อ่านละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2 วันที่ 7 ส.ค. 56

อ่านละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2 วันที่ 7 ส.ค. 56

ในเวลาต่อมา มิเชลล์กลับถึงคฤหาสน์ เจอติเยาะกำลังทำความสะอาดพื้นอยู่ ถามว่าอาหมัดเป็นอย่างไรบ้าง ไปต่อยกับใครมาเลือดกำเดาถึงไหลขนาดนั้น ติเยาะน้ำตาไหลพรากด้วยความอัดอั้น ตัดสินใจเล่าความจริงว่าเป็นฝีมือของแคชฟียา มิเชลล์ร้องเอะอะ ไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง

“จริงจ้ะนายหญิง ลูกชายของฉันเป็นคนรับจดหมายมาให้นายหญิง คุณแคชฟียาพบเข้าจะขอดู มันไม่ยอมให้เพราะนายฝรั่งไม่ได้ฝากให้ท่าน คุณแคชฟียาก็เลยตบมันหลายที”


ระหว่างนั้น แคชฟียาเดินเข้ามาทักมิเชลล์ว่า

เพิ่งกลับมาหรือ บอกได้ไหมว่าไปไหนมา มิเชลล์สวนทันทีว่ารู้แก่ใจไม่ใช่หรือว่าเธอไปไหน แคชฟียาโกรธที่ติเยาะปากสว่าง สั่งให้ฮานาไล่สองแม่ลูกออกจากบ้านภายในวันนี้ก่อนตะวันตกดิน โดยไม่ฟังเสียงทัดทานของใคร...

มิเชลล์สงสารสองแม่ลูกจับใจที่ถูกไล่ออกทั้งๆที่ไม่ได้ทำอะไรผิด เอาเงินที่สะสมไว้ก้อนหนึ่งให้ติเยาะติดตัวไปใช้ เพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้ทั้งคู่ต้องลำบาก ติเยาะน้ำตาซึมซาบซึ้งใจ

“ฉันจะไม่ลืมความใจดีของนายหญิงเลย อัลหล่าคงจะบันดาลให้ฉันได้ช่วย...”

ฮานาสวนทันที “อัลหล่าคงจะไม่รับฟังหรอก นายหญิงอยู่ถึงในเมือง เจ้านั้นนับวันจะห่างไกลไปจากเมืองทุกที นายหญิง...ติเยาะกับลูกจะกลับไปอยู่กับพี่ชายที่เป็นพวกเบดูอินเร่ร่อนในทะเลทรายจะไม่กลับมาที่นี่อีก”

“ทะเลทราย!...อยู่ได้อย่างไรติเยาะ”

“ชาวเบดูอินคู่กับทะเลทราย อยู่ได้นายหญิง ห่วงแต่ลูกมันจะไม่ได้เรียนหนังสือ” ติเยาะพูดจบจูบมือมิเชลล์อย่างนอบน้อมก่อนจะพาลูกจากไป มิเชลล์หันมาบ่นกับฮานาว่า แคชฟียาไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน

“ความแค้นทำได้ทุกอย่าง” ฮานาพูดอย่างมีนัย แล้วขอตัวไปทำงานต่อ มิเชลล์มองตามสีหน้าเป็นกังวล

ooooooo

เช้าวันรุ่งขึ้น มิเชลล์มาสอนหนังสือตามปกติ แต่ต้องแปลกใจที่ห้องเรียนว่างเปล่า ไม่มีนักเรียนมาแม้แต่คนเดียว นั่งรออยู่นานสองนาน ตัดสินใจจะออกไปตามลูกศิษย์ แต่แคชฟียาเข้ามาขวางไว้

“ไม่ต้องไปตามหรอก ไม่มีใครมาเรียนแล้ว ฉันสั่งห้ามพวกมัน” แคชฟียาหันไปเห็นเด็กนักเรียนยืนแอบๆอยู่ตรงประตู โวยวายลั่น “มายืนเฝ้าอะไร กลับไปให้หมด...ไป” ไม่พูดเปล่า แคชฟียาคว้าของใกล้มือปาใส่ เด็กๆวิ่งหนีกระเจิง มิเชลล์อยากรู้ว่ามันเรื่องอะไรกันถึงทำแบบนี้ แคชฟียาไม่ตอบหันหลังก้าวฉับๆออกไป มิเชลล์รีบตาม แต่เธอหันมาผลักเต็มแรง

“ไม่ต้องตามฉันมา ฮ่าๆๆรู้ไว้ด้วยว่าเธอเป็นลูกจ้าง ต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง” แคชฟียาว่าแล้ว เร่งฝีเท้าออกไป มิเชลล์ไม่ยอมแพ้ ไล่ตามไปติดๆจนมาถึงห้องโถงที่พ่อกับแม่ของแคชฟียากำลังคุยกันเรื่องส่งตัวลูกเข้าวัง แคชฟียาหันไปตวาด พร้อมกับชี้หน้าเพื่อนเคยรักอย่างเอาเรื่อง

“ไปให้พ้นหน้า ฉันไม่อยากเห็น”

มิเชลล์ยืนตะลึง ก่อนจะวิ่งกลับห้องตัวเอง พ่อของแคชฟียาเรียกลูกให้มาคุยกันก่อน เธอไม่มีอารมณ์จะฟังเรื่องอะไรทั้งนั้น ท่านเตือนว่าปฏิเสธองค์อาหเม็ด จะทำให้ครอบครัวลำบาก ขอให้เธอทบทวนให้ดีๆอีกครั้ง

