อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4 วันที่ 17 มิ.ย. 56

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4 วันที่ 17 มิ.ย. 56

จ้าวซันวิ่งตามบราลีไปถึงหน้าลิฟต์เรียกเธอให้ฟังตนก่อน พอดีลิฟต์มาบราลีรีบเข้าไป จ้าวซันพุ่งตาม ประตูลิฟต์ปิดพอดี ทั้งสองเลยเผชิญหน้ากันในลิฟต์

“ที่แท้คุณก็เป็นเจ้าพ่อฮ่องกงจริงๆ” บราลีถอยห่างอย่างกลัวๆจ้าวซันบอกว่า ตนเป็นคนธรรมดาเท่านั้น “ไม่ใช่! หน้าตา ท่าทางและน้ำเสียงที่คุณพูดเมื่อกี้มัน

ไม่ใช่คนธรรมดา มันคือคนที่...ที่พร้อมจะ...จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้ได้อย่างที่ต้องการ แม้แต่การ...ฆ่าคน...”

จ้าวซันถามเสียงอ่อนโยนว่า ตนจะฆ่าใครได้ บราลีพูดกลัวๆว่า อย่าฆ่าตนก็แล้วกัน


ความอ่อนแอแผ่ซ่านในหัวใจของจ้าวซัน เขาบอกเธออย่างอ่อนโยนว่า

“บราลี...อย่ากลัวผมเลย ผมไม่ใช่คนที่คุณต้องกลัวเลยซักนิด เพราะผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณได้ ไม่มีทาง...” บราลีโต้ว่าเขาเคยตีตน “นั่นคือการอบรมสำหรับเด็กดื้อ”

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาอบรมฉัน คุณคงเคยชินกับการได้ทุกอย่างที่อยากได้ คอยควบคุมให้โลกหมุนตามที่ใจคุณต้องการ แต่คุณไม่ใช่พระอาทิตย์ไม่มีทางที่คุณจะได้ดังใจทุกอย่างหรอก รู้ไว้ด้วย!!”

“ทำไมผมจะไม่รู้!! ชีวิตที่ผ่านความสูญเสียมาแล้วทุกรูปแบบอย่างผม รู้ซึ้งดีทุกรสชาติ...ทุกอย่างมันอยู่ในนี้” เขาชี้ที่หัวตัวเอง “ไม่เคยไปไหน มันอยู่กับผมตลอด ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ภาพมันยังอยู่ในนี้...ภาพวันที่ผมต้องหนีกระเจิดกระเจิงมาอยู่ที่นี่ ภาพตอนที่พ่อผมฆ่าตัวตาย...ภาพแม่ที่ต้องลำบากและหัวใจสลายตายตามพ่อไปอีกคน...และภาพวันที่ผมต้องปล่อยให้น้องสาวระหกระเหินจากไปที่อื่น ผมไม่มีสิทธิ์...แม้แต่จะร้องไห้...”

“น้องสาว?...”

“ถ้าตอนนั้นผมโตอีกสักหน่อย เก่งอีกสักนิด มันคงไม่เป็นอย่างนี้...”

เรื่องราวและน้ำเสียงของจ้าวซันที่เจ็บปวด เก็บกด และโกรธแค้น...ทำให้บราลีสงสารเขาขึ้นมา เมื่อออกจากลิฟต์ บราลีลากเขาเลี่ยงไปมุมสงบแถวบันได บอกเขาว่าตนเข้าใจแล้ว แต่ที่เธอบอกว่าเข้าใจคือ เข้าใจจากการเปรียบเทียบความรู้สึกของเขากับนิยายกำลังภายใน และหนังจีนที่เธอเคยดูเคยอ่านเกี่ยวกับการตามล้างแค้น พูดจริงจังว่า

“คุณต้องเลิกคิดที่จะแก้แค้น มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ล้างแค้นต่อกันไปไม่มีที่สิ้นสุด พ่อของคุณหรือใครต่อใครที่คุณเคยสูญเสีย ก็ไม่มีทางย้อนคืนกลับมาได้ ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า อย่าถอยหลังลงคลอง ฉันพูดแค่นี้ คิดว่าคุณคงจะมีปัญญามากพอจะสำนึกและคิดได้”

จ้าวซันมองหน้าบราลีที่พูดขึงขังจริงจังแล้วอยากขำแต่ขำไม่ออก

บราลีนิ่งไปครู่หนึ่ง สีหน้าเศร้าลงเมื่อคิดถึงชีวิตตัวเอง บอกเขาว่า

“และ...และที่สำคัญ อย่าคิดว่าชีวิตคุณคนเดียวเท่านั้นที่เลวร้าย ยังมีคนที่ชีวิตเลวร้ายกว่าคุณอีก...จำไว้...”

