อ่านละคร ภูผา ตอนที่ 9 วันที่ 10 ก.พ.62
ผอ.ทินราชก็ยืนยันว่าทอรักประกาศถูกต้องแล้ว บอกให้เวหานั่งลง ปีนี้ไม่ได้ก็รอปีต่อๆไปก็ได้เมื่อธุรกิจเติบโตจนขยายโรงงานใหม่ขึ้นป้ายใหญ่ “โรงงานปุ๋ยกล้าแกร่ง” ภูผาจ้างช่างจากร้านถ่ายรูปให้มาถ่ายรูปพร้อมคนงานชายแข็งแรงอีก 8 คน ยืนเรียงแถวถ่ายรูปหน้าโรงงาน
ช่างถ่ายไปหลายรูป บอกว่าเรียบร้อยแล้ว ต้อยติ่งบอกว่าไม่เอาเมื่อกี้ตนหลับตาให้ถ่ายใหม่ พอช่างนับ หนึ่ง สอง ต้อยติ่งก็คล้องแขนภูผาหมับพร้อมเสียงกดชัตเตอร์กริ๊ก ต้อยติ่งบอกว่าเอารูปนี้แหละสวยกว่า
ช่างบอกว่าล้างเสร็จจะส่งมาให้
ภูผาสั่งให้อัดมาทุกรูปตนจะเลือกขยายใหญ่และขนาดโปสต์การ์ดครึ่งโหลสำหรับแจกที่บ้านตน บ้านต้อยติ่ง แจกลุงวัฒน์ และส่งไปให้ทอรุ้ง ที่เหลือแจกกันเอง ต้อยติ่งถามว่ายังจะส่งไปให้คุณหนูอีกหรือ เขาไม่ตอบจดหมายมาหลายเดือน ป่านนี้ลืมพี่แล้วมั้ง
“เขาอาจจะยุ่งจนลืมเขียนจดหมายถึงพี่ แต่ถ้าเขาได้รับจดหมายพี่ อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าพี่ยังไม่ลืมเขา”
ต้อยติ่งฟังแล้วเศร้าที่ภูผายังเชื่อมั่นและมั่นคงต่อทอรุ้งไม่เปลี่ยนแปลง
พอบ้านเส็งได้รับรูปจากภูผา ทุกคนตื่นเต้นดีใจที่ภูผามีโรงงานใหญ่โตมีคนงานหลายคน เห็นต้อยติ่งเกาะแขนภูผาเดือนถามว่านี่เมียหรือ ภูผาบอกว่าต้อยติ่งเป็นน้องของสมคิดตนเอาไปช่วยงานด้วย อาม่าจำได้บอกว่าเด็กคนนี้จริงใจนะ อาม่าบอกภูผาว่ามีโรงงานใหญ่โตแล้วก็ช่วยเวหาตั้งโรงหมอหน่อยสิ
“อาม่า อั๊วยังไม่รวยขนาดนั้น เครื่องจักรก็ยังผ่อนเขาไม่หมดเลย” อาม่าบอกเอาแค่ร้านเล็กๆก็ได้ เช่าห้องแถวสักห้อง เวหาจะได้กลับมาอยู่บ้าน ภูผารับปากว่า “จะให้อั๊วช่วยก็พอช่วยได้ แต่เขาจะเอารึเปล่า”
เดือนมองอาม่าแล้วถอนใจ
ต้อยติ่งมีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ๆช่วยภูผาทำงาน แต่ก็เศร้าที่ภูผายังมองเธอเป็นแค่น้องคนหนึ่ง ถามว่าแล้วจะรักตนได้ไหม ภูผานิ่ง ต้อยติ่งบอกว่าไม่เป็นไร วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ยังมี ยังไงตนก็จะอยู่ตรงนี้ไม่ทิ้งพี่ไปไหนเด็ดขาด ยื่นนิ้วก้อยให้เกี่ยวแล้วจู่โจมจุ๊บจนภูผาตกใจ ต้อยติ่งขอโทษทำหน้าทะเล้นบอกว่าเซจะล้ม ภูผาตาเขียวใส่ดุว่าอย่ามาโกหก
ต้อยติ่งหัวเราะร่วนวิ่งหนี ท้าว่าเก่งจริงจับให้ได้สิ ภูผาวิ่งไล่พูดอย่างมันเขี้ยวว่า จับได้จะตีให้ตายเลย
ooooooo
3 ปีผ่านไป ในปี พ.ศ.2527...
