อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 5-6 วันที่ 21 มิ.ย. 56

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 5

เหม่ยอิงยังหาโอกาสอ่อยจ้าวซัน วันนี้เห็นเขาขรึมๆจึงเข้าไปนั่งคุย ถึงกับลูบไล้แขนถามว่าฉินเจียงทำอะไรให้หนักใจหรือเปล่า หรือกลุ้มเรื่องรับเสด็จเจ้าชายคีรีรัฐ ถามว่าตนช่วยอะไรได้ไหม

จ้าวซันบอกให้มาร่วมงานเลี้ยงก็พอแล้ว เธอชวนไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่า จ้าวซันตอบรับทันทีแต่มีเต๋อเป่ากับอาหลี่ไปด้วย อ้างว่าตนนัดสองคนนี้ไว้ก่อนแล้ว ไปกินกันหลายๆคนสนุกดี

“ไม่เอาหรอกค่ะ พี่ใหญ่นี่ก็แปลก ทำไมไม่คบเพื่อนพวก ซีอีโอ ด้วยกันบ้าง ชอบคลุกคลีแต่กับ...” เธอหางตาไปทางเต๋อเป่ากับอาหลี่ “เชิญพี่ใหญ่ตามสบายเถอะน้องไม่ชอบปะปน” พูดแล้วสะบัดไปเลย


เต๋อเป่ากับอาหลี่มองตามเหม่ยอิงไปขำๆ

เหม่ยอิงเข้าไปในห้องที่มีป้ายและรูปของเต้ จุดธูปปักกระถาง คร่ำครวญกับรูปเต้...

“เขาเกลียดหนูค่ะเต้ เขาพยายามกีดกันหนูให้ห่างไกลจากเขา ทำไมล่ะคะ ทำไม...หนูพยายามทำดีทุกอย่าง แต่จ้าวซันไม่เคยเห็น ก็เหมือนเต้ที่ไม่เคยเห็นแม่สี่อยู่ในสายตา ไม่ว่าแม่สี่จะรับใช้เต้ราวกับนางทาส เต้ก็รักแต่จ้าวไทไท นังแม่มดพันปี เพราะอะไร มันถึงมีอำนาจเหมือนเต้ขนาดนั้น”

เหม่ยอิงเดินไปหยิบรูปครอบครัว มีจ้าวซันกับเต้ ไทไทและเธอตอนเด็กๆเดินกลับไปที่หน้ารูปเต้อีก...

“เต้คะ หนูขอร้อง หนูอยากจะขอความช่วยเหลือจากเต้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วชาตินี้ จ้าวเหม่ยอิงคนนี้จะไม่ขออะไรกับวิญญาณบรรพบุรุษอีกเลย...เต้ช่วยดลใจ ให้เขารักหนูสิคะ ให้เขาเขี่ยนังผู้หญิงไทยคนนั้นทิ้ง แล้วหันมามองหนูบ้าง...หนูขอสัญญาว่า ถ้าหนูได้แต่งงานกับจ้าวซัน หนูจะทำนุบำรุงวงศ์ตระกูลของเต้ให้ยิ่งใหญ่ นะคะเต้...ถ้าหนูผิดหวัง หนูคงทนไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนูไม่รับรองนะคะว่าคนอย่างหนู จะทำอะไรอย่างที่เต้ไม่ชอบหรือเปล่า และผลของมันจะเป็นยังไง...”

เหม่ยอิงมองรูปเต้น้ำตาคลอแต่หลังม่านน้ำตานั้น แววตาเธอมุ่งมั่นจนน่ากลัว...

ooooooo

ระหว่างผู้กองเหลียงขับรถพาบราลีไปส่งบ้านนั้น เขาถามเรื่องที่จ้าวซันให้เธอช่วยงานรับเสด็จองค์ชายรัชทายาทแห่งคีรีรัฐ? เธอรับว่าใช่ เขาให้ตนต้อนรับคอยเอนเตอร์เทนองค์ชายรัชทายาท แต่ตนอาจจะไม่ทำแล้ว

ผู้กองเอะใจว่าเธอคิดว่าจ้าวซันจะทำอะไรมิดีมิร้ายเจ้าชายหรือ เธอบอกว่าไม่ทราบ ผู้กองจึงเล่าเรื่องคีรีรัฐให้ฟังว่า

“คีรีรัฐ กำลังจะเปลี่ยนประเทศ เจ้าหลวงองค์ก่อนทรงปลงพระชนม์ตัวเองและเพราะเทวีก็พาพระโอรสองค์เดียวหนีหายสาบสูญไป เจ้าหลวงปัจจุบัน พระอนามัยไม่ค่อยสมบูรณ์นัก กำลังจะตั้งเจ้าชายองค์รัชทายาทองค์ที่จะเสด็จมานี่ ให้ขึ้นครองราชย์เป็นเจ้าหลวงหนุ่มน้อย แต่...น่าจะมีขบวนการก่อการร้ายคิดทำอะไรสักอย่างไม่ให้เจ้าชายองค์นี้ขึ้นครองเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเลย”

“ขบวนการก่อการร้าย?”

“ขบวนการก่อการร้ายนี้ มีคนในฮ่องกงสนับสนุนเรื่องเงินทุนและอาวุธร้ายแรง ซึ่ง...”

“คุณสงสัยจ้าวซัน!!” บราลีขัดขึ้นอย่างทนฟังไม่ได้

รถมาถึงหน้าบ้านหลินจื้อเหม่ยพอดี ผู้กองเหลียง ดับเครื่อง หันพูดกับบราลีจริงจังอย่างขอร้องว่า

“ถ้าคุณอยากอยู่ข้างความถูกต้อง อย่าถอนตัวจากจ้าวซัน คุณต้องรับทำงานนี้ แต่รายงานให้ผมทราบทุกระยะ ผมสัญญาว่าจะคุ้มกันคุณจากอันตรายและความยุ่งยาก หากเกิดคดีอะไรขึ้นภายหลังก็ตาม”

