อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 2
เช้านี้ จางวางจ่ายค่าตัวให้ลูกน้องในวง เสงี่ยมมายืนรอสีหน้าอิ่มเอิบ พอนับเงินเสร็จก็ส่งให้“อย่าเอาไปลงขวดเหล้าหมดล่ะ” จางวางดักคอ
“ไม่จิบสักหน่อยมันก็ไม่พลิ้วสิ ท่านจางวาง” เสงี่ยมมือฆ้องหงส์ตอบหน้ากริ่มรับเงินแล้วออกไปเลย
จางวางเห็นพิกุลยกสำรับกับข้าวมื้อเช้าเข้ามาพร้อมเอื้อยกับสุดก็บอกพิกุลว่าจัดสำรับเสร็จแล้วให้มารับค่าตัวด้วย พิกุลรับคำงงๆ แต่พอมารับเงินเห็นสายตาพ่อพิกุลรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับผิด
จางวางส่งเงินให้ พอพิกุลยื่นมือไปรับพ่อกลับหยิบปี่ของพิกุลที่ยศเอาขว้างงูส่งให้พร้อมเงินค่าตัวว่า
“ปี่ของเอ็งไปอยู่ที่ท่าน้ำได้ยังไง”
พิกุลนิ่งไปสักพัก แล้วปดว่าเมื่อคืนตนไปซ้อมที่ท่าน้ำแล้วลืมไว้ ว่าจะไปเอาแต่พ่อก็เก็บมาให้ก่อน จางวางถามว่าเมื่อคืนซ้อมเพลงอะไร พิกุลบอกว่าทยอยเดี่ยว จางวางจ้องหน้าถามว่า ปี่เลานี้รึ?
พิกุลไม่ตอบ จางวางก็ไม่ซักต่อ เลื่อนปี่ให้พิกุลรับปี่แล้วรีบออกไปเลยจนจางวางต้องเตือนให้เอาค่าตัวไปด้วย พิกุลจึงเข้าไปเอาค่าตัวออกมาอย่างโล่งอก
พอดีกำนันเดินขึ้นเรือนมาบอกว่ามีธุระด่วนพลางยื่นจดหมายให้ จางวางรับจดหมายตามองกำนันอย่างสงสัย ทุกคนตรงนั้นก็มองจางวางเปิดซองจดหมายใจจดใจจ่อ
พิกุลรับปี่แล้วเดินไปที่ท่าน้ำมองไปฝั่งตรงข้ามเห็นแต่ความว่างเปล่า พิกุลใจสะท้าน มองปี่พึมพำ
“ขอบใจมากนะ นายยศ”
แต่พอจับปี่จะเป่าจึงรู้ว่าปี่แตกไม่อาจใช้ได้อีก ขณะกำลังใจหาย จางวางก็ตามมายืนกอดอกบอก
“เอ็งเป่าทยอยเดี่ยวให้พ่อฟังหน่อย พิกุล”
พิกุลมองปี่ที่แตก หน้าเสียเมื่อถูกจับได้แต่ก็เป่าอย่างตั้งใจทั้งที่เสียงเพี้ยน จางวางจ้องจนพิกุลหยุดเป่าถามว่าเอ็งเป่าทั้งที่รู้ว่าปี่แตกรึ พิกุลสารภาพ “ฉันผิดไปแล้วจ้ะพ่อ”
“ปี่ของเอ็ง แต่เอ็งกลับดูแลรักษาไม่ได้ ปี่ร้าวเช่นนี้ ไม่มีครูบาอาจารย์แล้ว เอ็งจำเริญลงน้ำไปเสียเถอะ” พิกุลขอขมาพ่อที่ดูแลรักษาของของพ่อไม่ได้ “ข้าจะหาปี่เลาใหม่ให้ก็ต่อเมื่อเห็นว่าถึงเวลาสมควรแล้วเท่านั้น”
ไม่ว่าพิกุลจะสารภาพผิด ขอขมา ร้องไห้อย่างไรจางวางก็ใจแข็ง แล้วเดินออกไป พิกุลหยิบปี่เลานั้นขึ้นเหมือนตัดใจจะปล่อยลงน้ำ....
ooooooo
จางวางเดินขึ้นเรือนมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เพียรเห็นรีบเข้าไปถามว่าลูกดีใจมากใช่ไหมที่มีเทียบเชิญไปประชัน จางวางบอกว่ามันทำตนเสียใจเหลือเกิน เพียรถามว่าพิกุลไม่เอาด้วยหรือ
“แม่เพียรไปถามมันเองเถอะ” จางวางตอบเสียงขุ่นแล้วเดินเข้าเรือนไปเลย เพียรสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบเดินไปที่ท่าน้ำ เอื้อยแอบได้ยินเลยรีบตามเพียรไป
พอเพียรไปถึงท่าน้ำเห็นพิกุลร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ก็เข้าไปปลอบ พิกุลเห็นแม่ก็ยิ่งเสียใจร้องไห้หนักบอกแม่ว่าตนผิดไปแล้วที่โกหกพ่อว่าใช้ปี่เลานี้ซ้อมทั้งที่ปี่แตกเป่าไม่ได้อีกแล้ว เพียรตกใจถามว่าทำไมต้องโกหก พอถูกแม่คาดคั้นพิกุลก็อึกอักไม่กล้าเล่าความจริงเรื่องตนกับนายยศให้ฟัง
เอื้อยเห็นพิกุลลำบากใจมากก็ช่วยแก้ต่างหน้าตายว่า
“โธ่เอ๊ย...พิกุล เอ็งโกหกพ่อจางวางเพราะช่วยข้าใช่ไหม” เพียรหันมาสนใจเอื้อยทันที พิกุลมองเอื้อยงงๆ เอื้อยเล่าต่อเป็นปี่เป็นขลุ่ยว่า “ตอนที่ฉันมาซ้อมเป็นเพื่อนพิกุล ฉันให้มันสอนเป่าปี่ แต่ฉันถนัดจับแต่ฉิ่ง มาจับปี่เลยไม่ถนัด ทำหลุดมือร่วงไปกระแทกขั้นบันไดเข้าให้ เพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่ามันแตกเสียแล้วใช่ไหมพิกุล”
เอื้อยโยนคำถามกลับไปที่พิกุลที่ยังงงๆ เห็นสายตาเอื้อยให้เออออห่อหมกด้วย แต่พิกุลไม่อยากโกหก เอื้อยเลยชิงพูด
“ให้ฉันไปพูดกับพ่อจางวางก็ได้นะแม่เพียร ถ้ารู้เรื่องว่ามันเป็นยังไง พ่อจางวางจะได้คลายโกรธพิกุลบ้าง” ทำเป็นซาบซึ้งพิกุลว่า “โธ่...ไม่น่าต้องมาโกหกแทนกันเลย...พิกุล ฉันจะไปพูดกับพ่อจางวางเองนะจ๊ะ”
“ไม่ต้อง ข้าพูดเอง!!” เพียรบอก
“เอื้อยรักแม่เพียรที่สุดเลย แม่คุณทูนหัว” เอื้อยประจบเต็มที่ เพียรเชื่อสนิท บอกพิกุลว่า “พ่อเขาหายโกรธแล้วคงหาปี่ใหม่ให้หรอก เอ็งอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลย”
“จ้ะแม่” พิกุลรับคำไม่เต็มเสียงนัก แต่ก็โล่งใจที่รอดตัวไปได้ มองหน้าเอื้อยอย่างรู้กันสองคน
ฝ่ายจางวางกลับมานั่งสงบสติอารมณ์ที่ห้องพระ หยิบปี่ขึ้นมาดูสงสัยว่าพิกุลปิดบังอะไรอยู่ แต่คิดถึงเสียงปี่ที่ได้ยินก็รู้สึกคุ้นหู จางวางเริ่มสับสนสงสัยว่าหรือหูแว่วไปเอง เก็บปี่ใส่กล่องแล้วออกจากห้องพระไป
เมื่อพิกุลออกไปตลาดกับสุดและเอื้อย เอื้อยบอกว่าถ้าเป็นตนก็คงไม่พูดเหมือนกันเพราะตายศนั่นก็เป็นผู้ชายแปลกหน้า ถึงบอกว่าช่วยชีวิตไว้ พ่อจางวางก็ต้องซักจนเถียงไม่ออกแน่ๆ พิกุลติงว่าแต่ตนก็ไม่น่าปดพ่ออย่างนั้น