นุสราขับรถพาทอรุ้งมุ่งหน้ามาที่ราชบุรี ชี้ให้ดูคัตเอาต์โฆษณาใหญ่ “ปุ๋ยกล้าแกร่ง ปุ๋ยดีราชบุรี” มีโลโก้รูปภูเขามีสายรุ้งพาดผ่าน บอกว่า “นั่นล่ะ ของภูผาเขา”
เมื่อไปถึงไร่ทวีวัฒน์ ลุงวัฒน์ทักว่าโตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว เรียนจบแล้วหรือ ทอรุ้งบอกว่าเรียนจบและทำงานได้ปีหนึ่งแล้ว นุสราบอกว่าหายไปตั้ง 5 ปีแน่ะ
ทอรุ้งมองไปรอบๆบอกว่าไร่เรายังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงเลย ลุงวัฒน์จึงชวนไปเดินเล่นกัน ทอรุ้งเห็นแตงโมก็ตื่นเต้นว่าลูกสวยๆทั้งนั้นเลย ลุงวัฒน์บอกว่าไร่ของเราได้ปุ๋ยของภูผา ชมว่าปุ๋ยเขาดีจริงๆ ภูผาเองก็เป็นคนดีกตัญญูรู้คุณ ได้ดีแล้วก็ไม่ลืมกัน ขนปุ๋ยมาให้ทีละหลายสิบกระสอบให้เงินก็ไม่เอา ถามทอรุ้งว่าภูผารู้หรือยังว่ารุ้งกลับมาแล้ว
“ยังค่ะ” ลุงวัฒน์บอกว่าเซอร์ไพรส์เขาหน่อย คงดีใจน่าดู ทอรุ้งว่าไม่ดีกว่า เพราะว่า “รุ้งไม่ได้ติดต่อกับเขานานแล้ว เราไม่ได้สนิทกันแล้วค่ะ”
ลุงวัฒน์ติงว่าแต่ก่อนติดกันอย่างกับตังเม ตอนนี้บอกว่าไม่สนิท บอกทอรุ้งให้ไปเยี่ยมเขาหน่อย สั่งแสงให้เลือกแตงโมสวยๆเอาไปฝากภูผาสักเข่งด้วย
แต่พอทอรุ้งไปถึงโรงงานปุ๋ยถามหาภูผา คนงานบอกว่าเถ้าแก่ไม่อยู่ออกไปธนาคาร ให้นั่งรอก่อน ทอรุ้งบอกว่าวันหลังค่อยมาใหม่ดีกว่า
แต่พอจะกลับทอรุ้งเห็นรูปขนาดใหญ่ที่ผนัง เป็นรูปต้อยติ่งเกาะแขนภูผาอย่างสนิทสนม ก็ชะงัก
ขณะภูผากับต้อยติ่งจะขึ้นรถกลับจากธนาคาร ต้อยติ่งถือถุงกล้วยแขกชวนภูผากิน แต่ถูกเด็กคนหนึ่งมากระชากถุงกล้วยแขกวิ่งหนีไป ภูผาไล่ตาม ต้อยติ่งนึกว่าเขาจะไปจับเด็ก แต่ภูผาวิ่งตามไปเพื่อสั่งสอน
เด็กขอโทษบอกว่าตนหิว ภูผาบอกว่าหิวก็ทำอย่างนี้ไม่ได้ ตำรวจจับได้ติดคุกแน่ ถามว่าเรียนหนังสือหรือเปล่า เด็กส่ายหน้า เขาให้ที่อยู่โรงปุ๋ยบอกว่าพรุ่งนี้ให้ไปหาที่นั่นมีข้าวให้กินแต่ต้องทำงานนะ ต้อยติ่งยื่นถุงขนมให้บอกว่าวันหลังอย่าไปขโมย และภูผาก็ให้เงิน 20 บาทไปกินข้าว
ทอรุ้งตามไปที่ธนาคารจอดรถฝั่งตรงข้ามเห็นภูผาเดินออกมากับต้อยติ่งก็ชะงักเบือนหน้าหนี แต่ภูผาเห็นพอดี จ้องมองเพื่อความแน่ใจ ถูกต้อยติ่งตีแขนถามว่ามองสาวเหรอ ทอรุ้งได้ยิน นึกเสียใจว่า...ไม่น่ามาเลย
ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อแวะกินอาหารที่ร้านยังไปเข้าร้านเดียวกันอีก คราวนี้ต้อยติ่งจำทอรุ้งได้แล้ว เมื่อภูผาถามถึงสมคิดก็ทำเป็นร้องไห้ให้ภูผาปลอบ ซ้ำยังเช็ดรอยเปื้อนที่หน้าให้ จนทอรุ้งทนดูไม่ได้วางเงินค่าอาหารแล้วลุกไปเลย
กลับถึงโรงงานปุ๋ย ขณะภูผาเอาของไปเก็บในครัว ต้อยติ่งเห็นแตงโมเป็นเข่งวางอยู่ก็ถามว่าลุงวัฒน์เอามาให้อีกแล้วหรือ คนงานบอกว่าหลานสาวชื่อทอรุ้งเอามาตนลืมบอกเถ้าแก่ไป ต้อยติ่งหน้าตึงบอกว่าไม่ต้องตนจะบอกเอง ส่วนแตงโมก็ยกให้คนงานเอากลับไปกินทั้งเข่งเลย
ooooooo
ทอรุ้งกลับถึงไร่ทวีวัฒน์ก็นั่งเศร้า จนลุงวัฒน์กับป้านุสมาเจอถามว่าทำไมกลับมาเร็ว เจอภูผาไหม ทอรุ้งบอกไม่เจอเขาคงงานยุ่ง ตนฝากคนงานไว้แล้วถ้าเขาว่างเมื่อไหร่ก็คงมาเอง...ถ้าเขาอยากมา
ป้านุสรู้สึกถึงความไม่ปกติ ถามว่าทำไมพูดอย่างนั้นมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า ทอรุ้งจึงบอกว่าไม่ได้เจอกันหลายปี แรกๆก็จดหมายคุยกันแต่ผ่านไปไม่กี่เดือนเขาก็หยุด ลุงวัฒน์บอกว่าช่วงนั้นภูผากำลังขยายโรงงาน พูดอย่างผู้มีประสบการณ์ว่า
“แต่ลุงเข้าใจนะ ห่างกันไปนานจะเจอกันอีกทีมันก็มีเขินๆกันบ้าง แต่คนมันเคยชอบกันแป๊บเดียวก็ต่อกันติด” ทอรุ้งพูดเบาๆว่าก็แค่เพื่อนกัน ลุงวัฒน์แซวว่า “เพื่อนกันเหมือนตอนลุงเป็นเพื่อนกับป้านุสไง”
“แต่ลุงวัฒน์ก็ไม่เคยให้ป้านุสต้องรอนานๆใช่ไหมคะ” ทอรุ้งถามอย่างทำใจไม่ได้
วันต่อมาคนงานเอาแตงโมมาให้ภูผากิน เขาถามว่าลุงวัฒน์เอามาให้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ซักถามคนงานจนต้อยติ่งกลัวความแตกแทรกเข้าไปบอกว่าคงเป็นหมอนุส คนงานบอกว่าสาวกว่านั้น ภูผาเอะใจว่าเป็นทอรุ้ง ต้อยติ่งบอกว่าไม่ใช่เพราะเขาไปอยู่เมืองนอกไม่กลับมาแล้ว แต่ภูผาสังหรณ์ใจวิ่งออกไปทันที
ไปถึงไร่ทวีวัฒน์ถามลุงวัฒน์ที่กำลังแต่งกิ่งต้นไม้อยู่ว่าทอรุ้งกลับมาแล้วหรือ ลุงวัฒน์ร้องอ้าว รุ้งไปหาที่โรงปุ๋ยไม่เจอกันหรือ ภูผาบอกว่าเมื่อวานตนมีธุระอยู่ข้างนอกทั้งวัน ถามว่าตอนนี้รุ้งอยู่ไหน ลุงวัฒน์บอกว่าเพิ่งกลับไปเมื่อกี๊นี้เอง ภูผาขึ้นรถไปหันมาขอบคุณลุงวัฒน์ที่ฝากแตงโมไปให้แล้วถอยรถพรืดออกไปเลย
