อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 10-11 วันที่ 8 มิ.ย. 56


อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 10

คุณหญิงมณีเดินโอบมัทนาด้วยความเป็นห่วงกลับขึ้นมาบนตึก ไอศูรย์เดินตามติด ส่วนสร้อยรั้งท้ายทิ้งระยะห่างพอสมควร

“ลูกมัท...ทำไมถึงได้กล้าหาญเข้าไปช่วยนังบุปผา ไม่กลัวภัยอันตรายจะเกิดแก่ตัวเองเลย ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะลูกนะ มันไม่คุ้มเลยที่มัทจะเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนใช้ในบ้านน่ะ”

“ถึงบุปผาจะเป็นแค่คนในบ้าน แต่บุปผาก็เป็นคนเหมือนเรานะคะคุณแม่ แล้วมัทเห็นอยู่กับตาว่าบุปผากำลังถูกทำร้ายอย่างนั้นจะให้มัทยืนมองเฉยๆโดยไม่ช่วยเหลืออะไร ก็คงจะใจจืดใจดำเกินไปล่ะค่ะ”


คุณหญิงมณีพูดไม่ออก ได้แต่ทำหน้าเหนื่อยใจ... มัทนาหันไปยกมือไหว้ขอบคุณไอศูรย์ที่เข้ามาช่วยพวกตนทันเวลา

“แต่ก็เกือบไม่ทันเหมือนกัน...ทำไมคนเดี๋ยวนี้ใจคอโหดเหี้ยมกันจริง เอ้อ แล้วเด็กคนที่น้องมัทพบล่ะ ไปไหนแล้ว”

“ตอนที่เกิดเรื่องชุลมุนกัน เขาวิ่งหนีไปค่ะ”

ไอศูรย์รับรู้อย่างผิดหวัง จังหวะนี้นายพลเทพเดินข้ามา พอเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าลูกสาวก็ตกใจซักถามเป็นการใหญ่...เช่นเดียวกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ พอลูกชายกลับมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังก็แทบนั่งไม่ติด บอกว่าพรุ่งนี้แม่ต้องไปเยี่ยมมัทนาสักหน่อยแล้ว อิ่มจ้องจะไปบ้านเทพบริบาลสบโอกาสรีบขออนุญาต

“คุณหญิงคะ ขอดิฉันไปเยี่ยมคุณหนูมัทนากับแม่บุปผาด้วยคนได้ไหมคะ เพราะตอนที่ดิฉันป่วยอยู่ที่โรง– พยาบาล แม่บุปผาก็ช่วยดูแลดิฉันหลายครั้ง ตอนนี้แม่บุปผามาเจ็บตัวอย่างนี้ ดิฉันก็อยากไปเยี่ยมเขาบ้างน่ะค่ะ”

“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวแกก็ไปเป็นลมเป็นแล้งที่โน่นอีก เขาจะวุ่นวายกันมากขึ้นอีก”

“ไม่เป็นไรหรอกครับป้าโฉม ให้อิ่มไปเยี่ยมด้วยก็ดี คนเราใครเคยมีน้ำใจกับเรา เมื่อมีโอกาสเราก็ควรแสดงน้ำใจกลับคืนเขาบ้าง”

“ค่ะคุณหมอ” โฉมเสียงอ่อย แอบค้อนอิ่ม...แต่อิ่มไม่สนใจเพราะกำลังดีใจที่จะได้ไปบ้านเทพบริบาลอีกครั้ง หวังว่าคราวนี้เธอจะมีโอกาสพบท่านนายพลและได้บอกเรื่องสำคัญแก่เขาเสียที...

เมื่อถึงเวลาเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น อิ่มกระตือรือร้นเป็นพิเศษแต่ก็ไม่มีใครสังเกตเพราะมัวจดจ่อเป็นห่วงมัทนา โดยเฉพาะคุณหญิงแจ่มจันทร์ พอไปถึงก็สำรวจเนื้อตัวว่าที่ลูกสะใภ้และปลอบขวัญ จากนั้นก็เอ่ยชวนคุณหญิงมณีขึ้นไปหาคุณชไมอีกครั้งเพื่อให้หาฤกษ์หมั้นอย่างเร็วที่สุด

“ดีครับ ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ” ไอศูรย์พูดยิ้มๆ ทำเอามัทนาเขินอายจนหน้าแดง...