“เรื่องจวนตัวก็ต้องปดเอาตัวรอดไปก่อนสิ ฉันรู้ว่าแม่พิกุลเป็นคนตรง ปดใครแล้วไข้มันจะขึ้น” แล้ว
ทำตาวิบวับถามว่าตายศน่ะรูปงามเพียงใด พอพิกุลบอกว่าหน้าตาก็เหมือนอย่างพี่อ้นกับอ่ำนั่นแหละ
“โธ่เอ๊ย...คิดว่าเป็นชายสูงศักดิ์”
“สูงศักดิ์ก็ใช่จะดีเสียทุกคนเมื่อไร ดูอย่างพระสรรพ์ ทำให้พ่อเจ็บใจแค่ไหนเอื้อยก็รู้เห็นอยู่” เอื้อยกระเซ้าว่าแก้ต่างให้ตายศหรือ มันยังไงกันแน่แม่พิกุล “ฉันก็พูดให้คิดเท่านั้น”
เอื้อยทำหน้าไม่เชื่อ พิกุลทำเป็นไม่สนใจเลี่ยงไปหาสุด เอื้อยยิ้มขำพึมพำ
“หยอกแค่นี้ ทำเป็นร้อนตัวไปได้”
ooooooo
วันนี้...ขณะจางวางพ่วงซ่อนปี่ในที่ลับตา เพียรมาเห็นถามว่าทำอะไรหลบๆซ่อนๆ จางวางตัดบทว่ามาจ้องจับผิด ตนไม่ชอบ เพียรว่าลูกก็ไม่ชอบให้พ่อจับผิดเหมือนกัน แล้วเล่าเรื่องปี่แตกให้ฟัง
จางวางฟังแล้วถามว่าอย่างนั้นรึ หมดธุระแล้วใช่ไหม แล้วเป็นฝ่ายเดินออกไป พอเดินถึงหน้าเรือนก็เจอเสงี่ยมมารอถามเรื่องประชันวงว่าจะเอาอย่างไร จางวางบอกว่ายังไม่ตัดสินใจ
เสงี่ยมยกมือไหว้ขอร้องว่าอย่าปฏิเสธกำนันเลย ยิ่งได้ประชันกับสำนักบ้านเขางูที่เลื่องลือด้วยใครก็คงไม่ปฏิเสธหรอก จางวางบอกว่าตนไม่อยากรับปากพล่อยๆ เพราะปี่พิกุลแตกใช้การไม่ได้ เสงี่ยมบ่นเสียดายโอกาสแทนแม่พิกุลจริงๆ
จางวางบอกว่าตนจะตามใจพ่อเหงี่ยม เพราะไม่อยากให้เรื่องแค่นี้ขวางความตั้งใจของลูกวงคนอื่น เสงี่ยมดีใจบอกว่า “ได้ประชันกับบ้านเขางูครั้งนี้ ฉันจะเล่นให้หมอบเลย”
พิกุลได้ยินว่าจางวางรับประชันก็เสียใจผละไป เอื้อยตามไปตำหนิว่าเพราะตายศทำให้พิกุลเสียโอกาส บ่นว่าพ่อจางวางก็ช่างไม่เห็นหัวลูกตัวเองเสียเลย
“เอาเถอะน่า ไม่ได้ประชันงานนี้ ก็ต้องมีงานหน้า” เอื้อยปลอบ พิกุลว่าหรือจะไม่มีวันเลยก็ได้ เอื้อยปลอบเมื่อเห็นพิกุลคิดมากว่า “ไม่เอาน่า อย่าเพิ่งหมดหวังสิ”
ooooooo
ฝ่ายหลวงราชถูกเจ้าคุณพิชัยเดชาให้ตำรวจถือจดหมายไปสั่งให้กลับพระนครทันทีที่เปิดจดหมายนี้ หลวงราชจำต้องกลับตามคำสั่ง แต่กลับไม่ทัน
ถึงวังเห็นว่ายังหัวค่ำก็ไปเที่ยวกับหลวงโชติและหลวงแจ่มที่ยูไนเต็ดคลับทั้งที่อยู่ในชุดชาวบ้าน
คืนนี้... ม.ล.ดาวจรัสหรือหญิงดาวกับ ม.ล.เดือนกระจ่างหรือหญิงเดือนคู่แฝดลูกสาวเจ้าพระยายุทธนา หลานสาวเจ้าพระยาพิชัยเดชาควงหนุ่มนักเที่ยวสองคนมาเช่นกัน แต่พอมาถึงหญิงเดือนก็ควงชายหนุ่มแยกไป ที่มุมหนึ่งของห้องที่หลวงโชติ หลวงแจ่มกับหลวงราชกำลังชนแก้วกันอยู่ หญิงเดือนชวนคุณหลวงโชติกับ
หลวงแจ่มไปออกสเต็ปด้วยกัน หลวงโชติมองหลวงราชถามหญิงเดือนว่า “แล้วเพื่อนกระผมล่ะขอรับ”
“เพื่อน?” หญิงเดือนมองหลวงราชที่แต่งชุดชาวบ้านปราดเดียวก็เมินพูดกลั้วหัวเราะ “แหม...คุณหลวงช่างมีอารมณ์ขันนะเจ้าค่ะ”
หลวงราชฟังแล้วยิ้มน้อยๆอย่างไม่ถือสา ฝ่ายหญิงดาวกำลังคุยกับคู่ควงอย่างสนุกสนานเห็นหญิงเดือนกำลังถูกหลวงโชติกับหลวงแจ่มรายล้อม หญิงดาวเห็นหญิงเดือนมองอยู่อย่างหมั่นไส้ก็เชิดใส่
หลวงราชเห็นกิริยาของสองพี่น้องก็ยักไหล่อย่างไม่ถือสา ก้มมองตัวเองในชุดชาวบ้านในคลับหรูแล้วยิ้มอย่างเข้าใจ
ooooooo
หลวงราชกลับถึงห้องนอนก็บ่นกับมุดว่าเสียดายถ้าไม่โดนลากกลับจากสุพรรณก่อนป่านนี้คงได้ฟังปี่ที่ท่าน้ำให้ชื่นใจแล้ว เปลี่ยนเสื้อแล้วหยิบดอกปีบเหี่ยวๆออกจากกระเป๋ารำพึงถึงเจ้าของปี่ด้วยสีหน้าแช่มชื่นว่า
“หล่อนได้ของคืนแล้ว จะดีใจถึงเพียงไหนนะ”
ขณะกำลังคิดเคลิ้ม มุดก็เข้ามาบอกว่า
“ท่านเจ้าคุณจะพาคุณหลวงเข้ากระทรวงพรุ่งนี้เช้านะขอรับ กระผมแขวนเสื้อไว้ให้แล้ว”
หลวงราชพยักหน้า โบกมือให้มุดออกไป แล้วจึงคลายมือออกเอาดอกปีบเหี่ยวๆนั้นใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านในที่มุดเอามาแขวนไว้ให้ ยิ้มอย่างมีความสุข
ฝ่ายพิกุลมองไปที่ท่าน้ำเห็นแสงตะเกียงวอมแวมก็คิดถึงนายยศที่ชูปี่ให้ดูเพ่งมองจึงเห็นว่าเป็นชาวบ้านที่มาอาบน้ำที่ท่า พิกุลสีหน้าผิดหวังรำพึงในอก
“นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ...นายยศ”
แล้วพิกุลก็สะดุ้งเมื่อจางวางเข้ามาถามว่า “แม่เอ็งบอกว่านังเอื้อยทำปี่แตกหรือ” พิกุลยังรู้สึกผิดที่ปดพ่อ จางวางรุกให้พิกุลเล่าเรื่องเอื้อยทำปี่แตก พิกุลเลยยิ่งอึกอัก จางวางจับพิรุธได้ถามว่า “หรือเอ็งมีอะไรปดข้าอีก” เมื่อพิกุลนิ่งเงียบ จางวางแน่ใจว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ พูดอย่างเสียใจว่า
“เช่นนั้นข้าจะไม่ถามเอ็งอีกพิกุล...ถึงข้าจะพอใจที่เอ็งไม่ปดข้าแต่เอ็งกลับบีบหัวใจข้าด้วยไม่เห็นว่าข้าเป็นพ่อที่สมควรได้รู้เรื่องที่เอ็งอัดอั้นใจ...หากเอ็งทนอัดอั้นใจได้ ข้าจะไม่เกี่ยวข้อง นับแต่พรุ่งนี้ เอ็งไม่ต้อง กลับมาร่วมวงอีก” ซ้ำสั่งเชยจงใจให้พิกุลได้ยินว่า “เสร็จงานประชันแล้ว เอ็งมากินนอนอยู่ที่นี่เสียเลย ข้าจะได้ไม่ต้องหาคนปี่ใหม่”
“พี่พ่วง...แล้วลูกพี่ล่ะ” เพียรตกใจ