“ยัยรุ้งก็แปลก งอนอะไรนักหนา ทางนี้ก็ใจร้อน โอ๊ย...หนุ่มสาว” ลุงวัฒน์พึมพำแล้วดูต้นไม้ต่อ
พอภูผาขับรถออกจากไร่ทวีวัฒน์ก็เจอต้อยติ่งปั่นจักรยานสวนมาโบกไม้โบกมือให้หยุด บอกภูผาว่า อย่าตามเขาเลย ถ้าเขาอยากเจอเขาก็ต้องอยู่รอ แต่นี่เอาของมาให้แล้วรีบกลับไปเลย ภูผาบอกว่าจะไปคุยกับลุงวัฒน์ต้อยติ่งบอกเสร็จแล้วให้รีบกลับ แต่พอภูผาออกรถ
ลุงแสงก็วิ่งมาดักหน้ายื่นกระดาษโน้ตให้บอกว่า คุณหนูรุ้งฝากไว้บอกว่าถ้าเจอเถ้าแก่เอาให้ด้วย ภูผารับไปอ่านอย่างตื่นเต้น
“ถ้ายังไม่ลืมกัน ขอนัดเจอที่ศาลาริมน้ำ เย็นนี้”
ภูผาดีใจมากถามลุงแสงว่าเขานัดเจอเย็นนี้ เขายังอยากเจอตนใช่ไหม ลุงแสงถามว่าแล้วไปได้ไหมล่ะลุงจะได้โทร.บอก ภูผาบอกว่าได้ ตนจะไปเดี๋ยวนี้เลยลุงแสงถามว่าจะไปทั้งมอมแมมอย่างนี้เลยหรือ ภูผาจึงนึกได้รีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
ภูผาฝากงานกับต้อยติ่งบอกว่าไปสองสามวันแล้วจะกลับ เฝ้าโรงงานให้ดีด้วย แต่พอจะออกไป เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะก็ดังขึ้น ภูผาจึงเดินกลับไปรับ
เมื่อลุงแสงโทร.ไปบอกทอรุ้งว่าเอาจดหมายให้ภูผาแล้วเขาบอกว่าจะไปตามนัดเย็นนี้ ทอรุ้งยิ้มดีใจ พอดีดารกาเดินเข้ามาถามว่ายิ้มอะไรอยู่คนเดียว ทอรุ้งบอกว่าเพื่อนนัดเจอกันเย็นนี้
ดารกาบอกให้เลื่อนไปก่อนเพราะวันนี้แม่นัดคุณสกาวใจกับเมธัสลูกชายเขากินข้าวกัน ทอรุ้งบอกว่าไม่เป็นไรเชิญคุณแม่ตามสบาย
“นี่! ฉันนัดให้มาเจอเธอ เมธัสน่ะ จำพี่เขาได้ไหม เดี๋ยวนี้เขาหล่อขึ้นเยอะเลยนะ”
ทอรุ้งถามว่าแม่จะนัดเขามาดูตัวรุ้งใช่ไหม ติงว่าตนไม่ใช่สินค้า ถ้าจะแต่งงานก็ขอเลือกเองได้ไหม
ดารกาบอกว่าได้ ถ้าไม่ชอบเมธัสก็ยังมีลูกชายรัฐมนตรี แล้วยังมี...ทอรุ้งถามขัดขึ้นว่า ตกลงรุ้งต้องเลือกจากที่คุณแม่เลือกมาแล้วใช่ไหม ดารกาบอกว่าใช่ ทอรุ้งไม่พูดอะไรได้แต่ทำหน้าเซ็ง
ooooooo
ภูผาได้รับโทรศัพท์จากที่บ้านบอกว่าอาม่าหายไป เขารีบไปที่บ้านทันที รู้จากเดือนว่าพักหลังอาม่ามีอาการหลง วันนี้ตนซักผ้าอยู่หลังบ้านเสร็จแล้วจึงรู้ว่าอาม่าหายไป ออกไปถามคนในตลาดก็ไม่มีใครเห็น
ภูผาถามว่าแล้วป๊าล่ะ เดือนบอกว่าออกไปขายปุ๋ยยังไม่รู้เรื่อง ภูผาจึงขับรถออกไปวนหาแถวนี้ก่อน