“คิดดีที่สุดแล้ว พ่ออุตส่าห์ส่งไปเรียนถึงฝรั่งเศสเพื่อให้กลับมาเป็นผู้หญิงที่วันๆคอยว่าเมื่อไหร่สามีจะมานอนด้วยน่ะหรือ หนูไม่ยอมหรอก” แคชฟียาพูดจบสะบัดหน้าจะออกไป พ่อถึงกับปวดหัวจี๊ดซวนเซลงไปนั่ง แม่ตกใจร้องเอะอะว่าเป็นอะไรไป แคชฟียาชะงักหันกลับมามอง แม่มองสบตาพ่ออย่างรู้เท่าทัน

“อย่านะคะ ท่านอย่าคิดเอาใครไปหลอกลวงองค์อาหเม็ดแทนแคชฟียา เท่ากับส่งคนไปตายนะคะ จำไม่ได้หรือคะ นังแม่คนที่มันสับเปลี่ยนตัวเอาหลานสาวไปแทนลูกสาวตัวเอง เจ้าชายโอมานพระอนุชากริ้วจัดสั่งตัดหัวนังตัวปลอมนั่นทันที ไม่ฟังเสียงด้วยซ้ำ”

แคชฟียาคิดแผนชั่วร้ายขึ้นมาได้ทันที ปราดเข้าไปคุกเข่าข้างๆพ่อ “คิดดูอีกที ลูกโง่มากที่ปฏิเสธองค์อาหเม็ด ลูกตกลงค่ะ ขออย่างเดียวอย่าบอกมิเชลล์นะคะ ลูกอาย” จากนั้นไม่นาน แคชฟียาไปหามิเชลล์ที่ห้องพักด้วยสีหน้าร่าเริง

“มิเชลล์ พรุ่งนี้สอนหนังสือเสร็จแล้วเราไปช็อปปิ้งกันนะ ค่ำๆก็ได้ เธอจะได้หายเหนื่อยก่อน” แคชฟียาพูดจบออกจากห้อง มิเชลล์ยังงงไม่หาย จะสอนหนังสือได้อย่างไร ในเมื่อไล่ตะเพิดเด็กๆแตกกระเจิงไปหมดแล้ว

ooooooo

แคชฟียาพามิเชลล์ไปช็อปปิ้งที่ตลาดในเมืองตามแผนการที่วางไว้ เธอแกล้งเลือกผ้าสีสันฉูดฉาดที่ตัวเองไม่ชอบมาหนึ่งชิ้น ทั้งๆที่มิเชลล์ทักท้วงว่าสีสดเกินไป แถมลายก็ไม่สวย แต่เธอยืนยันจะซื้อให้ได้ แล้วแกล้งเอาไปอวดแม่ซึ่งเห็นแล้วทำหน้าสยอง

“มันน่าเกลียดใช่ไหมคะ งั้นหนูจะขอให้มิเชลล์ไปเปลี่ยนให้ดีกว่า”

“ดีแล้ว หนูไม่ต้องไปเองหรอกเพราะใกล้วันมาแล้ว”

แคชฟียาอยากรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง แม่ว่าไม่ต้องทำอะไร แค่ทำตัวให้สวยเข้าไว้ และเมื่อถึงวันนัดหมายจะมีคนมารับเธอไป เธอต้องเงียบที่สุดอย่าส่งเสียงอะไรทั้งสิ้น พวกนั้นจะมารับที่ร้านขายผ้าซึ่งแคชฟียาไปซื้อชิ้นนี้มา และจากนี้อีกสองวันก็จะถึงวันนัดหมาย แคชฟียายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะคว้าผ้าน่าเกลียดชิ้นนั้นตรงไปหามิเชลล์ที่ห้อง สั่งให้เอาไปเปลี่ยนให้ด้วย มิเชลล์ถามว่าต้องการจะให้ไปเปลี่ยนเมื่อไหร่

“อีก 2 วัน” แคชฟียากระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ อีกไม่กี่วันข้างหน้า ศัตรูหัวใจของตนจะถูกกำจัด

ooooooo

ถึงวันนัดมารับตัว มิเชลล์ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วย อดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นพ่อแม่และน้องๆของแคช-ฟียากอดจูบร่ำลาแคชฟียาราวกับจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีก ทั้งๆที่แค่จะไปส่งเธอที่ร้านขายผ้าแล้วตัวแคชฟียาเองจะเลยไปเยี่ยมน้าสาวเท่านั้น โดยไม่เฉลียวใจเลยว่ากำลังจะถูกสลับตัวเข้าไปเป็นสนมขององค์อาหเม็ด

แคชฟียาสั่งให้มิเชลล์สวมชุดแบบสุภาพสตรีชาวมุสลิมที่คลุมผ้าดำทั้งตัวเพื่อไม่ให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง เมื่อพามิเชลล์ไปส่งที่ร้านขายผ้า แคชฟียาหลอกว่าอีกหนึ่งชั่วโมงหลังจากคุยธุระกับน้าสาวเสร็จแล้วจะมารับ เธอหลงเชื่อเดินเข้าไปในร้าน ยังไม่ทันจะเอาผ้าที่จะเปลี่ยนยื่นให้เจ้าของร้าน มีชายฉกรรจ์ 3 คนเข้ามาประกบข้างคว้าแขนมิเชลล์พาออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ เธอร้องขอความช่วยเหลือลั่น แต่เจ้าของร้านไม่สนใจ

มิเชลล์ถูกจับยัดใส่รถลิมูนซีน 3 ตอนด้านหลังสุด เธอพยายามจะเปิดล็อกแต่ไม่สำเร็จ หันไปเคาะกระจกที่กั้นระหว่างตอนท้ายกับตอนกลาง ซึ่งชายฉกรรจ์ 3 คนนั่งอยู่ แต่ไม่มีใครสนใจจะเหลียวมองด้วยซ้ำ ทันใดนั้นช่องใต้กระจกมีควันสีขาวพุ่งออกมาฟุ้งไปทั่วทั้งตอนหลัง อึดใจเดียวมิเชลล์ก็หมดสติ ขณะที่รถมุ่งหน้าสู่วังขององค์อาหเม็ดซึ่งตั้งอยู่กลางทะเลทราย...

