อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 4 วันที่ 20 ก.พ.61

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 4 วันที่ 20 ก.พ.61

“ตัวอักษรนี้มีไม่ครบนี่เจ้าคะ” เกศสุรางค์เบนความสนใจ ออกญาแปลกใจอีกว่าตัวอักษรไม่ครบอย่างไร “มีแค่ 37 ไม่ใช่ 44...อ๋อ ตัวที่ไม่มีเป็นตัวประหลาดทั้งนั้น ฎ ชฎา ฏ ปฏัก ฐ ฐาน ฒ ผู้เฒ่า ณ เณร ฑ นางมณโฑ กี่ตัวแล้วนี่ อ้อ ฮ นกฮูก ครบยัง...ครบแล้ว รวมเป็น 44 ตัวพอดี”

ออกญามองการะเกดนับนิ้วอย่างงุนงง เกศสุรางค์อ้างว่าลืมเพราะมนต์ของท่าน ทั้งสองหัวเราะออกมา... ท่านหมื่นได้ยินเสียงหัวเราะจะเดินไปดู แต่จ้อยมาตามอีก จึงต้องกลับไปลงเรือ

เกศสุรางค์เดินลงมาที่ลานบ้านข้างล่าง เห็นบ่าวไพร่ทำงานมากมาย แต่ละคนพอเห็นหน้าเธอก็พากันเดินหนี จึงพึมพำ เจออีกแล้วนะการะเกด ต้องถูกมองด้วยสายตาแบบนี้อีกนานเท่าไหร่...ทันใดผินกับแย้มวิ่งตามมา บ่าวไพร่เหล่านั้นยิ้มแย้มทักทาย เธอถึงกับเปรย



“คนรักพี่แย้มพี่ผินมากกว่าเธอนะการะเกด”

เกศสุรางค์เอ่ยถามผินกับแย้มว่า 5 บาทหมายความว่าอย่างไร แย้มบอกเป็นเงินท่วมเมือง แต่ผินบอกอีกความหมายว่า 5 บาทก็กึ่งยาม ยามหนึ่งมี 10 บาท เกศสุรางค์จึงคำนวณว่าบาทหนึ่งก็ 6 นาที 5 บาทก็ครึ่งชั่วโมง...ว่าแล้วก็รีบเร่งให้สองบ่าววิ่งตามมา

เกศสุรางค์ให้ผินกับแย้มพายเรือตามเรือจ้อย สองบ่าวหวั่นใจที่ออกมาโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร...มาถึงท่าน้ำวัดพุทไธศวรรย์ สองบ่าวพายเรือแหวกเรืออื่นๆ เข้ามาจอด มองหาเรือจ้อย แต่ยากเพราะเรือเหมือนกันไปหมด จนกระทั่งเห็นจ้อยยืนจีบแม่ค้าสาวอยู่ ก็เข้าไปบีบบังคับให้พาไปหาหมื่นสุนทรเทวา จ้อยหน้าเจื่อนจะโกหกก็โดนดักคอก่อน จำต้องนำทาง

มาถึงบริเวณมืดครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่ จ้อยหยุดไม่กล้าเดินต่อ บอกต่อจากนี้ไปเข้าไม่ได้ มีอาคมอยู่ เกศสุรางค์ไม่เชื่อจะเดินผ่านหมู่ต้นไม้ ทันใด เหมือนมีแรงดึงตัวเธอเข้าไปอย่างรวดเร็ว ผิน แย้ม และจ้อยร้องกันเสียงหลงก้องป่า

เกศสุรางค์ถลาเข้ามายืนงง หันไปดูไม่มีใครตามก็ส่งเสียงเรียก นึกถึงคำจ้อยที่ว่าเข้าไม่ได้มีอาคม แล้วแปลกใจทำไมตนถึงเข้ามาได้คนเดียว ฉับพลันได้ยินเสียงฟันดาบ เสียงเตะต่อยแว่วมา จึงออกเดินอย่างเร็ว โผล่พ้นพุ่มไม้ ก็เห็นชายฉกรรจ์ล่ำสัน กล้ามสวย ซ้อม ฟันดาบ ต่อยมวย ละลานตา เผลออุทานออกมาว่า

“โอแม่เจ้า...ประกวดชายงามได้เลยนะเนี่ย หล่อล่ำสุดยอด ซิกซ์แพ็ก...เซเว่นแพ็ก...”