“ถ้ามันยังอยากเป็นคนปี่...ก็ให้มันไปหาวงอยู่เองเถิด”
พิกุลเจ็บปวด น้อยใจลงจากเรือนไป เพียรมองจางวางเคืองๆ จางวางตำหนิเพียรว่า
“แม่เพียรเอาใจมันจนเสียนิสัย เมื่อไม่เห็นหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ แล้วจะเอาไว้ทำไม”
พิกุลหลบมาร้องไห้ เอื้อยขอให้หยุดร้องเพราะพิกุลยิ่งร้องตนก็ยิ่งใจเสีย ตำหนิตัวเองว่าไม่น่าโกหก
จาง วางเลย บอกพิกุลให้เล่าความจริงให้จางวางฟังเถอะตนจะสารภาพผิดเอง พ่ออาจจะหายโกรธก็ได้
พิกุลพูดทั้งน้ำตาว่าให้พ่อว่าตนไม่ใช่คนปี่ที่ดีอย่างใจพ่อยังจะง่ายกว่าให้พ่อยอมฟังคำอธิบายเรื่องวันนั้น ตัดใจบอกเอื้อยว่าปล่อยให้พ่อคิดอย่างนี้ไปเถิด เอื้อยถอนใจพึมพำไม่รู้จะช่วยพิกุลยังไง
วันต่อมากำนันไปที่เรือนจางวางเพื่อขอคำตอบ ถ้าจางวางไม่เปลี่ยนใจตนก็จะส่งจดหมายแจ้งท่านเจ้าคุณวันนี้เลย จางวางตอบอย่างท้าทายว่า “อย่าช้าไปกว่านี้เลยกำนัน”
กำนันดีใจมาก บอกว่างานสมโภชหลวงพ่อปีนี้ดูท่าจะครึกครื้นทั้งที่ยังไม่ได้เริ่ม สัญญาว่าตนจะดูแลไม่ให้มีการพนันเข้ามายุ่งเกี่ยว เงินทุกบาททุกสตางค์เอาเข้าวัดหมด ยิ้มพอใจว่า
“ท่านเจ้าคุณท่านจะได้ฟังปี่แม่พิกุลสมใจเสียที”
จางวางบอกว่านังพิกุลไม่ได้ประชันด้วยดอก กำนันว่าท่านเจ้าคุณก็ผิดหวังแย่น่ะสิ จางวางว่าฝีมือนายเชยก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่ากัน พอกำนันไป จางวางไปส่งที่บันได พูดทิ้งท้ายอย่างไม่แยแสว่า
“เรื่องมากขึ้นมา ก็ไม่ต้องเล่นให้ฟัง ก็แค่นั้น”
ooooooo
ที่วังสราญรมย์...เจ้าคุณต่วน เจ้าคุณพิชัย และหลวงราช นั่งอยู่ที่โต๊ะใต้ร่มไม้ใหญ่ หลวงราชเลื่อนกล่องไม้ใส่ของฝากให้เจ้าคุณต่วน หลวงราชเอ่ยขณะเจ้าคุณต่วนเปิดดูว่า เครื่องลายครามจากห้างเมเปิ้ล นครลอนดอน
เจ้าคุณต่วนเอ่ยว่ามีของติดไม้ติดมือมาก็ใช่ว่าตนจะรักใคร่เป็นพิเศษ หลวงราชบอกว่าตนมิได้หวังเช่นนั้นแต่เพราะรู้ดีว่าเจ้าคุณนิยมคนดีมีฝีมือมากกว่าพวกประจบสอพลอ แต่เห็นว่ากระเบื้องนี้งามสมราคาพอให้ท่านเจ้าคุณเอาไว้อวดแขกได้ เจ้าคุณบอกว่า
ก็พอได้ แต่ก็ไม่ดีที่สุดหรอก แล้วหันไปถามเจ้าคุณพิชัยว่า
“เห็นว่าต้องไปลากตัวกลับมาจากเมืองสุพรรณเชียวรึ ท่านเจ้าคุณ”
เจ้าคุณพิชัยบอกว่าลูกตนออกจะเกเรอยู่บ้าง ถึงต้องอาศัยบารมีท่านเจ้าคุณจัดการให้เข้าที่เข้าทาง เจ้าคุณต่วนเอ่ยว่าเป็นนักเรียนยุโรปก็ใช่ว่าตนจะเชื่อมือเสียทุกคน ไล่กลับไปก็มาก มองหลวงราชปรามในทีว่า
“ยิ่งรู้ว่าเสเพลไม่เอาถ่าน ฉันไล่มานักต่อนักแล้ว ...เมืองสุพรรณมีอะไรดีล่ะ”
“เห็นจะเป็นตลาดเจ๊กฮงขอรับ บ่อนที่นั่นคึกคักไม่แพ้คลับบางกอกเลยทีเดียว” หลวงราชพูดอย่างมีชีวิตชีวาจนถูกเจ้าคุณพิชัยเรียกปราม และเจ้าคุณต่วนก็เอ่ยอย่างประเมินว่า “ครบเครื่องไม่เบานะ”
หลวงราชบรรยายอย่างมีชีวิตชีวาว่า บ่อนสุพรรณน่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคลับในพระนครเสียอีก มีแต่พวกจากพระนครไปรวมหัวกันที่นั่น มีทั้งพวกรวมหัวกันจะเอาสัมปทานไฟฟ้า ทั้งคิดจะตั้งบริษัทเรือเมล์ไปถึงซัวเถา ที่เห็นก็ผู้นำของพวกจีนห้าภาษาทั้งนั้น หากเอ่ยชื่อมาก็คงคุ้นหูท่านเจ้าคุณ
เจ้าคุณต่วนมองหลวงราชอย่างสนใจ ขยับใกล้เข้ามาฟัง หลวงราชคุยติดลมว่า
“น่าแปลกนะขอรับ ที่พ่อค้าพวกนี้ไปเจรจาธุรกิจกันในบ่อนเมืองสุพรรณแทนที่จะเป็นบ่อนแถวสำเพ็งอย่างกับเป็นเรื่องลับ” เจ้าคุณต่วนถามทึ่งว่างั้นรึ หลวงราชตอบสบายๆว่า “ขอรับท่านเจ้าคุณ”
เจ้าคุณพิชัยมองเจ้าคุณต่วนอย่างประเมินท่าที พอคุณหญิงเกสรได้ฟังบรรยากาศการคุยกันที่วังสราญรมย์ก็เอ่ยปลื้มว่า “อย่างนั้นแม่ก็อวดได้แล้วสิ ว่าลูกยศของแม่จะเป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ”
คุณหญิงเกสรหมายถึง ม.ร.ว.หญิงพิศพิลาศ คุณหญิงที่เป็นมารดาของหญิงเดือนกับหญิงดาวนั่นเอง
ค่ำนี้คุณหญิงเกสรจึงคุยอย่างอวดลูกชายว่าไม่ต้องห่วงว่าหญิงเดือนหญิงดาวจะเบื่อ เพราะตายศเป็นเด็กหัวสมัยใหม่มีแต่จะคุยกันเพลินจนลืมลงมารับมื้อค่ำเป็นแน่
“อิฉันก็ว่าอย่างนั้นล่ะเจ้าค่ะ ลองเอาชนะใจเจ้าคุณต่วนจนเข้ากระทรวง ลูกสาวสองคนของอิฉันคงจะโดนกล่อมไม่แพ้กัน”
ขณะที่สองคุณหญิงคุยกันอย่างถูกคอภูมิใจนั้น เจ้าคุณพิชัยได้แต่ยิ้มรับทั้งที่ขัดเขินเต็มที
เวลาเดียวกันที่ห้องรับรองบ้านเจ้าคุณพิชัยหญิงดาวแฝดผู้พี่กับหญิงเดือนแฝดผู้น้องต่างกำลังตามหา “พี่ยศ” กันทุกซอกทุกมุม โดยตกลงกันว่าใครเจอก่อนก็ได้ควงพี่ยศก่อนทั้งที่ต่างก็ไม่เคยเห็นพี่ยศมาก่อน แต่หญิงดาวถือไพ่เหนือกว่าเพราะแอบเข้าไปในห้อง
พี่ยศเอารูปของหลวงราชในชุดสูทเมื่อครั้งเป็นนักเรียนนอกมาเดินตามหา
หญิงเดือนพยายามแย่งรูปพี่ยศจากน้อง แต่แย่งไม่ได้จึงฮึดฮัดแยกกันตามหา เห็นรองเท้าโผล่จากที่ซ่อนจึงแย่งกันเข้าแปะโป้ง แต่กลายเป็นมุดกับบ่าวอีกคนที่ซ่อนอยู่ หญิงเดือนกับหญิงดาวอายที่ถูกหลอก ตวาด
“แกเป็นใคร...พี่ยศของฉันล่ะ!!!”