ในขณะที่มิเชลล์สลบไสลไม่ได้สติ แม่ของแคช-ฟียากับฮานาถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นแคชฟียาเดินเข้ามาในบ้าน แม่ถามว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงกลับมา

“เขาเอาตัวมิเชลล์ไปแทนลูก อีกไม่ช้ามันอาจจะต้องโทษถึงประหารฐานตบตาเจ้าผู้ครองนคร หรืออย่าง น้อยมันก็จะถูกขังอยู่ในฮาเล็มนั่นตลอดชีวิต” แคชฟียาแผดเสียงหัวเราะอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะเดินลิ่วขึ้นห้องปิดประตูล็อกกุญแจตามหลัง แล้วทิ้งตัวลงบนที่นอน

“โรแบร์ที่รัก โรแบร์คนทรยศ คุณคิดจะทิ้งฉันไปหรือ เสียใจด้วยนะโรแบร์ นังมิเชลล์คนสวยมันไม่มีวันเป็นของคุณอีกต่อไปแล้ว ไม่มีวัน ถ้าคุณรักมันจริงก็ตามมันไปได้เลย ตามไปในรถนั่นเลย” เธอพูดไปหัวเราะไปมีเสียงแม่ของเธอเคาะประตูเรียก แต่แคชฟียานอนหัวเราะอยู่อย่างนั้นไม่ยอมเปิดรับ

ooooooo

มิเชลล์รู้สึกตัวในเช้ารุ่งขึ้นเมื่อรถแล่นมาถึงวังอันโอ่อ่ากลางทะเลทราย ซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวร่มรื่น เธอผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรง ขณะที่รถแล่นมาจอดหน้าตึกหลังหนึ่ง ซึ่งมีทหารยืนยามอยู่เป็นระยะๆ มิเชลล์รีบเอาผ้าคลุมหน้าไว้ เป็นจังหวะเดียวกับคนขับรถลงมาเปิดประตูให้ ทันทีที่ก้าวลงจากรถ มีนางกำนัลมารออยู่

“เชิญสิ ขอต้อนรับผู้มาใหม่ นี่คือวังของเจ้าชายโอมาน”

“วังเจ้าชายโอมาน...ทำไมมาที่นี่” มิเชลล์มองไปรอบๆอย่างงงๆ

นางกำนัลจูงมิเชลล์จะพาเข้าไปข้างใน เธอสะบัดมือออกแล้ววิ่งหนี ทหารยืนยามวิ่งไล่ เธอพยายามหนีสุดชีวิต แต่ไปไม่รอด นางกำนัลพาตัวมิเชลล์ไปนั่งรอที่โซฟาในห้องโถงใหญ่ของวัง

“พักที่นี่ก่อนนะท่าน อีกสองชั่วโมงท่านจะได้เฝ้าพระอนุชา เจ้าชายโอมาน ประเดี๋ยวจะมีนางทาสมาช่วยท่านผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะเข้าเฝ้าพระอนุชา”

“เฝ้าทำไม แล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหน”

นางกำนัลเอะใจที่มิเชลล์ท่าทางไม่รู้อีโหน่อีเหน่ รีบเปิดผ้าคลุมหน้าดู ถึงกับผงะยกมือทาบอก “หญิงต่างชาติ มีการเล่นตลกอีกแล้ว ท่านมาจากบ้านเศรษฐีแห่งเกซาห์ใช่หรือไม่”

มิเชลล์พยักหน้ารับ นางกำนัลชี้หน้าด่าว่าเลวมาก เธอจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสมแล้วเดินจากไป มิเชลล์ทรุดตัวลงนั่งสีหน้ายังคงมึนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น...

ครู่ต่อมานางกำนัลมาถึงห้องประทับของเจ้าชายโอมาน แจ้งต่อซาอิ๊บนายทหารคนสนิทถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เขาเดินหายไปด้านในสักพัก เจ้าชายโอมานออกมาพบนางกำนัลที่หมอบอยู่กับพื้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

“เศรษฐีเกซาห์บังอาจขนาดนี้เชียวหรือ ตบตากันอีกแล้วหรือ” เจ้าชายโอมานน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“เพคะ คราวนี้เป็นหญิงต่างชาติเพคะ”

“มันหาที่ตายแท้ๆเชียวนั่น” เจ้าชายโอมานยิ้มเหี้ยม...

ไม่นานนัก นางกำนัลคนเดิมกลับมาที่ห้องโถงใหญ่ซึ่งมิเชลล์นั่งรออยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ

“คลุมหน้าเสียแม่คนสวยนอกศาสนา น่าเสียดายที่จะเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นี่ไม่น่าเลยนี่นา”

“หมายความว่าอย่างไร ฉันไม่เข้าใจ จะฆ่าฉันรึ ฉันผิดอะไร”

“น่าเวทนาจริงๆ แต่พระอนุชากริ้วมากไม่มีใครช่วยเจ้าได้หรอก คลุมหน้าซะเถอะน่า ทหารมารอแล้วอย่าขัดขืนดีกว่า ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้ถึงเกิดขึ้นอีก เศรษฐีเกซาห์ร่ำรวยมหาศาล ไม่รู้ว่ามีประสงค์อันใดจึงได้หลอกลวงองค์อาหเม็ด...ไป” นางกำนัลสั่งเสียงเฉียบ มิเชลล์ไม่มีทางเลือก ดึงผ้ามาคลุมหน้าแล้วตามนางกำนัลออกจากห้อง เห็นทหาร 3 นายยืนรออยู่ เธอตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ถามว่าจะพาไปไหน

