คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนอวสาน วันที่ 3 มิ.ย. 56


อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนอวสาน วันที่ 3 มิ.ย. 56

ภูวนัยพลาดท่าถูกชาติกล้าไล่ถลุงน่วมไป ทั้งตัว แต่ใจยังสู้พยายามจะลุกก็ถูกชาติกล้าต่อยร่วงลงไปอีก ชาติกล้าเห็นปืนที่พื้น เดินไปหยิบมาจ่อตะคอก

“พอได้แล้วไอ้ภู...มันจบแล้ว!”

“แกต่างหากที่จบ! ตอนนี้ในห้องประชุมคงได้เห็นธาตุแท้ของแกหมดแล้ว!”

“อะไรนะ!” ชาติกล้าหยุดกึก วิ่งกลับไปที่ห้อง ประชุมทันที ภูวนัยพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก แต่แววตายิ่งมุ่งมั่น

วศิน ตกใจที่เห็นความลับตัวเองถูกเปิดเผย ตะโกนให้ปิด เจ้าหน้าที่ในห้องควบคุมจะปิดถูกไผ่จับมือไว้บอกว่าที่เห็นนั้นท่านกำลังยก ตัวอย่างของการคอรัปชันให้เราดู


ในคลิป...วศินกำลังบอกสมสุขว่าตนอยากได้เพิ่มอีกเท่าหนึ่ง และชาติกล้าก็ย้ำว่านี่ไม่ใช่การขอร้องแต่เป็นคำสั่ง

ทันใดนั้น รัฐมนตรีที่มาฟังการบรรยาย ลุกพรวดขึ้นถามวศินว่า “นี่มันเรื่องอะไร ผมต้องการคำอธิบาย!”

“ท่านครับ ผมถูกกลั่นแกล้ง...ต้องมีคนแกล้งผม แน่ๆ” วศินพยายามชี้แจง

ในขณะที่ผู้คนในห้องประชุมเริ่มฮือฮากันอื้ออึงกับคลิปฉาวนั้น ชาติกล้าวิ่งเข้ามา พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีก็ถึงกับช็อก เพราะคลิปถึงตอนที่วศินกำลังพูดอย่างอหังการกับสมสุขว่า

“นี่แหละคำว่า อำนาจ...ตอนแรกอ๊ัวก็สงสัยว่า คนเราแย่งชิงอำนาจกันทำไม...จนตอนนี้...อ๊ัวถึงได้รู้ว่า คนที่มีอำนาจในประเทศนี้ จะทำอะไรก็ได้...โลกนี้ มันมีคนอยู่แค่สองประเภท คนที่ใช้อำนาจกับคนที่เป็นเหยื่อของอำนาจนั่น” แล้ววศินก็เดินเข้าหาสมสุขถาม “เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าคนอย่างลื้อหรือไอ้พวกชาวบ้านที่อยู่ข้างนอก มันก็เป็นแค่เหยื่อให้อั๊ว!”

วศินเห็นคลิปยังไม่หยุดก็แทบจะคลั่ง ตะโกนด่า ชาติกล้าว่ายืนบื้ออะไรอยู่ไปหาทางปิดเสีย

ชาติกล้าจึงมองไปที่ห้องควบคุม ไผ่มองลงมาพอดี ไผ่ขอบใจเจ้าหน้าที่แล้วรีบออกจากห้องไป ในขณะที่ชาติกล้าก็วิ่งขึ้นมาที่ห้องควบคุม

ระหว่าง นั้น ภูวนัยเดินมาถึงห้องประชุมพอดีเห็นคลิปวีดิโอเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองไปที่วศินเห็นหน้าซีดเผือดเหงื่อกาฬแตก เขาเดินไปบอกให้มอบตัวเสีย วศินทำปากกล้าขาสั่นถามว่า “แกพูดอะไรของแก”

“ยังจะให้ผมบอกอีกเหรอครับ ผมว่าทุกคนในห้องนี้ที่ได้ดู คงจะให้คำตอบท่านได้”

วศินพลิกสถานการณ์ทันที หันไปบอกรัฐมนตรีว่า “นี่ไงครับท่าน มันนี่แหละที่แกล้งผม”

แต่นาทีนี้ ไม่มีอะไรหยุดภูวนัยได้แล้ว เขาเดิน เข้าหาวศิน พูดอย่างอัดอั้น

“พวกแกทำให้ฉันสูญเสียทุกอย่าง...แกล้งฉันให้โดนออกจากราชการ...พวกแกฆ่าพ่อฉัน...ฆ่าเพื่อนฉัน...แกทำให้ฉันต้องสูญเสียทุกอย่าง”

วศินถอยไปตามการก้าวรุกของภูวนัย สะดุดขา ตัวเองล้มลงจึงตะกายหนีตะโกน “ช่วยด้วย จับมัน ซิ...จับมัน!”