บราลีมองอึ้ง แต่ที่เงามืดในซอกตึก จ้าวซันยืนมองอยู่ เห็นทั้งสองคุยกันเครียดแล้วผู้กองลงมาเปิดประตูให้บราลีต่างจับมือลากันแบบฝรั่ง แล้วบราลีก็วิ่งเข้าบ้านไป จ้าวซันยืนงันปวดร้าวใจ ที่บราลีไว้ใจทุกคน...ยกเว้นตนคนเดียว...

ooooooo

จ้าวซันติดตามการเคลื่อนไหวของผู้กองเหลียง เมื่อผู้กองไปเข้าฟิตเนส สบโอกาสเหมาะเมื่อผู้กองเข้าห้องซาวน่า จ้าวซันตามเข้าไปเล่นงานจนกระอักแต่ไม่ถึงตาย ทิ้งคำปรามก่อนออกไปว่า

“อย่ายุ่งกับผู้หญิงของผม” พอถูกผู้กองขู่ว่า จะจับเขาข้อหาพยายามฆ่า จ้าวซันท้าว่า “เอาสิ ข้อหาจะฆ่าก็ได้ แต่ไว้ชีวิต ไม่ฆ่า เคยมีไหม” ผู้กองพยายามจะพูดแต่ไอจนพูดไม่ออก จ้าวซันหัวเราะเยาะ “นายตำรวจคนเก่งของซีไอดี. โดนพ่อค้าธรรมดาๆคนนึงเล่นงานเอาซะแทบตาย รู้ถึงไหนคงอายถึงนั่น ว่าป่ะ?” พูดแล้วเดินออกไปสบายๆ ปิดประตูอย่างดี

จ้าวซันออกไปนั่งดื่มน้ำเย็นรอพวกลูกน้องไปช่วยผู้กองเหลียงออกจากห้อง พอแต่งตัวออกจากห้องมาพบจ้าวซัน ผู้กองรี่เข้ามาด่าจ้าวซันว่า สกปรกเล่นทีเผลอ ขู่จ้าวซันว่า วันไหนเขาลงมือวันนี้ตนจะจับ

“ลงมือ...ลงมืออะไร? ผมไม่เข้าใจ”

“โอเค ถ้าจะแอ๊บแบ๊ว ก็แอ๊บให้ตลอด คุณเชิญเจ้าชายประเทศคีรีรัฐมาทำไม คุณคือสปอนเซอร์งานนี้ โดยใช้ชื่อสมาคมพ่อค้าฮ่องกง แล้ววันที่เครื่องเช่าเหมาลำประจำพระองค์บินออกจากฮ่องกง มันจะบินกลับไปพร้อมอาวุธร้ายแรงเพียบ ผมขอบอกว่า ผมจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเด็ดขาด ขอบอกไว้ตรงนี้...ว่าผมไม่กลัวคุณ!!”

ผู้กองเหลียงจ้องหน้าแววตาโหดจนจ้าวซันอึ้ง แล้วผู้กองก็พยักหน้าให้พวกตนที่ยืนอยู่เดินออกไปด้วยกัน

ooooooo

วันเกิดผิงอัน จัดที่บ้านสี่ฤดู บราลีมาร่วมงานด้วย เธอสนุกสนานร่าเริงในกลุ่มผิงอันและเพื่อน

เมื่อจ้าวซันมาถึง ผิงอันดีใจมากวิ่งไปหาบอกว่า นึกว่าพี่ชายลืมวันนี้แล้วเสียอีก จ้าวซันบอกว่าจะลืมได้ไง งานยุ่งแค่ไหนก็ต้องมา พูดไม่ทันขาดคำ ฉินเจียงก็เดินเข้ามาพูดแทรกขึ้นอย่างจงใจข่มจ้าวซันว่า

“แต่พี่จำได้ แล้วก็ให้ของขวัญซายหมุยก่อนใคร เพราะคุณบรีไปช่วยเลือกให้ด้วยสิ ถูกใจไหมซายหมุย” ผิงอันยิ้มนิดๆ บอกว่าถูกใจ ฉินเจียงยุ “โชว์ให้พี่ใหญ่ดูสิคะ ซายหมุยว่าคืออะไร” ผิงอันวิ่งไปที่โต๊ะของขวัญ อุ้มตุ๊กตาหมีเทดดี้แบร์สีขาวยักษ์มา ฉินเจียงจับบราลีไปยืนกับผิงอันแล้วถ่ายคลิปให้ ชมเปาะว่า “น่ารักทั้งแก๊งเลยจ้า...”

จ้าวซันยิ้มอย่างเยือกเย็น บอกผิงอันว่า ตนไม่ค่อยมีเวลาไปเลือกซื้อของขวัญเลยคิดออกแบบแล้วให้เขาทำตามแบบ พูดจิกฉินเจียงว่า แต่มันไม่ใช่ของน่ารักแบบเด็กๆ อย่างที่คนอื่นให้ มันเป็นของสำหรับสาวๆ ที่เป็นสาวเต็มตัว แล้วเอาออกมาให้ด้วยลีลาขี้เล่น มันคือต่างหูเพชร 1 คู่

ผิงอันดีใจมาก ฉินเจียงหน้าเสียที่ถูกขโมยซีน จ้าวซันเหลือบมองบราลีที่มองตนกับผิงอันอยู่แว่บหนึ่ง แล้วจะใส่ต่างหูให้ ถูกเหม่ยอิงแทรกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แย่งต่างหูจากมือจ้าวซันไปอาสาจะใส่ให้เอง

ฉินเจียงถูกขโมยซีนก็ทั้งเสียหน้าทั้งเซ็ง หันเห็นบราลีเลยคิดแก้เผ็ดจ้าวซัน เดินไปชวนบราลีไปถ่ายรูปอีกมุมหนึ่ง จ้าวซันหันเห็นพอดี เลยเรียกฉินเจียงไว้บอกว่า ตนก็มีของจะให้ไท้เผ่งเหมือนกัน ฉินเจียงจึงเดินตามจ้าวซันไปอย่างขัดใจ