“หมายความว่า...ยังไง....” จ้าวซันมองหน้าบราลีใจหวิวๆใคร่รู้ อยากฟังเรื่องราวในชีวิตของเธอ...

ooooooo

ทั้งสองพากันไปที่สวนสาธารณะ เดินกินไอติม โยเกิร์ตมาด้วยกัน พลางบราลีเล่าชีวิตของตัวเองให้ฟัง

“ฉันไม่ชอบเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังหรอกนะ แต่ชีวิตฉันเศร้า...คุณพ่อฉันที่เป็นเพื่อนคุณ ขอฉันมาเลี้ยง ฉันพยายามทบทวนความทรงจำ ก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า ฉันน่าจะเป็นเด็กชาวเขา...มาจากเผ่าอะไรสักเผ่าทางเหนือของไทย”

“จริงเหรอครับ” จ้าวซันมองทึ่งกับจินตนาการของเธอ บราลีเดินนำไปนั่งที่ใต้ต้นไม้สวย เล่าเศร้าๆต่อไปว่า

“จริง...แล้วอาจจะมีใครลักพาฉันจากพ่อแม่ จะเอามาขายที่เชียงใหม่ แล้วก็มีบาทหลวงของศาสนาคริสต์มาช่วยไว้แล้วคุณพ่อก็ไปรับมา ตอนที่คุณแม่อยู่ เรามีความสุขมากถึงฉันจะอยู่อเมริกา คุณพ่อคุณแม่ก็น่ารักตลอด จนคุณแม่ตาย คุณพ่อก็เปลี่ยนไป”

“เปลี่ยนยังไง” จ้าวซันหน้าเครียด บราลีน้ำตาคลอขณะเล่าต่อว่า...

“ท่าน...เย็นชามาก เหมือนไม่อยากเจอหน้าฉันอีก ท่านไม่ให้ฉันกลับบ้านแล้วตัวท่านเองก็ไม่ไปเยี่ยมฉันที่อเมริกาอีกเลย จนบัดนี้ ฉันจะกลับเมืองไทย ท่านก็ยังไม่ยอม เหตุผลที่แท้จริง อาจเป็นเพราะท่านคงอึดอัด เพราะฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆหรืออะไรก็ไม่รู้...แล้วคุณคิดดูสิ ว่าฉันจะรู้สึกยังไง...”

บราลีน้ำตาไหล เธอปาดทิ้ง เงยหน้ามองฟ้ากะพริบตาถี่ๆกลืนน้ำตาเข้าไปแล้วจึงหันยิ้มกับจ้าวซันกลบเกลื่อน

แต่เมื่อแยกกันกลับ อยู่กับตัวเองแล้ว ต่างก็คิดถึงเรื่องราวของอีกฝ่ายอย่างสะเทือนใจ

“ใช่...ชีวิตเธอเลวร้ายกว่าฉันมาก...ฉันขอโทษ...ม่านฟ้า...” จ้าวซันรำพึง

บราลีเองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ พึมพำ...

“น้องสาว?...จ้าวซันมีน้องสาวที่ไหนอีก??”

ooooooo

ในทางเปิดเผย เกาเฟยแสดงตัวเป็นคนซื่อสัตย์รับใช้ฉินเจียงอย่างถวายหัว แต่ในทางลับ เขาติดต่อกับเหม่ยอิง ต่างมีเป้าหมายของตัวเอง แต่เป้าหมายร่วมกันเวลานี้คือ กำจัดฉินเจียงก่อน

เมื่อนัดพบกันลับๆเหม่ยอิงถามว่า “มันไม่รู้ตัวเลยใช่ไหม” เกาเฟยพูดอย่างย่ามใจว่าไม่เลย มันไว้ใจตนเต็มที่ เชื่อตนทุกอย่าง เหม่ยอิงบอกว่ามันโง่ แล้วก็ยุขึ้น เกาเฟยฟังแล้วพูดอย่างดูถูกว่า

“มันไม่เหมาะที่จะเป็นไท้เผ่งแม้แต่น้อย ไม่มีความรู้อะไรสักอย่าง ไม่มีพรสวรรค์อะไรสักเรื่องแต่

กร่างที่สุดในโลก” เหม่ยอิงหัวเราะบอกว่า เขาเรียกว่าโง่แล้วอยากนอนเตียง เกาเฟยผสมโรงว่า “มันจะได้ไปนอนเตียงในคุกแน่ครับ ถ้าไม่ตายเสียก่อน” เหม่ยอิงบอกเกาเฟยว่าทุกอย่างตนฝากไว้กับเขา “คุณหนูวางใจเถอะครับ ผมวางกับดักมันไว้ทุกทางแล้ว มันไม่รอดแน่ๆ

