อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 2 วันที่ 15 ก.พ.61

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 2 วันที่ 15 ก.พ.61

“ทำไมคะ ผู้หญิงผู้ชายก็คนเหมือนกันนะคะ” เกศสุรางค์สวนทันควัน

ท่านหมื่นคิดว่าเธอผีเข้า เกศสุรางค์เริ่มรู้ตัวว่าพูดมากไปรีบวิ่งกลับห้อง เขาเดินตามสั่งให้หยุด แต่เธอปิดประตูใส่หน้า ท่านหมื่นเคาะเรียกอย่างไม่พอใจ จำปาขึ้นเรือนมาเห็นถามเสียงดังเอะอะอันใด ท่านหมื่นบอกว่าการะเกดวิปลาส จำปาย้อนถามเพิ่งรู้หรือ เขารู้กันทั่วทั้งเรือนแล้ว

ด้านเกศสุรางค์เข้าห้องได้ก็รู้สึกอัดอั้นตันใจอย่างมากที่ต้องมาอยู่ในร่างของหญิงที่มีแต่คนเกลียด ผินกับแย้มเห็นนายของตนน้ำตาคลอก็ปราดเข้าหาอย่างห่วงใย หญิงสาวยกมือห้ามขอเวลาคิดอะไรสักพัก แล้วโถมตัวลงนอนคว่ำบนเตียง สองบ่าวร้องว้าย...ยกมือปิดปาก



“พี่สองคน อยู่เงียบๆนะ อย่าส่งเสียงเป็นอันขาด”

สองบ่าวหุบปากนิ่งจ้องมองด้วยสีหน้าจงรักภักดี เกศสุรางค์คิดตรึกตรองแล้วกระเด้งตัวขึ้นนั่งถามว่า ที่นี่คืออยุธยาใช่ไหม ในหลวงชื่ออะไร สองบ่าวพยักหน้าแต่งงกับคำถามหลัง แย้มนึกได้คงหมายถึงขุนหลวงนารายณ์ เกศสุรางค์เป่าปากครุ่นคิด

“พระนารายณ์...ปีอะไรหว่า ปีเสียกรุงครั้งที่ 1 ปี 2112 รัชกาลพระมหินทร์ พระนารายณ์อยู่ทีหลัง ก่อนพระเพทราชา ก็คงประมาณปี...” เหลือบเห็นสองบ่าวอ้าปากหวอมองจึงตัดบท “เอาล่ะ ข้าจะแปรงฟันแล้วนอนล่ะ ง่วงแล้ว” แต่พอลุกเดินไปที่ประตู สองบ่าวยังคงนั่งนิ่ง “อ้าว พี่ไม่ไปเหรอ แปรงสีฟันอยู่ที่ไหน เอ้อ...ไม่ใช่ ข่อยน่ะ กิ่งข่อยน่ะใช้สีฟันใช่ไหม”

สองบ่าวพาเกศสุรางค์ออกมาสีฟันที่ระเบียงบ้าน เธอใช้ข่อยจิ้มเกลือแต่หนักมือไปหน่อยจึงเค็มสุดฤทธิ์ หันมาเจอสายตาหมื่นสุนทรเทวามองมาจากห้อง ก็เชิดใส่ก่อนจะเดินกลับห้อง

ในคืนนั้น เกศสุรางค์สวดมนต์ข่มตานอนให้หลับ แต่ใจคิดถึงแม่และยายมาก...จนเช้าตรู่ ยายนวลและแม่สิปางยังเศร้าเสียใจใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้ เกศสุรางค์สะดุ้งตื่นราวกับรับรู้ได้

ooooooo

เช้ามืด บ่าวชายเดินดับไต้ที่จุดไว้ตามที่ต่างๆ บ่าวหญิงเร่งรีบทำงานตามหน้าที่ เกศสุรางค์ลุกขึ้นสีฟันด้วยข่อยจิ้มเกลือ ล้างหน้าโดยใช้ขันกะลาตักน้ำตามวิถีคนยุคนี้ ไม่วายหมื่นสุนทรเทวายังจับตามองเธออีก เธอจึงรีบเสียบกิ่งข่อยกับรอยแตกของฝาบ้าน แล้วเดินจ้ำกลับห้อง

