อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 1 วันที่ 16 ต.ค.61

อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 1 วันที่ 16 ต.ค.61

ท่ามกลางตึกระฟ้าย่านธุรกิจในกรุงเทพฯปัจจุบัน ...มีตึกเก่ายุค ร.๕ แทรกตัวอยู่ แต่บริเวณตึกเก่านั้นยังมีตึกใหม่ที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนด้วยรั้วต้นไม้เขียวครึ้ม

รถวินเทจคันหนึ่งเข้ามาจอดที่หน้าบ้านหลังเก่า สาวสวยร่างระหงก้าวลงจากรถ ถอดแว่นกันแดดเก๋ออกมองสำรวจไปทั่วบริเวณ ก่อนสะพายกระเป๋าเข้าไปด้านใน เธอคือระริน...

ชายวัยกลางคนที่เป็นเลขาฯ นำระรินเดินไปตามระเบียงชั้นสอง แต่มีบางอย่างสะดุดตา ระรินหยุดเอากล้องถ่ายรูปถ่ายสิ่งหนึ่งบนเพดาน สเกตช์รายละเอียดเพิ่มเติมในสมุดโน้ตแล้วเดินต่อ



เลขาฯหยุดมองสงสัย ระรินยิ้มบอกว่า

“รินเห็นว่าลายปูนปั้นที่ตบแต่งอาคารนี้มีเอกลักษณ์น่าสนใจดีค่ะ เลยต้องเก็บข้อมูลไว้สักหน่อย พอทราบไหมคะว่าใครเป็นสถาปนิก”

“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ...แต่พอจะหาแบบก่อสร้างให้ได้ ผมจะคุยกับท่านเจ้าของบ้านให้นะครับ”

“ขอบคุณค่ะ รายละเอียดพวกนี้เป็นความพิเศษที่เรายกขึ้นมาเป็นจุดเด่นของพิพิธภัณฑ์ได้เลยนะคะ”

“ที่นี่ยังมีอะไรที่พิเศษยิ่งกว่านี้อีกนะครับคุณริน” เลขาฯบอกยิ้มๆ ระรินมองอย่างอยากรู้ว่าเป็นอะไร

เลขาฯพาระรินเดินมาจนถึงห้องดนตรี...ภายในห้องทุกอย่างถูกคลุมด้วยผ้า ที่ผนังด้านหนึ่งมีรูปถ่ายเก่า เพดานกลางห้องมีแชนเดอเลียร์แขวนอยู่ และยังมีของอย่างอื่นที่เกี่ยวกับดนตรีอยู่ด้วย

“นี่คือห้องดนตรีครับ หรือจะเรียกว่าเป็นหัวใจของบ้านหลังนี้ก็ไม่ผิด นี่ล่ะครับ ความพิเศษของที่นี่” ระรินมองไปรอบๆด้วยความสนใจ “ผมขอไปค้นแบบก่อสร้างให้ก่อนนะครับ”

เลขาฯแยกไปค้นแบบก่อสร้างที่รับปากว่าจะหาให้

ระรินเดินดูข้าวของในห้อง ไปหยุดที่หน้าต่างบานหนึ่ง เธอเปิดออกจึงเห็นว่ามีบ้านสมัยใหม่อยู่ในบริเวณเดียวกันหลังหนึ่ง

แสงจากภายนอกเข้าตาทำให้สายตาพร่ามัวจนต้องยกมือป้องแสง แต่ขณะที่สายตาพร่ามัวนั้น เธอกลับเห็นความเคลื่อนไหวที่กลางห้องจนต้องเพ่งดู...เห็นผ้าที่คลุมกล่องทรงสูงค่อยๆเลื่อนลงไปกองกับพื้นเหมือนมีคนดึงลงไป ระรินแปลกใจ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ

ที่กล่องทรงสูงมีฝุ่นจับ ระรินเอามือลูบฝุ่นออกจึงเห็นรางๆว่ามีปี่เลาหนึ่งอยู่ในนั้น เธอยกกล้องจะ

ถ่ายรูปไว้แต่ฝุ่นที่ติดอยู่ทำให้มองไม่ชัด เธอลูบฝุ่นออกอีกจนเห็นปี่เลานั้นชัดขึ้น เธอหามุมที่ดีที่สุดเพื่อถ่ายรูปทำให้ไม่เห็นคนเดินเข้ามา แต่นึกว่าเป็นเลขาฯ

“สักครู่นะคะ”

พอถ่ายรูปเสร็จเงยหน้ามอง สายตาปะทะกับดวงตาคู่หนึ่งของชายหนุ่มรูปงามมีเสน่ห์แต่มีกล่องกระจกกั้นกลาง ชายหนุ่มมองระรินเหมือนต้องมนต์

ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยสายตาที่เหมือนรู้จักกันมาก่อน

“ของที่คุณรินต้องการครับ” เลขาฯเข้ามาบอก พอมองไปเห็นชายหนุ่มก็อุทาน “คุณวิลิต!”