ที่แท้ จ้าวซันไม่ได้ให้อะไร แต่เรียกฉินเจียงไปย้ำเตือนว่า

“เรื่องที่เคยขอ ขอร้องมาหลายครั้ง ครั้งนี้ฉันไม่ขอ แต่จะให้ นายอยากได้อะไรมาแลกกัน” จ้าวซันเสนอทั้งหุ้น ทีมบอล แม้แต่การเล่นทองคำ ตนให้หมดขอแต่เพียงอย่างเดียวคือ “เรื่องขายอาวุธให้ประเทศคีรีรัฐ หยุดซะ เลิกคบไอ้คนชั่วที่ชักนำแกไปในทางหายนะซะ แล้วแกต้องการอะไร ฉันจะให้”

“แล้วถ้าผมจะขอยัยบราลีคนนั้นล่ะ พี่จะว่าไง คุณชายจ้าวซัน” ฉินเจียงยิ้มท้าทายอย่างจะเอาชนะให้ได้

ooooooo

ซูหลิงมาร่วมงานวันเกิดผิงอันด้วย เห็นฉินเจียง กำลังก้อร่อก้อติกบราลีก็หึงขึ้นมา เดินตรงไปยืนเป็นรูปปั้นตรงหน้าฉินเจียง ทำเอาฝ่ายนั้นทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก พอซูหลิงหันหลังเดินหนี ฉินเจียงรีบผละจากบราลีตามไป

ฉินเจียงไล่ตามไป ซูหลิงขึ้นรถขับพรืดไปอย่างขาดสติชนเสาประตูรั้วอย่างแรง ตัวเธอถูกแอร์แบ็กอัดคารถแตรรถค้างดังลั่นจนทุกคนวิ่งออกมาดู

“ซูหลิง...ซูหลิง...” ฉินเจียงร้องเรียกอย่างตกใจ ในขณะที่จ้าวซันวิ่งมาเห็นสภาพ เขาสั่งเรียกรถพยาบาลทันที

เหม่ยอิงตามไปที่โรงพยาบาลเห็นซูหลิงถูกใส่เฝือก ที่บ่าไหปลาร้าและขา เธอเหยียดยิ้มถามว่ายังไม่ตายเหรอ! แล้วหันด่าฉินเจียงว่างานคนตระกูลจ้าวถึงจะเป็นลูกเมียน้อยแต่ก็เป็นคนสูงส่ง มีเกียรติ ไม่ควรให้คนอื่นที่ไม่ได้รับเชิญมางาน

ฉินเจียงโต้ว่าตนเป็นไท้เผ่งจะเชิญใครก็ได้ ไล่เหม่ยอิงออกไปอย่างไม่พอใจ

ทั้งสองทะเลาะกันรุนแรงจนจ้าวซันต้องขอให้พอได้แล้ว ตำหนิว่า

“มีมนุษยธรรมบ้างไหม คนเจ็บนอนอยู่นั่น ถ้าไม่มีน้ำใจจะมาเยี่ยมก็ไปได้แล้ว ทำไมเป็นเด็กใจร้ายนักนะ น้อง...มานี่” จ้าวซันลากเหม่ยอิงออกไป ฉินเจียงมองตามอย่างอาฆาต ส่วนซูหลิงนอนน้ำตาไหลเป็นทาง...

จ้าวซันลากเหม่ยอิงออกไปตำหนิ ปรามและอบรมว่า ถ้าอยากชนะฉินเจียงก็อย่าทำร้ายเขา ต้องใช้ความเมตตาความดีทำให้เขารักและเชื่อใจไม่ใช่ทำให้เขาเกลียด เหม่ยอิงไม่แยแสท้าให้ฉินเจียงเกลียดเลย แล้วมาดูกันว่าระหว่างฉินเจียงกับตนใครจะเหนือกว่ากัน พูดอย่าง ดูแคลนว่า

“ได้ตำแหน่งไท้เผ่งเพราะมันเป็นผู้ชายแค่นั้นเอง มันโง่กว่าน้อง กระจอกกว่าน้องทุกเรื่อง”

จ้าวซันหว่านล้อมให้เห็นแก่พี่น้องเพราะเราก็มีกัน อยู่แค่นี้เอง เหม่ยอิงย้อนถามว่า เขารักและเมตตาใครๆได้ แล้วทำไมเขาถึงไม่รักและเมตตาตนบ้าง

“พี่รักน้องนะเหม่ยอิง พี่ถึงอยากให้น้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทัศนคติเสีย แล้วน้องจะมีความสุข ไม่ต้องโกรธเกลียดอะไรอยู่ตลอดเวลา แบบนี้แล้วน้องก็จะได้เป็นผู้หญิงที่น่ารักไงจ๊ะ” พูดพลางลูบผมเบาๆ

เหม่ยอิงปัดมือจ้าวซันออก บอกว่าตนไม่ต้องการเป็นผู้หญิงเชื่องๆ พวกนั้น ทั้งยังโต้อย่างแข็งกร้าวว่า

“พี่ชายใหญ่จำไว้ว่าความดีไม่มีวันชนะพวกชั่วๆได้หรอก คนชั่วมันต้องถูกกำจัดให้หมด พี่ใหญ่นั่นแหละคือคนที่ต้องเปลี่ยนทัศนคติแบบคนขี้แพ้เสียที” พูดแล้วสะบัดไปเลย

“ทัศนคติแบบคนขี้แพ้งั้นเหรอ...พี่มันขี้แพ้จริงๆ เสียด้วยสิเหม่ยอิง...” จ้าวซันรำพึงอย่างเศร้าใจ

ooooooo

บราลีไม่สบายใจคิดว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเพราะตน ผิงอันบอกว่าเป็นเพราะฉินเจียงต่างหากเพราะเขามีซูหลิงอยู่แล้วแต่ยังมายุ่งกับบราลีอีก

เหม่ยอิงนัดพบกับคุณนายหวังที่ร้านน้ำชาในย่านโซโห เธอระบายความคับแค้นใจให้คุณนายหวังฟัง คุณนายหวังขอให้เธอใจเย็นๆ จนเธอตัดบทว่าไม่ต้องมาเอาใจ ไม่ต้องมาปลอบใจ ถึงตนจะเป็นที่รักของใครแต่ไม่มีความหมายเลยถ้าพี่ชายใหญ่มองไม่เห็น พูดอย่างตัดใจ เจ็บใจว่า