“จับเขาไว้ซิ” รัฐมนตรีสั่งวีระกับราชัยที่ยืนละล้าละลัง พอรัฐมนตรีสั่งสองจ่าก็วิ่งเข้าไปจับภูวนัย

“เฮ้ย! จับเขาได้ยังไง!!” ไผ่พญาร้องลั่น ชาติกล้า หันมองขวับ ส่วนวีระกับราชัยที่รุมกันจับภูวนัยนั้น เขาดิ้นสุดแรงถามว่ามาจับตนทำไม ตะโกนให้ปล่อย

“พวกคุณทำอะไร...ผมให้จับวศิน!” รัฐมนตรี ร้องบอก

วีระกับราชัยจึงหันไปจับวศินแทน วศินเอะอะ โวยวายว่ามาจับตนทำไม ตะโกนบอกสองจ่าว่าเรา

เป็นพวกเดียวกัน ถูกรัฐมนตรีสวนทันที “แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว!” ทำเอาวศินหน้าซีดเผือด ชาติกล้าเห็นท่าไม่ดีมองขวับไปที่ไผ่พญาทันที!

ภูว นัยหลับตาลงอย่างคาดไม่ถึงว่าเรื่องจะจบลงเร็วอย่างนี้ พลันก็สะดุ้งเมื่อได้ยินไผ่ร้องกรี๊ดสุดเสียง มองไปเห็นชาติกล้าจับไผ่เป็นตัวประกันตะโกนให้ทุกคนหลีกทาง ภูวนัยพุ่งเข้าไปจะช่วยไผ่ ถูกชาติกล้าเอาปืนจ่อหัวไผ่ขู่เหี้ยม

“เอา ซิ..เข้ามา! อยากเห็นนังนี่ตาย ก็เข้ามา!!” แล้วหันสั่งตำรวจที่เฝ้าประตูอยู่ “ถอยไป! ถ้ากูเห็นว่าใครเดินพ้นประตูนี่ไปแม้แต่คนเดียว อีนี่ตาย!!” ขู่แล้วลากไผ่ออกไป

ภูวนัยเครียดวิ่งตามไป วีระตามมาร้องเรียก “เดี๋ยวก่อนครับหมวด” พอภูวนัยชะงักหันมา วีระยื่นปืนให้ บอก “ระวังตัวด้วยนะครับ” ภูวนัยพยักหน้ากำปืนวิ่งออกไปทันที

ชาติกล้าลากไผ่ไปตามทางเดิน ไผ่พยายาม ดิ้นรนขัดขืนถามว่าจะพาตนไปไหน

“ก็ เป็นตัวประกันให้ฉันหนีไง แล้วพอฉันหนีได้ ฉันก็จะฆ่าแกให้สมกับที่แกทำลายทุกอย่างของฉัน” ไผ่บอกว่ายังไงภูวนัยก็ต้องมาช่วยตน“ดีเลย! ฉันจะได้ฆ่ามันด้วย”

แต่พอ ชาติกล้าลากไผ่มาถึงประตูใหญ่ก็ชะงักเพราะหน่วยคอมมานโดกำลังกรูกันลงจากรถ ไผ่พยายามตะโกนบอก ถูกชาติกล้าตบจนเลือดกบปาก แล้วลากไผ่ขึ้นบันไดข้างๆ ไผ่ยังคงดิ้นและร้องไม่หยุด

ภูวนัยวิ่งมา ได้ยินเสียงไผ่ร้องขอความช่วยเหลือ เขาวิ่งตามไปทันที

ooooooo

วศินที่ถูกควบคุมตัวยังอาละวาดไม่ยอมให้จับใส่กุญแจมือ ทันใดนั้น อภิวัฒน์นำหน่วยคอมมานโดเข้ามา รัฐมนตรีบอกอภิวัฒน์ว่า

“คุณมาก็ดีแล้ว ช่วยจับตำรวจนอกแถวคนนี้ไปดำเนินคดีด้วย”