วิลิตยิ้มให้ มองไปทางระรินถามด้วยสายตาว่าเธอเป็นใคร แต่เลขาฯมัวแต่ตื่นเต้นไม่ได้สนใจ

“กลับมาแบบเงียบๆอย่างนี้ คุณพ่อต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ คุณวิลิตเข้าบ้านก่อนเถอะครับ ผมว่าคุณพิชิตชัยมีเรื่องจะคุยด้วยหลายเรื่องเลย”

เลขาฯเดินนำวิลิตออกไปเลย ระรินมองตาม

ยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นเขาที่ไหนมาก่อน เดินออกไปที่ระเบียงเห็นเลขาฯพาวิลิตเดินพ้นจากตึกเก่าไปแล้ว...

ระรินยังมองเต็มไปด้วยความสงสัย...พึมพำ

“เดจาวูละมั้งยัยริน”

ooooooo

ในบ้านพิชิตชัย...วิลิตยื่นไอแพดคืนให้พิชิตชัยด้วยสีหน้าประหลาดใจ พิชิตชัยยิ้มขำๆกับสีหน้าของวิลิต ถามกลั้วเสียงหัวเราะว่า

“แกคงเซอร์ไพรส์อย่างแรงเลยล่ะสิเจ้าวี”

“พ่อต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆที่จะทำบ้านนั้นเป็นมิวเซียม” วิลิตมองไปที่บ้านเก่าตรงหน้า “พ่อแกล้งไม่รู้ใช่ไหมว่าที่ตรงนี้มันมีมูลค่ามหาศาลแค่ไหน” พิชิตชัยยิ้มกวนๆ บอกว่ามหาศาลจนไม่มีใครกล้าซื้อ “ผมว่าพ่อไม่อยากขายเพราะจะทำพิพิธภัณฑ์สนองความต้องการของตัวเองมากกว่ามังครับ ผมบอกพ่อไว้ก่อนนะครับว่ายังไงผมก็จะขายที่ตรงนี้อยู่ดี พ่ออย่าลงทุนให้เสียเงินเสียเวลาเปล่าๆเลยครับ”

พิชิตชัยถามว่าแน่ใจหรือว่าตนจะยกที่ผืนนี้ให้ วิลิตนิ่งไปนิดหนึ่งจึงถามว่าแล้วพ่อเรียกตนกลับมาทำไม พิชิตชัยบอกว่าขอโทษที่ทำให้เขาผิดหวัง เตือนวิลิตที่ยังอึ้งอยู่ว่า

“ของบางอย่างมันก็ควรคู่กับบางคนเท่านั้นแหละเจ้าวี”

“พ่อนี่ดื้อชะมัด”

พิชิตชัยยิ้มอารมณ์ดีแล้วเดินออกไป วิลิตยังนั่งอยู่ มองพ่อ ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย...แล้วลุกไปที่หน้าต่าง มองบ้านหลังนั้นพึมพำอย่างไม่พอใจ “พิพิธภัณฑ์เหรอ?”

วิลิตจะปิดหน้าต่าง พลันก็เห็นแสงไฟสว่างขึ้นในห้องหนึ่งที่หน้าต่างยังเปิดอยู่ ครู่หนึ่งเสียงดนตรีปี่พาทย์ก็ลอยมาตามลม วิลิตฟังพักหนึ่งแล้วปิดหน้าต่างเหมือนไม่สนใจ

แต่พักหนึ่งวิลิตก็ไปปรากฏตัวที่หน้าห้องนั้น

มองไปรอบๆ เมื่อไม่เห็นใครก็เรียก

“คุณพ่อครับ” ไม่มีเสียงตอบ มีแต่เสียงดนตรีที่ยังบรรเลงอยู่ วิลิตเดินผ่านตู้ทรงสูงเข้าไปแต่ก็ไม่เห็นพ่อ พึมพำ... “หรือว่าอยู่อีกห้อง?”