คนนี้...ทั้งโลภ ทั้งโกรธ ทั้งหลง แล้วแถมปัญญาเบาอีก”

“ครบเครื่องเรื่องฉินเจียงจริงๆ” เหม่ยอิงหัวเราะเสียงใส เกาเฟยหัวเราะอย่างสะใจ

คืนนี้เอง จ้าวไทไท คุณนายใหญ่ ก็ให้อาม่าเรียกเหม่ยอิงไปพบ เหม่ยอิงหงุดหงิดที่ถูกเรียกเอากลางดึก ไปถึงเธอถามตามมารยาทว่า แม่ใหญ่สบายดีหรือ แล้วถามว่ามีอะไรจะใช้ตนหรือแม่ตน

จ้าวไทไท หรือแม่ใหญ่ของทุกคน ชวนเหม่ยอิงดื่มน้ำชา เหม่ยอิงหงุดหงิดเลยยกดื่มรวดเดียวหมดถูกน้ำชาลวกปากแต่อดทนไม่แสดงอาการ บอกจ้าวไทไทว่าดื่มแล้ว จ้าวไทไทถามว่ารู้ไหมว่านี่ ชาอะไร...ชาชั้นดีเลยนะ คนอย่างเธอคงแยกแยะไม่ออกสินะว่าอะไรคือชาชั้นดี อะไรคือชาชั้นเลว แล้วจ้าวไทไทก็ยกชาของตัวเองขึ้นละเลียดดมและจิบ เอ่ยช้าๆ

“คนที่สักแต่กรอกเข้าปาก ไม่มีความละเอียดใดๆในชีวิต จะดื่มชาหรือน้ำอุ่นก็ไม่ต่างกัน คนเช่นนี้ไม่คู่ควรจะได้ลิ้มรสชาดีๆแม้สักหยดเดียว” เหม่ยอิงพูดเสียงขุ่นว่าตนไม่ชอบดื่มชา จ้าวไทไทยังคงพูดเนิบๆว่า “คนเก็บชาบางคน ไม่รู้ว่าใบชาที่ดีคือใบชายอดอ่อน ก็เลยไปเก็บเอาใบชาที่หลุดจากขั้ว ร่วงตกพื้นมาใส่ตะกร้าปะปนกัน เพราะคิดตื้นๆว่ากลิ่นและรสชาติที่ได้จากยอดอ่อนจะช่วยเจือจางความเลวจากดินได้บ้าง แต่เปล่าเลย ชาชั้นเลวก็คือชาชั้นเลววันยันค่ำ”

“แล้วชาชั้นดีมันวิเศษวิโสมากนักเหรอ จะบอกให้นะคะแม่ใหญ่ จะชาดีชาชั่ว มันก็ทำให้ท้องผูกเหมือนๆกัน”

“คนไม่รู้ดื่มชาคือท้องผูก คนรู้ดื่มคือระบาย...อย่า ระเริงไป เพราะต่อให้เธอซ่อนตัวเองอย่างดีอยู่ในสุดยอดใบชา แต่คนที่รู้ เขาดูออก มองปราดเดียวเขาก็แยกกำพืดที่มาของเธอได้ ไม่แน่เขาอาจจะรู้ด้วยซ้ำว่าเธอคือใบชาขึ้นรา...เป็นพิษ...ไม่ให้คุณ...หาประโยชน์อันใดไม่ได้เลย...เขาจะไม่เสียเวลาดมกลิ่นเธอด้วยซ้ำ แล้วจุดจบของใบชาขึ้นราอย่างเธอก็คือ พื้นดินที่เธอจากมานั่นแหละ”

พูดจบจ้าวไทไทเทชาที่เหลือทิ้งกระโถน เหม่ยอิงโกรธจนตัวสั่นที่ถูกเปรียบเปรย ท้าก่อนสะบัดหน้าออกไปว่า

“แม่ใหญ่คอยดูก็แล้วกันค่ะ ฉันขอตัว”

จ้าวไทไทมองตามแล้วหัวเราะสะใจด้วยเสียงที่เย็นเยียบ...

ooooooo

มิถิลาแปลกที่เลยนอนไม่หลับ จนตีสอง เธอตกใจร้องกรี๊ดเมื่อพลิกตัวมาเห็นคนใส่ชุดดำใส่หมวกคีโม ครอบผม มายืนมืดๆ อยู่ข้างเตียง คนชุดดำรีบเอามือปิดปากด่าเบาๆ

