ไม่รู้จะไปหางานที่ไหนทำ อายุมากแล้วและยังมีโรคประจำตัวอีกคงไม่มีใครรับ

“อย่าเพิ่งคิดมากเลยค่ะลุง บริษัทนี้ไม่มีทางปิดหรอกค่ะ”

เป็นคำยืนยันที่ทำให้ลุงบุญลือยิ้มออก

บุญสิตากับณฤทธิ์ไปเฝ้าใกล้โต๊ะดูดวงของแนนซี่เพื่อหาเป้าหมายที่จะช่วยเพื่อยืมร่างให้ณฤทธิ์สิง แนนซี่บอกให้ไปที่โรงพยาบาลสิจะมาเฝ้าตนทำไม บุญสิตาขอให้ช่วยณฤทธิ์ แนนซี่บอกว่าตนไม่ใจดีเหมือนเธอหรอก เธอช่วยไปคนเดียวเถอะ

เมื่อแนนซี่ไม่ช่วย บุญสิตาจึงถามณฤทธิ์ว่างานบริษัทจะเอายังไงต่อดี ณฤทธิ์บอกว่าตอนนี้ต้องหาทางเจรจากับมิสเตอร์คิมให้ได้ เป็นทางเดียวที่จะดึงบริษัทเราขึ้นมาจากวิกฤติ

“เห็นว่าเจ๊โหน่งกำลังเช็กอยู่ว่ามีคิวมาเมืองไทยไหม” ณฤทธิ์บอก

ooooooo

วันนี้ขณะโหน่งจะออกจากสตูกลับออฟฟิศ ซาร่าขอติดรถกลับด้วย โหน่งขอไปขอบคุณทีมงานก่อน ระหว่างนั้นเองมีโทรศัพท์เข้ามาหาโหน่งบอกว่ามีเรื่องด่วนจะคุย ซาร่าให้ฝากตนไว้ก็ได้เพราะเดี๋ยวโหน่งก็มา

พอคุยเสร็จซาร่าก็กดตัดสายโทรศัพท์ของโหน่งแล้วหยิบของตัวเองมาโทร.หากันต์ทันที บอกกันต์ว่า

มิสเตอร์คิมจะมาเมืองไทย กันต์บอกว่าเดี๋ยวตนจะบอกคุณวัฒน์ กำชับซาร่าว่าทำยังไงก็ได้อย่าให้คนในบริษัทรู้เรื่องนี้เด็ดขาด

โหน่งกลับจากขอบคุณทีมงานหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นดู ซาร่าใจคอไม่ดีกลัวโหน่งเปิดโทรศัพท์ดูเพราะตนยังไม่ได้ลบเบอร์เมื่อครู่นี้

กันต์โทร.ไปหาเลขาฯของมิสเตอร์คิม รู้ว่ามิสเตอร์คิมติดประชุมทั้งวัน ประชุมเสร็จมีเวลาประมาณสองชั่วโมงก็จะบินกลับเลย กันต์ดีใจบอกสองชั่วโมงก็พอ แล้วนัดพบกัน

เวลาเดียวกัน ขณะที่พุฒิเมธนั่งอ่านเอกสารในห้องทำงาน โหน่งก็เข้ามาบอกข่าวดีว่ามิสเตอร์คิมมาวันนี้ มองซาร่าขวับถามเธอเป็นคนรับโทรศัพท์ตนใช่ไหม ทำไมไม่บอก เพราะเพื่อนตนโทร.มาบอกแต่เช้าแล้ว ซาร่าหน้าเสียบอกว่าลืมสนิทเลย

พุฒิเมธให้เช็กเวลาของมิสเตอร์คิมให้แน่นอน จึงรู้ว่ามิสเตอร์คิมจะบินกลับวันนี้ตอนสี่โมงเย็น ณฤทธิ์ดูนาฬิกาพึมพำ “เหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงครึ่งจะทันไหมเนี่ย”

“ผมจะรีบตามไปคุยกับมิสเตอร์คิมเอง” พุฒิเมธบอก โหน่งรีบออกไปจัดการ ณฤทธิ์บอกให้บุญสิตาตามไปด้วยเพื่อจะได้รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน

ทุกอย่างแข่งกับเวลา พุฒิเมธจึงไปรถตู้ที่ศรันย์กับจัสตินกำลังจะไปทำงานให้รีบไปโรงแรมที่มิสเตอร์คิมพักก่อน ลุงบุญลือรับคำออกรถไปทันที ไปถึงเห็นมิสเตอร์คิมเดินออกมากับวัฒน์พอดี ณฤทธิ์ตกใจว่าเขาคุยงานกันเสร็จแล้ว

มิสเตอร์คิมขึ้นรถเดินทางไปสนามบินทันทีเพราะเลื่อนไฟลท์กลับเร็วขึ้น ณฤทธิ์บอกบุญสิตาว่าต้องไปดักมิสเตอร์คิมที่สนามบิน บุญสิตาบอกลุงบุญลือ พุฒิเมธ งงๆว่าทำอะไรกัน พอบุญสิตาชี้แจงให้ฟังเขาก็เร่งลุงบุญลือให้ขับเร็วกว่านี้