“ก็ได้...ก็ดีเหมือนกัน จ้าวซัน ถ้ามันได้มายากนักฉันก็ไม่อยากจะพยายามอีกต่อไป” พูดอย่างอาฆาตว่า “ถ้าฉันไม่ได้ก็ต้องไม่มีใครได้ นอกจากพี่ชายใหญ่ต้องมานั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นตรงหน้าฉัน แล้วก็สำนึกได้ว่า คนอย่างจ้าวเหม่ยอิงคนนี้เท่านั้น ที่จะช่วยให้พี่รอดจากหายนะได้”

“เหม่ยอิง ฉันห่วงคุณนะ ฉันไม่อยากให้คุณถูกเผาไหม้ด้วยไฟแบบนี้เลย” คุณนายหวังเตือน

“ฉันไม่ได้ถูกไหม้ เพราะฉันเองคือไฟ ฉันนี่แหละจะเป็นคนแผดเผาทำลายผู้ชายตระกูลจ้าวทุกคน มาดามไม่เชื่อก็คอยดูไปแล้วกัน!”

ooooooo

เพราะอยากช่วยซูหลิง จ้าวซันรู้ว่าบ้านเธอเคยเป็นร้านขายของเก่าโบราณ แต่เมื่อพ่อเธอป่วยเป็นมะเร็งจึงต้องขายของเก่าในราคาถูกเพื่อเอาเงินมารักษาพ่อจนต้องปิดร้านในที่สุด

จ้าวซันชวนซูหลิงมาเปิดร้านขายของเก่าอีกครั้ง เพราะเขาเองก็มีของเก่าอยู่จำนวนหนึ่ง ซูหลิงดีใจมากที่จะได้กลับไปมีอาชีพเดิมของพ่อ แต่ฉินเจียงมองอย่างเจ็บใจที่จ้าวซันมาทำดีกับซูหลิงหักหน้าตนอีกแล้ว!

เวลาเดียวกัน เหม่ยอิงนัดพบกับเกาเฟยลูกน้องฉินเจียงที่หลงรักและรับใช้เธอทุกอย่าง วันนี้เธอจึงนัดมาเพื่อให้เขาทำงานบางอย่าง ที่เธอย้ำว่านี่เป็นความลับสุดยอด ห้ามใครรู้เด็ดขาด โดยเฉพาะฉินเจียง เกาเฟยบอกว่าไม่ต้องห่วง ตนทำงานไม่เคยพลาด ยิ่งเวลานี้ฉินเจียงไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นนอกจากห่วงเมียที่กำลังไม่สบาย

เหม่ยอิงบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉินเจียงแต่เกี่ยวกับจ้าวซัน เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เขาต้องทำอย่างสุดฝีมือ

“ให้ผมตายเคียงคุณหนูใหญ่ ผมยอม ให้ไปนรกหรือไปสวรรค์ก็สุดแล้วแต่คุณหนูใหญ่จะบัญชามาครับ” เกาเฟยประคองมือเหม่ยอิงไปจูบอย่างบูชาแล้วเอาไปทูนไว้เหนือหัว... เหม่ยอิงยิ้มที่มุมปากมองเกาเฟยอย่างเย็นชา

เหม่ยอิงวางแผนสูง ไม่เพียงรู้จักตัวตนเกาเฟยที่อยู่ตรงหน้า เธอยังรู้ถึงว่าเขามีแม่ เมีย และลูกอีก 3คนรวม 5 ชีวิตที่รอเขาอยู่ที่เวียดนาม เกาเฟยตกใจลุกพรวดที่เหม่ยอิงรู้จักตนลึกมาก ถามว่าเธอจะทำอะไร

“ไม่ต้องห่วง...ตอนนี้คนของฉันดูแลพวกเขาทุกคนอย่างดี ไว้ถ้างานสำเร็จเมื่อไหร่ เธอจะได้กลับไปอยู่กับพวกเขาพร้อมเงินก้อนโต สำหรับทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่เธออยากทำ”

เกาเฟยก้มหน้าอย่างยอมจำนน แล้วมองหน้าเหม่ยอิงเอ่ยอย่างชื่นชมว่า

“หึๆ เก่ง...เก่งมาก...คุณมีความเป็นผู้นำที่จ้าวฉินเจียงไม่มี และก็มีความโหดเหี้ยมเด็ดขาดที่จ้าวซันเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่ก็สามารถกุมอำนาจตระกูลจ้าวไว้ในอุ้งมือได้อย่างแน่นอน”

“บางทีฉันอาจทำได้ดีกว่าจ้าวไทไทด้วยซ้ำไป”

“ตกลง...ผมยอม...และยินดีร่วมมือกับคุณ...ทุกๆงาน”

เหม่ยอิงยิ้มอย่างผู้มีชัย!

ooooooo

บราลีตัดสินใจไม่รับงานที่จ้าวซันขอให้ทำ เธอไปหาผิงอันบอกว่าจะมาลากลับบ้าน ฝากผิงอันบอกจ้าวซันด้วย ส่วนเอกสารและอุปกรณ์การทำงานต่างๆจะฝากหลินจื้อเหม่ยมาคืน

ผิงอันตกใจ เสียใจมาก พอดีจ้าวซันมา พอรู้ว่าเธอไม่ทำงานและจะกลับบ้าน เขาใจหายพยายามหว่านล้อม อ้อนวอนเธอก็ยังคงอ้างว่าคิดถึงพ่อ อยากกลับไปหาพ่อ

“งั้นยิ่งไม่ต้องกลับเลย เพราะอีก 2 วัน พลตรีสุริยะจะมาที่นี่”

“อะไรนะคะ...” บราลีมองจ้าวซันอึ้งๆ ทึ่งๆ แต่เขายังคงนิ่ง “คุณจะทำอะไรกับประเทศคีรีรัฐก็เชิญคุณทำตามที่ได้วางแผนไว้ แต่กรุณาอย่าเอาฉันกับพ่อเข้าไปเกี่ยวข้องได้ไหมคะ”

ไม่เพียงบราลีจะไม่ร่วมมือด้วยเท่านั้น ยังหว่านล้อมว่าเขาเองก็อยู่ฮ่องกงร่ำรวยสบายแล้วจะไปสนใจอะไรกับประเทศเล็กๆ อย่างนั้น มันจำเป็นมากหรือ ถามอย่างระแวงว่า “คุณ...จะทำอะไรเจ้าชายศิขรคนนั้นหรือ”

จ้าวซันเล่างานที่ตนต้องทำว่าต้องดูแลใส่ใจขนาดต้องหาเพลงสำหรับเปิดขับกล่อมให้ผ่อนคลายในห้องพักด้วย แต่บอกเธอว่าถ้าไม่อยากยุ่งก็ไม่ต้องมา รอพ่อเธอมารับกลับบ้านก็ได้ แล้วถ้าเสร็จธุระตนจะตามไปเที่ยวเมืองไทยกับเธอ...

ooooooo

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 6

จ้าวซันเปิดเพลงให้ฟัง บราลีเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เธอนิ่ง อึ้ง หันบอกจ้าวซันว่าเพลงนี้ตนรู้จัก

“อ๋อ...เพลงน้อยใจยา...”