มุดกับบ่าวคนนั้นยิ้มเจื่อน เมื่อถูกคาดคั้นจากหญิงเดือนและหญิงดาว
ooooooo
ขณะที่หญิงเดือนกับหญิงดาวแข่งกันค้นหา “พี่ยศ” อยู่นั้น หลวงราช หลวงโชติ และหลวงแจ่มกำลังนั่งรถเปิดประทุนไปคลับกัน หลวงแจ่มถามหลวงราชว่ามาเช่นนี้ไม่กลัวคุณหญิงแม่เอ็ดเอาหรือ
หลวงราชบอกว่าเชื่อว่าคุณแม่จะฟังคำอธิบายของตนบ้าง หลวงโชติถามว่าจะอ้อนว่ายังไม่อยากมีใครกระนั้นหรือ หลวงแจ่มดักคอว่าหรือว่ามีใครอยู่แล้ว หลวงราชยิ้มกริ่มบอกว่าเดี๋ยวพวกนายก็รู้
ทั้งหลวงโชติกับหลวงแจ่มต่างรุมกันถามอย่างอยากรู้ว่าใครที่ทำให้ชายหนุ่มรูปงามผู้รักเสรีอย่างหลวงราชยอมถูกผูกมัดได้ หลวงราชเอาแต่ยิ้มไม่ตอบ หลวงโชติเลยชวนหลวงแจ่มคืนนี้จะมอมเหล้าแล้วเค้นเอาความจริงให้ได้
“คิดว่าฉันกลัวรึคุณโชติ...คลับไม่ปิดอย่าพาฉันกลับบ้านก็แล้วกัน”
เช้าวันรุ่งขึ้นหลวงราชในชุดข้าราชการพร้อมออกไปทำงานเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร เจ้าคุณพิชัยชื่นชมว่าค่อยดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย หลวงราชบอกว่าเจ้าคุณชมแต่เช้าถือเป็นฤกษ์งามยามดีเหมาะแก่การเข้างานวันแรกของตน แล้วถามถึงคุณแม่ ก็ได้ยินเสียงคุณหญิงเกสรเอ็ดว่าตนไม่กิน ไล่สร้อยไปให้พ้นหน้าเลย
หลวงราชถามว่าคุณพ่อขัดใจอะไรคุณแม่แต่เช้า เจ้าคุณสวนว่า
“แกต่างหากเจ้ายศ เมื่อคืนทำอะไรไว้ ขึ้นไปแก้ต่างกับแม่แกให้ดีเถอะ”
“กระผมรู้วิธีปลอบใจคุณแม่ดี แต่ตอนนี้ต้องรบกวนคุณพ่อช่วยรับหน้าแทนไปก่อนนะขอรับ”
พูดแล้วรีบออกไปเลย เจ้าคุณห้ามไม่ทันจึงให้มุดไปตามกลับมา มุดไปถึงหลวงราชขับรถออกไปพอดีมุดจะกลับเข้าไปก็มีเสียงกระดิ่งจักรยานจากพนักงานไปรษณีย์เรียกแล้วยื่นจดหมายให้
“จากหลวงบำรุง” มุดรับไปอ่านทำหน้าสงสัย
เช้าเดียวกันนี้ ขณะเจ้าคุณนั่งหย่อนอารมณ์ในห้องรับแขก คุณหญิงก็ผลุนผลันเข้ามาต่อว่าเจ้าคุณที่รับเป็นเจ้าภาพงานวัดโดยไม่บอกกล่าวกัน พาลไปถึงหลวงราชว่าคงได้จากเจ้าคุณไปจึงไม่เห็นหัวตนเลย
เจ้าคุณบอกว่าที่ไม่บอกกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นงานชาวบ้านแต่ถ้าคุณหญิงอยากไปเปิดหูเปิดตาต่างบ้านต่างเมืองตนก็ไม่ขัด คุณหญิงระแวงว่าพ่อลูกจะซ่อนนังเล็กๆไว้ที่นั่น เจ้าคุณขออย่าคิดไปไกลเลยมันบาป ตนไปเป็นเจ้าภาพงานบุญต่างหาก
คุณหญิงค้อนพูดเบาๆว่าเอาพระมาบังหน้า นิ่งไปอึดใจจึงเสียงอ่อนลงว่า
“ถ้าไม่ติดว่าต้องไปเอาใจคุณหญิงพิศก่อนละก็... อิฉันไม่ให้หนีไปง่ายๆอย่างนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ooooooo
เช้าวันเดียวกัน ขณะเพียรกับพิกุลกำลังช่วยกันขัดบันไดท่าน้ำอยู่ จางวางพ่วงก็ถือไม้ตะพดหน้าถมึงทึงเข้ามา เอื้อยตามมาขอร้องพ่อจางวางค่อยพูดค่อยจากันเถอะ
“ไอ้นั่นมันเป็นใคร มันรู้จักมักจี่เอ็งตั้งแต่เมื่อไรพิกุล” จางวางถามเกือบเป็นตะคอก
พิกุลตกใจที่พ่อรู้เรื่องนี้ เอื้อยรีบเข้าไปยืนข้างพิกุล บอกว่าตนช่วยพูดให้พ่อจางวางเข้าใจ แต่พ่อจางวางกลับคิดเป็นอื่นแล้วโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เพียรงงถามว่าเรื่องอะไรกัน จางวางระเบิดใส่ทันทีว่า
“ก็ลูกสาวตัวดีของแม่เพียรนั่นไง มันลอบคบหาผู้ชายที่ไม่มีหัวนอนปลายตีนแล้วมันยังเป็นคนทำปี่แตกกับมือ” แล้วหันใส่พิกุล “ปี่ที่ข้ายกให้เอ็งแท้ๆ กลับทิ้งขว้างไว้ในมือคนอื่น งามหน้านักนังพิกุล”
เพียรหันถามพิกุลว่าอย่างไร พิกุลกล้ำกลืนยอมรับ
เอื้อยบอกให้พิกุลเล่าให้พ่อจางวางฟังเหมือนที่เล่าให้ตนฟัง พ่อจางวางอาจจะเข้าใจ แล้วขอให้พ่อจางวางใจเย็นฟังพิกุลสักหน่อยเถอะ
“มันยอมรับอยู่เมื่อกี้แล้วเอ็งจะให้มันแก้ตัวอะไรอีก...อีลูกไม่รักดี!!!” จางวางด่าพิกุลอย่างผิดหวังแล้วจะหวดไม้ตะพดสั่งสอน เพียรรีบดึงพิกุลออกเหมือนจะรับตะพดแทน จ้องปราม
จางวางบอกว่าตนสิ้นหวังในตัวพิกุลแล้วที่หวังจะให้กลับมาเป็นคนปี่ก็เป็นอันหมดสิ้นในวันนี้ พูดตัดว่า
“ในเมื่อเอ็งไม่เห็นของดีที่อยู่กับตัว ข้าก็เกินจะช่วยเอ็ง”
“จ้ะ พ่อ” พิกุลรับคำอย่างพูดอะไรไม่ออก แต่จางวางกลับคิดว่าพิกุลไม่สำนึก ยิ่งโกรธ ประกาศลั่น
“เอ็งไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับวงปี่พาทย์ของข้าอีกแล้ว อย่าเสนอหน้ามาให้ข้าเห็นอีก ไม่ว่าจะงานไหนที่ไหน” จางวางหุนหันเดินกลับไป
“ฉันเลิกหวังให้พ่อเรียกฉันกลับวงอีกแล้วเหมือนกัน พ่อจำคำฉันไว้เถอะ ไม่มีวันที่ฉันจะคืนคำเด็ดขาด”
จางวางหันขวับมาเห็นสายตาเด็ดเดี่ยวของพิกุลก็หันกลับไป เพียรตกใจพูดอย่างผิดหวังว่าพิกุลพูดเช่นนั้นกับพ่อแล้วจะให้ตนแก้ตัวแทนได้ยังไง แล้วเดินตามจางวางไปอีกคน
เอื้อยเสียใจที่ความหวังดีกับพิกุลกลับกลายเป็นการทำร้ายพิกุลอย่างรุนแรง
ooooooo
หลายอาทิตย์ต่อมา...บรรยากาศการเตรียมงานสมโภชวัดเริ่มขึ้นอย่างคึกคัก จางวางพ่วงและนายฉ่อยเจ้าสำนักประชันเดินคุยกันขณะเดินออกจากอุโบสถ
กำนันย้ำว่าทั้งสองฝ่ายสัญญากันแล้วทุกบาททุกสตางค์จากการลงขันจะถวายวัดทั้งหมด นายฉ่อยบอกจางวางว่าไม่ต้องออมมือตนจะทำให้ประจักษ์ในฝีมือบ้านเขางูจนลืมไม่ลงทีเดียว จางวางก็จะให้ลูกวงนอนแต่หัวค่ำจะได้มีเรี่ยวแรงประชันพรุ่งนี้
“ประชันฝีปากกันได้ไม่แพ้ประชันวงเลยเชียว ดูนั่น...ฉันจะตั้งเวทีประชันตรงนั้น ส่วนท่านเจ้าคุณจากพระนครเจ้าภาพงานสมโภชจะอยู่ในปะรำฝั่งนี้” กำนันชี้จุดจัดงานให้จางวางพ่วงกับนายฉ่อยดู
รุ่งขึ้นอันเป็นวันประชัน บรรยากาศคึกคักมาก กำนันพาเจ้าคุณพิชัยมานั่งประจำตำแหน่ง หลวงบำรุงตามมานั่งข้างๆ หลวงบำรุงมองหาไม่เห็นพิกุล ถามกำนัน กำนันบอกว่าแม่พิกุลไม่ได้มาร่วมด้วย หลวงบำรุงบ่นกังวลว่าตนอวดแม่พิกุลกับท่านเจ้าคุณไว้มากเสียด้วย
“พร้อมแล้วก็เริ่มเลย เรียกแขกก่อนนะคุณหลวง” เจ้าคุณพิชัยเอ่ยกับกำนันและหลวงบำรุง กำนันส่งสายตาบอกจางวางพ่วงกับนายฉ่อยให้เริ่มประโคม ทั้งสองเริ่มประโคมเพลงโหมโรงไอยเรศอย่างไม่ออมมือไม่มีใครยอมใคร เมื่อจบเพลงทุกคนปรบมือพอใจ ชาวบ้านเริ่มเอาเงินไปใส่กระบุงได้รับความนิยมพอกัน