ทันใดเสียงทักว่านั่นใครดังขึ้น เกศสุรางค์หันมองเห็นหมื่นเรืองก็ตะลึงร้องเรียกไอ้เรือง หมื่นเรืองงงทำไมรู้ชื่อ แต่พอเห็นหน้าตาสวยแจ่มก็ยิ้มกรุ้มกริ่มให้ หญิงสาวพึมพำ

“เฮ้ย ใช่จริงด้วยเหรอ แกตายเหมือนกันรึ” พอเขาเรียกว่าแม่หญิง เธอก็ชะงักรู้ว่าไม่ใช่

“ข้าชื่อเรือง ยศหมื่นเรืองราชภักดี...แม่หญิง เข้ามาในเขตนี้ได้อย่างไร”

“ข้าเดินมากับจ้อย พี่ผิน พี่แย้ม แต่เขาหายกันไปหมด ที่นี่ที่ไหน ค่ายมวยเหรอ แล้วหมื่นสุนทร...” พูดไม่ทันจบก็เห็นหน้าท่านหมื่นยืนจ้องถมึงทึง

“ออเจ้ามาได้อย่างไร แม่การะเกด”

“แม่การะเกด แม่หญิงคู่หมายของออเจ้าใช่ฤาพ่อเดช...จะให้ข้าเชื่อรึ ออเจ้าบอกว่านางไม่งาม แถมยังน่าเกลียดปากร้าย ถ้านางไม่งามก็ไม่มีหญิงใดในพระนครจะงามแล้ว”

หมื่นสุนทรเทวาไม่สนใจ ร้องเรียกจ้อยให้ออกมาพาการะเกดกลับ จ้อยสะดุ้งได้ยินแต่เสียงนาย ด้วยความกลัวจึงวิ่งพุ่งเข้าไป ผินกับแย้มตาม แต่ทั้งสามกระเด็นกระดอนไปคนละทางสองทาง เข้าไม่ได้ เสียงท่านหมื่นคาดโทษจะโบยหวายทั้งสามคน

เกศสุรางค์เถียงแทนว่าทั้งสามไม่ผิด จะลงหวายก็ลงตนคนเดียว เป็นนายตัดสินไม่เป็นธรรมได้อย่างไร หมื่นเรืองตาค้างฟังไม่เข้าใจว่าเธอพูดภาษาอะไร หมื่นสุนทรเทวาบอก

 “ภาษานางนั่นแหละ ถึงได้บอกว่านางน่าเกลียดไง”

“ไม่เห็นจะเกี่ยวกัน...หมายความว่ามันคนละเรื่องนะคะคุณพี่”

หมื่นสุนทรเทวาทำตาดุใส่ สั่งให้กลับเรือน

เกศสุรางค์ขอกลับพร้อมเขา ท่านหมื่นเสียงเข้มว่าไม่ได้ เธอถามว่าเพราะอะไร เขาหาว่าเธอเถียงทุกคำ เธอก็แย้งว่าถามไม่ได้เถียง หมื่นเรืองขำบอกเป็นพยานว่านางไม่ได้เถียง หมื่นสุนทรเทวาเคืองเพื่อนบอกให้หุบปาก หมื่นเรืองเห็นว่าเพื่อนโกรธจริงจึงปรามเกศสุรางค์อย่าเพิ่งแหย่รังแตน เธอพูดขำๆว่า แตนตัวเบ้อเร่อ เขาหัวเราะชอบใจ เกศสุรางค์ยิ้มที่ยังมีคนเข้าใจ...เสียงแย้มดังเข้ามาว่าอย่าเถียงท่านหมื่น เดี๋ยวโดนหวาย