“องค์อาหเม็ดมีรับสั่งให้นำเจ้าขึ้นเฝ้าด่วนที่ที่ประทับส่วนพระองค์ ที่นั่นจะมีเจ้านายชั้นผู้ใหญ่และนายทหารที่จะตัดสินความผิดเจ้า”

ทันทีที่นางกำนัลจากไป ทหารรีบเข้ามาประกบ แล้วสั่งให้มิเชลล์เดินไปอย่าคิดขัดขืน อะมีนาเฝ้ามองเหตุการณ์โดยตลอด รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้ชารีฟทราบ จากนั้นหัวหน้าราชองครักษ์เข้าไปพบองค์อาหเม็ดที่ห้องประทับ พระองค์เห็นสีหน้าเขาแล้วถามว่ามีเรื่องใหญ่อะไรหรือ

“เดี๋ยวจะทรงทราบ สิ่งหนึ่งที่ข้าพระพุทธเจ้าแนะนำคือยับยั้งพระอนุชาโอมานด้วย ข้าพระพุทธเจ้าทูลอะไร ให้ทรงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามนะพระเจ้าข้า”

ooooooo

ซาอิ๊บกับพวกทหารนำตัวมิเชลล์มายังท้อง พระโรงของวังองค์อาหเม็ดซึ่งให้เป็นสถานที่ตัดสินความผิด ยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์อาหเม็ดที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ทองและเจ้าชายโอมานที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เธอยิ่งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่แล้วมิเชลล์ถึงกับผงะเมื่อเห็นชารีฟ ชายลึกลับในฝันคนนั้นก้าวตามเข้ามา

หลังจากเจ้าชายโอมานประกาศความผิดที่มิเชลล์ก่อขึ้น โทษฐานหลอกลวงองค์อาหเม็ดมีเพียงสถานเดียวคืนให้ประหารชีวิต แล้วสั่งให้ซาอิ๊บเปิดผ้าคลุม

หน้าเธอออก เขาชักดาบแล้วตรงเข้าหามิเชลล์ที่ยืนอกสั่นขวัญหาย แค่ตวัดดาบครั้งเดียว ผ้าคลุมหน้าและคลุมร่างกายขาดจากกันด้วยคมดาบเผยให้เห็นชุดที่อยู่ข้างในซึ่งเป็นผ้าบางเบาแนบเนื้อ ร่างได้สัดส่วนและหน้าตาสะสวยของเธอทำให้ทุกคนตะลึง โดยเฉพาะองค์อาหเม็ด

ชารีฟจำเธอได้ทันทีเพราะถูกใจตั้งแต่แรกเห็นในโรงแรมครั้งนั้นแล้ว องค์อาหเม็ดหันมาสบตาชารีฟเป็นทำนองว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี เขาเข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบกับพระองค์

“นางเป็นคนฝรั่งเศส ไม่น่ากล้าทำอะไรอย่างนี้ สมควรจะสอบถามความจริงจากสถานทูตฝรั่งเศสก่อนพระเจ้าข้าว่านางเป็นใคร รวมทั้งประวัติการเดินทางมาเกซาห์ด้วย”

องค์อาหเม็ดพยักหน้ารับทราบ ชารีฟถวายความเคารพแล้วเข้าไปดึงตัวมิเชลล์มายืนตรงหน้าบัลลังก์องค์อาหเม็ดมองเธอด้วยสายตาพึงพอใจขณะที่เจ้าชายโอมานดูจะไม่ปลื้มกับท่าทีดังกล่าวนัก

“น่าจะมีอะไรเป็นอุบาย โอมาน แม่สาวคนนี้อาจไม่รู้เรื่อง หล่อนเป็นต่างชาตินะ”

เจ้าชายโอมานไม่เชื่อว่าจะเป็นอุบาย หญิงสาวคนนี้น่าจะรับจ้างจากฝ่ายตรงข้ามเพื่อมาหมิ่นองค์อาห–เม็ด และเร่งให้พระองค์มีคำสั่งประหารชีวิตเธอเหมือนที่เคยประหารรายอื่นๆ มิเชลล์ใจเสีย เหลือบตามองชารีฟที่มองตอบมาเช่นกัน องค์อาหเม็ดยกมือเป็นเชิงห้ามเจ้าชายโอมาน แล้วสั่งให้ชะลอการลงอาญาไว้ 7 วัน พระองค์อยากรู้เรื่องราวให้แน่ชัดเสียก่อน

“มันโกหก เจ้าพี่ยังจะฟังอีกหรือ” เจ้าชายโอมานชักสีหน้าไม่พอใจ องค์อาหเม็ดสวนขึ้นทันที

“เรื่องเท่านี้ เล็กเท่าเม็ดทราย สืบให้รู้ว่ามันเป็นใคร ขอประวัติส่วนตัวและประวัติการเดินทางมาที่เกซาห์ด้วย...ชารีฟ ให้คนของเจ้าไปเกซาห์ด่วน ใช้เครื่องบินส่วนตัวของเราตามตัวเจ้าเศรษฐีคนนั้นมาพบเราให้ได้ ทุกอย่างต้องเสร็จภายใน 3 วัน โอมาน ให้นางผู้นี้ไปอยู่กับเจ้าหญิงฟารีดามเหสีของน้องก่อน”

เจ้าชายโอมานยืนกรานจะให้ประหารชีวิตมิเชลล์เดี๋ยวนี้ตอนนี้เลย ไม่เช่นนั้นจะไม่ยุติธรรมกับพวกที่ตายไปแล้ว ชารีฟมองเจ้าชายอย่างจับพิรุธ ทำไมถึงอยากให้ประหารหญิงคนนี้นัก องค์อาหเม็ดไม่เห็นด้วยที่จะประหารเธอเพราะอาจกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ บางทีเราต้องผูกมิตรกับประเทศอื่นบ้าง
“หม่อมฉันไม่เห็นด้วย ไม่จำเป็น”

“ไม่เป็นไร เพราะฮิลฟาราอยู่ในมืออาหเม็ดไม่ใช่โอมาน” คำพูดขององค์อาหเม็ดทำให้เจ้าชายโอมานเสียหน้า ผละออกไปทันที...