บราลี น้ำตาไหลพรากด้วยความรู้สึกลึกซึ้งกับเพลงนี้ จนร้องประโยคประทับใจ ฝังใจแต่วัยเยาว์ได้อย่างเพราะพริ้ง “ไม่ผัน...ไม่แปร...ความรักที่แน่แก่ใจ...ไม่มีรักใด...ดังรักของน้อยใจยา...”

ความรู้สึกที่ฝังลึกในใจทำให้ทั้งสองโผเข้ากอดกันแน่น บราลีปล่อยตัวในอ้อมกอดของจ้าวซัน ต่างก็น้ำตาไหลพรากอย่างไม่รู้เหตุผล...
จ้าวซันพาบราลีไปที่โรงเรียนเด็กกำพร้า จ้าวซันบอกว่าตนเป็นเด็กกำพร้าที่นี่ บราลีบอกว่าตนก็เหมือนกัน บราลีถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไร

“เต้ รับผมเป็นลูกบุญธรรมตอนผมอายุ 13” บราลีิ คิดแล้วทำหน้าทึ่งว่าเขาเพิ่งอายุ 28 เองหรือ นึกว่า 30 กว่าแล้ว จ้าวซันเล่าต่อว่า “ถ้าตอนนั้น เมยไม่ไปซะก่อน...”

บราลีมองขวับทำให้จ้าวซันนึกได้ว่าตัวเองเผลออีกแล้ว บราลีมองหน้าอย่างค้นหา ถามงงๆว่า

“เมย...เมย อีกแล้ว...คุณเรียกฉันว่า ‘เมย’ อีกแล้วหรือ??” จ้าวซันปฏิเสธไม่เต็มเสียงว่าเปล่า... “ไม่จริง! สามครั้งแล้วที่คุณหลุดเรียกชื่อนี้ออกมา เมยคือใคร ฉันชื่อเมยเหรอ คุณ...เคยรู้เรื่องฉันมาก่อนใช่ไหมหรือว่าเราเคยเจอกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไหนสักแห่ง”

จ้าวซันยิ่งอึกอัก บราลีก็ยิ่งรุกจนเขาต้องถอยร่น

พอดีหลวงพ่อโจเซฟเข้ามาถามว่ารอนานไหม จ้าวซันหันไปไหว้บราลีเลยไหว้ตาม หลวงพ่อมองหน้า บราลีไม่วางตา บราลีมองหน้าหลวงพ่อเต็มตาก็ถึงกับผงะรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน

แม้ว่าหลวงพ่อจะพูดถึงสมัยเด็กของบราลีอย่างเอ็นดู แต่ก็ไม่ยอมเล่ารายละเอียดให้ฟัง ครั้นบราลีรบเร้าพูดอย่างจำความได้เลาๆว่า

“คุณพ่อ...คือนักบวชที่เคยช่วยหนู พาหนูมาจากพวกที่จับเด็กชาวเขามาขาย...ที่เมืองไทย ใช่หรือเปล่าค่ะ”

“เอาล่ะๆเอาไว้ว่างๆก็แล้วกันนะ เราค่อยมาคุย เรื่องเก่าๆกัน” หลวงพ่อตัดบทอย่างรับรู้ถึงความแสบของเธอ

ooooooo

ศิขร นโรดม พักผ่อนอยู่ที่โรงแรม วันนี้ลงมาว่ายน้ำ หาทางให้พวกทหารที่มารายล้อมออกไปอ้างว่าต้องการความเป็นส่วนตัว เมื่อทหารออกไปแล้วจึงหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาพูดเบาๆ

“เข้ามาได้...”

ภูสินทรแต่งตัวเหมือนคนทำความสะอาดเข้ามาทำงานใกล้ๆแอบรายงานว่า

“ที่ ฮ่องกงต้องระวังให้มาก มันทำที่นี่ไม่ได้มันคงหาจังหวะอีก คนทางฮ่องกงก็เตรียมป้องกันพระองค์แล้ว แต่มันอาจจะมีแผนที่เราคาดไม่ถึง”

ศิขรนโรดมถามอย่างรู้กันว่า “คนทางฮ่องกง??” ภูสินทรตอบเบาๆว่า “นั่นแหละ เขารออยู่” ศิขรนโรดมถามอย่างตื่นเต้นว่า “เขา...จริงๆหรือ”

“เขา รอฝ่าบาทมานานมากแล้ว เพื่อจะมอบบางอย่างให้กับหัตถ์ ต้องพระหัตถ์ พระองค์ต่อพระองค์เท่านั้นพะย่ะค่ะ เขาไม่มีวันส่งต่อให้คนกลางหรือใครอื่นเด็ดขาด”

ศิขรนโรดมน้ำตาทะลัก พูดเสียงตีบตื้นในลำคอ “หวังว่า...เราคงไม่ได้ฝันไป...”

“แต่อย่างไรก็อย่าประมาท พวกมันอยู่ใกล้ฝ่าบาทมากว่าพวกเรา ขนาดตอนนี้...ก็อาจมีคนอื่นจับตามองเราอยู่”

“นั่นเจ้ามิน...มันช่วยชีวิตเรา คุณก็เห็น”

“กระหม่อม ไม่ไว้ใจผู้ใดทั้งนั้น คนที่ใกล้ที่สุด อาจเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด กระหม่อมทูลลา แล้วพบกันที่ฮ่องกง ระวังตัวตลอดเวลา จนกว่า...จะได้พบกันกับเขา...นะฝ่าบาท” ภูสินทรทำทีเดินตักใบไม้ต่อไป

ศิขรนโรดมหันมองมิถิลาแววตาตื่นเต้น มิถิลาเห็น แววตานั้นแล้วก็ได้แต่มองตอบงงๆ

ooooooo

ที่สนามบินสุวรรณภูมิ...