ผินกับแย้มช่วยแต่งตัวให้กันระวิง เกศสุรางค์เดินหนีบๆบ่นกับตัวเอง

“เฮ้อ...กกน. ไม่ได้ใส่จะเดินยังไง อายแผ่นดินตายเลย”

สองบ่าวทำหน้าเหวอ...เกศสุรางค์ออกมาจากห้อง เห็นจำปากับบ่าวจวงช่วยกันพับกลีบดอกบัวด้วยกิริยาเนิบนาบ จำปาถามจวงว่าวันนี้วันพระใช่หรือไม่ จวงลืมตัวสวนว่าถ้าวันพระจะเตรียมของสิบองค์ วันนี้เตรียมห้าองค์ก็ไม่ใช่วันพระ จำปาเอ็ดว่ากำเริบ จวงนึกได้หัวเราะคิก

เกศสุรางค์ได้ยินถามขึ้นว่า “ใส่บาตรหรือคะ”

ทั้งนายและบ่าวชะงักหันมอง จำปาหน้าตึงใส่ “แม่การะเกด ออเจ้าไม่มีจดมีจำเลยฤา”

ผินกับแย้มรีบดึงให้เกศสุรางค์นั่งลง เธอนึกได้หันไปขอบคุณพี่ทั้งสอง จำปาเหล่ทันที ถามเรียกบ่าวว่าอย่างไร เกศสุรางค์พยายามเปลี่ยนเรื่องจะช่วยพับดอกบัว แต่จำปาถามย้ำให้ตอบ

“ก็เรียกพี่ค่ะ พี่ผิน พี่แย้ม เขารับใช้เกศอย่างดี เกศก็เลยเรียกพี่ให้เขาชื่นใจ”

“ออเจ้าเรียกตัวเองว่ากระไรนะ...” จำปาเสียงหลงขึ้นอีก

เกศสุรางค์รู้ตัวว่าพูดผิดไปหมด ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรจึงคว้าดอกบัวมาพับกลีบอย่างรวดเร็วตามที่ยายนวลเคยสอน จำปาแปลกใจที่ทำเป็น เกศสุรางค์ยิ้มหวานขอไปใส่บาตรด้วยคน

ที่ริมท่าน้ำ เกศสุรางค์ได้เห็นภูมิทัศน์ว่าบ้านอยู่ติดคลองที่แยกมาจากแม่น้ำ มีเรือหลายลำพายสวนกัน บางลำบรรทุกมะพร้าว บางลำบรรทุกถ่านใส่หลัวใหญ่ๆ บางลำมีพ่อแม่ลูกเต็มลำเรือ...ของที่จัดใส่บาตร ก็ใส่กระทงใบตอง ส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารพวกผัด ปลาทอด ผักน้ำพริก

พระนั่งเรือพายมารับบิณฑบาต จำปาคุยกับท่านว่า วันนี้ได้ปลาดุก ท่านชอบเผ็ดๆจึงใส่กระชายเยอะ พระท่านบอกว่าท่านเลือกฉันไม่ได้ เธอยิ้มเรี่ยๆ แล้วท่านก็สวดให้พรดังก้องคุ้งน้ำ จำปาเดินกลับเรือนด้วยกิริยานุ่มนวล ต่างจากเกศสุรางค์ที่เดินสบายๆตีคู่มา จำปาบอกว่าถ้าเป็นวันพระจะไปวัดฟังเทศน์ต่อ เกศสุรางค์รีบขอไปด้วย จำปาบอกว่าอีกหลายวันถึงจะเป็นวันพระ เธอจึงขอไปตลาดแทน ผู้สูงวัยมองว่าที่สะใภ้ที่ยืนตรงหน้าเหยียดๆ ผินกับแย้มอยากจะเข้าไปดึงตัวนายให้ถอยออกมา แต่คุณหญิงเหน็บเข้าให้เสียก่อน

“จะไปก็ย่อมได้...กิริยาเช่นนี้เขาเรียกตีเสมอผู้ใหญ่ ใครที่พ่อแม่ไม่สั่งสอนถึงจะทำ น่ารังเกียจยิ่งนัก”

เกศสุรางค์สะอึก น้อมตัวยกมือไหว้บอกจะไม่ทำอีก จำปาเดินเชิดขึ้นเรือน เจอหมื่นสุนทรเทวายืนอยู่จึงออกปากว่า การะเกดอยากไปตลาดผ้าเหลืองซื้อไตรจีวรทำบุญ ให้เขาช่วยพาไปที