จางวางพ่วงกับนายฉ่อยมองหน้ากันอย่างไว้ที เมื่อเจ้าคุณเสนอว่าประชันวงกันเลย จางวางพ่วงส่งสายตาให้ลูกวงเริ่มเพลงเชิดจีนต่อตัว แล้วส่งต่อให้วงนายฉ่อยรับลูกกันอย่างสนุกสนาน พอถึงจังหวะเร็วเสงี่ยมตีฆ้องวงเกือบไม่รอดแต่ก็ผ่านไปได้ จางวางลุ้นโล่งอก
สุดเพิ่งทำงานในครัวเสร็จรีบแต่งตัวไปออกงาน บ่นกลัวจะไม่ทันการประชัน ขอให้พิกุลช่วยพายเรือไปส่งที่วัดหน่อย พิกุลบอกว่าพ่อยื่นคำขาดไม่ให้ตนไปเสนอหน้า สุดว่าแค่พายเรือไปส่งคงไม่กระไรหรอก สุดมองเว้าวอนจนพิกุลใจอ่อนพายเรือให้
ที่เวทีประชันกำลังประชันกันเต็มที่ คนดูเอาเงินใส่กระจาดให้ทั้งสองวงไม่ต่างกัน เจ้าคุณบอกกำนันว่าอยากฟังเดี่ยวปี่ดูบ้าง มองที่วงจางวางพ่วงถามว่าไหนว่าคนปี่ฝีมือดีเป็นผู้หญิงไม่ใช่รึ กำนันบอกว่ามีเหตุติดขัดแม่พิกุลเลยไม่ได้มาประชันด้วย เจ้าคุณพิชัยบอก
ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลย
พิกุลพายเรือมาส่งสุดที่ท่าน้ำวัดแล้ว สุดไปปะรำไม่ถูก ขอให้พิกุลพาไป พิกุลขอส่งแค่นี้แล้วผลักหัวเรือออก สุดเดินเข้าวัดแต่ไม่รู้จะไปทางไหน จู่ๆพิกุลมาดักหน้าพาไป
คณะนายฉ่อยสำนักบ้านเขางูเริ่มเป่าประชันเพลงทยอยเดี่ยว นายเชยวงจางวางก็จับปี่พร้อมเป่า
พิกุลพาสุดมาถึงหน้าเวทียืนปะปนกับชาวบ้านอื่นฟังเสียงปี่ทยอยเดี่ยวจากคณะนายฉ่อยที่สะกดคนฟังจนเงียบงัน พิกุลเองก็เคลิ้มกับเสียงปี่ เจ้าคุณพิชัยพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเพลงจบ
จางวางนิ่งไปพักหนึ่งแล้วส่งสายตาให้นายเชยเริ่มประชัน นายเชยเริ่มมีอาการผิดปกติแต่ก็ไม่ยอมวางปี่จนถึงช่วงทอดทำนองยาวนายเชยก็ยิ่งแย่เสียงปี่ขาดเป็นห้วงๆ จางวางตกใจขึ้นเวทีไปดูนายเชยแล้วมองไปทางเจ้าคุณพิชัย เจ้าคุณหันไปเรียกหลวงแพทย์ที่นั่งข้างๆให้ไปดูอาการนายเชย
หลวงแพทย์บอกว่าอาการนายเชยดูท่าไม่ดี กำนันเสนอให้เลิกประชันเสียตอนนี้ไหม จางวางตัดใจบอกว่าตนไม่ให้ลูกวงตายคาเวทีหรอก กำนันถามว่าจางวางยอมใช่ไหม จางวางลังเลตัดใจกำลังจะพยักหน้า
“พี่พ่วง” เสียงเพียรเรียกอย่างร้อนใจ จางวางหันมองเห็นพิกุลถือปี่ในมือมีเพียรกับสุดขนาบข้าง
จางวางพ่วงตกใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่เสียงฟ้าร้องครืนจนทุกคนเงียบแปลกใจที่จู่ๆฝนก็ตกลงมาจึงพากันวิ่งหลบฝน กำนันถามจางวางจะเอาอย่างไร จางวางตัดสินใจสั่งพิกุล
“ขึ้นไปแทนไอ้เชยเดี๋ยวนี้”
พิกุลยิ้มยกปี่ท่วมหัวแล้วก้าวไปแทนที่นายเชยท่ามกลางสายตาของทุกคน พอพิกุลเป่าเสียงแรกก็เหมือนมนต์สะกดผู้ฟัง ไม่เว้นแม้แต่เจ้าคุณพิชัย ทุกคนเหมือนต้องมนต์จนพิกุลเป่าจบเพลงวางปี่ลง
ชาวบ้านคนหนึ่งเอาเงินไปใส่ในกระบุงที่หน้าวงจางวางพ่วงแล้วผู้ชมเกือบทั้งหมดก็ทยอยเอาเงินมาใส่กระบุงหน้าวงจางวางพ่วงเพียงฝั่งเดียว นายฉ่อยถึงกับอ้าปากค้าง แต่จางวางพ่วงกลับมีสีหน้านิ่งคิดถึงเหตุการณ์ที่บ้านเมื่อเย็นนี้...
ที่ชานเรือนบ้านจางวาง...พิกุลนั่งก้มหน้ามองปี่ในมือนิ่ง ในขณะที่จางวางนิ่งเงียบฟังเพียรอธิบายว่าตนเห็นปี่อยู่ในย่ามจางวางจึงยัดใส่มือลูก พิกุลขอโทษที่ลองปี่เลานี้โดยไม่ได้บอกพ่อ บอกว่าจะไม่หยิบมาเป่าอีกแล้ว
“อย่างนั้นพี่พ่วงก็ต้องโกรธฉันด้วยที่ถือวิสาสะยื่นปี่นี้ให้มัน เพราะฉันเห็นว่าไม่มีทางอื่นที่จะรักษาหน้าวงของเราไว้ พี่เอาสมบัติของพี่คืนไปเถอะ จะเอาไปซ่อนที่ไหนก็ตามใจพี่ ฉันจะไม่ยุ่งกับมันอีก”
เพียรหยิบปี่คืนให้ แต่จางวางกลับมองนิ่งก่อนตัดใจบอกว่า
“มันไม่ใช่สมบัติของข้าอีกแล้ว” มองพิกุลบอกว่า “นี่เป็นสมบัติของมัน แม่เพียร”
พูดแล้วจางวางก็กลับเข้าเรือนไปท่ามกลางความงุนงงของแม่ลูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับจางวางพ่วง
จางวางพ่วงกลับเข้าห้องนอนเปิดกล่องใส่ปี่
แต่ไม่มีปี่อยู่แล้ว แว่วเสียงหญิงคนหนึ่งบอกว่า
“ดูแลปี่เลานี้ให้ดีเถิดพ่อพ่วง”
จางวางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อ 40 ปีก่อนในห้องคุณจัน ที่วังแห่งหนึ่ง คุณจันในวัย 40 ต้นๆ และจางวางยังอยู่ในวัยหนุ่ม คุณจันหยิบปี่ออกจากกล่องเหมือนจะได้สัมผัสเป็นโอกาสสุดท้ายแล้วตัดใจเก็บใส่กล่อง
ตามเดิม บอกพ่วงว่า
“เมื่อปี่นี้พ้นมือครูของพ่อพ่วงเสียแล้ว ฉันก็
ไม่เห็นใครที่เหมาะควรจะฝากฝังไว้ได้เท่าเอ็งแล้ว” พ่วงในวัยหนุ่มบอกว่าครูท่านคงหวังจะให้ท่านเป็นผู้ดูแล คุณจันนิ่งไปพักหนึ่งจึงเอ่ย “ฉันจะดูแลปี่นี้ได้อีกนานกี่มากน้อยกัน ฝากฝังกับพ่อพ่วงเสียตอนนี้ ฉันก็มีแต่จะสบายใจว่ามันจะไม่ไปตกอยู่ในมือคนที่ไม่ควรคู่กับมัน”
คุณจันบอกว่าตนมีเรื่องพูดกับพ่อพ่วงเพียงเท่านี้ พ่วงจึงกราบลา
“ไปดีมาดี ขอให้เจริญๆเถิดพ่อพ่วง” เมื่อพ่วงถือกล่องใส่ปี่คลานออกไป คุณจันบอก “หับประตูให้ฉันด้วย บอกบ่าวหน้าห้องว่าฉันจะเอนหลังสักพัก”
พ่วงออกมาบอกบ่าวแล้วกลับไป
ooooooo
หลวงราชไปทำงานวันแรกกลับมาก็จะไปคลับ มุดเข้าไปสอดแนมในบ้านบอกว่าทางสะดวกไม่มีใครอยู่เลย ให้คุณหลวงรีบไปเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสีย
ตนเตรียมชุดไว้ให้แล้ว
“ไปเรียกรถลากตอนนี้เลย ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นานหรอก...วันนี้ฉันเจรจาความที่กระทรวงมาพอแล้วหมดแรงจะอธิบายเรื่องเมื่อคืนกับคุณแม่เต็มที”
มุดออกไป หลวงราชจึงแยกไปห้องนอนมองหาเสื้อผ้าที่มุดบอกว่าเตรียมไว้แล้วไม่เห็นจึงจะออกไปเรียกมุด แต่พอเปิดประตูก็เจอหญิงเดือนกับหญิงดาวถือเสื้อและกางเกงหน้าแช่มชื่นรออยู่แล้ว
สองหญิงถามว่าพี่ยศจะไปไหนไม่บอกพวกตนก็จะไม่ให้ไป หลวงราชบอกว่าจะชวนอยู่ทีเดียวแต่เมื่อหญิงมาถึงบ้านแล้วก็ถือโอกาสชวนไปข้างนอกเสียเลย
สองหญิงดีใจที่จะได้ไปกับหลวงราชแต่ก็แก่งแย่งกันว่าพี่ยศไม่ได้ชวนอีกฝ่าย หลวงราชจึงชวนทั้งสองคน จึงได้เสื้อกางเกงไปเปลี่ยน พอเข้าห้อง หลวงราช
ก็บ่นเจ็บใจว่า
“ไอ้มุด ทำข้าแล้วไง ไอ้เวร!!!”
