อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 4 วันที่ 21 ก.พ.61
“ถ้าเป็นสันดานจริงก็หาโกรธไม่เจ้าค่ะ...ก็มันเป็นสันดานไปแล้วนี่เจ้าคะ”เกศสุรางค์จึงรู้ว่าสันดานไม่ใช่คำหยาบเหมือนปัจจุบัน จึงปลอบใจตัวเองว่า สันดานเหมือนสันดอน เดี๋ยวจะขุดออกให้หมด ว่าแล้วก็เดินปราดเปรียวจะขึ้นเรือน เจอจ้อยถือหีบเล็กๆใบหนึ่ง และอีกมือถือพานมีผ้าพิมพ์ลายเทพนม จึงถามว่าหีบอะไร จ้อยตอบว่าหีบเครื่องยศ หญิงสาวดึงมาเปิดดู เห็นเป็นพลูจีบเป็นคำๆ วางเรียงกัน แล้วมองผ้าที่พานอย่างแปลกใจ
“นี่ผ้าพระราชทานสำหรับเข้าเฝ้าใช่ไหม ทำไมเป็นผ้าทอ ไม่ใช่ผ้าสมปักเหรอ”
“ท่านหมื่นเพิ่งมียศหมื่น ยังมิได้ใช้ผ้าสมปักขอรับ”
“อ๋อ...เอาไปเปลี่ยนที่ไหนเหรอจ้อย”
“ที่ศาลาเปลื้องเครื่องในวังขอรับ”
“อ๋อ...เออใช่แล้ว จำได้แล้ว อาจารย์เคยบอกว่ามีศาลาให้ขุนนางเปลี่ยนผ้า...”
เสียงหมื่นสุนทรเทวาดังขัดว่าอาจารย์อะไร
เกศสุรางค์ร้องอ๋อ...คิดหาคำแก้ตัว ก่อนจะอธิบายว่าคนที่สอนอะไร ตนก็เรียกอาจารย์หมด ท่านหมื่นจิกตาไม่เชื่อ หญิงสาวทำเสียงอ้อนถามว่าหายโกรธแล้วใช่ไหม พอเขาปัดไม่มีเรื่องอะไรให้โกรธ เธอก็รีบถามว่าเขาทำงานที่ไหน ท่านหมื่นทำตาดุใส่ เธอเสียงอ่อยว่าลืมเพราะมนต์...ท่านหมื่นยกมือห้ามไม่ให้อ้างมนต์กฤษณะกาลีอีก เป็นเพราะเธอสติวิปลาสเอง หรือไม่ก็ผีที่สิงตัวเธอ เกศสุรางค์ยืนเหวอเถียงไม่ทัน
ooooooo
ที่ศาลาเปลื้องเครื่องในวังหลวง ขุนนางต่างมีทนายหน้าหอคอยถือของและช่วยนุ่งโจงกระเบนให้เจ้านาย รวมทั้งหมื่นสุนทรเทวาและหมื่นเรือง ที่มีจ้อยและทนายหน้าหอช่วย ทุกคนจะเหน็บกริชในฝักลงรักปิดทองที่โจง ไม่สวมเสื้อ
เมื่อเสร็จกิจทุกคนเดินออกมาจากศาลาเปลื้องเครื่อง หมื่นเรืองถามถึงการะเกด หมื่นสุนทรเทวาหน้าตึงไม่พอใจ ก็พอดีออกญาโหราธิบดีเดินมากับออกญาโกษาธิบดี พอเจอสองหมื่นก็จะคุยเรื่องเรือสำเภาอับปาง แต่ออกญาโหราธิบดีขอให้ไปคุยกันที่เรือนตน
เย็นวันนั้น ออกญาโกษาธิบดีพาจันทร์วาดและพระวิสูตรหรือขุนปานผู้น้องมาด้วย เกศสุรางค์ตะลึงงันที่ได้เห็นตัวจริง นึกถึงที่เรียนมาว่า ทั้งสองมีมารดาเดียวกันคือเจ้าแม่วัดดุสิต เป็นพระนมของสมเด็จพระนารายณ์ พระวิสูตรเคยเป็นราชทูตไปฝรั่งเศส เป็นคนฉลาดหลักแหลม พูดเก่งทำให้คนฝรั่งเศสชื่นชมยอมรับเป็นทูต พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงโปรดปรานมาก
พระวิสูตรทักการะเกดว่างามสมคำเล่าลือ แล้วถามว่าหายป่วยแล้วหรือ เกศสุรางค์ยิ้มเรี่ยๆตอบว่าหายแล้ว คงเป็นเพราะมนต์กฤษณะกาลีอวยพรให้
หมื่นสุนทรเทวาเหน็บทันที
“กายหายดี แต่จิตคงฟั่นเฟือนไปบ้าง วาจาที่กล่าวออกมาจึงแปร่งแปลกไปขอรับท่านออกพระวิสูตร” พูดจบก็มองไปทางจันทร์วาด
เกศสุรางค์เคืองพึมพำ “อีกแล้ว กัดเราเสร็จหันไปทำตาเชื่อมกับกิ๊ก อีตาหมื่นเนี่ย”
หมื่นสุนทรเทวาหันกลับมามองเกศสุรางค์ แล้วหันไปร่วมสนทนากับพวกผู้ใหญ่ คุยได้สักพักก็หันกลับมาบอกเกศสุรางค์ว่าให้กลับเข้าห้องไปเสีย งานราชการฟังไปก็ไม่รู้ความ เธอสวน
“แม่หญิงจันทร์วาดก็เป็นหญิงยังนั่งอยู่ได้ แล้วทำไมข้าจะนั่งไม่ได้”
ผู้ใหญ่หันมองนัยน์ตาทึ่ง หมื่นสุนทรเทวาแก้ว่า จันทร์วาดรู้เรื่องทุกอย่าง แต่สำหรับเธอจะพานเบื่อหน่ายเพราะไม่รู้อะไรสักอย่าง เกศสุรางค์ฉุนสวนทันควัน
“ข้าไม่รู้เรื่องอะไรที่ไหนกัน เรื่องส่งราชทูตไปฝรั่งเศสข้าก็พอรู้ เรื่องอิจฉาริษยาใส่ความในวงราชการข้าก็รู้แต่เอาเถอะ ในเมื่อไม่อยากให้ข้าอยู่ ข้าไม่อยู่ก็ได้ แต่ก่อนไปข้าขอพูดอะไรกับท่านเจ้าพระยาโกษาเหล็กสักหน่อยได้ไหม”
นัยน์ตาทุกคนระแวงจ้องจับที่เกศสุรางค์ ออกญาถามว่ามีอะไร เธอจึงพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจน สายตาจริงจังว่า
“ตำแหน่งที่ท่านเป็นอยู่ตอนนี้ ต้องเกี่ยวข้องกับพวกฟะรังคี เกี่ยวข้องกับการค้าขายเงินทอง ค่าภาษีจังกอบต่างๆ ท่านก็น่าจะรู้ว่าต้องมีคนคิดอิจฉาวาสนาของท่าน และคิดจะทำลายวาสนานี้ของท่าน” ออกญาถามว่ารู้สิ่งใดมา “ข้ามิได้รู้เรื่องใดมาเลยเจ้าค่ะ”
ออกญาหาว่าโกหก เกศสุรางค์ยืนยันว่ามิได้โกหก ตนกล่าวตามความจริงของมนุษย์ ทุกคนงงกับคำว่ามนุษย์ แล้วสรุปว่าคงเป็นคำของชาวสองแคว หมื่นสุนทรเทวาตัดบทว่าเธอพูดประสาคนวิปลาส เกศสุรางค์ปรี๊ดขึ้นมาอีกเยาะว่า
“เหอะ แล้วจะรู้ว่าหญิงวิปลาสคนนี้พูดความจริงที่สุด ข้าแค่คาดเดาเอาเท่านั้นเจ้าค่ะ ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไร หรือจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้าก็สุดที่จะรู้ได้...” แล้วเธอก็ร่ายยาวไปถึงเรื่องเรือจันทร์วาดล่มว่าอาจจะมีคนคิดปองร้ายครอบครัวของท่านก็เป็นได้