วิลิตจะออกจากห้องเห็นหน้าต่างเปิดอยู่จึงเดินไปปิด แต่ไม่ทันปิดลมก็พัดกระชากประตูห้องปิดปัง! ไฟแชนเดอเลียร์หรี่แสงเหมือนไฟตก เสียงดนตรีก็หายไปทันที วิลิตไม่รู้สึกกลัว เขาปิดหน้าต่างลงกลอนจะออกไป แต่กรอบรูปชิ้นหนึ่งตกลงมากระจกแตกกระจาย เขาหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดู

แม้ภาพจะเก่ามาก แต่ก็เห็นว่าเป็นภาพวงดนตรีไทยที่ถูกเซตถ่ายหน้าฉาก ที่เด่นคือมีหญิงสาวนั่งพับเพียบถือปี่เลาหนึ่งวางไว้บนตัก เพื่อดูให้ชัด วิลิตถือภาพนั้นเดินไปที่ใต้แชนเดอเลียร์ เขาเพ่งมองปี่ในรูปสลับกับปี่ที่อยู่ในกล่องกระจก

ไฟที่กะพริบติดๆดับๆนั้นเหมือนเป็นการสะกดจิต ทำให้วิลิตรู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในรูปถ่าย...

พริบตาเดียว จากกรุงเทพฯในปัจจุบันก็กลายเป็น...

“บางกอก...ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว”

เป็นเวลาที่ห้องดนตรีบ้านพระสรรพการ...กำลังมีการประชันวงดนตรีสองวง คือวงพระสรรพ์กับวงพระธำรงค์ คนดูวิพากษ์วิจารณ์กับหลวงบำรุงที่ดูการประชันกันอยู่ว่า วงพระสรรพ์กินขาด หลวงบำรุงติงว่า ก็ใช่ว่าจะพลั้งไม่ได้ รอให้จบเสียก่อน

“ห่างชั้นกันอย่างนี้ ไม่ต้องรอประชันจบก็รู้ว่าพระสรรพ์กินเรียบ ดีที่ฉันถือหางอยู่ คงได้โขละงานนี้”

“เอ็งเห็นบ้านพระสรรพ์เป็นโรงบ่อนไปแล้วรึ” หลวงบำรุงตำหนิสีหน้าไม่พอใจ แล้วหลวงบำรุงก็จับตาดูพิกุลที่จับปี่สีหน้าเรียบนิ่งอย่างมีสมาธิ พอวงของจางวางพ่วงส่งลูกต่อให้ ทำให้คนปี่ของฝ่ายตรงข้ามจับปี่เข้าปากแทบไม่ทัน เสียงคนดูฮือเบาๆ พิกุลยิ้มน้อยๆ แต่พระสรรพ์กระหยิ่มยิ้มย่องเมื่อเห็นอีกฝ่ายเกือบพลาด

พระสรรพ์เอ่ยกับพระธำรงค์ว่าดูท่าจะไม่ไหว

ถ้าคุณพระฝืนต่อตนเกรงว่าจะจบไม่สวย ท่านจะเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่นี่เสียเปล่า พระธำรงค์ยอมรับว่าวงตนรับช้าไปนิด แต่ถึงกับจะให้ตนโยนผ้าเลย ออกจะง่ายไปหน่อยกระมัง

พิกุลได้แสดงฝีมือการเป่าปี่ที่รับท่อนต่อจากวงคู่ประชันได้อย่างทันท่วงทีซ้ำยังเป่าข่มด้วย หลวงบำรุงยิ้มออกเมื่อเห็นฝีมือของพิกุล จับตามองเธออย่างมี

ความหมาย พิกุลเห็นแต่ไม่ใส่ใจ

สุดท้ายวงของจางวางพ่วงก็แสดงฝีมือท่อนจบด้วยความเด็ดขาด จนคนดูตะลึงอ้าปากค้าง แต่หลวงธำรงค์ส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ

ooooooo

พระสรรพ์ยืนอยู่กับพระธำรงค์ที่มุมหนึ่ง ในขณะที่ลูกน้องพระธำรงค์ทยอยขนเครื่องดนตรีออกจากห้อง