ooooooo
เจ้าคุณพิชัยต้องมนต์เสียงปี่ของพิกุล ตกเย็นยังมานั่งฟังพิกุลเป่าทยอยเดี่ยวที่ชานเรือนอย่างตกอยู่ในภวังค์จนจางวางจะเข้าไปปราม ดีแต่เพียรรั้งไว้
จางวางพ่วงเคี้ยวหมากอย่างข่มอารมณ์แล้วยกกระโถนบ้วนน้ำหมากปรี๊ดต่อหน้าเจ้าคุณพิชัยจนกำนันติงว่าทำอะไรไม่เกรงใจท่านเจ้าคุณบ้าง ถามจางวางว่า จะว่าอย่างไร ท่านเจ้าคุณรออยู่
จางวางบอกให้ท่านกลับไปเถอะ ที่ตนเรียกมากินข้าวกินน้ำเพราะมีน้ำใจมิได้ถ่วงเวลาเจรจาเรื่องอื่น
“ตรองดูอีกทีเถิดจางวาง ที่ท่านเจ้าคุณเสนอตัวอุปถัมภ์ก็เพราะเห็นฝีมือ ไม่ได้จะซื้อตัวแม่พิกุลเพราะอวดมั่งอวดมีหรือจะใช้เป็นเรื่องอวดยศถาบรรดาศักดิ์แต่อย่างใด” หลวงบำรุงหว่านล้อม
“หากจางวางไม่เห็นความดีในตัวลูกสาว เช่นนั้นฉันก็ขอบอกแต่ให้รู้ว่าปี่แม่พิกุลนั้นทำฉันขึ้นสวรรค์
ทั้งเป็น จะว่าเป็นนางคนธรรพ์จำแลงมาเป่ากล่อมเทวดาก็ไม่เกินไปนัก” เจ้าคุณเอ่ยย้ำ หลวงบำรุงเสริมว่า
“จริงอย่างท่านเจ้าคุณว่า ปี่ท่านจันนั้นเลือกคนไม่ผิดจริงๆ” จางวางถามอึ้งว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นปี่ท่านจัน หลวงบำรุงตอบยิ้มๆว่า “ใช่ว่าใครจะเอาปี่ท่านจันได้อยู่มือง่ายๆเช่นนี้ จางวางก็น่าจะรู้ดีกว่าใคร...แม่พิกุลจับปี่อย่างของเคยมือ เหมือนเป็นมือเป็นแขนที่จับ
แยกออกมิได้อย่างนั้น”
“ว่าอย่างนั้นไหมล่ะจางวาง” เจ้าคุณพิชัยย้ำถาม จางวางก็รู้สึกเช่นนั้นแต่ด้วยทิฐิจึงวางเฉย
เจ้าคุณพิชัยกับหลวงบำรุงและกำนันก็ยังมองหน้าจางวางรอคำตอบ
ooooooo
เอื้อยชะเง้อดูอยากรู้ว่าผู้ใหญ่คุยกันอย่างไร ขณะที่ลูกวงคนอื่นกำลังกินข้าวกัน เอื้อยเห็นเพียรเดินเข้ามาก็ปรี่เข้าไปถามว่าพ่อจางวางว่าอย่างไรบ้าง พอเพียรส่ายหน้าเอื้อยก็บ่นอย่างขัดใจว่าพ่อจางวางจะใจแข็งไปถึงไหน
“ไม่เป็นไรหรอกเอื้อย ถึงพ่อจะไม่ตกลงปลงใจแต่ฉันก็พอใจแล้วที่ได้กลับมาเป็นคนปี่ ได้เล่นกับเอื้อยกับทุกคนอีก” พิกุลบอกเอื้อยสีหน้ามีความสุข
แต่เอื้อยเห็นว่าพิกุลเป็นคนรักษาหน้าให้วง
พ่อจางวางก็น่าจะถามความสมัครใจบ้างว่าอยากไปบางกอกหรือเปล่า แต่เพียรพูดอย่างรู้ทางรู้ลีลาของจางวางพ่วงว่า
“ถ้าพ่อจางวางของเอ็งยังไม่ไล่ท่านเจ้าคุณลงจากเรือนก็พอจะมีหวังอยู่หรอกแม่เอื้อย”
เอื้อยกับพิกุลฟังแล้วก็มีความหวังขึ้นมา
แต่ที่ซุ้มบันไดเรือน ผู้ใหญ่ยังคงเจรจากันอยู่ เจ้าคุณพิชัยยังเพียรหว่านล้อมจางวางพ่วงว่า
“ฉันอยากส่งเสริมให้คนบางกอกได้รู้จักฝีมือ
แม่พิกุล แต่จางวางหวงลูกเอาไว้ที่บ้านนอก เยี่ยงนี้
ไม่จิตใจคับแคบไปหน่อยหรือ”
จางวางพ่วงโต้ว่าคับแคบเสียแต่วันนี้ยังดีกว่าไปเจ็บใจในวันหน้า คนอย่างพวกท่านก็ดีแต่เอาเงินฟาดหัวเห็นคนเป็นหมูเป็นหมาเท่านั้น หลวงบำรุงแก้ว่าท่านเจ้าคุณไม่ใช่คนอย่างพระสรรพ์ เพราะท่านมีใจเป็นกุศลจึงดั้นด้นมาเป็นเจ้าภาพงานบุญถึงเมืองสุพรรณ ถามว่าเช่นนี้แล้วจะไม่ไว้ใจอะไรอีก
จางวางบอกให้กำนันพาแขกไปเสีย ป่วยการจะคุยกันต่อ หลวงบำรุงยังจะคุยต่อ แต่ถูกจางวางขยับไม้ตะพดถามว่า หรือต้องให้ไปส่งแขกถึงท่าเรือ กำนันจึงเชิญทั้งสองออกไป
จางวางปิดประตูใส่หน้าแล้วหันเข้าเรือน เห็นพิกุลยืนฟังอยู่ ก็ถามประชดว่า
“เอ็งเสียดายที่ข้าไม่ตกปากรับคำไอ้พวกนั้นใช่ไหม”
“ท่านจันเป็นใครหรือจ๊ะพ่อ” พิกุลไม่ตอบ แต่กลับถามคำถามที่จางวางต้องหันขวับมอง
จางวางพาพิกุลไปที่ห้องพระ เลื่อนกล่องใส่ปี่ให้พิกุล พิกุลรับมาแล้ววางปี่ไว้ในกล่องตามเดิมเหมือนวันที่จางวางได้รับปี่นี้มา เล่าให้พิกุลฟังว่า
“ท่านจันเป็นผู้อุปถัมภ์ครูทับ ครูปี่ของพ่อ ปี่นี้ก็เป็นปี่คู่กายของครู...”