อภิวัฒน์ทำหน้าแปลกใจ วีระกับราชัยจึงช่วยกัน เล่าถึงคลิปฉาวที่แฉพฤติการณ์ชั่วของวศินที่คุยกับสมสุข แม้วศินจะตกอยู่ในฐานะลำบาก แต่พอเห็นหน้า อภิวัฒน์ก็ยังกร่างถามว่า“แกมาทำไม”

“พอดีผมได้รับคลิปที่สมสุขส่งมาให้ คิดว่าน่าจะเป็นคลิปเดียวกับที่ท่านได้เห็นไปแล้ว แล้วผมก็นำเรื่องนี้แจ้งให้ท่าน ผบ.ทราบ ท่านผบ.จึงมีคำสั่งให้ผมมาจับกุมท่าน ผมขอแจ้งข้อหาท่านว่าใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอีกหลายคดี”

“แกพูดอะไร..ฉันต้องการ ทนาย”วศินยังกร่าง อภิวัฒน์ไม่สนใจ หันไปบอกวีระกับราชัยให้ใส่กุญแจมือ ทันใดนั้นเสียงปรบมือก็กึกก้องขึ้นทั้งห้องประชุม

เมื่อราชัยคุมตัววศินออกไปแล้ว อภิวัฒน์ ถามวีระว่า“แล้วหมวดภูล่ะ...”

ooooooo

พาไผ่วิ่งขึ้นไปจนถึงดาดฟ้า ชะโงกดูเห็นตำรวจคอมมานโดล้อมตึกไว้หมดแล้ว ขณะกำลังสับสนว้าวุ่นนั่นเอง ภูวนัยตามขึ้นมา ตะโกนให้วางอาวุธ และมอบตัวเสียอย่าทำให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้เลย ชาติกล้าตะโกนท้าให้ภูวนัยเดินออกมา ไม่อย่างนั้นจะยิงขาไผ่ทันที สิ้นเสียงก็ยิงไปยังจุดที่ภูวนัยหลบอยู่ทันที

อภิวัฒน์ได้ยินเสียงปืน สั่งจัดกำลังส่วนหนึ่งปิดล้อมพื้นที่ ส่วนตัวเองนำกำลังอีกส่วนวิ่งขึ้นไปตามเสียงปืน

ความเป็นห่วงไผ่ ทำให้ภูวนัยยอมเดินออกมา ชาติกล้าสั่ง ให้วางปืนก็ยอมวางและเตะไปทางเขา

พอวางปืนภูวนัยบอกให้ชาติกล้าปล่อยไผ่พญา นอกจากชาติกล้าจะไม่ปล่อยไผ่แล้วยังจะฆ่าทั้งสองคนให้ตายไปพร้อมกันด้วย พูดแล้วยกปืนเล็งไปที่ภูวนัย ค่อยๆเหนี่ยวไกอย่างเลือดเย็น

ไผ่พญาใช้วิชาที่ภูวนัยสอนให้ พุ่งเข้าปัดมือที่ถือปืนของชาติกล้า จับข้อมือบิดจนปืนร่วงแล้ววิ่งเข้าหาภูวนัย ชาติกล้า พุ่งไปหยิบปืนเล็งตามหลังไผ่ ภูวนัยพุ่งเข้าคว้าตัวไผ่พลิกเอาตัวเองบังเธอไว้ ทำให้เขาถูกยิงจังๆจนทรุดลงไปด้วยกัน ชาติกล้าถือปืนจ่อไผ่พญาเดินเข้ามาถามภูวนัยว่า

“แกคิดว่าตัวเองเป็นอะไรถึงได้ทำอย่างนี้ นังนี่มันมีค่ากับแกมากรึไง”

“ไม่ใช่...ฉันพร้อมจะปกป้องทุกคน...เพราะฉันเป็นตำรวจ!”

ทันใดนั้น อภิวัฒน์นำหน่วยคอมมานโดมาถึง อภิวัฒน์สั่งชาติกล้าให้วางอาวุธมอบตัวเสีย ชาติกล้ายิ้มเยาะถามว่าให้ตนวางอาวุธทำไม ตนเป็นตำรวจแต่ภูวนัยเป็นสายโจร ภูวนัยสวนไปว่าตนเป็นตำรวจ

“ตำรวจ...ตำรวจเหรอ...กูต่างหากที่เป็นตำรวจ!” ชาติกล้าตะโกน พร่ำพูดแต่ว่าตนเป็นตำรวจเหมือนคนสติแตก แล้วในที่สุดเขาก็จ่อปืนที่ขมับยิงตัวตายต่อหน้าทุกคน