นายพลเทพลงมาใส่บาตรร่วมกับทุกคน อิ่มเฝ้ามองอยู่ห่างๆ และตั้งใจหาทางพูดคุยกับท่านตามลำพัง และแล้วก็ได้โอกาสเมื่อคนอื่นๆพากันตามมัทนากับไอศูรย์ไปดูอาการบุปผากับนายสิน ส่วนนายพลเทพกลับขึ้นตึกเพื่อแต่งตัวออกไปทำงาน

“ท่านนายพลคะ รอเดี๋ยวค่ะ” เสียงเรียกของอิ่มทำให้นายพลเทพหันกลับมา

“เธอมีอะไรรึ ถึงตามฉันขึ้นมาถึงบนนี้”

“ท่านนายพลจำดิฉันได้หรือไม่คะ ดิฉันชื่ออิ่มเป็นพี่สาวของนังอุ่นไงคะ”

นายพลเทพตะลึง เดินเข้าหาพร้อมกับมองหน้าอิ่มชัดๆ “อิ่มจริงๆหรือนี่ ไม่ได้เห็นกันร่วม 20 ปี ฉันจำอิ่มไม่ได้เลย แล้วนี่หายไปไหนมา ตั้งแต่แม่อุ่นตายเสียในไฟ เธอก็หายหน้าไปเลย”

“ท่านนายพลคะ ดิฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องเรียนให้ท่านทราบค่ะ คืนนั้นก่อนไฟไหม้...ลูกนังอุ่นมันคลอดก่อนกำหนด แต่ทำยังไงเด็กก็ไม่ร้อง ดิฉันก็เลยจะอุ้มไปหาหมอในเมือง เราสองป้าหลานจึงรอดตายจากกองไฟมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ดิฉันก็เคราะห์ร้ายโดนรถชน พอฟื้นขึ้นมาความคิดความจำของดิฉันก็วิปลาสไป จนดิฉันเตลิดเปิดเปิงออกไปเร่ร่อนอยู่ตามที่โน่นที่นี่เสียหลายปีกว่าความจำจะกลับคืนมา แต่ท่านนายพลเจ้าขา...”

อิ่มสะอื้นแล้วทรุดลงกราบแทบเท้านายพลเทพที่ยืนสีหน้าฉงนฉงายไม่เข้าใจว่าอิ่มพยายามจะบอกอะไรอีก

“ถึงดิฉันจะพาลูกสาวของท่านหนีตายออกมาจากกองไฟได้ แต่ตอนนั้นดิฉันก็เลอะเลือนเสียจนไม่รู้ว่าใครเอาตัวหลานไปค่ะ ดิฉันขอโทษ” พูดจบอิ่มก็กราบขอโทษนายพลเทพอีกครั้ง

“เอาเถอะแม่อิ่ม อย่าโทษตัวเองไปเลย รู้ไหมเมื่อไม่กี่วันก่อนฉันเกิดไปได้เบาะแสมาว่าคืนที่แม่อุ่นตายในกองไฟ แล้วแม่อิ่มพาลูกของฉันหนีออกมาได้น่ะ มีคนมารับลูกฉันไปเลี้ยงต่อ”

“ใครกันคะ”

“ตามฉันมานี่สิ ฉันจะให้เธอดูรูปใครบางคน เผื่อว่าเธอจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”

นายพลเทพเดินนำอิ่มเข้าไปในห้องนอนโดยไม่ทันได้คิดอะไร อิ่มรีบก้าวตามอย่างอยากรู้เหลือเกินว่าท่านจะให้ดูรูปใครกัน?