ooooooo
จางวางพ่วงเล่าย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อนว่า ไม่ว่าครูทับจะไปเดี่ยวปี่ที่ไหน คุณจันก็จะตามไปดูเหมือนเงาตามตัว ครั้งหนึ่งในตำหนัก คุณจันให้บ่าวผู้หญิงคนหนึ่งส่งจดหมายน้อยกับดอกปีบมาให้
ตนรับและเอาใส่กล่องเก็บปี่ไว้
เมื่อครูทับเดี่ยวปี่จบเอาปี่มาเก็บเห็นจดหมายน้อยกับดอกปีบก็อ่านยิ้มมีความสุข พ่วงเอ่ยว่าจดหมาย
ของท่านจันทำให้ครูยิ้มได้ทุกครา ครูทับบอกว่าไม่ยิ้มได้อย่างไร อย่างน้อยก็รู้ว่ามีคนฟังข้าอยู่คนหนึ่ง พ่วงติงว่าตนเห็นคนหลงเสียงปี่ของครูทั้งห้อง
“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นเจ้าของปี่เขาคงสมใจว่า
ปี่ของเขาทำให้คนรื่นรมย์ด้วย”
“เพราะครูตั้งใจเป่าให้ท่านจันฟังหรือไม่ขอรับคนอื่นถึงพลอยสุขไปด้วย” ครูทับมองหน้าว่าเจ้าคารมนะเอ็ง พ่วงย้ำถามว่า “มันเป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่ขอรับ”
“เอ็งหยิบปี่ขึ้นมาเป่า ก็อย่าเพียงเป่าให้จบ เมื่อเอ็งสุขใจที่ได้เป่า คนอื่นเขาก็สุขใจด้วย นั่นน่ะบุญอย่างหนึ่งนะเจ้าพ่วง”
จางวางพ่วงคิดถึงคำสั่งสอนของครูทับแล้วนึกถึงทุกคนที่ฟังปี่ที่พิกุลเป่าเหมือนต้องมนต์ เอ่ยต่อว่า
“ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ปี่ท่านจันก็มีแต่จะทำให้คนรื่นรมย์ได้ไม่เปลี่ยนแปลง เสียดายแต่ว่าเวลาแห่งความรื่นรมย์ของท่านนั้นสั้นเสียเหลือเกิน” พิกุลถามว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ จางวางตัดบทว่า “เอ็งยังไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้”
“จ้ะพ่อ ฉันจะเป่าให้สมกับที่ได้ถือปี่ท่านจัน ให้คนรื่นรมย์ในเสียงปี่สมกับความตั้งใจของท่านจัน”
แต่พอพิกุลเปิดประตูห้องพระออกมามือถือกล่องปี่มีจางวางเดินตามมาก็ต้องชะงักเมื่อเจอเอื้อย เสงี่ยม
อ่ำ อ้น นั่งหน้าสลอนอยู่หน้าห้อง จางวางถามว่าพวกเอ็งมารออะไร อ่ำกับเสงี่ยมเกี่ยงให้เอื้อยพูด
เอื้อยขอให้จางวางยอมรับคำขอของท่านเจ้าคุณ ตนอยากให้พิกุลไปเป็นคนปี่ของท่านเจ้าคุณ ตนอยากให้พิกุลไปทำให้คนรู้ว่าปี่ท่านจันนั้นเสนาะหูเพียงไหน แม้แต่คุณหลวงที่พิกุลเคยกลัวนักหนายังต้องตามมาขอร้องให้พิกุลเป่าปี่ให้ฟัง พิกุลพยายามท้วงติง กลัว
พ่อจะโกรธ เอื้อยถามพิกุลว่า
“ปี่ท่านจันให้หล่อนหายกลัวมิใช่หรือ วันนี้ทุกคนก็เห็นแล้วว่าหล่อนกู้หน้าวงของเราไว้ได้” สุดปราม
ว่าเอื้อยพูดมากเกินไปแล้ว เอื้อยไม่หวั่นย้อนถามว่า “ฉันพูดมากแต่ไม่ได้พูดผิดตรงไหน ฉันพูดเพราะอยากให้พิกุลได้ดี ฉันผิดตรงไหน”
ทุกคนเงียบเมื่อเอื้อยพูดจบ เอื้อยมองหน้าจางวางพ่วงอย่างรอคำตอบ
ooooooo
เช้าวันต่อมา ขณะพิกุล สุด กับเอื้อยกำลังขัดบันไดท่าน้ำอยู่ กำนันก็นำเจ้าคุณพิชัยกับหลวงบำรุงเอาเรือมาเทียบถามพิกุลว่าจางวางอยู่เรือนหรือเปล่า
พิกุลไหว้บอกว่าอยู่ บ่าวผูกเรือแล้วกำนัน เจ้าคุณพิชัยกับหลวงบำรุงก็ขึ้นจากเรือ พิกุล เอื้อยและสุดไหว้พร้อมกันอย่างนอบน้อม เอื้อยยิ้มหน้าบานเจ้ากี้เจ้าการบอกให้ตามตนมาเลย สุดบ่นเอือมๆว่าทำอย่างกับธุระของตัวเอง พิกุลกลัวพ่อถูกตื๊อจะยิ่งโกรธ สุดบอกว่าตนก็อยากรู้เหมือนกัน ชวนกันรีบกลับเรือนทันที
ที่หน้าเรือน จางวางยืนเคี้ยวหมากหยับๆอย่างสบายใจอยู่หน้าซุ้มบันได ส่วนแขกยืนที่บันไดด้านล่าง กำนันถามว่าจะเจรจากันอย่างนี้หรือจางวาง จางวางตอบ
อย่างไม่ถนอมน้ำใจว่า ถ้าแขกของกำนันถือเรื่องนี้
ก็กลับไปเสียจะเจรจาให้เสียเวลาทำไม
หลวงบำรุงจึงเจรจาต่อรองว่าท่านเจ้าคุณมีเจตนาดีอยากให้คนบางกอกได้ฟังปี่ท่านจันบ้าง ไม่ได้หมาย
จะให้แม่พิกุลไปเป่าปี่สนองความต้องการของตัวท่านแต่เพียงคนเดียว เจ้าคุณพิชัยก็ช่วยกล่อมว่าอยากให้คนบางกอกรู้ว่ามีของดีกับตัว ไม่ใช่เอาอกเอาใจแต่พวกฝรั่ง หลวงบำรุงใช้ไม้ตายว่า
“เช่นนั้นท่านจันคงคิดผิดไปแล้วที่ยกปี่นั้น
ให้จางวาง ถ้าท่านรู้ว่าจางวางหวงปี่หวงคนไว้กับตัวเช่นนี้ท่านคงเจ็บใจ”
จางวางโมโหรู้สึกเหมือนถูกท้าทายเดินลงบันไดมาอย่างเอาเรื่องกับหลวงบำรุง จนกำนันต้องพาทุกคนถอยแต่หลวงบำรุงไม่ถอย ยืนเผชิญหน้าจางวาง บอกว่าถึงไม่ได้แม่พิกุลไปแต่ตนก็ขอเตือนสติเสียแต่ตอนนี้
“เลิกยกเรื่องนี้มาต่อรองเถิด เพราะกระผม
รักลูกเกินกว่าจะปล่อยให้มันไปเพียงลำพังเพื่อสนองความต้องการของท่านเจ้าคุณ” จางวางตัดบท
“เช่นนั้นก็ยกกันมาทั้งวงจะเป็นไร” เจ้าคุณพิชัยแทรกขึ้นทันทีแล้วก้าวเข้าไปพูดกับจางวาง “จะได้ประโคมเช้า-เย็นให้เอิกเกริก แล้วฉันจะพาเข้าวังไปเล่นถวายเจ้านายเสียด้วย จางวางจะว่ากระไรล่ะ”
เอื้อยกับพิกุลฟังแล้วมองหน้าจางวางลุ้นๆ
ในที่สุดจางวางพ่วงก็ตัดสินใจยกไปทั้งวง เสงี่ยมชวนอ้นกับอ่ำไปฉลองกัน คุยโขมงว่ากลับไปคราวนี้จะสำแดงฝีมือให้พวกสำนักบางกอกไปไม่เป็นเลย
พิกุลก็ตัดใบตาลทำลิ้นปี่ บอกเพียรว่าตนยังไม่ได้กราบขอขมาที่เคยโกหกเรื่องปี่แตกกับแม่เลย เพียรบอกว่าเรื่องผ่านไปแล้ว ตอนนี้สำคัญที่สุดคือเรื่องที่ต้องย้ายไปอยู่กับท่านเจ้าคุณ อย่าทำให้ท่านเจ้าคุณผิดหวัง
พิกุลรับปากอย่างมั่นใจ เพียรลูบหัวลูบหลังแล้วลุกออกไป พิกุลจะตัดลิ้นปี่ต่อแต่มือไพล่ไปเปิดกล่องใส่ปี่ มีปี่สองเลาวางอยู่ พิกุลหยิบปี่เลาที่แตกขึ้นมา คิดถึงคนที่ทำให้เกิดเรื่อง แทนที่จะโกรธแต่กลับคิดว่า
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว จบไปแล้วนะพิกุล”
ooooooo
หลวงโชติกับหลวงแจ่มไปหาหลวงราชที่ห้องทำงานกระทรวงต่างประเทศ หลวงราชเดาว่าคงมาวางแผนสังสรรค์คืนนี้ แต่หลวงราชนึกได้ว่าต้องไปพบเจ้าคุณต่วนจึงจะรีบไป