“ไอ้บ้า...แต๋วแตกไปได้เงียบๆ สิ เดี๋ยวไอ้พวกข้าง นอกก็แห่มากัน” ที่แท้คือศิขรนโรดม องค์รัชทายาทนั่นเอง

ไม่ทันไร ทหารองค์รักษ์สองคนที่อยู่หน้าห้องก็เคาะประตูบอกว่าได้ยินเสียงกรีดร้อง ศิขรนโรดมทำหน้าตายถามว่า พวกเขาคิดว่าตนนอนหลับแล้วละเมอกรีดร้องเยี่ยงสตรีกระนั้นหรือ ถามว่าเสียงจากห้องอื่นหรือเปล่า แกล้งถามว่าราชิดกับโกศินหรือบรรดานายทหารของเขานำสตรีมาค้างคืนด้วยหรือเปล่า

ศิขรนโรดมพูดเสียจนทหารองครักษ์ทั้งสองนายถอยออกไป จากนั้นจึงหันมาเร่งมิถิลาให้แต่งตัวออกไปท่องราตรีกรุงเทพฯ กัน

มิถิลาจำต้องลุกขึ้นไปกับศิขรนโรดม เธอถูกพาไต่ระเบียงอย่างโลดโผนลงมา ทั้งสองในชุดดำ ใส่แว่นตา ใส่หมวกถักดำ เดินกอดคอกันบ่ายหน้าไปยังถนนที่ยังพลุกพล่าน

ศิขรนโรดมสนุกสนานกับการหนีเที่ยวคืนนี้มาก ส่วนมิถิลาทั้งเกร็งทั้งกลัว ตามศิขรนโรดมไปแบบที่แทบจะเรียกได้ว่าถูกลากคอไปเลยทีเดียว เมื่อเจอ รปภ.ศิขรนโรดมก็เข้าไปถามเป็นภาษาอังกฤษว่า อยากจะไปกินอะไรข้างนอก มีที่ที่เปิดตลอดทั้งคืนแถวนี้ไหม รปภ.บอกว่าต้องไปแถวไชน่าทาวน์เยาวราช ศิขรนโรดมโค้งขอบคุณอย่างงามแล้วลากมิถิลาออกไปเรียกตุ๊กๆ ที่หน้าโรงแรมไปกันอย่างเบิกบานใจ

ที่หน้าโรงแรม ชายร่างล่ำสันยืนข้างเสาไฟ เมื่อเห็นทั้งสองนั่งรถตุ๊กตุ๊ก ออกไปก็ขึ้นมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขี่ตามไปห่างๆ จนทั้งสองไปถึงเยาวราช เข้าไปในร้านบะหมี่ปู ครู่เดียว บะหมี่ที่มีก้ามปูวางอย่างหรู 2 ชาม ก็มาวางตรงหน้ามิถิลามองตาโต ส่วนศิขรนโรดมบ่นยิ้มๆว่า

“เสียดายแทนอสุนีไม่ได้มาสนุกกันอย่างนี้...มาต่างประเทศเราควรเที่ยวตามข้างถนน จะได้รู้จักชีวิตจริงของราษฎรในประเทศนั้น จำไว้นะเจ้า” ว่าแล้ว ศิขรนโรดมก็คีบบะหมี่กินอย่างเอร็ดอร่อย

มิถิลาตอบรับเบาๆ ติงแผ่วๆ ว่า “ทรงทำแบบนี้มันเสี่ยงมาก”

“มิน เจ้ารู้ไหม บางที...นั่งอยู่ตรงนี้ อาจจะเสี่ยงชีวิตน้อยกว่านั่งอยู่ใต้ฉัตรแห่งราชบัลลังก์คีรีรัฐเสียอีก อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าหากเราหายไป ไม่กลับไปที่ห้องอีก พลเอกราชิดกับเจ้าโกศินจะทำอย่างไรต่อไป คงสนุกพิลึก” พูดแล้วหัวเราะขำๆ

มิถิลาถามว่าไม่โปรดราชิดหรือ ศิขรนโรดมทำเสียงตกใจว่า ถามอะไรอย่างนั้น ใครจะกล้า หัวเราะแล้วบอกว่า

“เขาใหญ่ที่สุดแล้วในคีรีรัฐ เจ้าเองก็ประจบประแจงไว้ให้ดีเถิด จะได้มียศใหญ่ไวๆ” พูดแล้วจับแก้มมิถิลาบีบเบาๆ เธอปัดมือออกบ่นว่าชอบจับตัวอยู่เรื่อย ศิขรนโรดมมองหน้าเย้า “ทำไมล่ะ จับไม่ได้หรือ เป็นกะเทยหรือถึงหวงตัว นี่ๆ” ว่าแล้วก็จับหูจับจมูกจับไหล่มั่วไปหมด มิถิลากลัวโดนว่าอีก เลยนั่งตัวแข็ง