ไผ่พญากอดภูวนัยไว้แน่น ต่างโล่งอกที่ทุกอย่างจบลงแล้ว เราทำสำเร็จแล้ว...

ooooooo

ภูวนัยถูกยิงบาดเจ็บสาหัสเสียเลือดมากจนหมดสติ เมื่อถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ไผ่เฝ้ารอการผ่าตัดอยู่หน้าห้อง จนเสร็จก็ยังเฝ้าดูแลเขาต่อด้วยความเป็นห่วง

วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว ที่ไผ่เฝ้าภูวนัยอยู่ที่ห้อง เธอเหลือบมองนาฬิกาบนผนังบ่อยๆ เหมือนรอคอยอะไรอยู่

ภูวนัยเริ่มรู้สึกตัวแล้ว เขาเห็นไผ่นั่งที่โซฟา พยายามเรียกด้วยเสียงแหบพร่า “คุณ...”

ไผ่ดีใจมาก ผวาเข้าหาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ภูวนัยถามว่าตนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

“นายถูกยิงเพราะช่วยฉันไง...” เขาถามอีกว่าชาติกล้าตายแล้วใช่ไหม “อืม...ส่วนวศินก็โดนจับ รู้สึกว่าจะโดนหลายคดีเหมือนกัน”

ทันใดนั้นประตูห้องเปิดออก ม่านเมฆ ม่าน-หมอก และพรรษาเดินเข้ามาอย่างตื่นเต้น พอเห็นภูวนัยฟื้นแล้วก็ดีใจพากันเข้าไปหา ม่านเมฆถึงกับโผเข้ากอดจนม่านหมอกเตือนน้องให้เบาๆ เพราะอาภูยังไม่หายดี

“รู้แล้วน่า...เมฆแค่ดีใจ โตขึ้นเมฆจะเป็นอย่างอาภูให้ได้ครับ”

“เป็นยังไงคะคุณเมฆ” พรรษาถาม

“เอ้า...ก็เชื่อมั่นในการทำดีไงครับ”

ภูวนัยยกมือลูบหัวม่านเมฆอย่างเอ็นดู ทุกคนยิ้มแย้มมีความสุข ไผ่พญามองอย่างมีความสุขด้วย ลุกขึ้นบอกทุกคนว่าเดี๋ยวมานะ แล้วเดินออกไป ภูวนัยถามว่าจะไปไหน ม่านหมอกตอบแทนว่า

“แหม...ก็ครูไผ่เอาแต่เฝ้าอาภูไม่ได้ออกไปไหนเลย อาภูปล่อยครูไผ่ไปเดินเล่นบ้างเถอะ”

ไผ่สบตากับพรรษาอย่างรู้กัน ก่อนหันหลังเดินออกไป

ภูวนัยมองตามไผ่พญาไปด้วยแววตาอ่อนโยน นาทีนี้...เขารู้แล้วว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกับเธอ...

ที่แท้ไผ่พญานัดตะวันฉายให้มารับเพื่อเดินทางไปอเมริกาด้วยกัน ตะวันฉายถามอีกครั้งว่าเธอแน่ใจแล้วหรือ ไผ่ทำได้แค่พยักหน้าเศร้าๆ

ภูวนัยเห็นไผ่หายไปนานจึงให้พรรษาออกไปดู พรรษาจึงจำต้องบอกความจริงว่าไผ่พญาไปแล้ว วันนี้เป็นวันที่ไผ่ต้องเดินทางไปอเมริกากับตะวันฉาย

หลังจากอึ้งไปนาน ภูวนัยพยายามลุกเดินออกจากห้อง พรรษาตามมาขอร้องว่าไผ่พญาฝากบอกเขาไว้ว่าอย่าตามเธอไปเพราะ “ถ้าคุณไผ่เห็นคุณ เธอจะไม่สามารถไปจากที่นี่ได้” ทำให้ภูวนัยยิ่งสะเทือนใจวิ่งลงบันไดไปอย่างลืมความเจ็บปวด

ระหว่างนั้นม่านหมอกกับม่านเมฆตามออกมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น พรรษาบอกม่านหมอกว่า

“น้าคิดว่า คุณภูกับคุณไผ่ สองคนนั่นเขารักกัน”

“ว่าแล้วเชียว” ม่านเมฆอุทานอย่างแก่แดด ส่วนม่านหมอกพึมพำแต่ว่า...มันเป็นไปได้ยังไง?

“ในความรักไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ” พรรษาบอก แล้วทั้งสามก็ได้แต่มองหน้ากันด้วยความเป็นห่วงภูวนัย

ooooooo

ภูวนัยขับรถบ่ายหน้าไปสนามบิน ใจจดจ่ออยู่กับไผ่จนลืมความเจ็บปวดที่บาดแผล แม้เลือดจะซึมออกมาก็ไม่สนใจ ภาวนาไปตลอดทางว่า

“ไผ่...รอผมด้วยนะ”

ภูวนัยไปถึงสนามบินตรงไปที่บอร์ดตารางบิน ดูนาฬิกาเห็นว่ายังพอมีเวลา เขากัดฟันทนความเจ็บปวดเดินหาไผ่แต่ไม่เห็น พลันก็ได้ยินเสียงประกาศเตือนผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่อง ภูวนัยฉุกคิดขึ้นได้รีบเดินออกไปทันที

ไผ่พญาผ่านช่องตรวจหนังสือเดินทางและเดินเข้าข้างในแล้ว ขณะเธอเดินใจหายไปยัง GATE นั้น ก็ได้ยินเสียงภูวนัยประกาศผ่านลำโพง

“ไผ่...ได้ยินฉันไหม...” ไผ่พญาใจหายวาบยืนตัวชา “ผมรู้ว่าคุณต้องไป แต่ก่อนที่คุณจะไป ขอผมเจอคุณอีกครั้งได้ไหม”

ไผ่ยืนอึ้ง ตะวันฉายบอกว่ายังมีเวลา ให้เธอไปหาภูวนัยเถิด ไผ่มองหน้าเขา เธอเห็นถึงความจริงใจและห่วงใยในดวงตานั้น ในขณะที่ภูวนัยก็ยังพูดออกไมค์ว่า “ไผ่...คุณจะไปอย่างนี้โดยไม่ฟังผมบอกความ รู้สึกของผมเลยรึไง...”

ไผ่พญาตัดสินใจออกไปพบภูวนัย เขาถามว่าเธอจะไปอเมริกาจริงๆหรือ เธอชอบตะวันฉายใช่ไหมไผ่พญาบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ภูวนัยถามอย่างตัดพ้อว่า

“แล้วทำไมคุณต้องไปอีก ถ้าคุณไม่ชอบเขาแล้วคุณไปทำไม”

“เพราะคุณตะวันต้องไปผ่าตัดเนื้อร้ายในสมองไง ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว แล้วถ้าฉันไม่ไปกับเขา...”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปเถอะ” ภูวนัยขัดขึ้น เมื่อไผ่มองหน้า เขาบอกเธอว่า “ผมจะรอ ไม่ว่าคุณจะไปกี่วัน กี่เดือนเป็นปีหรือสิบปีผมก็จะรอ”

ไผ่ถามว่าแน่ใจหรือ ถ้าตนไปยี่สิบปี สามสิบปี และถ้าไป...ภูวนัยตัดบทว่ากี่ปีตนก็จะรอ ไผ่สบตาเขาอย่างลึกซึ้งบอกเขาว่า

“บางที ฉันไปอย่างนี้ มันอาจจะทำให้เรารู้จักตัวเราเองมากขึ้น...เราจะได้รู้ว่า...ฉันอยู่โดยไม่มีนายได้ไหม และนายก็อยู่โดยไม่มีฉันได้หรือเปล่า...ฉันไปนะ”

ภูวนัยนิ่งฟังอย่างเข้าใจ เขายืนมองไผ่เดินหาย ไปข้างใน แม้จะเจ็บปวด ใจหาย แต่ก็เข้าใจ...

ooooooo

หนึ่งปีผ่านไป...

ภูวนัยยังรอคอยการกลับมาของไผ่อย่างมั่นคง จนบางครั้งเก็บไปฝันว่าเธอกลับมาแล้ว ภูวนัยมีความสุข

มากในยามฝัน ตื่นขึ้นมา เขายังมีความสุขกับฝันนั้น...