เวลานั้นในห้องพักบุปผา สร้อยเพิ่งสังเกตว่าอิ่มไม่ได้มาด้วย จึงถามโฉมที่ยืนอยู่ข้างกันว่า

“แม่คนใช้ใหม่ที่บ้านเธอไม่ได้มากับเราด้วยรึ”

“เออ...นั่นสิ มันไปเดินเกะกะอยู่ที่ไหนเนี่ย”

“ไม่เป็นไร ฉันไปดูเอง” สร้อยผละไปเงียบๆเดินหาทั่วบ้านก็ไม่เจอ “แม่นั่นมันหายไปไหนของมันนะ” บ่นเสร็จเงยหน้ามองบนตึก ก่อนเดินตัวปลิวไปทันที!
นายพลเทพนำรูปถ่ายผกาที่ถูกคุณหญิงมณีฉีกขาดมาปะติดปะต่อให้อิ่มดู “เธอจำผู้หญิงคนนี้ได้ไหมอิ่ม”

อิ่มพยายามทบทวนเหตุการณ์วันถูกรถชน ซึ่งวันนั้นเธอเห็นหน้าผกาชัดเจน ผกาเข้ามาช่วยเหลือและพาเธอกับหลานไปส่งโรงพยาบาล

“ว่าไงอิ่ม จำได้มั้ย”

“ใช่ค่ะท่าน ผู้หญิงคนนี้แหละที่อุ้มลูกท่าน...หลานดิฉันไป”

นายพลเทพตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดเรื่องราวที่เขาตามสืบมานานก็เริ่มปะติดปะต่อจนเห็นเค้าลาง

“เธอจำได้ไม่ผิดนะแม่อิ่ม”

“ไม่ผิดหรอกค่ะท่าน แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านจะต้องรู้ค่ะ”

อิ่มยังไม่ทันจะพูดต่อ...เสียงสร้อยร้องเรียกท่านนายพลดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตูหน้าห้อง ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ

“นี่ถ้าสร้อยมันเห็นเธออยู่ในห้องนี้กับฉัน มีหวังคุณหญิงคงเข้าใจผิดแน่” นายพลเทพคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว แล้วก็ชี้ให้อิ่มไปยืนหลังบานประตู ส่วนตัวเองเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ถามสร้อยว่ามีอะไร?

สร้อยถือวิสาสะชะโงกหน้าเข้ามาดูภายในห้อง กวาดตามองแต่ไม่เห็นใครนอกจากท่านนายพลคนเดียว

“สร้อยจะมาถามว่าท่านจะออกไปที่กรมเลยหรือเปล่าคะ สร้อยจะได้สั่งให้คนเตรียมรถน่ะค่ะ”

“ไปสิ เดี๋ยวฉันแต่งตัวเสร็จก็จะไปเลย”

สร้อยรับคำแล้วถอยกลับไป นายพลเทพปิดประตูแล้วถอนใจเฮือกก่อนเดินไปหยิบเครื่องแบบมาทั้งไม้แขวนโดยไม่เสียเวลาเปลี่ยนชุด และหันมาบอกอิ่มว่า

“ฉันจะลงไปข้างล่างเลย เธอค่อยๆตามลงไปอย่าให้ใครเห็นเชียวนะว่าเธอขึ้นมาบนนี้น่ะ แค่นี้ฉันก็มีเรื่องให้ปวดหัวมากพออยู่แล้ว”

“เดี๋ยวค่ะท่าน ดิฉันมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องบอกท่านค่ะ”

“เอาไว้ก่อนเถอะ ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวนังสร้อยกลับขึ้นมาอีกจะยุ่งกันใหญ่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธออยู่บ้านพ่อต้น แล้วฉันจะหาทางติดต่อไป”

พูดจบเขาก็หิ้วเครื่องแบบออกไป อิ่มถอนใจกลัดกลุ้มที่ไม่มีโอกาสบอกท่านนายพลเรื่องที่สร้อยเป็นคนฆ่าอุ่น...อุ่นไม่ได้ตายเพราะไฟไหม้บ้านอย่างที่นายพลเทพเข้าใจมาโดยตลอด

ooooooo

หลังจากนายพลเทพนั่งรถออกไปทำงานแล้ว คุณหญิงแจ่มจันทร์ก็บอกลาคุณหญิงมณีกลับบ้าน แต่เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นอิ่มจึงหันไปถามโฉม