ที่มุมหนึ่ง ชายร่างกำยำที่ตามมา กำลังยกโทรศัพท์ขึ้นกดๆๆ...

ooooooo

กินบะหมี่ปูเสร็จพากันเดินมาตามริมถนน มิถิลาใจไม่ดีถามว่าจะไปไหนอีก ชวนกลับดีกว่าเพราะ ถ้านายพลราชิดรู้เข้าจะเดือดร้อนกันใหญ่

“อ้อ...เจ้าคงกลัวความผิดล่ะสิ งั้นเจ้ากลับไปเลย เราจะไปของเราคนเดียว”

“ไม่ใช่เช่นนั้น” มิถิลาชี้แจงว่า พรุ่งนี้บ่ายต้องไปร่วมงานประชุมเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมืองอาเซียนที่โรงงานผ้าไหมที่อยุธยา เช้าต้องเตรียมข้อมูลการประชุมให้พร้อม คืนนี้จึงควรบรรทมให้เต็มที่

“พูดมากจริง รู้หมดแล้วไม่ต้องเตรียมอะไรหรอกน่ะ” แล้วเหล่ไปที่มุมหนึ่งลดเสียงลงบอกว่า “บนถนน...ที่ 17 นาฬิกา มีคนตามเรามา มันตามมานานแล้ว เจ้าทำเฉยๆไว้”

ศิขรนโรดมหลอกล่อแล้วหลบชายร่างกำยำที่ตามมา ชายคนนั้นเงยหน้าจากโทรศัพท์ไม่เห็นทั้งสองแล้ว จึงขี่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ตามหา ถูกศิขรนโรดมกลิ้งถังขยะมาขวางแล้วกระโดดออกไปโจมตีอย่างรวดเร็วคล่องแคล่ว รถล้มลงมิถิลากระโดดคร่อมรถประคองไว้ ส่วนชายคนนั้นพลาดท่าล้มลง ศิขรนโรดมถอดหมวกกันน็อกออกถามว่า

“เจ้าคือใคร เป็นคนของไอ้พวกกบฏหรือไม่!”

“องค์รัชทายาท ข้าพเจ้า.....”

“หึ...คนไทยนี่ แต่รู้จักข้า เจ้าตามข้ามาใช่ไหม กลับไปบอกหัวหน้าเจ้าด้วยว่าข้าขอยืมรถของเจ้าไปใช้หน่อย ขอบใจนะ” พูดแล้วกระโดดขึ้นรถซ้อนมิถิลาเอาแขนคร่อมตัวเธอไว้แล้วขับออกไปทันที มิถิลาร้องอย่างตกใจ

“ไม่ต้องกลัว มันไม่ต่างจากม้าของพวกเราหรอก เราเคยลองขับมอเตอร์ไซค์ภูเขาของพวกขนสินค้าเถื่อนข้ามดอยมาแล้ว” ศิขรนโรดมบิดมอเตอร์ไซค์ไปอย่างเร็ว

ที่แท้ ชายกำยำคนนั้น เป็นคนของภูสินทรที่ตามมาอารักขา พอลุกขึ้นได้ก็รีบล้วงโทรศัพท์ออกมากดรัวทันที

ooooooo

ศิขรนโรดมขับมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่บังคับยืมมาท่องเที่ยวอย่างสนุกสนานมาถึงชายทะเลก็เช้าพอดีศิขรนโรดมเที่ยวอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินและคึกคะนอง แต่มิถิลานั่งหน้าซีดแล้วซีดอีก

แต่สุดท้ายศิขรนโรดมก็ถูกรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่พุ่งเข้ามา ต่างทำท่าราวกับจะประจัญบานกัน แต่พอถอดหมวกกันน็อกออก กลายเป็นภูสินทร

“คุณเมืองเทพ...” ศิขรนโรดมอุทานอึ้ง

ภูสินทรที่เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเทพเพื่ออำพราง นั่งลงบังคมรายงานว่า

“กระหม่อมตามมาได้ เพราะรถคันนั้นมีเครื่องติดตามจีพีเอส และชายที่ตามอารักขาเจ้าน้องเมื่อคืน คือคนของกระหม่อม เจ้าน้อง ทำไมทรงซุกซนอย่างนี้ หากเกิดอันใดขึ้นกับพระองค์ พวกกระหม่อมคงไม่แคล้วถูกประหาร”

ศิขรนโรดมได้ยินภูสินทรเรียกว่า “เจ้าน้อง” ก็ถึงกับน้ำตาคลอบอกว่าไม่มีคนเรียกตนเช่นนี้มานานมากแล้ว พึมพำ “เราได้เป็นเจ้าน้อง...เพราะครั้งนั้น เราเคยมีเจ้าพี่...”