“ไม่ยอมหรอก ลองมาโบยสิ ไม่ได้ทำอะไรผิด” เกศสุรางค์ตะโกนตอบ

สองคู่หมายเถียงกันไปมาอีกหลายคำรบ จนกระทั่งเสียงมีอำนาจดังขัดขึ้นว่า มีอะไร ทั้งสามหันมอง เกสุรางค์ สบตาท่านอาจารย์ด้วยแววตาตื่นตะลึง หมื่นสุนทรเทวารีบจับมือเธอดึงให้นั่งลง หญิงสาวมองมือที่โดนจับราวมนต์สะกด ท่านอาจารย์พูดขึ้นว่า

“ผ่านม่านอาคมมาได้ มิธรรมดาเลยหนอออเจ้า ตามข้ามานี่เถิด”

เกศสุรางค์ยังงง อาจารย์หันหลังเดินกลับไปหมื่นเรืองเดินตามแล้วหันมอง เห็นหมื่นสุนทรเทวาจูงมือการะเกดให้เดิน เขาเห็นท่าทีอ่อนโยนของเพื่อนที่มีต่อนาง

ooooooo

ทางเดินไปกระท่อมอาจารย์ เป็นป่าต้นไม้สูงใหญ่ ทุกอย่างเงียบสงบไม่มีเสียงนกกา ราวไร้กาลเวลา ภาพคนซ้อมดาบซ้อมมวยด้านหลังเลือนรางลง เกศสุรางค์เริ่มรู้สึกหนาวสั่น จึงกอดอกห่อไหล่ หมื่นสุนทรเทวาเห็นเช่นนั้นจึงจับแขนเธอ ราวจะถ่ายทอดความอบอุ่นให้

เกศสุรางค์รับรู้ได้หันไปยิ้มขอบคุณ ท่านหมื่นสบตาอึ้งๆ สักพักปล่อยมือแล้วถอยห่าง...พอเข้ามาในกระท่อมอาจารย์ ทั้งสามคนก้มกราบ อาจารย์ถามขึ้นว่า หมื่นสุนทรเทวาสงสัยอะไรในตัวนางคนนี้ ท่านหมื่นตอบว่า แปลกใจทำไมนางถึงผ่านม่านอาคมเข้ามาได้ อาจารย์หันมาจ้องตาเกศสุรางค์ที่อยากรู้เช่นกัน สักพักก็ตอบโดยไม่ขยับปากว่า นางผู้นี้มิใช่คนที่นี่

เกศสุรางค์ไม่รู้ว่าตนได้ยินเพียงผู้เดียว ถามสวนออกไปว่า รู้ได้อย่างไร หมื่นสุนทรเทวาเอ็ดว่าไม่ควรพูดอะไรหากท่านอาจารย์ยังมิได้พูด และว่าเธอชอบพูดจาเลื่อนเปื้อน เธอหันไปมองหมื่นเรือง ดูท่าเขาไม่ได้ยินเช่นกัน จึงหันกลับมามองอาจารย์ ท่านพูดทางจิตว่าให้เรียกท่านว่าอาจารย์ชีปะขาว แล้วท่านถามว่านั่งสมาธิเป็นหรือไม่ เธอตอบว่า...เคย หมื่นสุนทรเทวาปรามด้วยสายตา

“เคยเจ้าค่ะ คุณยายสอนให้นั่งก่อนนอนทุกคืน แม่ก็นั่งประจำเลยค่ะ จริงนะเจ้าคะ ไม่มุสา พูดเลยเจ้าค่ะ” เกศสุรางค์ไม่สนใจพูดยาวเหยียด