ลุงบุญลือรับคำเหยียบเต็มที่จนบุญสิตาถามว่าเร็วไปไหม

เวลาเดียวกันเอกับโหน่งอยู่ที่ออฟฟิศเจอกระดาษที่ลุงบุญลือจดอะไรๆไว้กันลืม ที่สำคัญลุงจดวิธีการฆ่าตัวตายไว้ด้วยว่า “รถชนตาย” ทั้งสองตกใจรีบโทร.หาแก ปรากฏว่าลุงกำลังตะบึงรถราวกับรถแข่งในสนาม ทุกคนในรถนั่งจิกเบาะแน่น บุญสิตาถามว่าลุงจะคิดสั้นหรือ

จึงรู้ว่าลุงตัดสินใจจะฆ่าตัวตายทำเป็นรถชน เป็นอุบัติเหตุ เพื่อจะเอาเงินประกันใช้หนี้นอกระบบที่ยืมมารักษาเมียที่เป็นโรคไตและส่งลูกเรียน แต่ถูกเจ้าหนี้บีบคั้นจนทนไหว

เมื่อรู้เจตนาของลุงบุญลือทุกคนจึงช่วยกันหว่านล้อมให้แกเปลี่ยนใจแต่ไม่สำเร็จจนบุญสิตาให้คิดถึงลูกที่กำลังจะได้รับปริญญาอันเป็นความหวังสูงสุดของลุง พุฒิเมธโทร.คุยกับแชมป์บอกว่าลุงกำลังขับรถอยู่ให้ถามว่าเย็นนี้จะกินอะไรจะซื้อกลับไป

“อะไรก็ได้ครับที่พ่อชอบ ขอแค่ได้กินกับพ่อก็อร่อยแล้ว” พุฒิเมธจึงให้ลุงบุญลือตอบแชมป์เองว่าจะกินอะไร ลุงตะโกนบอกว่าเย็นนี้กินกระเพาะปลาของโปรดของลูกก็แล้วกัน พูดเสียงสั่นว่า

“พ่อสัญญาว่าพ่อจะกลับไปกินด้วย” แชมป์บอกว่าผมจะรอครับ

พุฒิเมธกับบุญสิตารีบย้ำว่าลูกลุงรออยู่ อย่าทำให้เขาผิดหวัง อย่าผิดสัญญา ทันใดก็มีเสียงครืดที่ใต้ท้องรถ ลุงบุญลือตะโกนบอกทุกหน้าซีดเผือด

“รถเบรกแตก!!”

ooooooo

นาทีวิกฤตินี้ทุกคนตกใจขวัญหนีดีฝ่อ วิญญาณณฤทธิ์ที่สิงร่างบุญสิตาบอกว่าเดี๋ยวตนจัดการเอง

บุญสิตาบอกทุกคนให้นั่งด้านขวาเกาะเบาะไว้แน่นๆ ตนจะเอารถลงด้านซ้าย ลุงบุญลือถามว่าจะเอารถบรรทุกหรือต้นไม้ข้างทาง บุญสิตาตะโกนว่าลุงลงข้างทาง ลุงบุญลือหักพวงมาลัยให้รถไหลลงข้างทางท่ามกลางเสียงกรี๊ดของศรันย์กับจัสติน แล้วศรันย์ก็หมดสติไป

เมื่อหยุดรถได้ พุฒิเมธถามบุญสิตากับลุงบุญลือว่าเป็นยังไงบ้าง ทั้งสองบอกว่าโอเค ปลอดภัย จัสตินก็ไม่เป็นอะไรโดยเฉพาะหน้าที่ต้องใช้ทำมาหากิน มีแต่ศรันย์ที่หมดสติไป

“เดี๋ยวก็ฟื้น” บุญสิตาไม่กังวล แต่พอดูนาฬิกาก็บอกว่าไม่มีเวลาแล้ว ลืมตัวสั่งพุฒิเมธว่า “คุณจัดการประกันทางนี้นะ ฉันจะรีบไปหามิสเตอร์คิมก่อน เหลือเวลาอีกสามสิบนาที หวังว่าจะทัน”

พุฒิเมธพยักหน้าโดยอัตโนมัติ บุญสิตากระโดดลงจากรถวิ่งข้ามถนน เรียกมอเตอร์ไซค์ไปสนามบิน ไปถึง มิสเตอร์คิมกำลังเอาตั๋วไปเช็กอินพอดี บุญสิตารีบเข้าไปเรียก มิสเตอร์คิมหันมองสงสัยว่าเธอเป็นใคร

บุญสิตารีบแนะนำตัวเองเป็นภาษาเกาหลีว่า

“ฉันชื่อซิน จากมาร์คเอนเตอร์เทนเมนต์ คุณพอมีเวลาคุยกับฉันสักนิดไหม แค่ห้านาทีเท่านั้นเอง” มองด้วยสายตาอ้อนวอน มิสเตอร์คิมคิดว่าคงเป็นเรื่องสำคัญจึงคุยด้วย

อ่านละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ ตอนที่ 7 วันที่ 11 ก.พ.61

ละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ บทประพันธ์โดย : ติณณา
ละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ บทโทรทัศน์โดย : ตฤณณา
ละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ กำกับการแสดงโดย : กิตติศักดิ์ ชีวาสัจจาสกุล
ละครเรื่อง ชั่วโมงต้องมนต์ ผลิตโดย : บริษัท ทีวีซีน จำกัด
ที่มา ไทยรัฐ