หลวงโชติกับหลวงแจ่มแกล้งขวางหลวงราชหมายจับผิดเรื่องสาว หลวงราชหลบยื้อเปิดประตูก็ยิ่งแกล้ง หลวงราชถลาออกไปชนกับสารภีลูกสาวจีนพ้งล้มไปทั้งสองคน
เมื่อหลวงราชขอตัวไปพบเจ้าคุณต่วน สารภีเห็นสมุดบันทึกของหลวงราชหล่นอยู่เข้าไปเก็บจึงเห็น
ดอกปีบแห้งหล่นจากสมุด ดอกปีบแห้งนี่เองที่ทำให้สารภีสงสัยว่ามีความหมายอะไรกับหลวงราชจึงเก็บไว้อย่างดี
สารภีกลับถึง “บูรพาเคหาสน์” ของจีนพ้ง จีนพ้งถามว่าเจ้าคุณต่วนท่านว่าอย่างไร สารภีตอบหน้าชื่นว่า ท่านยินดีกับเตี่ยด้วย จีนพ้งยิ้มยินดีแล้วหันไปพูดคุยกับกลุ่มชาวจีนที่มาแสดงความยินดีเต็มลานบ้าน
จีนพ้งบอกว่าตนไม่ได้อยากเรียนให้มาแสดงความยินดีกับตำแหน่งขุนนางที่ราชสำนักจีนมอบให้ ที่น่ายินดียิ่งกว่าคือราชสำนักได้ให้สัญชาติจีนแก่ลูกหลานพวกเราที่เกิดนอกแผ่นดินด้วยเป็นการตอบแทนที่พวกเราไม่ลืมแผ่นดินเกิดพร้อมใจกันส่งเงินบริจาคผ่านสมาคมไปช่วยพี่น้องเราให้ลืมตาอ้าปากได้ จีนพ้งกล่าวสรุปว่า
“เกียรติยศศักดิ์ศรีที่สมาคมได้รับคือเกียรติยศของพี่น้องกงสี เราคือสายเลือดเดียวกัน ขอให้ความเป็นปึกแผ่นของพี่น้องจงยั่งยืน หยั่งรากสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน”
สมาชิกสมาคมทุกคนต่างก้มหัวคำนับแสดงความนับถือ สารภีรู้สึกถึงอำนาจและความนับถือที่ตนเองได้รับด้วย
ฝ่ายหลวงราช เมื่อพบเจ้าคุณต่วนแล้วออกมา เพื่อนราชการปรารภว่าตนคิดผิดเสียนานว่าท่านเจ้าคุณไว้ใจสารภีถึงกับให้เข้านอกออกในกระทรวงต่างประเทศง่ายๆ ที่แท้เป็นอุบายที่จะสืบความลับนี่เอง
“ท่านเจ้าคุณคงรู้อะไรบางอย่างที่เราไม่รู้ ถึงกับต้องใช้วิธีนี้ ยิ่งจีนพ้งได้ตำแหน่งรับรองจากราชสำนักจีนก็ยิ่งต้องจับตา”
“ต่อไปคุณหลวงคงสนุกกับงานตีสองหน้าเป็นสายลับให้ท่านเจ้าคุณนะขอรับ”
“เอาใจช่วยไม่ให้ฉันถูกแม่สารภีจับได้เสียก่อนเสร็จภารกิจก็แล้วกัน” หลวงราชยิ้มก่อนแยกตัวไป
หลวงราชจะหยิบสมุดบันทึกเพื่อบันทึกอะไรบางอย่างจึงรู้ว่าสมุดและดอกปีบแห้งหายไป หลวงราชค้นหาจนทั่วก็ไม่เจอจึงคิดว่าน่าจะหล่นหายที่ไหน เดินหาและถามภารโรงที่ทำความสะอาดอยู่ก็ไม่เจอ หลวงราชยิ่งหงุดหงิด
ooooooo
สารภีให้ชบาลูกน้องคนสนิทนวดให้อยู่ในห้องนอน ครู่หนึ่งนิ่มมาบอกสารภีว่าเจ้าสัวมีเรื่องจะคุยด้วย
สารภีเข้าไปหาจีนพ้ง นิ่มที่ปรนนิบัติจีนพ้งอยู่จึงขอตัวไปดูพุดกรองในครัว
ที่แท้นิ่มอดีตเป็นบ่าวรับใช้ของพระยาพิชัยเดชาแต่จีนพ้งไปขอไถ่ตัวมาเป็นภรรยาคนที่สองของตนและมีลูกสาวด้วยกันคือพุดกรองในวัย 10 ขวบ
สารภีไม่ชอบทั้งนิ่มและพุดกรองคอยกระแนะกระแหนเหน็บแนมอยู่เนืองๆ
เมื่อนิ่มออกไปแล้วสารภีถามว่าเตี่ยจะใช้อะไรตนหรือ จีนพ้งบอกว่าปลัดจากเมืองพิจิตรจะพาลูกชายมางานฉลองตำแหน่งของเตี่ย และคงไม่พ้นที่จะทาบทาม ขอเป็นเขย ถามสารภีว่า “ลื้อจะว่ายังไง”
สารภีถามว่าเตี่ยจะยกตนให้ผู้ชายที่ไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้ากันหรือ จีนพ้งหว่านล้อมว่าผู้หญิงที่ไหนก็อยากแต่งกับลูกชายบ้านนี้ทั้งนั้น เขามีใจให้ก็อย่าเล่นตัวนัก สารภีบอกว่าตนไม่ได้มีใจชอบพอกับเขา
“เขาจะแต่งก็เพราะอยากมีลูกกับลื้อ ไม่ได้สนใจว่าลื้อจะมีใจให้เขาหรือเปล่า”
“เหมือนที่เตี่ยไม่มีใจให้แม่แล้วถึงต้องไปเอาบ่าวบ้านเจ้าคุณทำลูกใช่ไหม”
จีนพ้งมองสารภีไม่พอใจ สารภีข่มความรู้สึกถามว่า เตี่ยจะสั่งฉันทำอะไรอีกหรือเปล่า จีนพ้งมองสารภีแล้วถอนใจพยายามอดทนกับความดื้อดึงของเธอ
เย็นนี้เอง สารภีก็ไปเชิญเจ้าคุณพิชัยเดชา เจ้าคุณเอ่ยถึงนิ่มว่านับแต่ออกเรือนไปตนก็ไม่ได้แวะไปเยี่ยมเลย ขอบใจสารภีที่ยอมรับคนของตนโดยไม่รังเกียจ เดียดฉันท์ สารภีบอกว่าอะไรที่ทำให้เตี่ยสบายใจตนยอมรับได้อย่างไม่มีเงื่อนไข แล้วถามว่า “คุณยศยังไม่กลับจากกระทรวงหรือเจ้าคะ”
เจ้าคุณบอกว่ายังไม่เห็น แล้วเรียกมุดจะถาม แต่คนที่เข้ามากลับเป็นคุณหญิงเกสร ถามสารภีว่า
“หล่อนถามหาลูกชายฉันมีธุระอะไรรึ แล้วไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไร”
สารภียิ้มให้แทนคำตอบ คุณหญิงเลยมองอย่างคาดคั้น
ระหว่างที่สารภีไปพบเจ้าคุณเดชานั้น ชบาก็กำลังคุยหยอกล้อกับมุดอยู่ข้างนอก พอดีหลวงราชกลับมา จึงรู้ว่าสารภีมาพบเจ้าคุณ เข้าไปในห้องรับแขกเห็นเจ้าคุณ คุณหญิงและสารภีคุยกันอยู่ สารภีเห็นหลวงราชกลับมาก็รีบลุกขึ้นไหว้ทักทาย เจ้าคุณบอกให้อยู่คุยกับตายศก่อน แต่คุณหญิงชิงตัดบทว่าคงไม่มีอะไรจะคุยแล้วกระมังเพราะเสร็จธุระกับเจ้าคุณแล้ว
สารภีจึงเอาสมุดบันทึกที่มีดอกปีบแห้งอยู่ข้างในส่งให้หลวงราช คุณหญิงจะรับแทนแต่หลวงราชไวกว่ารับสมุดบันทึกไปแล้วก็ทำอะไรไม่ถูกกลัวความลับจะเปิดเผย มอบสมุดบันทึกคืนแล้วสารภีจึงลากลับ
“ของของลูกมันอะไรกัน ไปอยู่ที่แม่นั่นได้อย่างไรตายศ” คุณหญิงถามทันที
“ก็แค่สมุดเล่มหนึ่งน่ะครับคุณแม่” หลวงราชตอบแล้วรีบตามสารภีไป
ooooooo
อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 2
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ บทประพันธ์โดย เสน่ห์ โกมารชุนละคร ปี่แก้วนางหงส์ บทโทรทัศน์โดย บลูลาวา
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ กำกับการแสดงโดย แมน เมธี
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ ผลิตโดย บริษัท เมกเกอร์ เจ กรุ๊ป จำกัด
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ ควบคุมการผลิตโดย จริยา แอนโฟเน่
ที่มา ไทยรัฐ