สุริยะ เดินเข้ามาในสนามบินเหลือเห็น โกศินกำลังเช็กอินอยู่เดินเข้าไปทัก ถูกโกศินถามว่าตามตนมาทำไม สุริยะตอบยิ้มเต็มหน้าว่า ตนจะไปหา
ลูกสาวที่ฮ่องกงต่างหาก ย้อนถามว่า

“คุณล่ะ ไปทำไม...ไม่ไปพร้อมกับขบวนเสด็จขององค์ชายหรอกเหรอ”

โกศินเดินฉีกไปอีกทางอย่างอารมณ์เสียที่ถูกย้อนถามให้ตอบยาก

ภูสินทรอยู่ที่โรงงานแอบโทร.รายงานจ้าวซันที่กำลังกินอาหารอยู่กับหลวงพ่อและ บราลีว่า โกศินเดินทางมาฮ่องกงคืนนี้แล้วให้หาทางป้องกันด้วย

“ได้...รับรองว่ามันเจอเซอร์ไพรส์แน่”

“หม่อมฉันให้สุริยะตามไปประกบด่วนแล้ว สุริยะอยู่ในสายแล้วฝ่าบาท”

“เจ้า ซัน...คือ...ส่งคนมาคุ้มครองผมด้วยก็ดีนะ ผมกลัวพวกที่บ่อนมาเก๊ามันจะยังตามมาเล่นงานผมอีก” สุริยะเอ่ยขอ จ้าวซันถามว่าเขาไปเล่นมา
อีกแล้วหรือ “เปล่าครับ... ผมไม่กล้าแล้วครับ”

“สุริยะ คุณต้องไม่เหลวไหลนะ ผมขอออกคำสั่ง!! คุณต้องประกบโกศินให้ดี มาถึงที่ฮ่องกงแล้วรีบโทร.บอกผมทันที”

“ถ้า เช่นนั้น เช้าวันมะรืนก่อนจะเดินทางไปฮ่องกงหม่อมฉันจะโทร.บอกฝ่าบาทอีกทีว่ามีอะไร คืบหน้าบ้าง” ภูสินทรเอ่ย จ้าวซันขอบใจ แล้วถามถึงเจ้าน้องอย่างเป็นห่วงว่าเป็นอย่างไรบ้าง

กินอาหารเสร็จ จ้าวซันไปส่งบราลีที่บ้านหลินจื้อเหม่ย เธอไขกุญแจเข้าบ้านบอกว่าไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพวกเขาก็กลับมาแล้ว จ้าวซันถามหยอกว่ารู้ด้วยหรือว่าเป็นห่วง บราลีติติงว่าเมื่อเขาไม่เล่าให้ตนรู้ทั้งหมดถึงความเกี่ยวพันกันของเราแล้ว ตนจะไว้ใจเขาได้อย่างไร จ้าวซันขอเป็นว่าไว้จบงานรับเสด็จแล้วเธอจะรู้ทั้งหมด

“จะเกิดอะไร...ในงานรับเสด็จหรือคะ”

“ผมภาวนาให้ไม่เกิดอะไร ทุกอย่างราบรื่น องค์ชายเสด็จกลับไปอย่างปลอดภัย”

“คุณไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายที่จะปลงพระชนม์ใช่ไหมคะ คุณจะไม่ทำร้ายประชาชนที่บริสุทธิ์ของประเทศที่ยากจนหรือใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ”

“มี ประชาชนคนบริสุทธิ์ถูกทำร้ายมากเกินไปแล้ว เมย...คนดีๆทั้งนั้น พวกทรราชย์จะได้รับกรรมถูกฟ้าดินลงโทษเอง เราไม่ต้องทำอะไรหรอก” เจ้าซันหน้าเศร้าลงจนบราลีทัก เขาจับมือเธอยิ้มให้ บอกเธอว่า “ผมจะไม่เศร้าแล้วถ้าคุณอยู่ข้างผม อย่าไปฟังใคร ฟังผมคนเดียว ผมคือคนที่จะไม่มีวันทำร้าย ไม่มีทางทำให้คุณเสียใจเด็ดขาด ผมสัญญา”

บราลีมองหน้า สบตาหาความจริงใจ มือยังอยู่ในมือ ของจ้าวซัน

อีก ฝั่งถนน เหม่ยอิงกับเกาเฟยยืนแฝงตัวในเงามืดข้างเสาไฟ เหม่ยอิงมองภาพนั้นอย่างเจ็บปวดจนน้ำตาคลอ เกาเฟยเหลือบมองเธอแล้วอดสงสารเห็นใจไม่ได้

ooooooo

สุริยะโทร.หาบราลีบอกว่ามาถึงฮ่องกงแล้ว เธอดีใจจะให้มารับ สุริยะบอกว่าตอนนี้ตนกำลังทำธุระยุ่งอยู่ ไว้เราค่อยเจอกัน

บราลีถามว่าจ้าวซันเป็นคนดีหรือเปล่า ตนควรจะไว้วางใจเขาได้แค่ไหน

“บราลี...ลูก วางใจพ่อแค่ไหน ลูกก็วางใจในตัวคุณชายจ้าวซันได้เท่านั้น” เธอถามอีกว่าพ่อเป็นหนี้บุญคุณอะไรเขาหรือเปล่า “จ้าวซันคือเพื่อนพ่อ เป็นเพื่อนแท้ แล้วเขาก็ปรารถนาดีกับเราอย่างจริงใจนะลูก ลูกอย่าดื้อกับจ้าวซันนะ”

บราลีถามอีกว่าจ้าวซันเป็นคู่หมั้น กับ...สุริยะก็ตัดบทขอแค่นี้ก่อน เพราะโกศินที่เขาสะกดรอยอยู่กินอาหารเสร็จลุกไปแล้ว บราลีเลยได้แต่ทำหน้าเซ็ง