“แล้วแม่อิ่มไปไหนล่ะเนี่ย”

อิ่มเดินเข้ามาพอดี โฉมชักสีหน้าใส่ทันที “ไปไหนมายะหล่อน”

“อิ่มไปเข้าส้วมมาค่ะ”

“เอ้า...ลาท่านซะ เราจะกลับกันแล้ว”

อิ่มไหว้ลาคุณหญิงมณีกับมัทนา แล้วก้มหน้างุดเมื่อเห็นสร้อยจ้องเขม็งมา...

ด้านนายพลเทพที่รีบร้อนออกจากบ้าน เขาไม่ได้เข้ามาทำงานในกรมทหาร แต่ชวนดำเกิงออกไปที่หอโคมแดงเพื่อเจรจากับผกาให้รู้เรื่อง!

ผกาต้อนรับแขกทั้งสองคนด้วยความอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยมีมุก สิรี พิกุล และเพ็ญแอบสังเกตการณ์อยู่ห่างๆด้วยความสงสัย อยากรู้เหลือเกินว่าคุยเรื่องอะไรกัน ทำไมท่าทางเคร่งเครียดกันทั้งสองฝ่าย...

“ยอมรับมาเถอะแม่ผกา ว่าเธอเป็นคนรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยง อย่าปากแข็งกับฉันต่อไปเลย เพราะตอนนี้ฉันมีคนที่จะเป็นพยานให้กับฉันได้ว่าเธอรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงจริงๆ”

นายพลเทพคาดคั้นแต่ผกายังไม่ยอมพูดอะไร จนเขาทนไม่ไหวจับตัวเธอเขย่าอย่างร้อนใจ

“บอกฉันมาเถอะ ว่าเธอรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงใช่มั้ย”

ผกายังคงนิ่ง ทำให้นายพลเทพยิ่งโมโห พูดจาข่มขู่ “เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร...แล้วถ้าเธอปากแข็งไม่ยอมบอกฉัน ฉันจะสั่งให้ตำรวจมาปิดที่นี่ ให้เธอกับคนของเธอไม่มีที่ซุกหัวนอนกันเลยทีเดียว”

“อย่านะคะท่าน” ผการ้องห้ามเสียงหลง

“งั้นก็บอกมาสิแม่ผกา ว่าเธอรับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาเลี้ยงใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ” ผกาจำใจยอมรับในที่สุด นายพลเทพดีใจมาก ละล่ำละลักถามต่อไปว่า

“แล้วตอนนี้เด็กคนนั้น...เขาอยู่ที่ไหน บอกมาเร็ว...เขาอยู่ที่ไหน”

“ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วค่ะ”

“อ้าว...แล้วไปอยู่ที่ไหน แม่ผกาบอกฉันมาสิ ฉันจะไปหา ฉันอยากเจอเขาเต็มทีแล้ว”

“ตอนนี้เด็กคนนั้นออกจากที่นี่ไปอยู่ที่บ้านท่านนายพลเทพ เทพบริบาล แล้วค่ะ”

คำตอบชัดถ้อยชัดคำของผกาทำเอานายพลเทพถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปเลย!

ooooooo

อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 11


หลังจากนายพลเทพและดำเกิงกลับไปแล้ว ผการ้อนใจจนนั่งไม่ติด ให้เพ็ญไปตามมุกกับพิกุลมาพบโดยเร็ว

“ที่แม่เรียกมานี่ก็เพราะมีเรื่องจะต้องสั่งให้ทุกคนทำตามอย่างเคร่งครัด ถ้าใครขัดคำสั่งแม่ก็เก็บของออกไปจากบ้านนี้ได้เลย ต่อจากนี้ไปห้ามใครพูดถึงเรื่องบุปผาเคยอยู่ที่นี่มาก่อน จะแขกเก่า แขกใหม่ ใครมาถาม บอกไม่รู้ทั้งนั้น ใครเรื่องมากให้มันมาคุยกับแม่เอง เข้าใจมั้ย”

สองสาวไม่เข้าใจแต่ต้องรับคำเพราะท่าทางผกาเคร่งเครียดเอามากๆ จากนั้นผกาก็แอบใช้เพ็ญไปพบบุปผาที่บ้านเทพบริบาล...