เส็งกลับมาพอรู้ว่าม้าหายไปก็บ่นเดือนว่า
บอกแล้วว่าให้ดูม้าดีๆ ก็พอดีภูผากลับมาบอกว่าชาวบ้านเห็นอาม่าขึ้นรถเมล์ไป สายอะไรก็จำไม่ได้ ภูผาถามว่าพักนี้อาม่าขึ้นรถเมล์ไปไหนบ่อยไหม เดือนว่าไม่มี เส็งบอกว่าเห็นแกบ่นๆว่าจะไปโรงพยาบาลอยากไปเจอเวหา ภูผาจึงขับรถไปที่โรงพยาบาล
อาม่าไปโรงพยาบาลจริงๆ ไปถามหาเวหาก็ไม่มีใครรู้จัก พยาบาลกระซิบกันว่าดูแกหลงๆนะ จึงพาไปพักที่แผนกก่อน ส่วนหลานอาม่าเดี๋ยวจะตามหาให้ ภูผามาถึงจึงรู้จากพยาบาลว่าตอนนี้พาอาม่าไปพักอยู่ที่แผนก แล้วพาภูผาไป
ปรากฏว่าอาม่าเจอเวหาระหว่างทาง อาม่าดีใจเข้าไปคว้าแขนไว้พร่ำเรียกอาเวหา...พอเวหาหันไปเห็นเป็นอาม่าก็ทำหน้างงบอกว่าตนชื่อจตุรภัทรไม่ใช่เวหา บอกพยาบาลให้รีบพาไปเดี๋ยวคนแตกตื่นกันหมด
“ปล่อยอั๊ว อั๊วไม่เลอะเลือน คนที่เลอะเลือนคือลื้อ อาเวหา!” อาม่าร้องตะโกน ดิ้นสุดแรง พยาบาลจึงปล่อย ก็พอดีภูผามาถึง อาม่ามองเวหาที่เดินหนีไป หันมาเจอภูผา อาม่าบอกให้พากลับบ้าน
“ครับอาม่า” ภูผาเข้าประคองอาม่าพากลับไป
เวหาเดินหนีอาม่าจนเช้านี้ก็ยังไม่หายเครียด
มีเพื่อนหมอมาบอกว่าหมอนลินีถามหาอยู่ เขาจึงไปพบที่ห้องรับแขกของโรงพยาบาลด้วยท่าทีเย็นชา บอกว่ามีอะไรก็พูดมาเลย จะตำหนิอะไรตนอีก
“มองโลกในแง่ดีบ้างสิ เมื่อวานนี้ญาติเธอมาเยี่ยมเหรอ” เห็นเวหาอึกอัก หมอนลินีจึงตัดบท “เอาเถอะ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว ขอพูดแต่เรื่องงาน ฉันอยากให้เธอปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่ คนเป็นหมอต้องคิดถึงคนไข้เป็นอันดับแรก ที่ผ่านมาฉันว่าเธอใส่ใจคนไข้ของเธอน้อยลงนะ ควรจะปฏิบัติกับเขาให้ดี ไม่ใช่ใส่อารมณ์กับคนไข้ เธอมีปัญหาส่วนตัวอะไรหรือเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไร” เวหาท่าทีหมางเมินเย็นชามาก
“ฉันเตือนเธอด้วยความหวังดี และหวังว่าเธอจะคิดได้ ลองกลับไปคิดดูนะเวหา ฉันจะรอวันที่เธอเป็นหมอจากจิตวิญญาณ”
เวหาหันหน้าหนีอย่างไม่อยากฟัง
เช้านี้ ผอ.ทินราช หมอนลินีและหมออีกสองสามคนเข้าไปในห้องประชุม เลขาพาทอรุ้งตามเข้ามา ทอรักยิ้มให้น้อง ผอ.ทินราชแนะนำว่านี่ลูกสาวคนเล็กของผม ทอรุ้งจึงเอ่ยแนะนำตัวเอง