ฉินเจียงพาซูหลิงออกจากโรงพยาบาลมาพักที่คอน โดฯของตน เกาเฟยช่วยถือสัมภาระมาเต็มสองมือ ขณะเกาเฟยโทรศัพท์สั่งอาหารอยู่นอกห้องนอน ได้ยินฉินเจียงด่าจ้าวซันว่าแส่สอดไม่เลิก บังอาจมาจ่ายค่าโรงพยาบาลให้เธอ จงใจตัดหน้าโชว์พาวเหนือตนตลอดเวลา

เกาเฟยที่รับแผนจากเหม่ยอิงมา โผล่หน้ามายุแหย่ว่าเพราะจ้าวซันต้องการทำให้เขาเจ็บใจ ซูหลิงไม่พอใจขัดขึ้นว่า

“เกา เฟย หยุดเถอะ จะบอกให้นะ ตั้งแต่เกิดมา ฉันยังไม่เคยเห็นใครดีกับฉัน ให้เกียรติฉันเหมือนคุณชายจ้าวซันเลยสักคน” ฉินเจียงด่าว่ามันสร้างภาพ ซูหลิงบอกฉินเจียงว่า “ฉันรักคุณนะคะ ถ้าฉันอยากให้คุณเป็นเหมือนใครสักคนในบ้านสี่ฤดู ฉันก็อยากให้คุณเป็นเหมือนคุณชายจ้าวซัน สักครึ่งก็ยังดี ไม่ใช่มีนิสัยขี้อิจฉาเหมือนคุณเหม่ยอิง ถ้าคุณมองว่านั่นคือการสร้างภาพ คุณก็ลองหัดสร้างบ้างสิคะ”

ฉินเจียงฉุนขาดถามว่าเธอเห็นจ้าวซันเป็น เทพเจ้าไปแล้วใช่ไหม แล้วเห็นตนเป็นอะไร เกาเฟยแทรกขึ้นทันทีว่า “ไม่ต้องสงสัย มารแน่นอน” ฉินเจียงคว้าของใกล้มือขว้างประตูห้องที่ซูหลิงเข้าไปด่าลั่น

“อีแพศยา เห็นคนอื่นดีกว่าผัวตัวเอง”

ซูหลิงนั่งอยู่บนรถเข็นในห้อง ถอนใจอย่างปวดร้าว...

ooooooo

ใน การประชุมเตรียมงานต้อนรับองค์รัชทายาทแห่งคีรีรัฐของทีมงานบริษัทฉินเย่ว์ กรุ๊ป มีฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมพร้อมหน้า บราลี เหม่ยอิง และฉินเจียงเข้าประชุมด้วย

เหม่ยอิงมองบราลีอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่ฉินเจียงท่าทางกวนๆนั่งเล่นเกมในโทรศัพท์เสียงดังไม่สนใจการประชุม จ้าวซันกล่าวแก่ที่ประชุมว่า

“กำหนดการที่องค์รัชทายาทแห่งคีรีรัฐจะ เสด็จมาถึงสนามบินคือ สิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้ จากนั้นจะเสด็จตรงไปยังสมาคมพ่อค้าฮ่องกง เพื่อทรงบรรยายเรื่องงานศิลปหัตถกรรมและยาสมุนไพรหายากที่สูงค่าของคีรีรัฐ และเสวยอาหารกลางวันก่อนจะเสด็จเข้าประทับพักผ่อนที่โรงแรมริมทะเลใหม่ของ เรา”

“เป็นการเสด็จส่วนพระองค์ใช่ไหม” กรรมการท่านหนึ่งถาม

“ใช่...แต่เราก็ต้องต้อนรับให้สมพระเกียรติ ผมให้คุณบราลี ภีมะมนตรี ที่จบด้านการออกแบบสิ่งทอมาจากสหรัฐอเมริกามาช่วยเราด้วยอีกแรง”

กรรมการ อีกท่านถามว่า เราต้องไปรับเสด็จกันทุกคนหรือเปล่า จ้าวซันบอกว่ากรรมการบริหารทุกคนควรไป ฉินเจียงขัดขึ้นทันทีว่าพรุ่งนี้ตนต้องไปทำธุระด่วนที่มาเก๊า คงไม่ว่าง เชิญทุกคนตามสบาย แล้วเล่นเกมต่ออย่างเมามัน

จ้าวซันถามว่าเหม่ยอิงไปได้ไหม

“น้อง ไปได้...งานที่เป็นหน้าเป็นตาของบริษัทมันต้องสำคัญกว่าทุกสิ่งอยู่แล้ว น้องเป็นคนแยกแยะเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้ดี พี่ชายใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง” พูดแล้วถูกฉินเจียงถลึงตาใส่เธอทำคอแข็งลอยหน้าไม่แยแส

จ้าวซันรู้ว่าเกา เฟยเป็นคนชักจูงยุยงฉินเจียง เมื่อเจอกันในห้องน้ำจึงถามว่าจะไปกันเมื่อไหร่ เกาเฟยทำหน้าตายถามว่าไปไหน? แล้วปฏิเสธว่าตนไม่รู้เรื่องจริงๆตนแค่คนติดตาม เจ้านายบอกให้ไปไหนก็ตามไปเท่านั้น

“อย่าชักจูงฉินเจียงไปในทางชั่ว...ไม่งั้น”

มีเสียงชักโครกในห้องน้ำแล้วฉินเจียงก็เดินออกมา พูดสีหน้าเย็นชาขณะเผชิญหน้าจ้าวซันว่า

“หลอก ล่อจนเมียผมหลงหัวปักหัวปําไปแล้ว พี่ใหญ่ยังจะมาตีสนิทคนของผมอีก กะจะซื้อตัวทุกคนไปจากผม ให้ผมโดดเดี่ยว ไม่มีใครกันเลยใช่ไหม จ้าวซัน!”