ขณะ นั้นบุปผายังนอนซมพิษไข้โดยมีมัทนาลงมาดูแลใกล้ชิด เช็ดตัวให้เธออย่างไม่รังเกียจ ส่วนนายสินที่ย้ายไปอยู่ห้องใหม่ก็เริ่มขยับเขยื้อนตัวได้แต่ยังไม่เผยให้ ใครรู้ แม้แต่สวิงที่วันนี้เอาอาหารมาให้แทนบุปผา

เมื่อมัทนากลับขึ้น บ้านและถูกมารดาซักถามว่าไปไหนมา เธอตอบตามตรงว่าไปเช็ดตัวให้บุปผาที่ไข้ขึ้น คุณหญิงมณีชักสีหน้าก่อนบ่นขึ้นมาอย่างไม่พอใจ

“ทำไมลูกมัทต้องไปเช็ดตัวให้บุปผามัน ทำไมไม่ให้คนอื่นทำ”

“โธ่...คุณ แม่ขา คนอื่นเขามีงานทำกันล้นมืออยู่แล้วนี่คะ มีแต่มัทนี่แหละค่ะที่ว่างอยู่ แล้วอีกอย่าง...คุณแม่ก็เป็นคนสอนมัทเองนี่คะว่าคนเราน่ะยามดีก็ใช้ แต่ยามไข้ก็ต้องรักษา”

คุณหญิงมณีพูดไม่ออก พยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้...ขณะเดียวกันที่โรงพยาบาล พลอยมาหาไอศูรย์แล้วเผอิญได้ยินเขาคุยโทรศัพท์กับมัทนาเรื่องอาการเจ็บป่วย

“ขอโทษนะคะพี่ต้น พลอยได้ยินพี่ต้นพูดโทรศัพท์กับยายมัทโดยไม่ได้ตั้งใจ ว่าแต่ยายมัทไม่สบายเป็นอะไรเหรอคะ”

“ถูกคนจรจัดทำร้ายเอาที่ตลาดน่ะ แล้วนี่น้องพลอยมาหาพี่มีอะไรรึเปล่าครับ”

“พลอยเป็นอะไรไม่ทราบค่ะพี่ต้น รู้สึกเวียนหัว แล้วก็ใจสั่น แขนขาไม่ค่อยมีแรงเลยค่ะ”

“งั้นขอพี่ตรวจหน่อยนะ”

“ค่ะ” พลอยลอบยิ้มสมใจ...แท้จริงไม่ได้ป่วยแต่อยากอยู่ใกล้ชิดคุณหมอต่างหาก

ด้านเพ็ญที่ผกาใช้ให้ไปพบบุปผา...บัดนี้เธอมายืนอยู่หน้าบ้านเทพบริบาลอย่างก ล้าๆกลัวๆ ในมือมีตะกร้าผลไม้มาด้วยเพื่อความแนบเนียน พลางนึกถึงคำสั่งของผกาก่อนหน้านี้

“แกเป็นคนที่ฉันไว้ใจที่สุดแล้วนะ เพ็ญ แล้วแกก็เป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก เพราะฉะนั้นแกช่วยไปหาบุปผาที่บ้านเทพบริบาลแทนฉันที แล้วบอกบุปผาว่าให้มันออกมาพบฉันที่สวนสาธารณะตอนบ่าย 3 โมงวันนี้ให้ได้”

“ค่ะคุณผกา แต่ในเมื่อคุณผกาก็รู้ว่าบุปผาอยู่ที่ไหน ทำไมไม่โทร.ไปหามันที่นั่นเลยล่ะคะ”