“เพลาชายนะขอรับคุณแม่ ข้าถึงจะว่าง” ท่านหมื่นชายตามองการะเกดอย่างไม่ค่อยพอใจ

เกศสุรางค์งงกับสีหน้าของเขา จำปาหันมาบอกว่าเพลาชายถึงจะไป ให้เตรียมตัวไว้...พอกลับเข้าห้อง เกศสุรางค์ถามผินกับแย้มทันทีว่าเพลาชายคือเวลาใด สองบ่าวยิ่งงงว่าทำไมถึงลืม

“ตอนบ่ายเจ้าค่ะ แม่นายท่านเตรียมตัวเถิดเจ้าค่ะ”

พอถึงเวลาบ่าย เกศสุรางค์ก็ชะเง้อมอง “นี่มันบ่ายมากแล้วนะพี่ผิน พี่แย้ม ทำไมตาหมื่นยังไม่มา” สองบ่าวทำหน้าตกใจ เธอหันมาเห็นถามเป็นอะไรกันอีก

“ทำไมเรียกคุณพี่อย่างนั้น คุณพี่เป็นคู่หมายนะเจ้าคะ”

เกศสุรางค์ตกใจบ้าง แย้มให้เบาเสียงเกรงจำปาได้ยิน แต่เธอยังยื้อถามด้วยน้ำเสียงเบาลง

“พี่บอกว่าข้ากับอีตาหมื่นขี้เก๊กนั่น เป็น...เป็นคู่หมายกันจริงหรือ...ตาย...ตายแน่ๆไม่แช่แป้งเลย จริงเหรอเนี่ย”

ผินกับแย้มแปลกใจทำไมถึงลืม เกศสุรางค์กลบเกลื่อนว่าไม่ได้ลืมแต่ถามให้แน่ใจ สองบ่าวบอกว่าอีกไม่นานก็ต้องตบแต่งกัน เธอจึงแย็บถามว่าท่านหมื่นกับตนรักกันไหม ระหว่างนั้นหมื่นสุนทรเทวากำลังก้าวขึ้นบันไดเรือนจึงได้ยิน...เกศสุรางค์เห็นสีหน้าผินกับแย้มก็เดาได้

“เฮ้อ...เห็นหน้าก็รู้ ไม่ต้องถามก็ได้”

ท่านหมื่นหน้าตึงถามผินกับแย้มพร้อมหรือยัง พอทั้งสองรับว่าพร้อม ก็หันไปเรียกจ้อยบ่าวคนสนิทให้เตรียมเรือและบ่าวไปอีกสามคน...สั่งเสร็จก็ปรายตามองเกศสุรางค์ก่อนจะหันกลับลงบันได หญิงสาวหมั่นไส้แต่ก็ตื่นเต้นจะได้ไปเที่ยวตลาด รีบวิ่งตาม ผินกับแย้มปรามว่าวิ่งไม่งาม ทันใด ท่านหมื่นกลับขึ้นมา เกศสุรางค์ไม่ทันเห็นจึงชนกันอย่างจัง

ท่านหมื่นกอดเกศสุรางค์ไว้เต็มอ้อมกอดเพื่อไม่ให้ล้ม ใบหน้าทั้งสองชิดใกล้ สองบ่าวปิดปากอุทานไม่ออก ท่านหมื่นทำหน้าดุก่อนจะปล่อยและเอ็ด

“วิ่งไยกัน กิริยามิสมเป็นลูกหลานพระยา”

“กลัวไม่ทันค่ะ เห็นคุณหมื่นวิ่งลงบันไดไป”

หมื่นสุนทรเทวาสะดุดหูกับคำเรียกของเธอ แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อน สั่งจ้อยเข้าไปหยิบถุงเงินบนโต๊ะในห้องแล้วกลับลงไป เกศสุรางค์หันมาหลิ่วตาให้ผินกับแย้มก่อนจะตามลงไป

พอจะลงเรือ หมื่นสุนทรเทวาก้าวลงก่อนอย่างสบาย แต่เกศสุรางค์จดๆจ้องๆก้าวลงอย่างลำบาก ท่านหมื่นมองสงสัย พอเธอก้าวลงมาได้ก็ยิ้มย่องยกนิ้วมือว่าตัวเองเก่ง แต่พอเรือโยน เธอก็เซล้มไปนั่งตักท่านหมื่น ต่อหน้าทุกคนที่ตกตะลึง หญิงสาวทำหน้าอายๆลุกไปนั่งตรงข้าม