หมื่นสุนทรเทวาหาว่าไม่จริง อาจารย์หัวเราะแล้วพูดออกมาว่า จริงอย่างที่นางบอกแล้ว...เกศสุรางค์ยิ้มเย้ย อาจารย์จ้องหน้าสื่อด้วยจิตให้เธอตั้งใจฟัง หญิงสาวรับคำสำรวมขึ้นทันที

“ชะตาเจ้าหนักหนานัก จิตไม่ได้ผูกพัน แต่ดวงวิญญาณผูกพัน จึงมาไกลถึงที่นี่...หากจักช่วยแล้วจงช่วยให้ถึงที่สุด อย่าได้ละทิ้งหนาแม่การะเกด”

“ถึงอยากทิ้งก็ทิ้งยากเจ้าค่ะ”

“อืม...อย่าเสียใจให้เป็นเหตุเป็นการต่อไปเลย หักใจเสียเถิดหนาเจ้า...ออเจ้ายังต้องพบเจอ ต้องแก้ไขเหตุอันจะบังเกิดต่อไป จึงต้องปลงให้ได้ หากเรื่องใดเกินมือเจ้าจักต้านรับเอานี่ไปท่องดู” อาจารย์หยิบสมุดข่อยสีดำจากย่ามยื่นให้ สักพักก็ถามว่าจำได้หรือยัง นางอ่านแล้วรับว่าจำได้ “ก่อนท่องบทนี้ให้ท่องนะโมสามจบก่อน แต่ไม่ต้องเปล่งจากปากให้ผู้ใดได้ยิน มนต์บทนี้แม้จะสั้น แต่อานุภาพยิ่งใหญ่นัก จิตของออเจ้าต้องรวมสมาธิให้มั่น หากออเจ้าเจอเรื่องราวน่าหวาดหวั่น ท่องแล้วจะมีสติรู้คิด หากต้องหลบหนีภัย มนต์นี้จักกำบังกายมิให้ใครเห็น”

เกศสุรางค์ตาวาวถามทางจิตว่าหายตัวได้หรือ ท่านพยักหน้าขำๆ ย้ำว่าไม่ต้องหลับตา ให้ใช้ความคิด นางโต้ขำๆว่าถ้าหลับตาวิ่งหนีคงหกล้มถูกจับได้พอดี แล้วถามหน้าทะเล้นว่ามีมนต์สะเดาะกลอน เสกใบมะขามให้เป็นตัวต่อ หรือทำควายธนูได้หรือไม่...อาจารย์เปล่งเสียงว่ามี เกศสุรางค์ถามอีกว่าเป่ามนต์ให้หลับได้ด้วยใช่ไหม ท่านเปล่งเสียงว่ามี เธอพึมพำ แบบนี้มีคนมาลักหลับทำอย่างไรดี อาจารย์หัวเราะออกมาเต็มเสียง สองหมื่นทำหน้างงทำนองหัวเราะอะไร

เกศสุรางค์หันมาเห็นสายตาหมื่นสุนทรเทวาก็สลดลง อาจารย์บอกอีกว่า กลับถึงเรือนค่อยทดลองสวดมนต์ หญิงสาวรับคำ หมื่นสุนทรเทวาเสียงเข้มให้เธอกราบลาท่าน เธอก้มกราบ อาจารย์วางเส้นด้ายแปดฟั่นสีดำสามเส้นให้ตรงหน้า ส่งสายตาว่าให้หยิบไป เธอกราบอีกครั้งก่อนหยิบ

ระหว่างเดินกลับ หมื่นสุนทรเทวาเป็นห่วงถามการะเกดว่าหนาวไหม เกศสุรางค์ยิ้มหวานให้แทนคำตอบ เขาทำตาดุใส่ก่อนจะเมินหน้าหนี...พอข้ามพ้นม่านอาคม สามบ่าว ผิน แย้มและจ้อย ดีใจเข้าไปกอดขาผู้เป็นนาย หมื่นเรืองถามขึ้นว่า อยากเที่ยวชมวัดพุทไธศวรรย์ฤาไม่