ครอบครัวกลับมาอยู่ร่วมกันเหมือนเดิมที่ฟาร์มสุขแล้ว ทุกคนอยู่กันอย่างมีความสุขด้วยความเข้าใจกัน

ม่านหมอกโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก เธอช่วยพรรษา ดูแลเรื่องอาหารการกินได้อย่างถนัดถนี่ และปีนี้เธอ ก็จะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแล้ว

ภูวนัยกลายเป็นคนมุ่งมั่นทุ่มเทกับการทำงานมาก...มากเสียจนพรรษาออกปากว่า

“คุณภูรู้ไหมคะ เดี๋ยวนี้คุณภูทำงานยิ่งกว่าคุณเผ่าตอนหนุ่มๆเสียอีก จะเจอคุณภูแต่ละทีก็โน่น... ตอนที่คุณภูนอนแล้ว” ภูวนัยถามว่าแล้วไม่ดีหรือ “มันก็ดีค่ะ...ถ้างานมันทำให้คุณภูมีความสุขจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำงานเพราะต้องการลืมใครบางคน...น้ารู้นะคะว่าที่คุณภูทำอย่างนี้เพราะไม่อยากคิดถึง

คุณไผ่ใช่ไหม...ปีนึงแล้วนะคะ ที่คุณไผ่ไม่ติดต่อมาเลย คุณภูยังจะรออีกเหรอคะ”

“ไม่ว่าจะกี่ปีผมก็จะรอ”

ขณะนั้นเอง เด็กรับใช้มาบอกว่ามีคนมาหา ภูวนัยกับพรรษาแปลกใจว่าใครมา พอออกไปเห็นขิงกับกระดังงา ทั้งสองมาในมาดดูดี บอกว่าถูกรางวัลใกล้เคียง รางวัลที่หนึ่ง เลยเอาเงินที่เอาจากเผ่าพงศ์ไปมาคืน

“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณพ่อผมคงดีใจที่เงินของท่านได้มีโอกาสช่วยคุณสองคน” กระดังงาขอให้รับไว้ เพราะตนฝันทุกคืนว่าท่านมาทวง ถ้าไม่เอามาคืนจะหักคอ “ถ้าคุณสองคนอยากสบายใจ ผมว่าเงินนั่นไม่ต้องเอามาคืนผมหรอกครับ ผมว่าคุณพ่อคงอยากให้คุณสองคนเอาเงินนั่นไปทำบุญ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านมากกว่า”

เมื่อภูวนัยปรารถนาเช่นนั้น ขิงกับกระดังงาจึงทำตามประสงค์ ก่อนกลับได้มอบถุงใบหนึ่งให้ภูวนัย ขอให้เขารับไว้ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพวกตนก็แล้วกัน ภูวนัยจึงรับไว้ พรรษาถามว่าสองคนแต่งตัวแบบนี้จะไปไหนกันหรือ

ทั้งสองเล่าอย่างภูมิใจว่า ตอนนี้ได้เปิดสำนักงานสืบอยู่ เพราะหลังจากที่ได้ปฏิบัติภารกิจกับภูวนัยแล้ว คิดว่าเราสองคนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ทั้งสองเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเสียใหม่ให้ดูน่าเชื่อถือ ขิงเปลี่ยนเป็นจอร์จ และกระดังงาเปลี่ยนเป็นซาร่า

“ไผ่ติดต่อมาบ้างหรือเปล่าครับ” ภูวนัยตัดสินใจถาม ทั้งคู่ชะงัก แล้วกระดังงาก็ตอบมั่วๆว่า ไผ่บอกว่าตอนนี้อยู่มอสโก พอถูกขิงขัดคอว่านั่นมันรัสเซีย กระดังงาเปลี่ยนเป็นเป็นโซล ขิงขัดอีกว่านั่นมันเกาหลีใต้ ตัดบทอย่างอ่อนใจว่า

“พอเถอะ พวกเราไปก่อนนะครับคุณภู พอดีเราต้องรีบไปปฏิบัติภารกิจต่อน่ะครับ...ลาแล้วนะครับ”

ทั้งสองยกมือไหว้ลาภูวนัยกับพรรษาแล้วรีบเดินออกไปในมาดนักธุรกิจ

ภูวนัยมองตาม ปล่อยความคิดให้คำนึงถึงไผ่อยู่เงียบๆ...

ooooooo

วันนี้ม่านหมอกไปมหาวิทยาลัยเป็นวันแรก ภูวนัยไปส่ง ถามว่าจะให้เข้าไปเป็นเพื่อนไหม

“หมอกโตแล้วนะคะ เพื่อนหมอกเยอะแยะ ไม่ต้องหรอกค่ะ” ม่านหมอกยิ้มให้แล้วเดินเข้าไปในอาคารอย่างร่าเริง ภูวนัยยังอยู่ตรงนั้น มีโทรศัพท์เข้ามือถือ เขาดูเบอร์แล้วรับสาย