ทางฝ่ายมิเชลล์ถวายบังคมต่อหน้าองค์อาหเม็ด และถือเป็นพระกรุณาของพระองค์อย่างยิ่งที่ทำให้เธอรอดพ้นจากโทษประหาร พระองค์สนใจใคร่รู้ว่าเธอมาจากไหน พ่อของเธอเป็นใคร มิเชลล์แนะนำตัวเองและทูลว่าพ่อของเธอคือนายแพทย์ปิแอร์ เดอลาโรนีส์ องค์อาหเม็ดพยักหน้ารับรู้ แล้วหันไปเรียกชารีฟเข้ามาหา กระซิบบางอย่างด้วยพลางปรายตามองมาที่มิเชลล์ ก่อนจะลุกออกไป ชารีฟหันมาทางเธอ

“เตรียมตัวไปวังเจ้าหญิงฟารีดานะ” น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มทำให้มิเชลล์อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก...

ครู่ต่อมา ทหารนำตัวมิเชลล์ไปให้ซาฟิน่าหัวหน้านางกำนัลของเจ้าหญิงฟารีดาซึ่งพาเธอไปพบเจ้าหญิงอีกทอดหนึ่ง มิเชลล์กำลังจะถวายบังคม แต่เกิดวิงเวียน หน้ามืดเนื่องจากเจอเรื่องหนักๆมาตลอดทั้งวัน ทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น เจ้าหญิงฟารีดาสั่งให้คนไปตามตัวชารีฟมาดูอาการ...

มิเชลล์ถูกนำตัวมาไว้ที่ห้องพักโดยมีอะมีนา ถือยาดมอังที่จมูกให้ สักพักเธอเริ่มได้สติ ขยับจะลุกขึ้นอะมีนากดไหล่เธอเบาๆให้ลงนอนตามเดิม มิเชลล์หลับตาลงอีกครั้งก่อนจะสะดุ้งตื่นเมื่อมีมือของใครบางคนมาจับชีพจรที่ข้อมือ เห็นชารีฟสวมหูฟังของหมอตาจับจ้องที่นาฬิกาข้อมือของตัวเอง อึดใจก็เงยหน้ามองมิเชลล์

“มีอะไรที่เธอตกใจเมื่อเข้าเฝ้าเจ้าหญิงฟารีดาจึงเป็นลม”

“ไม่ใช่ค่ะ ตกใจตั้งแต่เข้าเฝ้าองค์อาหเม็ดแล้วค่ะ แล้ว...ดิฉันไม่รู้ตัว มันวูบไป”

“เล่าประวัติของเธอมาสิ มาดมัวเซลล์ เดอลาโรนีส์ ตั้งแต่เดินทางมาเกซาห์จนถึงวันที่ทหารไปรับตัวเธอมา” นัยน์ตาคมกริบของชารีฟมองมิเชลล์เขม็ง เธอเล่าประวัติให้ฟังเริ่มตั้งแต่จบการศึกษาจากที่ไหนและเดินทางมาทำอะไรที่เกซาห์

ooooooo

ขณะที่มิเชลล์รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แคชฟียาเขียนจดหมายถึงโรแบร์ไปพลางหัวเราะสะใจไปด้วย จนกระทั่งเขียนเสร็จ พับใส่ซองจะเอาไปส่ง มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แม่กับพ่อของเธอสั่งให้เปิดประตูเดี๋ยวนี้ แคชฟียารีบลุกไปเปิดให้แล้วแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่ามิเชลล์อยากจะเป็นนางสนม เธอเลยเสียสละให้ไปแทนที่

“ช่วยไม่ได้จริงๆที่มันจะต้องถูกประหาร ลูกบอกมันแล้ว มันอยากไม่เชื่อลูกเอง”

“แคชฟียา แกเป็นบ้าไปแล้วหรือไง รู้ไหมว่าองค์อาหเม็ดรับสั่งให้พ่อเข้าเฝ้าด่วน”

“โธ่...ไม่มีอะไรหรอกพ่อจ๋า จะทรงให้พ่อไปรับศพนังฝรั่งเศสนั่นเท่านั้นเอง” แคชฟียาพูดไปหัวเราะไปเหมือนคนไม่อยู่กับร่องกับรอย พ่อเหลือบไปเห็นจดหมายจ่าหน้าซองเป็นภาษาฝรั่งเศสคว้าติดมือออกมาด้วยโดยมีแม่รีบเดินตาม แคชฟียาพยายามจะขอจดหมายคืนแต่พ่อเดินลิ่วไปแล้ว.....

ด้านพ่อของแคชฟียาถึงกับนั่งกุมขมับมองจดหมายตรงหน้าไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตั้งข้อสังเกตว่าจดหมายถึงคนต่างชาติฉบับนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องของมิเชลล์ แม่ซักว่าลูกเขียนว่าอย่างไรบ้าง

“ปัดโธ่ ฉันจะรู้ได้ไง อ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออก แต่คราวนี้องค์อาหเม็ดคงพิโรธมาก เราต้องเดือดร้อนแน่ๆ เพราะเธอตามใจลูก จะส่งลูกไปถวายตัว ทำไมไม่ตามควบคุมให้ดีปล่อยให้เกิดการสับเปลี่ยนตัวได้อย่างไร”

ต่างฝ่ายต่างโทษกันไปมา แต่พ่อดูจะกลุ้มหนัก เพราะอาจโดนประหารไปด้วย องค์อาหเม็ดเหี้ยมโหดแค่ไหนใครๆก็รู้กันทั้งนั้น คราวนี้เราอาจถูกประหารทั้งครอบครัวก็ได้ แม่ถึงกับปล่อยโฮ...