จ้าวซันเตือนว่ายังไม่สายเกินไป ฉินเจียงไม่สนใจ ซ้ำยังท้าว่า

“จะ พาพวกไอ้ผู้กองเหลียงมาเล่นงานผมอีกก็เอาเลย ให้มันรู้ไป ว่าลูกบุญธรรมของเต้ เอาลูกชายแท้ๆของเต้เข้าคุก แล้วขึ้นครอบครองตระกูลจ้าวเสียเอง แถมฟันลูกสาวของเต้ทุกคน” พูดแล้วระเบิดหัวเราะอย่างเย้ยหยันสะใจ ก่อนเดินออกไป

จ้าวซันแค้นใจ ยืนมึน ก็พอดีมี โทร.เข้าหยิบโทรศัพท์ดู เป็นสายจากสุริยะ โทร.มารายงานว่ากำลังตามโกศิน อยู่ที่มาเก๊า อยู่ดีๆไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้วเพราะคนเยอะมาก

“ไม่เป็นไร รออยู่ที่นั่นก่อน เดี๋ยวผมจะส่งคนตามไปสมทบ แล้วคอยดูฉินเจียงด้วย เขากำลังจะไปที่นั่น” จ้าวซันสั่งงานแล้วกด โทร.ถึงลูกน้องคนอื่น

สุริยะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า มองไปรอบๆท่าเรือเห็นว่าไม่มีอะไร เลยโบกแท็กซี่ไปหาอะไรทำแก้เซ็ง

ooooooo

โกศินไปคุยแผนการกับฉินเจียงในห้องวีไอพีในบ่อนของตัวเอง มีเกาเฟยเฝ้าอยู่หน้าห้อง

เต๋อเป่าทำทีมาเล่นพนันเพื่อสอดแนมอยู่ใกล้ๆ

สุริยะไปเล่นพนันแก้เซ็งในบ่อนของฉินเจียง แต่เล่นเสียหลายล้าน ถูกผู้คุมบ่อนจับตัวไปหาฉินเจียง

สุริยะต่อรองเอาตัวรอดว่า

“ผม สัญญาว่า พรุ่งนี้ผมจะเอาเงินสดมาใช้หนี้ให้หมด ขอร้องล่ะ คุณจะยึดอะไรจากผมไปเป็นประกันก็ได้ เอาอะไร นาฬิกาไหม เรือนนี้เป็นแสนนะ ผมไม่ปล่อยหลุดหรอก มันเป็นนาฬิกาที่ผมรักมากๆนะครับ”

รปภ.ที่พาสุริยะมา โพล่งไปว่าเขาติดหนี้อยู่ 7 ล้านเหรียญ เกาเฟยรู้สึกคุ้นหน้าจึงขอดูพาสปอร์ต พอชัดเจนว่า นามสกุลเดียวกับบราลีก็เอะใจ
สุริยะยังคุยโวโอ้อวดเพื่อเอาตัวรอดว่า

“ผม เป็นนายทหารที่ออกจากราชการมานานแล้ว แต่ผมมีโรงงานเป็นของตัวเอง ผมไม่ใช่คนกระจอกๆ ผมเป็นเพื่อนจ้าวซัน คุณชายจ้าวซันไงครับ ผมไม่เบี้ยวคุณแน่ๆ คุณชายจ้าวซันจะช่วยจ่ายเงินแทนผม แต่ผมขอเป็นพรุ่งนี้ ดึกป่านนี้แล้ว ผมไม่อยากรบกวนเขา เชื่อผมเถอะครับ”

ฉินเจียงกับเกาเฟยมองหน้ายิ้มๆอย่างรู้กัน

ooooooo

คืนนี้ จ้าวซันเข้าไปหาจ้าวไทไทในห้องนอน คุกเข่าลงใกล้ๆ พูดอย่างตื่นเต้น

“เวลานั้นมาถึงแล้วครับ...แม่ใหญ่”

แม่ ใหญ่ลูบหัวจ้าวซันพูดอย่างอดตื่นเต้นไม่ได้เช่นกันว่า จริงหรือ ทำไมเร็วนัก จ้าวซันพูดออกตัวอย่างกังวลว่าตนอาจทำไม่สำเร็จทุกเรื่อง บางเรื่องอาจพลาดพลั้งเพราะไม่มีอะไรง่ายและตนเองอาจไม่ดีพอ

“คนครึ่งนึง ฟ้าดินครึ่งนึง...ทุกเหตุการณ์ในชีวิตของเรา เราใช้ฝีมือของเราครึ่งนึง อีกครึ่งเป็นเรื่องของที่เราควบคุมไม่ได้ เราต้องยอมมอบส่วนที่เหลือนั้นให้สวรรค์จัดการแทน”

“ไม่ได้ครับ เราไม่มีวันรู้หรอกว่าสวรรค์จะเข้าข้างเราหรือเปล่า ผมอยากควบคุมทุกอย่างให้ได้ด้วยมือของผมเอง”

“เจ้า มันเหิมเกริมไปหน่อยแล้วจ้าวซัน ผู้เหิมเกริม หยิ่งยโส คิดว่าเขามีอำนาจมากมาย จัดการทุกอย่าง สุดท้ายแล้ว จะเป็นคนที่ทุกข์ที่สุด ร้องไห้มากที่สุด จำไว้”

“ผม...คงจะเป็นคนนั้น ผมจะไม่ยอมให้อะไรพลาด ให้ผมตายเสียดีกว่า ผมไม่ไว้ใจฟ้าดิน ผมไม่ไว้ใจสวรรค์ ฟ้าดินทำกับผมมาอย่างแสนสาหัส สวรรค์อยู่ข้างคนอื่นเสมอ ไม่เคยข้างผมเลย”

“ฟ้า ดินเป็นสิ่งสมดุล สวรรค์ยุติธรรมเสมอนะจ้าวซัน อย่าได้ประมาทน้ำใจสวรรค์ ถ้าสวรรค์เข้าข้างคนอื่นจริงลูกคงไม่มีวันนี้ แม่คงไม่ได้พบลูก และลูกคงจะไม่ได้มาเป็นลูกรักของแม่ จ้าวซัน จงอ่อนน้อมถ่อมตนแก่ฟ้าดิน ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้วฟ้าดินจะโอบอุ้มเจ้า”

ฟังจ้าวไทไทพูดแล้ว จ้าวซันสงบขึ้น

ooooooo

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 5-6 วันที่ 21 มิ.ย. 56

โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์
กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