“สวัสดีค่ะ ทอรุ้ง พิทักษ์กิจ ค่ะ วันนี้มาเริ่มงานที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นวันแรก ไม่ต้องเกรงว่ารุ้งเป็นลูกสาวของคุณพ่อนะคะ มีอะไรก็แนะนำตักเตือนรุ้งได้เสมอค่ะ ขอบคุณค่ะ”
เวหาจ้องทอรุ้งอย่างเป็นเป้าหมายต่อไป แต่ก็ไม่พ้นสายตาของหมอนลินีที่มองอย่างรู้ทัน ได้แต่ถอนใจ
เวหาแนะนำตัวเองในชื่อใหม่ ทอรุ้งพูดแซวๆว่ากว่าจะชินกับชื่อใหม่คงอีกนาน เวหาบอกไม่นานหรอกสมัยก่อนเราสนิทกันจะตายรุ้งจำได้ไหม...แล้วตอนนี้พี่ก็ชอบรุ้ง ผ่านมาหลายปี รุ้งรู้ไหมว่าพี่ก็ยังรู้สึกกับรุ้งเหมือนเดิม ทอรุ้งบอกว่าตนไม่เคยคิดกับเขาเกินกว่าพี่ชาย เวหาตัดพ้อว่าทำไมไม่เปิดใจให้ตนบ้าง
ทอรุ้งไม่ตอบแต่ถามถึงภูผา เวหาฉุนกึกกระชากเสียงว่าถามถึงมันทำไม พอตั้งสติได้ก็เล่าว่า
“ตั้งแต่ภูผาไปได้ดิบได้ดีก็ไม่ได้กลับบ้านเลย นานๆถึงจะส่งเงินมาให้ที พี่ก็เลยไม่ค่อยรู้เรื่องเขาเท่าไร” ทอรุ้งเปรยว่าท่าทางเขาจะงานยุ่ง “หรืออาจจะลืมคนที่นี่แล้วก็ได้ รุ้งไม่ได้ไปเจอเขาเหรอ”
ทอรุ้งบอกว่าไปแต่ไม่เจอ นัดก็ไม่มา เวหาได้ทีถล่มภูผาว่า
“มันก็เป็นคนอย่างนี้แหละ มีแฟนแล้วก็ลืมบ้าน” ทอรุ้งถามว่าแฟนหรือ? “ต้อยติ่งไง จำได้ไหม ทีแรกก็ให้ไปช่วยงานพักเดียวก็จับเป็นแฟน”
ทอรุ้งทนฟังไม่ได้ขอตัวไปทำงาน เวหาบอกว่าคืนนี้ตนจะพาไปเลี้ยงข้าว นัดเลยว่าเลิกงานแล้วตนจะไปรอที่แผนก พูดแล้วยิ้มอารมณ์สมใจผละไปอย่างเร็วจนทอรุ้งปฏิเสธไม่ทัน
ooooooo
วันนี้ภูผาพาอาม่าไปโรงพยาบาลพิทักษ์ราษฎร์ เห็นเวหาเดินผ่านไปก็ทัก
“ไปเจอป๊ากับอาม่าหน่อยสิ” เวหาตอบทันทีว่าตนไม่มีญาติพี่น้องและไม่รู้จักเขาด้วย “ถ้าแกไม่ไป ฉันจะประจานแกทั้งโรงพยาบาลว่าแกมันวัวลืมตีนเป็นคนเนรคุณ”
ภูผาพูดดังจนพยาบาลที่เดินผ่านไปมาหันมอง เวหาจึงจำต้องยอมอย่างเจ็บใจ
พอไปเจอเส็ง เดือนและอาม่าที่หน้าห้องพักคนไข้ เวหาถามเสียงไม่พอใจว่า
“จะให้อั๊วทำอะไร”
“ไปขอโทษอาม่า บอกว่าสำนึกผิดแล้ว แล้วจะกลับมาอยู่บ้าน” เส็งพูดทันที
เวหาถามว่าจะให้ตนโกหกหรือ ตนทำไม่ได้ เดือนเตือนสติว่าอาม่าแก่มากแล้ว หลงๆลืมๆจนต้องพามาให้หมอตรวจที่นี่ ขอให้ทำให้อาม่าสบายใจเถอะ เวหาบ่นว่าโรงพยาบาลตั้งเยอะแยะทำไมต้องมาที่นี่ ถามว่าถ้าตนกลับไปจะมีประโยชน์อะไร ดีไม่ดีอาม่าลืมตนไปแล้วด้วยซ้ำ เส็งอดกลั้นอารมณ์ หว่านล้อมว่า