เป็นสายจากอภิวัฒน์ โทร.มาแล้วนัดพบกันที่ร้านกาแฟ อภิวัฒน์แจ้งข่าวว่าสมสุขตายแล้ว ภูวนัยตกใจไม่คิดว่าเจ้าพ่อใหญ่อย่างสมสุขจะมีวันนี้

“สมสุขมันเป็นคนฉลาด...ที่มันให้เราเปิดโปงวศิน ก็เพราะตัวมันเป็นคนที่ได้อานิสงส์ไปเต็มๆ”

“ครับ...เพราะหลังจากที่วศินโดนจับ ผมได้ข่าวว่าอิทธิพลของมันแทบจะแผ่ไปทุกพื้นที่แล้ว... เอ่อ...สมสุขตายยังไงครับ”

อภิวัฒน์เล่าว่า สมสุขไปเที่ยวผับ หิ้วสาวๆออกมามีลูกน้องตามเป็นโขยง เขาขอกุญแจรถบอกว่า วันนี้จะขับเอง แล้วโอบสาวๆเดินไปที่รถ

พอไปถึงรถ เจอขี้ยาคนหนึ่งกำลังงัดรถเขาอยู่ สมสุขพรวดเข้าไปถามอย่างผู้ยิ่งใหญ่ว่า

“จะขโมยรถฉันเหรอ แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร” พูดขาดคำก็ถูกขี้ยาใช้ไขควงกระซวกเข้าที่ท้อง สมสุขกุมท้องทรุดลง ขี้ยากระชากไขควงออกแล้วแทงซํ้าๆ จนสมสุขแน่นิ่งมันจึงวิ่งหนีไป ทิ้งสมสุขนอนตายอย่างน่าอนาถข้างรถหรูของตัวเอง

เล่าแล้ว อภิวัฒน์สรุปว่า “ก็อย่างนี้แหละ คนเป็นเจ้าพ่อก็เหมือนขาข้างหนึ่งก้าวลงในโลงศพ ถึงสมสุขจะไม่ตายวันนี้ ยังไงก็ต้องมีคนที่คิดจะล้มเพื่อมายืนอยู่ในตำแหน่งนั่นอยู่แล้ว” พูดแล้วเปลี่ยนเรื่อง ถามว่า “หมวดจะไม่เปลี่ยนใจเรื่องที่ผมชวนหมวดกลับเข้ามาเป็นตำรวจจริงๆหรือ”

“ครับท่าน ผมตัดสินใจแล้ว” อภิวัฒน์กล่อมว่าแต่ตำรวจเราต้องการคนดีอย่างเขา “ไม่หรอกครับ ผมว่าสังคมต้องการคนดีต่างหากครับ”

“เอาล่ะ ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับตำรวจที่ดีอย่างคุณ” อภิวัฒน์ลุกขึ้นยืนทำวันทยหัตถ์ให้ภูวนัย ภูวนัยลุกยืนตรงทำวันทยหัตถ์ตอบ ต่างยิ้มอย่างภูมิใจให้กันก่อนแยกไป

ภูวนัยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่ของตน...

ooooooo

ภูวนัยกลับไปที่มหาวิทยาลัย หยิบขนมขบเคี้ยว ที่ซื้อมาฝากม่านหมอก จึงเห็นถุงที่ขิงกับกระดังงาเอามาให้ เขาจึงหยิบติดมือไปด้วย

ในถุงเป็นหนังสือนิยายเรื่อง “คู่วุ่นลุ้นแผนรัก” เขียนโดย “เด็กเลี้ยงแกะ” เขาพลิกอ่านผ่านๆ ขณะละสายตาจากหนังสือก็เห็นโปสเตอร์ที่ติดที่ผนังตึกว่า “พบกับเด็กเลี้ยงแกะ” ผู้เขียน “คู่วุ่นลุ้นแผนรัก” ที่จะมาบอกทุกขั้นตอน ทุกเรื่องราวได้ที่ห้องประชุมเล็ก ภูวนัยรีบเดินไปทันที

เข้าไปในห้องประชุมเล็ก ภูวนัยเห็นผู้คนกำลังต่อ แถวยาวขอลายเซ็นผู้เขียนนิยาย โดยมีพิธีกรบรรยายไปด้วย เขาเดินเข้าไปดูผู้ใช้นามปากกา “เด็กเลี้ยงแกะ” ก็ถึงกับชะงักงัน เพราะคือไผ่พญานั่นเอง!