“พระองค์ยังทรงมีเจ้าพี่อยู่เสมอมา องค์ชายศิขรนโรดม”

ศิขรนโรดมตะลึงกับเรื่องที่ไม่คาดว่าจะได้ยิน...

ooooooo

จ้าวซันยังฝึกซ้อมการต่อสู้กับเต๋อเป่าและอาหลี่อย่างสม่ำเสมอ หลังซ้อมวันนี้ เต๋อเป่าเอารายชื่อพ่อค้าอาวุธ 3 คนจากแผ่นดินใหญ่ให้ดู จ้าวซันคลี่กระดาษอ่านทันที

“พานหงปิน เฉินเสี่ยวหาว ต้าเป่ยไหล พวกนี้มันซื้อ ขายอาวุธสงครามที่หลุดออกมาจากทุกสำนักเลยใช่ไหม”

จ้าวซันคุยกันถึงเส้นทางค้าอาวุธทั้งทางน้ำและทางบกซึ่งนับวันเสี่ยงที่จะถูกจับได้มากขึ้นและหากถูกจับได้ก็ย่อมกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พวกนักค้าอาวุธจึงหาเส้นทางใหม่

“มันขนส่งกันโดยใช้เที่ยวบินของเจ้าชายคนนั้น เพราะหากมีปัญหาอะไรมันก็อ้างว่าเป็นฝีมือเจ้าชายคนนั้น ที่ซื้ออาวุธเพื่อจะก่อการร้ายหรืออะไรได้ด้วย” เต๋อเป่าวิเคราะห์

“มันจะเอาศิขรนโรดมเป็นเหยื่อให้ได้ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง...อย่าหวังเลย!” จ้าวซันขบกรามแน่น

“เราคงต้องสืบต่อว่าในจำนวนนักค้าอาวุธเถื่อน 3 คนนี้ ใครที่ไอ้เกาเฟยติดต่ออยู่” เต๋อเป่าเสนอ

จ้าวซันพยักหน้าเห็นด้วย

ooooooo

บราลียังเคืองหลินจื้อเหม่ยไม่หายที่รู้เห็นเป็นใจกับจ้าวซันหลอกตนวันนั้น หลินจื้อเหม่ยไม่ถือสาบอกว่าตนทำไปเพราะรักเธอ บอกบราลีอย่างหนักแน่นมั่นใจว่า

“สำหรับฉัน เขาเป็นคนดี ฉันยอมรับเขา ไม่ใช่เพราะเขามีเงิน แต่เพราะความดีของเขาและเธอก็ควรจะมองเห็นความดีของเขาเสียที”

พอดีจ้าวซันเอารถมาให้บราลีใช้ เธอปฏิเสธทันที จ้าวซันชี้แจงว่าเอามาให้เธอยืมชั่วคราว เธอจะได้ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ ไม่ต้องเสี่ยงกับคนที่ไม่น่าไว้วางใจ และตนก็จะได้ไม่ต้องส่งรถมารับส่งให้เธออึดอัดอีก

บราลีจึงยอมรับรถไว้ใช้ และไปลองรถกัน ปรากฏว่าเธอขับรถดีมากจนจ้าวซันชม แต่เรื่องก็ยังไม่จบ บราลีถามอย่างตรงไปตรงมาและให้เขาตอบอย่างเปิดเผยว่า เขาต้องการอะไร จะจีบตนหรือ จ้าวซันอึ้ง เธอรุกต่อถามว่าเขาแต่งงานหรือยัง! จ้าวซันนิ่งไปกับคำถามที่ตรงจนเป็นขวานผ่าซากนั้น แต่บราลีถือว่าเขาไม่ตอบอะไรตรงๆเลยถามใหม่ว่า

“เอางี้...คุณเป็นคนดีหรือเปล่า” จ้าวซันหัวเราะถามว่าใครจะตอบได้ บราลีโมเมว่าแค่คำถามง่ายๆก็ยังไม่ยอมตอบ ชี้หน้าเขาสรุปว่า “แปลว่าคุณเป็นคนไม่ดี” เธอชี้หน้าว่าเขาแบบนี้ถึงสองครั้ง จนจ้าวซันฉุนจับนิ้วเธอกำไว้ ปรามเสียงเข้ม

“อย่าชี้หน้าผม! เพราะการชี้หน้าด่ากัน มันคืออาการแสดงความไม่เคารพไม่ให้เกียรติ ไม่นับถือผู้ใหญ่ เป็นนิสัยไม่ดี คนฮ่องกงหรือคนอเมริกันอาจจะทำได้ แต่เด็กๆคีรีรัฐต้องไม่ทำ!”