“อาม่าอาจจะลืมกินข้าว อาจจะลืมทางกลับบ้าน บางทีก็อาจลืมชื่อตัวเอง แต่ที่อาม่าไม่เคยลืมเลยก็คือไม่ลืมว่ามีหลานสองคน ทุกเช้าอียังใช้ให้อั๊วไปปลุกลื้อให้ไปโรงเรียน ตอนเย็นก็บอกให้แม่ลื้อทำกับข้าวเยอะๆ กลัวว่าหิวกลับมาแล้วจะกินไม่อิ่ม ตั้งแต่พวกลื้อเกิดอีก็ไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย นึกถึงแต่พวกลื้อตลอด นี่ไม่นึกเลย...ไม่นึกเลยว่าลื้อ...” เส็งสะเทือนใจร้องไห้จนพูดไม่ออก เดือนจึงพูดต่อ
“เวหา พูดตรงๆนะ ช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นบั้นปลายชีวิตของอาม่าแล้ว กลับมาอยู่บ้านให้อาม่าได้เห็นหน้าก่อนตายเถอะ ถือว่าตอบแทนบุญคุณอาม่าครั้งสุดท้ายนะ”
“ตอบแทนไปแล้วอั๊วจะได้อะไร”
“เลิกคิดจะเอาแต่ได้ แล้วหัดให้คนอื่นบ้าง นั่นอาม่านายนะ!” ภูผาแทรกขึ้นอย่างสุดทน เวหาหันหน้าหนี เส็งหน้าเครียดบอกภูผาว่าปล่อยไปเถอะ คงกู่ไม่กลับแล้ว เดี๋ยวตนจะไปบอกอาม่าเองว่าเวหาตายไปแล้ว
“ทำอย่างนั้นได้ก็ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้นนะ บอกอาม่าไปว่ามีหลานแค่คนเดียวคือไอ้ภูผา ส่วนหลานที่ชื่อเวหาอาม่าเลอะเลือนคิดไปเอง”
“ไปให้พ้น! จะไปตายห่าที่ไหนก็ไป!!” เส็งไล่ตะเพิด เดือนพึมพำเสียงแผ่วว่าบาปกรรมเหลือเกิน แล้วเดินไปปลอบเส็ง ภูผาทนไม่ไหวตามเวหาออกไปทันที เวหาถามว่าป๊าเป็นคนไล่ตนเองแกจะเอาอะไรอีก ภูผาชกหน้าเวหาทันทีแล้วจะตามซ้ำ
“หยุด!” ทอรุ้งตวาด ภูผากำหมัดค้าง “ไม่ได้เจอกันนาน ยังเป็นนักเลงอยู่เหมือนเดิมนะ” ภูผาอุทาน...รุ้ง... “ออกไปจากโรงพยาบาลของฉัน ก่อนที่ฉันจะเรียก รปภ.” ภูผาขอให้ฟังตนก่อน “ฉันไม่จำเป็นต้องฟังอันธพาลอย่างคุณ”
ภูผาเสียใจที่ทอรุ้งเข้าใจผิด ในขณะที่เวหายิ้มสะใจมาก!
ooooooo
อ่านละคร ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ภูผา ตอนที่ 9 วันที่ 10 ก.พ.62
บทประพันธ์โดย สลิลาบทโทรทัศน์โดย สลาลิ
กำกับการแสดงโดย ณัฏฐ์กรณ์ สุทธาวาส
ผลิตโดย บริษัท โซนิกซ์ บูม 2013 จำกัด
ช่องออกอากาศ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