ผินกับแย้มแอบอยู่ได้ยินก็แปลกใจ แต่คิดไปว่า แม่นายพูดแบบนั้นเพื่อให้ผินพ้นผิด...เกศสุรางค์ยอมออกจากวงสนทนา ออกญาโหราธิบดีให้พาจันทร์วาดไปด้วย หญิงสาวแปลกใจ
จันทร์วาดเดินตามเกศสุรางค์อย่างระแวง แต่เจ้าตัวไม่รู้ กลับชักชวนเธอกินมะม่วงน้ำปลาหวาน จันทร์วาดไม่เคยได้ยิน เกศสุรางค์จึงบอกจะทำให้กินเอง จากนั้นก็บอกผินกับแย้มให้ช่วยส่งตนขึ้นต้นมะม่วง สองบ่าวตกใจไม่ยอมท่าเดียวที่จะให้เธอขึ้นต้นไม้ สุดท้ายก็ไปตามบ่าวชายมาปีนเก็บ เกศสุรางค์ให้เก็บมากมายเผื่อทุกคนได้กินถ้วนหน้า
ไม่เพียงวุ่นวายเรื่องเก็บมะม่วง พอเข้าครัวจะทำน้ำปลาหวาน ก็ต้องทะเลาะกับปริกอีกยกใหญ่ กว่าจะได้น้ำตาลปึก น้ำปลา หอมแดง กุ้งแห้ง และพริกแห้งมาได้ แล้วให้บ่าวก่อไฟตั้งหม้อที่ลานใกล้ครัว...เมื่อเคี่ยวน้ำปลาหวานเสร็จ ก็เอามะม่วงที่ฝานบางๆตักป้อนจันทร์วาด เธอตกใจแต่พอลิ้มรสก็อร่อยติดใจ เกศสุรางค์จัดใส่จานให้ยกไปบนเรือน ที่เหลือให้บ่าวไพร่กินกัน
ออกญาทั้งสองและพระวิสูตรรวมทั้งหมื่นเรืองได้ลิ้มรสมะม่วงน้ำปลาหวาน ต่างชื่นชอบ มีเพียงหมื่นสุนทรเทวาติงว่าหวานเกินไปไม่ดีต่อลำไส้ เกศสุรางค์แอบค้อน จันทร์วาดลอบมองกิริยาของทั้งสองอย่างขุ่นใจ... ออกญาโหราธิบดีชวนทุกคนเล่นต่อโคลงหลังจากนี้
“ดีจริงขอรับ แม่จันทร์วาดก็พอมีฝีมือทางกาพย์กลอน ท่านลองฟังฝีปากนะขอรับ” ออกญาโกษาธิบดีอวยลูกสาว
จันทร์วาดเริ่มเขียนกาพย์กลอนบนกระดานชนวน เกศสุรางค์มองอย่างชื่นชม เมื่อเธออ่านให้ทุกคนฟัง
เห็นสายตาเธอมองไปยังหมื่นสุนทรเทวา...พระวิสูตรให้หมื่นสุนทรเทวาแต่งบ้าง เขาเขียนไปชำเลืองมองเกศสุรางค์ไป จันทร์วาดเห็นสายตานั้นก็หวั่นใจ หมื่นเรืองกระซิบถามการะเกดไม่ประลองฝีมือบ้างหรือ เธอตอบทำเป็นแต่กลอนประตู เขาหัวเราะดังขึ้นมาแล้วชะงัก
“ขอโทษขอรับกระผม กระผมลืมตัว แม่การะเกดพูดจาน่าขำขอรับ”
หมื่นสุนทรเทวาหน้าคว่ำมองเกศสุรางค์ยังกระซิบคุยกับหมื่นเรืองหัวเราะกันคิกคัก พอเธอหันมาเห็นก็บอกหมื่นเรืองว่า ตาเขียวปั้ดแล้วเพื่อนหมื่น