บราลีมองขวับถามว่าใครเป็นเด็กคีรีรัฐ! จ้าวซันอึกอักรู้ตัวว่าพลาดอีกแล้ว เลยเดินเลี่ยงไป แต่บราลีไม่ยอม ตามจิกถามจะรู้ให้ได้ จ้าวซันเลยตัดบทว่า “มันไม่เกี่ยวกับคุณ ผมพูดถึงตัวผม” บราลีไม่เชื่อหาว่าเขาโกหก

จ้าวซันเลยบอกว่าไม่โกหกก็ได้ แต่บอกแล้วห้ามเธอบอกคนอื่นแม้แต่เพื่อนสนิทของเธอ เมื่อบราลีสัญญาว่าไม่บอกใคร เขาจึงบอกว่า “ผมเป็นคนคีรีรัฐ”

บราลีเข้าใจว่าเขาอายชาติกำเนิดของตัวเอง ชักสีหน้าใส่ “ฉันเกลียดมากเลย คนที่ดูถูกรากเหง้าของตัวเอง” จ้าวซันถอนใจยาวอย่างอ่อนใจกับการมองตนในแง่ลบทุกแง่มุมของบราลี แต่เธอไม่สนใจ เปิดฉากอบรมยืดยาวว่า...

“ฉันพูดจริง คนอย่างฉัน ไม่เคยอายชาติกำเนิด...

ถ้าคุณอายที่จะบอกใครๆว่าคุณเป็นคนคีรีรัฐ คุณก็ควรจะกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติคุณเสียบ้าง แล้วคุณจะรู้ว่าคีรีรัฐเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ มีภาษา มีวัฒนธรรมของตัวเอง แล้วคุณคิดดูเถอะ ว่าประเทศนั้นอยู่มาได้ยังไง โดยไม่เป็นเมืองขึ้นของไทย พม่า จีน หรือแม้แต่อังกฤษ...
จ้าวซัน คุณควรภูมิใจในชาติของคุณ”

จ้าวซันอึ้ง พูดไม่ออก มองบราลีน้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งตื้นตันใจ

ooooooo

เพื่อไม่ให้ใครรู้ว่าไม่อยู่โรงแรม ศิขรนโรดมโทรศัพท์บอกราชิดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมามีภารกิจให้ทำมากมายต้องตื่นเช้าทุกวันเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว ฉะนั้นวันนี้ก่อนเที่ยงห้ามใครรบกวนเด็ดขาด

ขณะที่ภูสินทรกับศิขรนโรดมคุยกันถึงอดีต มิถิลามองหน้าภูสินทรตลอดเวลา ภูสินทรบอกเธอว่า

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงจะต้องเลือกแล้วว่าเจ้าจะจงรักภักดีต่อฝ่ายใด”

“มิน...ฟังนะ” ศิขรนโรดมเอ่ย “เมื่อ 20 ปีก่อน เรามีพี่ชายคนหนึ่ง ชื่อองค์น่านปิงนรเทพ สำหรับเรา เขาคือองค์รัชทายาทที่ควรจะขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ใช่เรา แต่เวลานี้ เจ้าพี่น่านปิงของข้า อยู่ที่ไหน ทรงสบายดีใช่ไหม ทรงเกลียดข้าแล้วหรือเปล่า...” ศิขรนโรดมหันถามภูสินทร พยายามกลั้นน้ำตาไว้

“เจ้าพี่ของฝ่าบาท ไม่เคยคิดในทางลบต่อฝ่าบาทเลย” ภูสินทรพูดอย่างสะเทือนใจ

มิถิลายิ่งฟังก็ยิ่งงง ในขณะที่ภูสินทรและศิขรนโรดมพูดกันถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นด้วยความนึกคิดในวันนี้อย่างสะเทือนใจ ทั้งสองเล่าสิ่งที่ตัวเองประสบ ประสานเรียงร้อยเป็นเหตุการณ์เดียวกัน...