“อยากค่ะ...อยากสุดๆไปเลย” เกศสุรางค์ตอบอย่างลืมตัว

ทุกคนงงกับคำว่าสุดๆ เธอขำสีหน้าทุกคนแล้วอธิบายว่า อยากมากๆ สองหมื่นเข้าใจว่าเป็นภาษาของเมืองสองแคว หมื่นสุนทรเทวาเห็นเกศสุรางค์พูดคุยกับหมื่นเรืองอย่างเป็นกันเอง ก็รู้สึกหงุดหงิดใจ พาลเสียงเข้มใส่บ่าวทั้งสาม เร่งให้กลับไปที่เรือ เกศสุรางค์รู้สึกได้จึงปัดหมื่นเรืองขอไปเที่ยววันหลัง ไม่อยากขัดใจคุณพี่

ผินกับแย้มเดินละล้าละลังเป็นห่วงแม่นาย หมื่นสุนทรเทวาสั่งให้ลงเรือ ทันใดเกศสุรางค์กับหมื่นเรืองมาถึง บอกว่าไม่ได้ไปเที่ยวแล้ว หมื่นเรืองขอกลับเรือด้วยคน ว่าแล้วก็ก้าวลงเรือ หมื่นสุนทรเทวาจึงให้สามบ่าวกลับเรือลำเดียวกัน อีกลำตนพายเอง มีหมื่นเรืองกับเกศสุรางค์นั่งไป ทั้งสองคุยกันเรื่องเรือสำเภาอย่างสนุกสนาน ทำให้หมื่นสุนทรเทวาหมั่นไส้ตาขุ่น เกศสุรางค์ยังพูดขึ้นว่า หมื่นเรืองหน้าเหมือนคนที่รู้จักจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ หมื่นเรืองงงไม่รู้ความหมาย แต่ก็หัวเราะ

“ข้าจะมาทวงให้เจ้าพูดทุกวันจะได้ไหม” หมื่นเรืองชอบใจภาษาแปลกๆของเกศสุรางค์

หมื่นสุนทรเทวาจ้วงพายลงน้ำเต็มแรง หญิงสาวร้องอูย...รู้ว่าเขาไม่พอใจ ไม่ทันไรหมื่นสุนทรเทวาจอดเรือที่ท่าน้ำบ้านหนึ่ง แล้วไล่ให้หมื่นเรืองขึ้นไป เขาจึงหันมาลาการะเกดก่อนกระโดดขึ้นท่าหายตัวไปทันที จากนั้นเกศสุรางค์ก็มองวิวทิวทัศน์อย่างตื่นตาตื่นใจไปเรื่อย

เมื่อถึงท่าน้ำบ้าน หมื่นสุนทรเทวาขึ้นจากเรือแล้วหันกลับไปยื่นมือให้ เกศสุรางค์มองอย่างไม่มั่นใจ เขาขยับมือทำนองว่าแน่ เธอจึงเอื้อมมือไปจับและเหนี่ยวตัวขึ้นท่าอย่างแรง แกล้งให้เขาเซ แล้วยกมือไหว้ขอบคุณขำๆ ท่านหมื่นเดินไปหน้านิ่ง...ผินกับแย้มรีบวิ่งเข้ามา ถามหาหมื่นเรือง เกศสุรางค์บอกว่าท่านหมื่นไล่เขากลับเรือนไปแล้ว ให้ขึ้นท่าบ้านใครไม่รู้

หมื่นสุนทรเทวาหันกลับมาติง “ออเจ้าพูดจาให้มีความจริง หมื่นเรืองเขาลงท่าน้ำบ้านเขา”