บรรดาแฟนคลับต่างชื่นชมนิยายเรื่องนี้ ชมว่าสนุกมาก ถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า บ้างก็ถามว่า ทำไมนิยายไม่มีตอนจบ อยากรู้ว่าคุณไผ่พญาได้กับภูวนัยหรือเปล่า

“คุณภูออกตามหาไผ่พญาจนพบ หลังจากนั้น คุณภูก็พาไผ่พญาไปเที่ยวสวนสนุกตามที่เคยสัญญาเอาไว้กับเธอ” ภูวนัยตอบแทนแฟนคลับคนนั้น ไผ่พญาเงยขวับ อุทานอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง ไม่ทันทักถามอะไรกัน ภูวนัยก็ต่อว่าเธอว่า “ใครให้คุณเอาเรื่องของเราไปเขียน”

บรรดาแฟนคลับพากันถามว่าเขาคือภูวนัยในนิยายใช่ไหม พอภูวนัยรับว่าใช่เท่านั้น แฟนคลับก็กรูกันเข้าห้อมล้อมขอลายเซ็น ต่างกรี๊ดกันเซ็งแซ่ว่าตัวจริงหล่อมากเลย ไม่เพียงแต่แฟนคลับแถวนั้น แต่บรรดาผู้คนในห้องประชุมต่างเดินมาทางเขาราวกับสายธารที่ไหลหลากมาทางเดียวกัน จนภูวนัยตกใจ

“วิ่ง!!” ไผ่พญาคว้ามือภูวนัยพาวิ่งออกจากห้องประชุมไป

ooooooo

หนีออกมาหยุดที่มุมสวยในมหาวิทยาลัย ภูวนัยถามไผ่ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร เธอบอกว่าพอสมควรแล้ว เขาตัดพ้อว่าทำไมไม่บอกกัน เธออ้อมแอ้มว่า ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของเขาจะเหมือนเดิมหรือเปล่า ภูวนัยแกล้งโมโหที่เธอเอาเรื่องของตนไปเขียน ไผ่พญาซื่อรีบขอโทษ ภูวนัยไม่ยอม เรียกร้องค่าลิขสิทธิ์ จู่โจมหอมแก้มเธอทันที หอมแล้วถามว่า

“ทีนี้รู้หรือยังว่าผมรู้สึกยังไง” ว่าแล้วกอดเลย ทำท่าจะหอมซํ้าอีก อ้างว่าเธอยังไม่ตอบเพราะอาจจะยังไม่รู้

“โห...ไม่รู้ก็บ้าแล้ว ปล่อยฉันได้แล้ว” ไผ่โวยเขินๆ ภูวนัยกระซิบขอบคุณ เธอถามว่าขอบคุณเรื่องอะไร

“ก็ที่คุณทำให้ผม...มีชีวิตกลับมาอีกครั้ง คุณ

รู้ไหม ตั้งแต่คุณไป ผมเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น...ไผ่...ผมรักคุณนะ” ภูวนัยก้มจะหอมอีก

“อะไร...คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหน คิดจะจูบก็จูบง่ายๆรึไง” ไผ่พญาผละออกจะเดินไป ภูวนัย คว้าแขนไว้ ทั้งคู่มองหน้ากันเต็มตา ต่างนิ่งกับแววตาที่เผยความรู้สึกต่อกัน ภูวนัยเอ่ยอ้อนๆว่า

“คุณให้ชีวิตใหม่กับผม แล้วคุณจะทำลายมันด้วยการเดินจากผมไปอีกเหรอ...ชีวิตและหัวใจของผมเป็นของคุณแล้ว ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคุณ...ไผ่...ผมรักคุณ”

ภูวนัยจุมพิตไผ่พญาอย่างแผ่วเบาด้วยความรัก ไผ่หลับตาพริ้ม ซึมซาบความรู้สึกนั้นอย่างมีความสุข...

ooooooo

*******อวสาน********

อ่านละคร คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนอวสาน วันที่ 3 มิ.ย. 56

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะโดย บทประพันธ์ เล่าเต็ง
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ บทละคร โดย อภิวัฒน์ เล่าสกุล
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะผลิตโดย : บริษัท กำกับการดี จำกัด
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะนำแสดงโดย : ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ - ไปรยา สวนดอกไม้
ติดตามชมคุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะได้ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ
ที่มา ไทยรัฐ