“ไม่ได้ บุปผามันเข้าไปอยู่ที่นั่นในฐานะคนใช้ ถ้าจู่ๆมีคนโทร.เข้าไปแล้วขอพูดกับมัน คงถูกซักไซ้น่าดู แกไปน่ะดีแล้ว บอกว่าเป็นญาติมาจากต่างจังหวัด แวะมาเยี่ยมมัน แล้วแกก็บอกมันให้ออกมาพบฉันให้ได้นะ ฉันมีธุระสำคัญที่จะต้องบอกมันวันนี้ให้ได้ อ้อ! แล้วเรื่องที่ว่าบุปผาอยู่ที่บ้านเทพบริบาลน่ะ ห้ามแกปริปากบอกใครเป็นอันขาด เข้าใจมั้ย”

เพ็ญรับคำแข็งขัน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปบ้านเทพบริบาล ขณะยืนชะเง้อชะแง้แล้วพอตัดสินใจจะกดกริ่ง ไสวก็โผล่ออกมาเสียก่อน

“มาหาใคร” ไสวถามห้วนๆ

“เอ่อ...ฉัน...ฉันมาหาบุปผาน่ะจ้ะ บุปผาอยู่ที่นี่ใช่ไหมจ๊ะ ฉันเป็นญาติมัน เพิ่งมาจากต่างจังหวัด ก็เลย แวะมาหามันน่ะ”

“แต่ ตอนนี้นังบุปผามันไม่สบาย มันคงเดินออกมาพบแกไม่ไหว อยากจะฝากอะไรฉันไปบอกมันไหมล่ะ เพราะฉันคงให้แกเข้ามาในบ้านไม่ได้หรอกนะ คุณหญิงท่านสั่งไว้ว่าไม่ให้คนแปลกหน้าเข้าบ้านน่ะ แกคงเข้าใจนะ”

“ฉันเข้าใจจ้ะ แต่ฉันอยากจะคุยกับมัน เห็นหน้าค่าตามันด้วยตัวเองมากกว่า ไม่ได้พบกันนานแล้ว แกลองไปบอกมันว่าป้าเพ็ญมาหา”

“งั้นรอเดี๋ยวนะ” ไสวเห็นใจจึงกลับเข้าไปบอกบุปผา ปรากฏว่ารายนั้นลุกพรวดแทบหายไข้ รีบร้อนออกมาพบเพ็ญที่หน้าบ้าน

“ป้าเพ็ญมาที่นี่ทำไมเนี่ย แม่ผกาเป็นอะไรรึเปล่า”

“คุณผกาไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่วันนี้มีผู้ชายไปที่บ้าน แล้วพอเขากลับไปคุณผกาก็รีบให้ป้ามาหาแกที่นี่ ให้บอกแกว่า...ให้แกไปพบคุณผกาที่สวนสาธารณะตอนบ่าย 3 โมงวันนี้ให้ได้”

“มีผู้ชายไปหาแม่ที่บ้านเหรอ รูปร่างหน้าตายังไงป้า เคยเป็นแขกบ้านเรารึเปล่า”

“ไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ แต่บุคลิกดีทีเดียว ว่าแต่เมื่อกี้เห็นเขาว่าแกไม่สบาย แกเป็นอะไรเหรอบุปผา หน้าตาแกไม่ดีเลยนะ”

“ช่างมันเถอะป้า ป้ากลับบ้านไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะออกไปพบแม่เอง”

เมื่อบุปผาไปตามนัด ผกาก็เล่าเรื่องที่นายพลเทพมาหาตนและคาดคั้นอยากรู้เรื่องของบุปผา

“ท่านจะอยากรู้เรื่องของฉันไปทำไม”

“แม่ก็ไม่รู้ แต่ดูท่าว่าท่านอยากรู้มากว่าแม่รับแกมาเลี้ยงจริงๆใช่ไหม ถึงกับขู่จะปิดซ่องของเรา ถ้าแม่ไม่ยอมบอก”

“แล้วแม่บอกท่านไปว่ายังไงล่ะ”

“แม่ก็จำต้องยอมรับน่ะสิว่าแม่รับแกมาเลี้ยงจริงๆ แล้วตอนนี้แกก็เข้าไปอยู่ในบ้านท่านแล้ว”