พระธำรงค์เอ่ยกับพระสรรพ์ว่าถ้าตนดื้อดึงไม่ยอมรับว่าสู้วงของท่านไม่ได้ก็เห็นทีจะมองหน้าคนดูไม่ติดเหมือนกัน พูดอย่างไว้เชิงว่า

“แต่จะยอมแพ้ก็แค่ครั้งนี้เท่านั้น”

“คุณพระขอยอมเพื่อรักษาเกียรติโดยแท้ เช่นนี้น่าเคารพนักขอรับ”

พระธำรงค์รู้ว่าพระสรรพ์เยินยอ แต่มิได้ว่ากระไร หยิบปึกเงินส่งให้พูดอย่างไว้เชิงว่า

“เงินพนันที่ตกลงกันไว้ ประชันคราวหน้าฉันจะเอาคืน แต่ต้องหนากว่าปึกนี้ เอาอย่างนั้นไหมคุณพระ”

“ขอรับ หนากว่านี้อีกกี่เท่า วงปี่พาทย์ของกระผมก็มีแต่จะกินเรียบเท่านั้น”

พระธำรงค์ยิ้มรับคำท้าทาย ชูแก้วชวนจิบ

เครื่องดื่มกัน แต่ไม่ทันจิบก็ต้องชะงัก เมื่อเสียงจาง

วางพ่วงโพล่งแทรกขึ้นอย่างเด็ดขาดว่า

“คุณพระทำอย่างนี้ไม่ได้นะขอรับ!!”

พระสรรพ์ พระธำรงค์ หันมองจางวางพ่วงขวับ คนในบริเวณนั้นต่างก็หันมองจางวางเป็นตาเดียว

พระธำรงค์ถามว่าขัดใจจางวางตรงไหนรึ พระสรรพ์ถามว่าหรือตนตั้งราคาต่อรองกับเจ้าคุณไม่สมกับฝีมือของจางวาง จางวางพ่วงยิ่งโกรธ ตอบพระสรรพ์ว่า

“คุณพระอุปถัมภ์วงปี่พาทย์ของกระผมก็จริงแต่ท่านไม่ใช่เจ้าของ เอาวงมาประชันกินเงินกันแบบนี้ ไม่มีใครเขาทำกัน” พระสรรพ์แย้งว่าไม่มีใครทำก็ไม่ได้แปลว่าทำไม่ได้ จางวางโต้อย่างเจ็บใจว่า “วงปี่พาทย์ของกระผมมีแต่จะสร้างสุนทรีย์ให้คนฟัง มิใช่ปลากัดหรือไก่ชนมีค่าตัวที่ท่านจะอุ้มเข้าบ่อนไปพนันขันต่อหรือจะเอาไปใช้ในทางเสื่อมเช่นนี้”

“อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบเช่นนั้นสิ ท่านมีหน้าที่ประชันก็แสดงฝีมือให้ประจักษ์ ถ้าชนะฉันก็ได้เงิน แล้วจางวางก็ได้หน้า มันก็มีแต่จะได้ทั้งสองฝ่าย” พระสรรพ์เอ่ยยิ้มๆ แล้วสั่งบ่าว “รินให้จางวางท่านสักหน่อย จะได้คุยกันรื่นหู”

บ่าวรินเครื่องดื่มส่งให้แต่จางวางไม่รับบอก ตามสบายเถิดขอรับ จ้องหน้าพระสรรพ์แล้วเดินออกไป แต่พระสรรพ์เรียกไว้ บอกว่าตนรับนัดวันประชันกับวงท่านเจ้าคุณไว้แล้ว จางวางไม่ลืมใช่ไหม จางวางส่ายหน้าบอกว่า

“คุณพระไปแก้ต่างกับท่านเจ้าคุณเอง...ขอรับ”

พระสรรพ์ฉุนขาด ชี้หน้าจางวางถามว่าจางวางจะหนีประชันให้ตนอับอายขายขี้หน้าเช่นนั้นรึ ปรามว่า

“คิดเนรคุณ มันจะไม่เจริญนะจางวาง”

“เช่นนั้นกระผมจะขอสนองคุณท่านสักเพลง” ว่าแล้วจางวางกลับไปที่ห้องดนตรีพยักหน้าให้ลูกวง พระสรรพ์จิบเครื่องดื่มต่อ แต่แทบสำลักเมื่อได้ยินเพลง ...ตวาด

“ไอ้พ่วง...มึงจะประโคมนางหงส์กล่อมผีห่าที่ไหน มึงสั่งให้พวกมันหยุดเดี๋ยวนี้นะ ไอ้พ่วง...หยุด! กูบอกให้หยุด!!”