“ข้าจะรู้ไหมเนี่ย ไม่พูดไม่จาอะไร จอด...ขึ้น...แล้วคุณพี่ก็พายเรือมา”

ผินกับแย้มหัวเราะ ท่านหมื่นเอ็ดแล้วไล่สองบ่าวให้ขึ้นเรือนไปก่อน สองบ่าวกลัวลานรีบวิ่งไปทั้งที่เป็นห่วงแม่นาย...เกศสุรางค์จ้องหน้าท่านหมื่นแล้วถามว่าจะโบยตนหรือ

“แม่การะเกด ออเจ้าเพิ่งออกนอกเรือน มิรู้ว่ากิริยาชม้ายชายตาของออเจ้าเป็นวิสัยปกติฤาเผลอไผล จะเป็นอันใดก็ตามก็มิบังควรกระทำ ผู้ใดเห็นเข้าจักเอาไปนินทาได้ว่า หลานคุณพ่อกิริยามิงาม เป็นหญิงชม้ายชายตาให้ผู้ชายไปถ้วนทั่ว จักพาขายขี้หน้ากันทั้งเรือน”

เกศสุรางค์จ้องหน้าคิดในใจทำปากขมุบขมิบ

“อีตาบ้า มาหาว่าฉันให้ท่าตาหมื่นเรืองเหรอเนี่ย...บ้าจริง ชม้อยชม้ายตาเป็นไงวะ ทำตอนไหน”

ท่านหมื่นเห็นสั่งให้พูดออกมา เกศสุรางค์ปัดว่าฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าอยากให้รู้ต้องพูดใหม่ เขาหาว่าเธอเหลวไหลเลื่อนเปื้อนเชือนแช ทำสิ่งใดย่อมรู้แก่ใจ และบอกว่าหญิงอโยธยาเขามิทำกิริยาน่าละอายอย่างนั้น เกศสุรางค์เถียงว่าเคยเห็นหญิงอโยธยาทำกิริยานี้ เธอหมายถึงจันทร์วาดแต่ไม่เอ่ยชื่อออกมา และว่าเขาสองมาตรฐาน หญิงสาวรู้สึกน้อยใจอย่างมาก เดินหนีกลับเรือน

ผินกับแย้มเตรียมตักน้ำจะล้างเท้าให้ เกศสุรางค์เดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เข้าห้องได้ปิดประตูใส่หน้า สองบ่าวเห็นแม่นายน้ำตาคลอก็พยายามเคาะถามอย่างห่วงใย...เกศสุรางค์ยืนพิงประตูร้องไห้อย่างไม่รู้ว่าทำไม พอตั้งสติได้ก็ปาดน้ำตาโพล่งออกมาว่า ไม่สนเว้ย...แล้วหันมาสนใจบทสวดในสมุดข่อยที่ได้มา ตัดสินใจทดลองสวด “จิตติ จิตตัง กัมปิยัง มหาจิตติ”

ทันใดแสงสว่างที่ส่องเข้ามา มืดสลัวลง ร่างเกศสุรางค์ค่อยๆกลายเป็นโปร่งใส เธอตะลึงตื่นเต้นที่เป็นจริง ลองเดินไปที่ประตู เผอิญชนสิ่งของหล่น ไม่ทันไร หมื่นสุนทรเทวาเปิดประตูเข้ามาพร้อมผินกับแย้ม

ทั้งสามไม่เห็นเกศสุรางค์ หญิงสาวเดินหลบไปที่ฉากกั้น ร่างกายปรากฏทำทีเป็นลมอยู่ตรงนั้น ผินกับแย้มมาเห็นร้องด้วยความตกใจ