กลอนของหมื่นสุนทรเทวาเป็นการรำพึงถึงคนรักผ่านดวงจันทร์ ซึ่งความหมายเหมือนตอบกลอนของจันทร์วาด... เกศสุรางค์นึกขุ่นใจที่จีบกันด้วยโคลง พระวิสูตรถามการะเกดไม่ลองบ้างหรือ หมื่นสุนทรเทวาตอบแทนว่า โคลง กลอนเป็นเช่นไรนางคงไม่รู้ เกศสุรางค์โดนสบประมาทก็ฉุน โพล่งขึ้นมาว่าอยากลอง ทั้งที่ตัวเองแต่งกลอนไม่เป็นเลย เธอหลับตานึกขอประทานอภัย ขอยืมกลอนของเสด็จในกรมที่ทรงประพันธ์เรื่อง “กนกนคร” มาใช้
ทุกสายตาจ้องมองการะเกดอ่านกลอน พอได้ฟังต่างตะลึงทึ่งกับบทกลอนของเธอ ช่างไพเราะจับจิต แม้แต่หมื่นสุนทรเทวายังสบตายิ้มอ่อนโยน จันทร์วาดเห็นแล้วหน้าหมองต้องซ่อนไว้
พอตอนกลับเกศสุรางค์บอกจันทร์วาดให้มาเที่ยวอีก เธอเสียงขุ่นว่ามิรู้ได้ หมื่นสุนทรเทวาแอบขำที่ไม่เจียมตัวไปคุยกับนาง เกศสุรางค์โกรธเดินหนี หมื่นสุนทรเทวาเดินตามแกล้งเหน็บ
“ข้าชอบกลอนบทนั้น...ข้าชอบบทกลอน ไม่ได้ชอบว่าใครแต่ง”
เกศสุรางค์หน้าเหวอ ทำนองเขาจะรู้ไหมว่าตนไม่ได้เขียนเอง...ท่านหมื่นชวนคุยชื่นชมพระจันทร์ เกศสุรางค์เปรยว่าดวงโต๊โต เขาจึงถามว่าโตกว่าที่ที่เธอมาหรือ เธอชะงักรับว่าใช่ โตกว่าที่สองแคว บ่นว่า
เห็นแล้วอยากร้องเพลง ท่านหมื่นคิดว่าเธอจะร้องเพลงเรือ แต่เธอกลับร้องเพลงยุคปัจจุบัน เป็นเพลงที่กล่าวถึงความงามของดวงจันทร์
ท่านหมื่นฟังแล้วต้องจ้องมองตาไม่กะพริบ ด้วยทำนองและเนื้อหาที่แปลกหู เกศสุรางค์หันมาเห็นสีหน้าเขา เผลอหัวเราะออกมา ก่อนจะเดินจากไป ท่านหมื่นทำหน้าเก้อๆ รู้สึกใจเต้นแปลกๆ พึมพำไล่หลังเธอว่า...ฝันดี... เสียงเพลงของเธอยังดังแว่วในหู
ooooooo
อ่านละคร บุพเพสันนิวาส ตอนที่ 4 วันที่ 21 ก.พ.61
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทประพันธ์โดย รอมแพงละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส บทโทรทัศน์โดย ศัลยา
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส กำกับการแสดงโดย ภวัต พนังคศิริ
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ผลิตโดย บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น จำกัด
ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศเร็ว ๆ นี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