พระสรรพ์คว้าไม้เท้าที่อยู่ข้างตัวเงื้อง่าข่มขู่ แต่จางวางไม่กลัวจึงเหวี่ยงไม้เท้าใส่ จางวางแย่งไม้เท้าได้ก็เป็นฝ่ายชี้หน้าพระสรรพ์ พระสรรพ์ด่าแล้วสั่งบ่าวให้ลากคอพวกนี้ออกไปให้หมดไม่เว้นหัวหงอกหัวดำ พวกบ่าวกรูกันเข้าพาตัวนักดนตรีออกไป

พระสรรพ์จ้องจางวางอย่างเจ็บใจ จางวางยิ้มเยาะบอกว่า

“มันยังไม่จบง่ายๆนะขอรับคุณพระ”

หลวงบำรุงที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งมองด้วยสีหน้ากังวล

แล้วก็ไม่จบง่ายดังที่จางวางพ่วงบอก พอออกมาจางวางก็ตั้งวงบรรเลงเพลงนางหงส์ที่หน้าบ้านพระสรรพ์เลย บ่าวของพระสรรพ์กรูกันออกมาถามว่าคุณพระท่านสั่งให้หยุด ไม่ได้ยินหรืออย่างไร

“ไปบอกเจ้านายเอ็งว่าข้าจะประโคมนางหงส์สนองคุณยันสว่าง ไม่อยากฟังก็ต้องฟัง”

จางวางท้าทาย พวกบ่าวทำอะไรไม่ได้ก็ถอยกลับเข้าไปในบ้าน จางวางยิ้มสะใจแต่พอหันไปเห็นหลวงบำรุงยืนมองพิกุลอยู่ จางวางหุบยิ้มแววตาแข็งทันที หลวงบำรุงเห็นท่าก็รู้ รีบบอกว่าตนไม่ใช่คนของพระสรรพ์ ตนคือหลวงบำรุง...จางวางขัดขึ้นทันทีว่า

“จะหลวงหรือพระ ข้าก็ไม่เห็นหัวดอก สันดานเดียวกัน มีแต่จะคิดหยามกันอย่างหมูอย่างหมา”

“ฉันไม่ใช่คนอย่างพระสรรพ์แล้วก็ไม่มีเรื่องได้เสียอย่างพวกนั้น ฉันตามมาก็เพราะเห็นดีงามในฝีมือของคนปี่ของจางวางต่างหาก” จางวางไม่พอใจสวนทันทีว่าสายตาเอ็งมันไม่ได้บอกเช่นนั้น “จางวางอย่าคิดเป็นอื่นเลย คนปี่ของจางวางนั้นหาตัวจับยากนัก”

“ต่อให้เอ็งสรรเสริญเยินยอจนถึงเมืองฟ้า ก็อย่าหมายว่าข้าจะคล้อยตามเอ็ง ข้าขอโง่ให้พวกเอ็งหลอกแต่เพียงครั้งนี้ แล้วจะไม่มีวันโง่ซ้ำสอง”

“ถึงอย่างนั้นก็ขอให้ฉันได้แสดงความชื่นชมคนปี่ของจางวางเถิด”

หลวงบำรุงหยิบเงินขวัญถุงออกมา จางวางปรายตาอย่างรังเกียจ ไม่แม้แต่จะแตะ หลวงบำรุงจึงเก็บเงิน แต่สายตาไม่ละจากพิกุล จนจางวางพ่วงตวาดไล่

อ่านละคร ปี่แก้วนางหงส์ ตอนที่ 1 วันที่ 16 ต.ค.61

ละคร ปี่แก้วนางหงส์ บทประพันธ์โดย เสน่ห์ โกมารชุน
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ บทโทรทัศน์โดย บลูลาวา
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ กำกับการแสดงโดย แมน เมธี
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ ผลิตโดย บริษัท เมกเกอร์ เจ กรุ๊ป จำกัด
ละคร ปี่แก้วนางหงส์ ควบคุมการผลิตโดย จริยา แอนโฟเน่
ที่มา ไทยรัฐ