ในระหว่างที่พ่อและแม่ของแคชฟียาร้อนใจกับภัยที่จะมาถึงตัว มิเชลล์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ชารีฟฟังจบพอดี เขาสรุปว่าถ้าเป็นอย่างที่เธอเล่าก็แสดงว่าเธอถูกเพื่อนที่ชื่อแคชฟียากลั่นแกล้ง

“นางผู้นั้นคงเจ็บแค้นในเรื่องคนรัก เมอร์สิเออร์– โรแบร์...และคิดว่าเธอจะถูกประหารทันทีโดยไม่มีการไต่สวนดังเช่นหญิงหลอกลวงรายอื่น มันก็น่าโกรธหรอกนะ คนรักของเขาทั้งคน”

มิเชลล์อธิบายว่าไม่ได้เป็นอย่างที่ชารีฟคิด แล้วถามอย่างขลาดๆว่าเหตุใดองค์อาหเม็ดจึงไม่ประหารชีวิตเธอเหมือนคนอื่นๆ ชารีฟเล่าว่าคนอื่นไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์เพราะเจ้าชายโอมานชิงสั่งประหารชีวิตก่อนทุกครั้ง นับว่ามิเชลล์โชคดีที่ได้เข้าเฝ้าก่อน เธออยากรู้ว่าใครทูลพระองค์เรื่องของเธอ ใช่เขาหรือเปล่า

“ฉันมีเหตุผลอะไรที่จะขอชีวิตเธอ ช่างเถอะ อีกไม่นานเรื่องต่างๆจะคลี่คลาย เราจะได้รู้ว่าคำพูดที่เธอบอกเรามาเมื่อครู่นี้จริงหรือไม่”

มิเชลล์ยืนยันว่าเป็นความจริง ชารีฟขอให้เธอมั่นใจถ้าหลักฐานต่างๆพิสูจน์ได้ เธอก็จะพ้นผิด มิเชลล์อยากรู้ว่าเขาเชื่อคำพูดของเธอหรือเปล่า เขาเชื่อเรื่องที่เธอเล่ามาทั้งหมด แล้วเสเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“องค์อาหเม็ดรับสั่งว่าทรงเคยได้ยินชื่อสกุลของเธอเมื่อครั้งเสด็จประพาสเมืองนีซเมื่อหลายปีมาแล้ว ยังทรงเคยเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่คฤหาสน์ของสกุลเดอลาโรนีส์ด้วย”

ยิ่งได้ยินเรื่องเกี่ยวกับญาติของตัวเอง มิเชลล์ยิ่งขมขื่นใจ ปฏิเสธทันควันว่าคนเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย เธอไม่มีญาติที่ไหน ส่วนโรแบร์ก็ไม่ใช่คนรัก ของเธอเป็นแค่เพื่อนเท่านั้น

“ฉันตัวคนเดียว ไม่มีใคร ถ้ามีความสุขฉันจะยิ้มและหัวเราะคนเดียว ถ้าต้องตายฉันก็ตายคนเดียว ไม่มีใครเสียใจ” มิเชลล์พยายามซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ข้างใน ชารีฟมองเธอด้วยความสงสาร แต่พอเธอหันมองเขารีบเปลี่ยนท่าทีเป็นปกติ บอกว่าตอนนี้หมดหน้าที่ของเขาแล้ว ต่อไปคือการรอคอย อีกสองวันเราก็จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ระหว่างนี้เจ้าหญิงฟารีดาจะเป็นผู้ดูแลมิเชลล์ระหว่างอยู่ที่นี่ แล้วอวยพรให้เธอโชคดี...

ความผิดร้ายแรงที่ลูกสาวก่อไว้ทำให้พ่อของแคช-ฟียากลัวตายลนลานเตรียมจะหนีไปจากาเซห์ แต่ยังไม่ทันขับรถออกจากบ้าน รถทหารหลายคันแล่นมาขวางทางไว้ เขาตกใจ ลงจากรถวิ่งกลับมาที่ตัวบ้าน ตะโกนบอกให้เมียรักไปหยิบจดหมายที่จ่าหน้าถึงโรแบร์มาให้ เธอรีบวิ่งเข้าไปข้างใน โดยที่แคชฟียายืนนิ่งเฉยไร้ความรู้สึก ทหารวิ่งตามมา ยิงปืนขึ้นฟ้าขู่ไม่ให้หนี พ่อยกมือสองข้างขึ้นเป็นทำนองยอมจำนน

“ผมแค่จะเอาหลักฐานชิ้นหนึ่งไปด้วย”

แคชฟียาหันไปเห็นแม่วิ่งชูจดหมายออกมาหน้าตื่นโผเข้าไปจะแย่ง แต่เธอโยนมันให้ทหารรับไว้เสียก่อน พ่อขอร้องให้แคชฟียายอมรับผิดในสิ่งที่ทำ ถ้าองค์อาหเม็ดได้อ่านจดหมายฉบับนี้ อาจจะเห็นใจและให้อภัยก็ได้

ooooooo

ท่านเศรษฐีพ่อของแคชฟียาถูกนำตัวมาเข้าเฝ้าองค์อาหเม็ดในวันรุ่งขึ้นโดยมีหลักฐานสำคัญคือจดหมายฉบับนั้นมาถวายด้วย พระองค์เปิดอ่านในใจ