หมื่นสุนทรเทวารีบเข้าอุ้มมานอนที่เตียง เอามืออังจมูกว่ายังหายใจ หันไปจะบอกสองบ่าวให้ไปหายาดม แต่ทั้งสองหายไปเสียก่อน เขาจึงก้มลงมองหน้าเธอใกล้ๆ มืออังหน้าผากหายใจแรง เกศสุรางค์ลืมตาโพลงขึ้น ถามเขาจะทำอะไร เป่าลมอะไรใส่ตน ท่านหมื่นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะยืดตัวขึ้นวางท่าไม่ได้ตกใจใดๆ เอ่ยถามว่าฟื้นแล้วหรือ เป็นอะไร

“อืม...ก็เป็นลมธรรมดาๆค่ะ หายแล้ว คุณพี่ยังโกรธข้า คุณพี่จะออกไปก็ได้ค่ะ”

ท่านหมื่นทำหน้าเก้อๆ สักครู่หันหลังกลับออกไป เกศสุรางค์ลูบอกตัวเองอย่างโล่งใจ พึมพำจะไม่ทำอีกแล้ว ...ถ้าไม่จำเป็น

เย็นวันนั้น หมื่นสุนทรเทวายืนครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่อุ้มการะเกด แล้วพยายามไล่ความรู้สึกนั้น คิดถึงวันแรกๆที่เธอเข้ามาในบ้าน ความร้ายกาจ ความก้าวร้าวของเธอมีมาก ด่าว่าทำร้ายบ่าวของตัวเองรุนแรง และพาลมาถึงบ่าวไพร่ในบ้าน ทุกคนจึงพากันเกลียดชังเธอ

แต่มาเดี๋ยวนี้ นางกลับยิ้มแย้มกับบ่าว เรียกพี่ทุกคำ...พลันออกญาโหราธิบดีเข้ามาเรียก ทำให้เขาหยุดความคิดหันมาฟังผู้เป็นพ่อ ท่านบอกว่าจะต้องรีบเข้าเฝ้าขุนหลวง ท่านหมื่นรับคำเพราะตามธรรมเนียมลูกจะไม่ซักไซ้พ่อแม่ แต่ออกญากล่าวขึ้นมาเองว่า

“มีเรื่องกราบบังคมทูล มิรู้ว่าทรงทราบหรือยัง ต่อเมื่อพ่อกลับมาแล้วจึงจะเล่าสู่ออเจ้า”

ค่ำนั้นออกญาโหราธิบดีกลับมานั่งสนทนากับหมื่นสุนทรเทวา ว่าได้ยินข่าวมิสู้ดีว่า สำเภาเรือฝรั่งที่เข้าเทียบท่า นำข่าวลือมาว่า สำเภาเรือราชทูตที่ขุนหลวงส่งไปเมืองฝรั่งเศสอับปาง ราชทูต อุปทูต ตรีทูตไม่มีใครรอดชีวิต...ท่านหมื่นจำได้ว่า พ่อเคยกราบทูลขุนหลวง ควรรอจนเราชำนาญการพาสำเภาข้ามทะเลไปไกลสักสี่ปี ออกญาพยักหน้า

“เป็นจริงเช่นนั้น ถ้าอ้ายฝรั่งฟอลคอนไม่กราบทูลยุยงส่งเสริมให้รีบไปจนคนไปตาย น่าโมโหยิ่งนัก”

“ออกหลวงสุรสาครไม่ใช่คนสัญชาติฝรั่งเศสนี่ขอรับ ไม่น่ากระตือรือร้นให้อยุธยาส่งทูตไปฝรั่งเศสนักหนา”

“ใช่ มันไม่ใช่ฝรั่งเศส เพราะเขาว่าชื่อของมัน คอนสแตนติน ฟอลคอน ไม่ใช่ชื่อฝรั่งเศส แต่เป็นชื่อพวกกรีกอยู่ในดินแดนตะวันตกเหมือนฝรั่งเศส”

“เป็นเพราะเขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้ พวกฝรั่งเศสฉลาดรู้ว่าขุนหลวงโปรดปรานออกหลวงสุรสาครผู้นี้ จึงใช้เป็นหนทางพาเข้าไปเฝ้า”