บุปผา หน้าตาตื่น แต่พอฟังผกาเล่ารายละเอียดที่พูดคุยกับนายพลเทพก็ค่อยผ่อนคลายลงบ้าง...ผกา แต่งเรื่องเพื่อช่วยปกปิดความจริงเกี่ยวกับบุปผา ยืนยันว่าตอนนี้เด็กคนนั้นเข้าไปอยู่ในบ้านท่านจริงๆ

“อยู่ในบ้านของฉันเอง ใคร?” นายพลเทพคิดทบทวนแล้วโพล่งขึ้นมา “บุปผา! อ้าว...ไหนบุปผาบอกฉันว่าเป็นน้องสาวนายสิน คนรถบ้านฉันไง”

“ท่านคะ ท่านลองมองรอบๆตัวแล้วบอกดิฉันหน่อยสิคะว่าท่านกำลังยืนอยู่ที่ไหน ซ่องไงคะท่าน แล้วดิฉันจะกล้าให้เด็กผู้หญิงที่ดิฉันรับเลี้ยงมาเติบโตขึ้นในสถานที่แบบ นี้หรือคะ”

“แล้วยังไง”

“ดิฉันส่งเด็กนั่นไปให้คนรู้จักที่บ้านนอก เลี้ยงดูแทนค่ะ ซึ่งก็คือพ่อแม่ของนายสิน แล้วดิฉันก็คอยส่งเงินไปให้ทุกเดือน เด็กนั่นจึงเติบโตขึ้นในฐานะน้องสาวของนายสิน คนรถบ้านท่านยังไงล่ะคะ”

“อ้าว...แล้วทำไมพ่อแม่นายสินเลี้ยงดูบุปผามาตั้งนาน ทำไมจู่ๆถึงคิดจะเอาบุปผาไปขายซ่องเสียล่ะ”

ผกาอึ้งไปทันที ไม่รู้เรื่องที่บุปผาโกหกทุกคนในบ้านเทพบริบาลไว้ แต่ก็เอาตัวรอดได้อย่างเนียนๆ

“ใจคน...ยากแท้หยั่งถึงนี่คะท่าน”

“แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าบุปผาคือเด็กที่เธอรับมาเลี้ยงจริงๆ”

“ดิฉันได้บอกความจริงกับท่านทุกอย่างแล้ว แต่ท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ท่านแล้วล่ะค่ะ”

ฟังเรื่องราวจบลง บุปผาถึงกับชื่นชมผกา “แม่ฉลาดจริงที่ตอบท่านไปอย่างนั้น ว่าแต่ท่านจะอยากรู้ที่มาของฉันทำไมกัน”

“แม่ก็ไม่รู้ แม่ถึงต้องเสี่ยงให้เพ็ญไปตามแกที่บ้านเทพบริบาลมาพบอย่างเร่งด่วนนี่ไงล่ะ” ผกาท่าทีร้อนรนร้อนใจ ทำเอาบุปผานิ่งไปอย่างคิดหนัก!

ooooooo

ผลจากการแกล้งป่วยทำให้พลอยมีโอกาสใกล้ชิดไอศูรย์...หมอหนุ่มตรวจอาการแล้วให้ยา บำรุงไว้กินแถมยังขับรถมาส่งเธอถึงบ้าน พลอยยิ้มมีความสุข ชวนเขาเข้าบ้านก่อน แต่เพชรดันโผล่ออกมาทำเสียเรื่อง ต่อว่าไอศูรย์ที่ทำให้ไอ้หลงหนีไปจากโรงพยาบาล

“พี่รู้ว่ามันเป็นความผิดของพี่ และถ้าพี่จะแก้ไขอะไรได้ พี่ก็ยินดีทำทุกอย่าง พี่ไปนะพลอย”

ไอศูรย์ตัดบทแล้วขึ้นรถขับออกไป พลอยหน้าง้ำอย่างสุดเซ็ง หันมาต่อว่าพี่ชาย

“พี่เพชรน่ะ พูดเสียจนพี่ต้นหนีกลับไปเลย รู้ไหมว่ากว่าพลอยจะหาวิธีชวนพี่ต้นมาบ้านเราได้ ต้องลงทุนยอมทำตัวเป็นคนป่วยเชียวนะคะ เดี๋ยวก็ไม่บอกเรื่องยายมัทซะเลยนี่”

“เรื่องน้องมัท เรื่องอะไร” เพชรถามระรัว สนใจใคร่รู้ขึ้นมาทันที!