ผินกับแย้มรีบไปลงเรืออีกลำ จ้อยจะพายเรือตัดเข้าประตูก็ถึงป่าผ้าเหลือง แต่ท่านหมื่นกลับให้เขาอ้อมออกแม่น้ำเพราะอยากให้เกศสุรางค์ได้ชมสองฟากฝั่ง ...หญิงสาวตื่นตาตื่นใจจนเก็บอาการไม่อยู่ พึมพำคนเดียว

“อยุธยา...อยุธยา สมัยพระนารายณ์จริงๆ เห็นกะตาเหมือนที่ลาลูแบร์เขียนไว้ เหมือนคำให้การของชาวกรุงเก่าที่เคยอ่าน...ไอ้เรือง...คิดถึงแกจัง แกบ่นว่าอยากเห็นอยุธยาตามที่เราอ่านกันมา นี่ไง ฉันเห็นแล้ว ของจริงเลยแกเอ๋ย” พอเห็นหญิงชาวบ้านไม่สวมเสื้อ นั่งคุยกันก็ตาโต “เฮ้ย! ไอ้เรือง ฉันเห็นจริงๆ  ผู้หญิงสมัยนี้ พอแก่ลงก็ปล่อยตัว ผ้าผ่อนท่อนสไบบางทีก็ไม่ใส่ ไม่มีใครเห็นแปลกด้วย”

ท่านหมื่นเห็นเธอมองจนเหลียวหลังก็ถามว่ามองอะไร เกศสุรางค์สะดุ้งปัดว่าไม่มีอะไร แต่พอเห็นเรือมีประทุน มีผู้ดีแต่งกายสวยงามนั่งกางร่ม มีทั้งคนฝรั่งและคนไทยก็รีบถามว่าใช่พวกโปรตุเกสไหม ท่านหมื่นพยักหน้าอย่างระแวง เธอแย้งว่าอาจเป็นพวกฮอลันดา เขาสวนทันที

“ถ้าข้าไม่รู้แน่ จะตอบออเจ้าได้อย่างไร”

“อ้าว...ฟะรังคีเหมือนกัน”

“แต่แต่งตัวไม่เหมือนกัน” ท่านหมื่นตอบทันควัน

เกศสุรางค์เห็นจริง พอเห็นเรือแล่นใกล้ประตูช่องกุดก็ถามเขาอีกว่าเราอยู่แม่น้ำอะไร ท่านหมื่นอธิบายว่าด้านนี้เป็นแม่น้ำเจ้าพระยา หญิงสาวแทรกว่าทางโน้นก็ต้องเป็นแม่น้ำลพบุรี

“ออเจ้าไม่เคยไป รู้ได้อย่างไร”

“ก็เรียนมาไงคะ เอ๊ย! เจ้าคุณพ่อสอนค่ะ ฉันเรียนจากเจ้าคุณพ่อ” เกศสุรางค์เห็นสายตาสงสัยของท่านหมื่นก็รีบกลับลำ เขาหาว่าที่เธอพูดมีความจริงกี่มากน้อย เธอบอกเต็มร้อย ท่านหมื่นยิ่งงงกับคำของเธอ แต่ไม่อยากสาวความ ก็พอดีเธอเห็นบางอย่างถึงขนาดอ้าปากค้าง ยิ่งพอรู้ว่านั่นคือวัดไชยวัฒนาราม ก็ยิ่งตื่นเต้นที่บ้านอยู่ใกล้วัด ที่สำคัญวันสุดท้ายก่อนมาโผล่ที่นี่เธออยู่ที่วัดนั้น น้ำตาเธอรื้นขึ้นมา...เสียงท่านหมื่นกล่าวกับจ้อย

“อ้ายจ้อย เอ็งพายเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆนา แล้วเข้าพระนครทางปากตูคลองฉะไกรน้อย”