“จะไม่คิดว่าขุนหลวงโปรดปรานได้อย่างไร ประทานยศถาบรรดาศักดิ์รวดเร็วเกินหน้าข้ารับใช้เบื้องพระยุคลที่เป็นชาวอยุธยากี่คนต่อกี่คน รับราชการไม่นานก็รั้งตำแหน่งออกหลวง” ด้านฟอลคอนผู้ถูก กล่าวถึง พึงพอใจในตัวมะลิลูกสาวฟานิกพ่อค้าผ้าที่เคยมีเรื่องกันมาก ถึงกับมาลวนลามถึงร้านผ้า ฟานิกพยายามขอร้องให้ปล่อยลูกสาวก็ถูกจิกด่าว่าต่ำต้อย มะลิต้องหาวิธีเอาตัวรอดด้วยการขอร้องขอเวลาคิดสักนิด ฟอลคอนหมายมั่นจะเอาเธอเป็นเมียให้ได้

ooooooo

เช้าวันใหม่ เกศสุรางค์วิ่งโหย่งๆลงไปที่ท่าน้ำ ไม่สนใจคำห้ามปรามของผินกับแย้มที่ไม่ให้วิ่ง เธอตั้งใจจะไปใส่บาตร แต่กลับถูกปริกไม่ให้ใส่ อ้างว่าคุณหญิงสั่งให้ตนรับผิดชอบ ผินกับแย้มไม่พอใจหลอกด่าเรียกอีปริกไปหลายคำ จนปริกรู้ตัวเกิดการยื้อยุดจนล้มระเนระนาด

เกศสุรางค์เสียงดังขึ้นบอกตนไม่ใส่บาตรก็ได้ ปริกยิ้มย่องสวนกลับว่า แม่หญิงไม่เคยนับถือพระพุทธเจ้าจะใส่บาตรทำไมให้บาปกรรม เธอตะลึงงันไม่รู้ว่าการะเกดทำอะไรไว้บ้าง คิดแก้ไข

“จริงของแม่ปริก แต่คนเราที่เป็นคนไม่ดี ไม่มีวันจะกลับตัวเลยหรือ”

“แม่หญิงจำได้ไหมเจ้าคะ ที่แม่หญิงทำกับข้านั้น ข้าก็ไม่มีวันเชื่อว่าแม่หญิงจะกลับตัวเลยเจ้าค่ะ” ปริกเสียงแข็งจ้องหน้าเขม็ง

เกศสุรางค์จึงถามว่าตนทำอะไร ปริกหาว่าไขสือ แต่ก็เล่าว่า วันนั้นการะเกดตามตบตีดึงทึ้งผมจนหลุดเป็นกระจุก ด้วยหาว่าปริกขโมยของ ไม่ฟังคำใคร ทั้งถีบทั้งตบสารพัด แต่พอหาของเจอก็ไม่เคยที่จะขอโทษสักคำ...เกศสุรางค์สะเทือนใจกับการกระทำของการะเกด

“แม่ปริก ข้าร้ายกาจกับเจ้าถึงเพียงนั้นเลยหรือนี่...ข้าขอโทษ”

ปริกชะงักเล็กน้อยที่ได้ยินคำขอโทษ แต่ไม่เชื่อว่าสันดานจะเปลี่ยนได้ เกศสุรางค์หน้าชาเมื่อโดนว่าถึงเพียงนี้...เดินกลับมากับผินและแย้ม เอ่ยถามว่าถ้ามีคนด่าว่าสันดานจะโกรธไหม

“ถ้าเป็นสันดานจริงก็หาโกรธไม่เจ้าค่ะ...ก็มันเป็นสันดานไปแล้วนี่เจ้าคะ”

อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 4 วันที่ 20 ก.พ.61

ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทประพันธ์โดย รอมแพง
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