“โรแบร์ที่รัก ฉันเสียใจกับคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่มันปฏิเสธคุณ นังมิเชลล์มันไม่ใช่คนธรรมดาแบบเราๆหรอกนะโรแบร์ มันเป็นนางฟ้า บริสุทธิ์ประดุจแม่พระผู้ไร้มลทิน มันไม่คู่ควรกับคุณหรอก เพราะคุณเป็นแค่มนุษย์ต้อยต่ำ ฉันก็เลยส่งมันให้กลับสู่สวรรค์ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อคุณได้รับจดหมายฉบับนี้ นังมิเชลล์คงถูกตัดหัว...จากแคชฟียา สุดที่รักของคุณ” องค์อาหเม็ดอ่านจดหมายจบ หัวเราะลั่น มองตรงมาที่ท่านเศรษฐีซึ่งกลัวตัวสั่น

“ได้โปรดเถิดพระเจ้าข้า หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆว่าในจดหมายนั้นเขียนว่าอะไร ภาษาฝรั่งเศสหม่อมฉันอ่านไม่ออก แต่เพื่อยืนยันในความบริสุทธิ์ของครอบครัว หม่อมฉันยินดีเปิดเผยทุกอย่าง ขอพระองค์ทรงไว้ชีวิต

ลูกเมียหม่อมฉันด้วยเถิด หม่อมฉันและภรรยามีความ

จงรักภักดีต่อพระองค์ไม่เคยคิดลบหลู่ ขอทรงเมตตาด้วย”

องค์อาหเม็ดส่งจดหมายให้เจ้าชายโอมานอ่านต่อ พออ่านจบก็ส่งคืนให้ และขอไม่ออกความเห็นใดๆ สุดแล้วแต่พระองค์จะพิจารณาก่อนจะขอตัวกลับวัง องค์อาหเม็ดมองตามส่ายหน้าอย่างระอาใจ แล้วหันไปบอกท่านเศรษฐีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลร้ายแรงอะไร พระองค์จะมอบหมายให้เขากลับไปลงโทษลูกสาวตัวเองแล้วส่งจดหมายให้ชารีฟ สั่งให้แปลข้อความเหล่านี้ให้ท่านเศรษฐีพ่อฟังด้วย ก่อนจะลุกออกไป

“พระอาญาไม่พ้นเกล้า” ท่านเศรษฐีทำความเคารพองค์อาหเม็ดซ้ำๆอยู่อย่างนั้นด้วยความโล่งใจ...

ทางฝ่ายแคชฟียาแทบเป็นบ้าเมื่อรู้จากพ่อตัวเองว่ามิเชลล์ไม่ได้ถูกประหารชีวิตอย่างที่วางแผนไว้ ยิ่งได้รู้ว่าองค์อาหเม็ดอาจส่งเพื่อนเคยรักกลับฝรั่งเศส เธอคิดไปกันใหญ่ว่านังนั่นจะได้ไปครองรักกับโรแบร์ ถึงกับคลุ้มคลั่งเอาหัวโขกเสา ร้องไห้โฮๆ แต่อยู่ๆก็ตะโกนสั่งให้ฮานาเอาจดหมายที่เธอเขียนถึงแบร์ไปส่งเดี๋ยวนี้ เขาจะได้คิดว่ามิเชลล์ถูกตัดหัวไปแล้ว พ่อกับแม่ถึงกับกุมขมับเมื่อเห็นอาการคุ้มดีคุ้มร้ายของลูกสาว

ooooooo

นอกจากมิเชลล์จะได้รับข่าวดีจากชารีฟว่าผลการสอบสวนออกมาแล้วว่าเธอพ้นผิด องค์อาหเม็ดยังอนุญาตให้เธออยู่ในวังต่อไปได้ อีกทั้งเจ้าหญิงฟารี-ดามเหสีเอกของเจ้าชายโอมานยังต้องการให้เธอสอนภาษาฝรั่งเศสให้ และยังเมตตาเรียกเข้าไปพบเพื่อมอบเครื่องประดับให้ด้วย

“ฉันให้ไว้แต่งตัว ทั้งๆที่เธอสวยมากแทบจะไม่ต้องใช้เครื่องประดับเลยก็ย่อมได้...อะมีนา คอยดูแลครู มิเชลล์ให้รู้วิธีปฏิบัติตัวในวังด้วย”

อะมีนารับคำแล้วช่วยมิเชลล์สวมเครื่องประดับ ก่อนจะพาออกไปเดินเล่น เธอชมคุณครูคนใหม่ไม่หยุดปากว่าแต่งกายประจำชาติของตนแล้วงดงามราวกับนางในเทพนิยายอาหรับราตรี ทันใดนั้น เหล่านางกำนัลพากันแตกฮือเข้ามา พร้อมกับร้องบอกว่าเจ้าชายโอมานเสด็จ อะมีนากับมิเชลล์รีบดึงผ้ามาคลุมหน้า เป็นจังหวะเดียวกับเจ้าชายมาถึงพร้อมทหารติดตามพอดี จ้องมองสองสาวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ตรงเข้ามาถามอะมีนาอย่างหาเรื่องว่าพ่อของเธอสบายดีหรือ พอรู้ว่าเขาสบายดีแกล้งซักอีกว่าเธอรู้ได้อย่างไร

“พ่อลูกกันถึงอย่างไรก็ต้องหาทางติดต่อกันจนได้เพราะถึงแม้พ่อหม่อมฉันจะถูกอำนาจลึกลับขับไสไล่ส่งไปอยู่ถึงชายแดนก็ตาม” อะมีนาโต้อย่างไม่เกรงกลัว เจ้าชายโอมานไม่พอใจที่เธอปากกล้า แกล้งเอามือลูบไล้ไปตามเนื้อตัวอย่างกักขฬะ อะมีนาอ้าปากจะโวยวาย เขาเอามืออีกข้างหนึ่งบีบปากเธอไว้ไม่ให้พูด แล้วโน้มตัวเขาไปใกล้ทำท่าเหมือนจะก้มลงจูบ แต่กลับผลักเธอกระเด็น มิเชลล์รีบเข้าไปประคองไว้

