อ่านละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 4 วันที่ 15 ส.ค. 56

อ่านละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 4 วันที่ 15 ส.ค. 56

“จะฆ่าหม่อมฉันหรือ ฆ่าเลย หม่อมฉันไม่กลัวตาย”
“ฆ่าเจ้าหรือฟารีดา เราไม่ฆ่าเจ้าหรอก เรามีวิธีที่จะให้เจ้าแค้นใจจนกระอักออกมาเอง” องค์โอมานว่าแล้ว ตบมือสามครั้ง สักครู่มีสาวสวยสามคนในชุดวาบหวิวออกมาร่ายรำด้วยท่าทางยั่วยวน เจ้าหญิงฟารีดาทนดูไม่ได้ขยับจะไป เขาขู่ฟ่อขืนขยับแม้แต่ก้าวเดียวจะสังหารนังสามคนนี่ทิ้ง เธอจำใจนั่งต่อไป...

หลังจากกลั่นแกล้งมเหสีเอกจนหนำใจแล้ว องค์โอมานปล่อยเธอกลับตำหนักตัวเอง เจ้าหญิงเห็นซาฟีน่ามาเดินเตร่อยู่แถวห้องบรรทม จึงเรียกมาสอบถามว่าทำความดีความชอบอะไรถึงถูกส่งมารับใช้ตน ทั้งๆ ที่ควรอยู่ที่วังหลวง เธอปฏิเสธทันทีว่าไม่ทราบไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น แค่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์โอมานที่หนึ่งเท่านั้น


“ถ้าไม่รู้ ก็รู้ไว้เดี๋ยวนี้ ว่าเจ้าถูกส่งมาให้คอยจับตาดูเรา แล้วเอาไปบอกพวกทหารของเจ้าพี่ เพื่อจะทูลขึ้น

ไปถึงเจ้าพี่อีกที ทำไมซาฟีน่า เบี้ยหวัด เงินปีที่ได้รับไม่พอใช้หรือ ถึงต้องทำตัวเป็นนกสองหัว คนชั่วอย่างเจ้า เราไม่ชอบ เราไม่ขอเห็นหน้าให้เป็นเสนียดกับสายตา เจ้าเตรียมตัวไปจากที่นี่ได้ ที่นี่เป็นที่ที่คนดีๆ เขาอยู่กัน”

ซาฟีน่าจำต้องกลับวังหลวง เพื่อรายงานให้องค์โอมานทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น...

ขณะที่ซาฟีน่าหมดโอกาสที่จะสอดแนมความเป็นไปของเจ้าหญิงฟารีดา ชารีฟกับมิเชลล์เตรียมออกเดินทางต่อไป เขาอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นมิเชลล์หยิบแหวนวงที่เข้าชุดกับสร้อยอุบะที่ห้อยเครื่องราง ซึ่งเจ้าหญิงฟารีดามอบให้ขึ้นมา คล้องเชือกแล้วนำมาสวมคอไว้ ร้องถามว่าเอาแหวนเปียรุสมาสวมทำไม เธออ้างคำของเจ้าหญิงฟารีดาว่ามันเป็นเครื่องรางสำหรับปกป้องคนร้าย คนคิดไม่ดีอย่างเขา ชารีฟไม่อยากเถียงด้วยหันไปตรวจความเรียบร้อยของสัมภาระ มิเชลล์อยากให้พักอยู่ที่นี่อีกสักวันสองวัน แต่เขาสั่งให้ออกเดินทางต่อ

“ไม่ ฉันจะพัก ยังไม่หายเหนื่อย ท่านไปคนเดียวสิ ดิฉันจะไปทางโน้น ท่านอย่าตามมาก็แล้วกัน ดิฉันไม่ไว้ใจท่านแล้ว” มิเชลล์แข็งขืนได้ไม่กี่นํ้า สุดท้ายต้องทำตามคำสั่งของชารีฟ...