“ไปป่าผ้าเหลืองมิใช่หรือขอรับ” จ้อยแปลกใจทำไมให้อ้อม

เกศสุรางค์รู้ว่าท่านหมื่นพาเที่ยวแต่วางฟอร์ม จึงแกล้งยกมือไหว้ขอบคุณดื้อๆ...ระหว่างเรือแล่นไปตามแม่น้ำเจ้าพระยา เกศสุรางค์ซักถามว่าซ้ายมือนี้คือป้อมอะไร เขาตอบว่าป้อมปากคลองขุนละครไชย เธอรู้ว่าเป็นคลองที่เข้าพระนคร เขารับว่าใช่และสาธยาย

“ผ่านประตูช่องกุดนั้น คลองนี้ยาวไปออกทางแม่น้ำด้านโน้น”

“ทำไมชื่อขุนละครไชยคะ หรือมีละครให้ดู” เกศสุรางค์อดสงสัยไม่ได้

“ใช่ ตรงปากคลองมีตลาดบ้านจีน มีโรงเหล้าและโรงละคร โรงงิ้วและโรงน้ำชา”

“ตรงนี้นี่เอง ไอ้เรืองตรงนี้ไง ซ่องโสเภณีของอยุธยา แกยังบอกว่าอยากมาเที่ยวไง นี่ฉันเห็นกะลูกกะตาฉันเชียวนะเว้ย” เกศสุรางค์พึมพำด้วยความตื่นเต้น และพอเห็นเรือสำเภา เรือลำใหญ่มีหลังคาเป็นกระเบื้องลูกฟูกอยู่เป็นกลุ่มก็ถามท่านหมื่นอีกว่าเรืออะไร

“เรือสินค้า ทั้งของหลวงทั้งของพ่อค้า ตรงนั้นเป็นบ้านของพระยาราชบังสัน คอยดูแลระวางเรือให้ขุนหลวง ทางโน้นถัดไป วัดพุทไธศวรรย์ บ้านของพระยาวิสูตรสาคร ท่านเป็นเจ้าท่าดูแลแพทั้งพระนคร”

เกศสุรางค์ฟังและมองตาม เผลอฮัมเพลงออกมา เรือนแพ...สุขจริงอิงกระแสธารา...พอนึกได้เหลียวมองท่านหมื่น เขาทำหน้าเอือมระอา เธอหัวเราะเบาๆ หันไปซักถามสิ่งที่พบเห็นอีก เพราะเรือเลี้ยวลอดประตูช่องกุด เข้าเขตเมืองชั้นใน เห็นตลาดแต่ท่านหมื่นบอกว่า ป่าบ้านดินสอ

“ก็คือตลาด ทำไมคนอยุธยาเรียกตลาดว่าป่า แปลกนะคะ” เกศสุรางค์อดสงสัยไม่ได้

หมื่นสุนทรเทวาไม่ตอบ เรือจอดพอดี ท่านหมื่นขึ้นก่อนแล้วหันมายื่นมือจะช่วย แต่เกศสุรางค์กลับกระโดดขึ้นมาหัวเราะเสียงกังวาน ท่านหมื่นเสียหน้า เก้อไป

ตลาดผ้าเหลืองหรือป่าผ้าเหลือง มีของขายมากมาย โดยเฉพาะผ้าไตรจีวรละลานตา หลังร้านเป็นโรงพักอาศัยทำด้วยไม้ไผ่มุงจาก แม้แต่พื้นเรือนก็ทำด้วยไม้ไผ่

เกศสุรางค์ยังสงสัยใคร่รู้ทำไมถึงเรียกตลาดว่าป่า ท่านหมื่นจึงอธิบายว่า ป่าคือที่ที่มีต้นไม้มากๆอยู่รวมกัน

“อ๋อ...เข้าใจแล้วค่ะ จริงด้วย โห...เจ๋งสุดๆ”

ท่านหมื่นหยุดเดินหันมองหน้าอย่างสงสัยในคำพูด ของเธอ เกศสุรางค์กลบเกลื่อนหันไปสนใจผ้าไตรจีวรแล้วเลือกซื้อให้ท่านหมื่นจ่ายสตางค์ แม่ค้าชื่นชมว่าเมียท่านหมื่นงามและพูดจาไพเราะ ท่านหมื่นหน้าตึง

เกศสุรางค์จึงรีบปฏิเสธ บอกตนเป็นแค่ผู้อาศัย

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 2 วันที่ 15 ก.พ.61

ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทประพันธ์โดย รอมแพง
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