“ทำไมทรงรังแกผู้หญิงอย่างนี้เพคะ”

“อย่าบังอาจ นังผู้หญิงต่างชาติชั่วร้าย อย่าบังอาจถามอะไรเราทั้งสิ้น” เจ้าชายโอมานโวยจบ ผละจากไปมิเชลล์ยังคาใจไม่หาย หันไปถามอะมีนาว่าทำไมเจ้าชายถึงทำกับเธออย่างไม่สมควรแบบนี้

“เพราะพระอนุชาเกลียดพ่อของอะมีนา นายพลมุสกัตพ่อของอะมีนาเป็นคนที่รู้ทันพระอนุชาที่สุด พ่อเห็นพระอนุชามาตั้งแต่เด็กๆ รู้ว่าพระองค์เป็นเด็กมีปัญหาเพราะแม่ของพระองค์เป็นหญิงพื้นเมืองแท้ๆ เป็นลูกเจ้าครองนครแต่ก็เล็กมาก แต่แม่ของพระองค์อยากเป็นพระราชินี เมื่อไม่มีทางได้เป็นก็ยุยงลูกชายให้คอยแย่งจากพี่ชาย พระองค์เกิดมาเพื่อแย่งทุกสิ่งทุกอย่างจากพี่ชาย ตอนนี้เหลือสิ่งสุดท้ายคือ ราชบัลลังก์”

มิเชลล์รีบเอามือปิดปากของอะมีนาไว้ เตือนจะพูดอะไรต้องระวังตัวให้มากๆ เธอไม่กลัวที่จะพูดก็เพราะรู้ว่าครูมิเชลล์ไว้ใจได้และไม่เป็นอันตราย คุณครูคนสวยสงสัยไม่หายถ้าพ่อของอะมีนารู้เท่าทันเจ้าชายโอมาน ทำไมถึงยอมไปอยู่ชายแดน อะมีนาเองก็ไม่แน่ใจ คนที่รู้เหตุผลของพ่อคงมีแต่ท่านราชองครักษ์ชารีฟเท่านั้น

ooooooo

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ที่วังของเจ้าหญิงสุไบดาแม่ของชารีฟ เจ้าหญิงสุไบดาแจ้งกับลูกชายที่เพิ่งกลับจากเฝ้าองค์อาหเม็ดว่าพักหลังๆมานี่วังของเจ้าชายโอมานมีการเคลื่อนไหว ผิดปกติ มีทหารหน้าตาแปลกๆ เหมือนพวกมาจากชายแดนเดินกันให้พลุกพล่าน ชารีฟพยักหน้ารับรู้

“ตัวโอมานก็ดูท่าทางหยิ่งผยองขึ้นทุกวัน ลืมกำพืดเดิมเสียสิ้น กำเริบเสิบสานเหมือนแม่ไม่มีผิด”

ไบคานพ่อของชารีฟต้องปรามเจ้าหญิงสุไบดาก่อนจะปล่อยให้แม่ลูกได้พูดคุยกันตามลำพัง

“นั่นคือพ่อของลูก คนธรรมดาสามัญที่ชนะใจเจ้าหญิงอย่างแม่ เป็นคนดีที่สุดที่เคยพบมา พ่อของลูกบอกแม่ว่า ไม่สำคัญว่าใครจะมาจากไหน ไม่ใช่ประเด็น แต่ที่สำคัญคือนิสัย แม่โอมานเป็นผู้หญิงทะเยอทะยานมากเท่าที่แม่เคยพบ เธอไม่เคยคำนึงว่าสิ่งที่เธออยากน่ะ จะเป็นไปได้ไหม พอไม่สมใจก็มาปลูกฝังความทะเยอทะยานให้กับลูก โอมานน่ะโชคร้ายที่มีแม่อย่างนี้ ต่อไปนี้ลูกจะทำอะไร ระวังโอมาน...”

ขณะเดียวกัน ที่ห้องประทับของเจ้าหญิงฟารีดา เจ้าชายโอมานบ่นให้มเหสีเอกฟังด้วยความเจ็บใจว่า นังแหม่มนั่นต้องมีความสัมพันธ์กับชารีฟแน่นอน

“คงไม่ใช่หรอกเพคะ ท่านพี่”

“ตอนนี้ไอ้ชารีฟกำลังจะเดินทางไปชายแดน มันอ้างว่าจะไปสร้างขวัญกำลังใจทหารชั้นผู้น้อย แต่มันจะไปพบกับไอ้นายพลมุสกัตพ่อของนังอะมีนา แล้วอย่าคิดนะว่าพี่จะอยู่เฉยๆ คอยดูนะฟารีดา คอยดู”

“เสด็จพี่จะทำอะไรเพคะ อย่าทำเลยนะเพคะ”

“ไม่ทำอะไรมากหรอกแค่ฆ่าไอ้ชารีฟเท่านั้น ฆ่าเงียบๆกลางทะเลทรายนั่นแหละ” เจ้าชายโอมานยิ้มเหี้ยม

ooooooo

อ่านละคร ฟ้าจรดทราย ตอนที่ 2 วันที่ 7 ส.ค. 56

ละครฟ้าจรดทราย ประพันธ์โดย โสภาค สุวรรณ
ละครฟ้าจรดทราย บทโทรทัศน์โดย ศัลยา สุขะนิวัตต์
ละครฟ้าจรดทราย กำกับการแสดงโดย สยาม สังวริบุตร
ละครฟ้าจรดทราย ผลิตโดย ค่าย ดาราวิดีโอ
ละครฟ้าจรดทราย ออกอากาศทุกวันจันทร์ และวันอังคาร เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7 สี
ละครฟ้าจรดทราย เริ่มตอนแรกวันจันทร์ที่ 12 สิงหาคม 2556
ที่มา ไทยรัฐ