องค์โอมานยังไม่ยอมรามือ ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ตัวชารีฟกลับมา โดยจับเมียและลูกของอับดุลมาทรมานให้อับดุลบอกความจริง แต่เขาปิดปากเงียบ ยอมตายทั้งครอบครัวดีกว่าจะเผยที่ซ่อนตัวของชารีฟ

ooooooo

ชารีฟเดินทางทั้งคืนจนมิเชลล์เหนื่อยอ่อน แทบจะหลับบนหลังอูฐ แต่แล้วเธอกลับตาสว่างเมื่อเห็นพายุหมุนก่อตัวขึ้นที่ปลายฟ้า ซึ่งพระอาทิตย์เริ่มทอแสงรำไร ครู่เดียวพายุพัดตรงเข้ามา ชารีฟสั่งให้ลงจากอูฐแล้วใช้มันเป็นที่กำบังพายุ เธอรีบทำตามสั่งด้วยความหวาดกลัว เขาโอบกอดเธอไว้เพื่อปกป้องทรายจากพายุ

“เอาผ้าปิดปาก ปิดจมูกเดี๋ยวทรายเข้า”

สิ้นเสียง พายุพัดทรายฟุ้งกระจายเข้ามา ชารีฟกอดมิเชลล์ไว้แนบกับตัว ความใกล้ชิดทำให้หญิงสาวอดหวั่นไหวไม่ได้ พักใหญ่กว่าพายุจะสงบ เขาจึงคลายอ้อมกอดออก มิเชลล์ยังคงครางอู้อี้พร้อมกับไขว่คว้าดึงเขามากอดไว้แน่น สักครู่ถึงได้รู้สึกตัว ลืมตามองเห็นเขาจ้องอยู่ อับอายมากลุกพรวดเสมองไปรอบๆ แก้เขิน ก่อนจะพบว่าภูมิประเทศที่เห็นก่อนเกิดพายุเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เนินทรายที่เคยอยู่ตรงหน้าหายไปหมด

ชารีฟจัดแจงทำที่บังแดดบนหลังอูฐ แล้วสั่งให้มิเชลล์ขึ้นประจำที่ และเตือนว่าต่อไปนี้จะไม่มีแหล่งน้ำที่ไหนอีกจนกว่าจะถึงที่พักใหญ่ของพวกเบดูอิน กลางทะเลทรายลึก จะใช้น้ำต้องระมัดระวัง...

คำเตือนของชารีฟเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แสงแดดที่แผดเผาทำให้มิเชลล์ซดน้ำยิ่งกว่าอูฐ เขาต้องคว้าถุงใส่น้ำของเธอไปเก็บไว้เอง เธอค้อนขวับด้วยความไม่พอใจ...

ด้านองค์โอมานไม่รอช้า สิ่งแรกที่ทำทันทีที่ขึ้นครองอำนาจคือสั่งให้พระคลังหลวงขูดภาษีจากราษฎรเพิ่มขึ้น จึงเป็นการเปิดช่องให้ข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง เรียกสินบนจากพ่อค้าที่ไม่ต้องการเสียภาษี

เงินที่ได้จากการค้าน้ำมันและรีดภาษี องค์โอมานนำไปซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากพ่อค้าอาวุธที่มีชื่อมิสเตอร์โจชัวร์ ซึ่งคุยอวดว่าอาวุธของตนนำสมัยและมีประสิทธิภาพไม่มีประเทศใดในภูมิภาคนี้จะทัดเทียมได้ พระองค์พอใจมาก แต่ไม่วายถามซาอิ๊บว่าตนคงตัดสินใจไม่ผิด เขายืนยันไม่ผิดแน่นอน ฝรั่งคนนี้ไว้ใจได้

“แสนยานุภาพของเราจะต้องยิ่งใหญ่ที่สุดและในไม่ช้านี้ผืนทรายทั้งหมดในคาบสมุทรนี้จะต้อง

เป็นของข้าแต่ผู้เดียว เออ...ว่าแต่ว่าอย่าลืมไอ้ชารีฟกับ

นางสนมฝรั่งเศส อย่าลืมว่าเรายังต้องการตัวมันอยู่ ไม่ได้กลัวว่ามันจะมาทำอะไรหรอก แต่แค้นมัน...เจ้าได้ตัวมันไอ้ชารีฟ มีดเล่มนี้จะแล่เนื้อมันออกเป็นชิ้นๆเลย” องค์โอมานว่าแล้วหยิบมีดสั้นมาตวัดไปมา ด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม...