ในคืนที่เจ้าหลวงพีริยเทพสิ้นพระชนม์นั้น เจ้าชายมาทยาธรพระเชษฐากลับยิ้มที่มุมปาก นายพลจัตุรัสเป็นต้นเสียงแก่ทหารในทันทีว่า “เจ้าเหนือหัวองค์ใหม่ ขอจงทรงพระเจริญ” บรรดาทหารขานรับกันเซ็งแซ่

มาทยาธรบัญชานายพลจัตุรัสในทันทีว่า “ย่ำรุ่งพรุ่งนี้ ออกข่าวให้ประชาชนรู้ว่าน้องเราพระทัยวายกะทันหันและจัดเตรียมงานพระศพให้สมพระเกียรติ”

แต่เมื่อรู้ว่าพระเทวีกับราชบุตรหนีไปได้ มาทยาธรก็สบถถามว่า “แล้วข้าจะนอนหลับตาลงได้อย่างไร มิต้องสะดุ้งตื่นมาพบดาบจ่อคอสักคืนหรือ!” ราชิดรายงานว่าตนจับภูสินทร ราชองครักษ์ตำหนักหน้าไว้แล้ว มาทยาธรสั่งเค้นเอาความจริงจากปากภูสินทรให้ได้ ภูสินทรจึงถูกทรมานอย่างทารุณ

มิถิลาฟังอย่างตั้งใจ มองหน้าเมืองเทพที่อยู่ตรงหน้าถามอย่างตื่นเต้นว่า “ท่าน...ท่านคือราชองครักษ์ตำหนักหน้า ภูสินทร!” ทั้งภูสินทรและศิขรนโรดมมองหน้ามิถิลาเหมือนสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร มิถิลาเล่ากลัวๆกล้าๆว่า “คือ... ตอนฝึกทหารเคยได้ยินครูฝึกเล่าว่า เอ่อ...ราชองครักษ์ภูสินทรเป็นกบฏที่ลักพาตัวพระชายาและพระราชบุตรของพระองค์เจ้าหลวงในโกศหายสาบสูญไปเมื่อยี่สิบปีก่อน”

“ครูฝึกเจ้าเล่าคำเท็จ ความจริงเสด็จแม่ทรงเล่าให้ฟังว่า...” ศิขรนโรดมเล่าถึงเสด็จแม่ ซึ่งเป็นพี่สาวของพระเทวีที่เล่าเหตุการณ์ขณะนั้นว่า เมื่อทราบจากบายศรี ภรรยาของภูสินทร ว่าสามีบาดเจ็บสาหัสและถูกคุมขังอยู่ และเวลานี้ไม่รู้ชะตากรรมของพระเทวีกับราชบุตร ก็บอกแก่บายศรีว่า
“ภูสินทรจะไม่ถูกฆ่าตาย เขาเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับเรื่องนี้ ข้าจะให้เขาหนีไป เพื่อตามไปดูแลน้องสาวและหลานข้าให้ได้”

ด้วยการช่วยเหลือของเสด็จแม่ของศิขรนโรดม ภูสินทรจึงหนีรอดไปได้ และพระเทวีกับราชบุตรจึงปลอดภัย...

“พระมารดาของพระองค์ทรงกล้าหาญยิ่ง กระหม่อมจึงมีวันนี้” ภูสินทรเอ่ย แล้วเร่ง “แต่ตอนนี้ พระองค์รีบเสด็จกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันเวลานัดหมาย”

เวลาตามหมายกำหนดการใกล้เข้ามาทุกที ราชิตและโกศินจะขึ้นไปที่ห้องศิขรนโรดม สุริยะต้องหลอกล่อให้ไปชมวิวถ่วงเวลา

ภูสินทรเห็นว่าถ้าไปทางรถคงถึงโรงแรมไม่ทันเวลาแน่ จึงเปลี่ยนเป็นให้ศิขรนโรดมไปเจ็ตสกีแทน โดยภูสินทรไปกับศิขรนโรดม และมิถิลาไปกับลูกน้องภูสินทร จึงไปได้ทันเวลาพอดี!

ooooooo

จ้าวซันฟังบราลีซึ้งใจจนน้ำตาคลอ เขาขอบใจที่เธอทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น ทำให้ตนมีความสุข ตนเริ่มภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนคีรีรัฐขึ้นแล้ว

อ่านละคร วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4 วันที่ 17 มิ.ย. 56

โดย บทประพันธ์โดย วราภา จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 7 โดย ปราณศักดิ์สวัสดิ์
กำกับการแสดงโดย : สยาม น่วมเศรษฐี
ควบคุมการผลิตโดย : บริษัท พอดีคำ จำกัด
โดยผู้จัด : ธงชัย ประสงค์สันติ/มณีรัตน์ ประสงค์สันติ
ออกอากาศเริ่มตอนแรก วันพฤหัสบดีที่ 13 มิ.ย. 2556
ที่มา ไทยรัฐ