ค่ำนั้นเอง นายพลเทพกลับมาถึงบ้านและรู้จากมัทนาว่าบุปผาเป็นไข้ เขารีบลงไปเยี่ยมเธอถึงห้องพัก โดยไม่สนใจว่าคุณหญิงมณีจะรู้สึกนึกคิดยังไง บุปผากำลังกระวนกระวายใจเรื่องที่รับรู้มาจากผกา พอได้ยินเสียงเรียกของท่านนายพล เธอก็รีบมารอรับหน้าประตูห้องแล้วทรุดลงคุกเข่าพนมมือไหว้ท่านอย่างนอบน้อม

“ยืนขึ้นเถอะบุปผา เจ็บขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องมาพิธีรีตองหรอก”

บุปผาลุกยืน นายพลเทพมองเธออย่างพิจารณา ถามเสียงอ่อนโยนว่ายังเจ็บอยู่มากไหม?

“ค่อยยังชั่วบ้างแล้วค่ะท่าน”

“นอนพักให้มากๆนะ สองสามวันนี้ก็อย่าเพิ่งทำงาน แล้วหยูกยากินให้ครบตามที่พ่อต้นให้ไว้ล่ะ แต่ถ้ามีอาการอะไรผิดปกติก็รีบบอกนะบุปผา”

“ค่ะท่าน”

นายพลเทพมองบุปผาไม่วางตา คุณหญิงมณียืนอยู่ข้างหลัง นัยน์ตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ แล้วเดินตามกลับไปเอาเรื่องเขาบนบ้าน

“ดูคุณจะเอื้ออาทรนังบุปผามันมากจังนะคะ”

“เกิดเรื่องร้ายกับคนในบ้านจนล้มเจ็บอย่างนี้ ถ้าจะไม่สนใจกัน ก็คงจะใจจืดใจดำเกินไปหน่อยละมั้ง”

“นี่คุณกำลังจะว่าดิฉันเป็นคนใจจืดใจดำใช่ไหมคะ”

“ก็แล้วแต่คุณจะคิด” พูดจบเขาก็เดินหนีเข้าห้องน้ำ ทิ้งคุณหญิงมณีโกรธจัดแทบจะกรี๊ดออกมา

ooooooo

อิ่มอยากจะไปหานายพลเทพอีกครั้ง แต่ในเมื่อเจ้านายยังไม่ไปบ้านหลังนั้นอีก อิ่มจึงตัดสินใจแอบออกไปคนเดียว แต่ยังไม่ทันได้เข้าบ้านก็ต้องหันหลังกลับอย่างเร่งรีบ เพราะเห็นสร้อยเดินป้วนเปี้ยนอยู่หน้าตึก

อ่านละคร ไฟหวน ตอนที่ 10-11 วันที่ 8 มิ.ย. 56

ละครเรื่อง ไฟหวน บทประพันธ์โดย ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
ละครเรื่อง ไฟหวน บทโทรทัศน์โดย ฐา-นวดี สถิตยุทธการ
ละครเรื่อง ไฟหวน กำกับการแสดงโดย มารุต สาโรวาท
ละครเรื่อง ไฟหวน ผลิตโดย บริษัท มาสเคอเรด จำกัด โดย มารุต สาโรวาท
ละครเรื่อง ไฟหวน เป็นละครแนว ดราม่าเข้มข้น
ละครเรื่อง ไฟหวน ออกอากาศทุกวันศุกร์ - เสาร์ - อาทิตย์ เวลา 20.25 น. ทางช่อง 7 สี
ที่มา ไทยรัฐ