ทางฝ่ายมิเชลล์โวยวายลั่นที่ชารีฟให้พักแค่ครู่เดียวแล้วให้เดินทางต่อไปทั้งๆที่แดดเปรี้ยงและควรจะเป็นเวลาได้นอนพัก อีกทั้งยังให้จิบน้ำแทนที่จะได้ดื่มให้สมกับความกระหาย ชารีฟไม่พอใจต่อว่ากลับที่เธอเห็นเขาเป็นศัตรูใจทรามถึงได้ไม่ไว้ใจกัน ขนาดจะกินจะนอนต้องพกมีดติดตัวไว้ตลอด ทั้งๆที่เขาช่วยชีวิตเธอไว้ตั้งสองครั้งสองครา ทีกับองค์อาหเม็ดกลับยอมตกปากรับคำเป็นสนม โดยอ้างว่าพระองค์มีบุญคุณ

“ฉันไม่ได้คิดจะทำบัดสีอะไรกับเธอ แต่ฉันไม่เข้าใจผู้หญิงยุโรปอย่างเธอจริงๆ ถ้าเธอบอกรักองค์อาหเม็ดสักคำฉันจะไม่สงสัยเลย นี่...มันก็เรื่องหลอกลวงนั่นแหละ”

มิเชลล์ขอร้องให้หยุดดูถูกกันได้แล้ว ถ้าไม่หยุดจะโดดลงจากหลังอูฐ ชารีฟท้าทายให้กระโดด อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงยุโรปจะใจเด็ดแค่ไหน เธอโกรธมากโดดลงมากระแทกพื้นหมดสติเนื่องจากอ่อนแรงเป็นทุนเดิม ชารีฟตกใจผวาลงไปประคองเธอไว้แนบอก ปากก็พร่ำบอกว่าทีหลังจะไม่ทำอย่างนี้กับเธออีก...

ชารีฟต้องตั้งกระโจมเพื่อค้างแรมไปโดยปริยายเพราะมิเชลล์หมดสติไม่รู้สึกตัว โชคดีที่ไม่มีส่วนใดหัก แค่ฟกช้ำ กว่าเธอจะฟื้นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เขารีบเข้าไปง้อเอาอกเอาใจ เธอปล่อยโฮอย่างหมดความอดกลั้น ชารีฟทำอะไรไม่ถูก ดึงเธอมากอดไว้อย่างปลอบโยน

ooooooo

มิเชลล์ตื่นขึ้นตอนเช้าของวันใหม่ด้วยอาการมึนหัวเล็กน้อย แต่แล้วต้องตกใจเมื่อพบว่าตัวเองนอนหลับอยู่ข้างๆชารีฟ รีบสำรวจเนื้อตัวแล้วถอนใจโล่งอกที่ทุกอย่างอยู่ในสภาพปกติ มองชายหนุ่มที่นอนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น แล้วค่อยๆลุกออกไปเตรียมมื้อเช้าให้

กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นปลุกชารีฟให้ตื่นจากหลับใหล แต่อดปากเสียไม่ได้ว่านี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่รอนแรมด้วยกันมาเพิ่งได้ดื่มกาแฟจากฝีมือของคนศิวิไลซ์อย่างเธอ

“พรุ่งนี้เย็นเราจะเข้าสู่เขตภูเขาที่ตั้งจาอุฟเมืองกลางทะเลทรายอีกแห่งหนึ่ง ที่นั่นจะสบายไม่ต้องเร่ร่อนเราจะพักที่นี่จนกว่าอาทิตย์จะตกดิน เมื่อถึงจาอุฟเธอต้องระวังตัวให้มากขึ้น ที่นั่นเป็นชุมชนใหญ่ของพวกเบดูอิน มีทั้งคนดีคนชั่วและโจรปะปนกัน แล้วก็มีเรื่องแก่งแย่งชิงอำนาจของพวกที่พยายามเป็นใหญ่แทนชีค...

ชีคคือตำแหน่งหัวหน้าของเบดูอินกลุ่มใหญ่ซึ่งมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ส่วนใหญ่ตามเมืองโบราณในทะเลทราย”

ชารีฟอธิบายเสร็จหยิบสร้อยห้อยตราประจำราชวงศ์กษัตริย์ที่สวมติดตัวออกมา “พวกเบดูอินร้ายกาจ อย่างไรก็ไม่กล้าทำร้ายทหารของพระราชา เธอไม่ต้องกลัวนะ”...

ในที่สุดชารีฟและมิเชลล์มาถึงเมืองจาอุฟ ที่ซึ่งตัวตึกทั้งหลายสร้างขึ้นจากดินเหนียวและหิน มีกระโจมของพวกเบดูอินตั้งกระจัดกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆรอบเมือง ทั้งคู่เดินตรงไปยังตึกใหญ่ที่ตั้งตระหง่านเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่อยู่ของชีคอัสมันซึ่งมีสายสัมพันธ์อันดีกับชารีฟ แต่ยังไม่ทันจะถึงตัวตึก กาเซ็มซึ่งเมามายเดินมาชนมิเชลล์

เต็มแรงจนเซจะล้ม เขาคว้าตัวเธอไว้ทัน ก่อนจะร้องเอะอะว่านี่คือผู้หญิง แล้วกอดไม่ยอมปล่อย

ชารีฟปรี่เข้ามากระชากไอ้ขี้เมาเหวี่ยงไปกองกับพื้น นะหมัดรีบเข้ามาขอโทษแทนน้องชาย ชารีฟได้ทีตวาดกลบเกลื่อนว่าเมาจนขาดสติขนาดเห็นผู้ชายเป็นผู้หญิง แล้วติงว่าสุราเป็นของต้องห้ามทำไมยังดื่มกันอีก นะหมัดรับปากว่าจะพยายามหักห้ามใจไม่ให้ดื่ม...

ครู่ต่อมา ชารีฟเดินนำมิเชลล์ในคราบตาฟามาถึงหน้าตึกใหญ่ เขาฝากรหัสคำว่า “อวีเซ็นน่า” ให้ยามเฝ้าระวังหน้าตึกไปแจ้งต่อชีคอัสมัน ยามหายเข้าไปข้างในพักหนึ่งก็กลับออกมาเชิญทั้งคู่เข้าพบชีคอัสมันได้ แล้วเดินนำไปยังห้องโถงใหญ่ซึ่งมีเหล่านักรบเบดูอินยืนถือปืนเรียงรายกันเป็นระยะๆ ส่วนที่มุมห้องซึ่งเป็นพื้นยกสูงมีเด็กหนุ่มสองคนนั่งเฝ้าชีคอัสมันที่นอนร้องโอดโอยอยู่ แต่พอเห็นชารีฟเท่านั้น ร้องทักด้วยความดีใจ

อ่านละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 4 วันที่ 15 ส.ค. 56

ละครฟ้าจรดทราย ประพันธ์โดย โสภาค สุวรรณ
ละครฟ้าจรดทราย บทโทรทัศน์โดย ศัลยา สุขะนิวัตต์
ละครฟ้าจรดทราย กำกับการแสดงโดย สยาม สังวริบุตร
ละครฟ้าจรดทราย ผลิตโดย ค่าย ดาราวิดีโอ
ละครฟ้าจรดทราย ออกอากาศทุกวันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7 สี
ละครฟ้าจรดทราย เริ่มตอนแรกวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2556
ที่มา ไทยรัฐ