อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 8 วันที่ 19 มี.ค.62

อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 8 วันที่ 19 มี.ค.62

ปัทม์พูดเหน็บเป็นนัย เหลือบมองทยุตแบบไม่ค่อยพอใจกับความคิดแบบนี้ รสสุคนธ์เห็นท่าจะโต้เถียงกันรุนแรง ชิงอธิบายว่า

“ทยุตเขาอยากให้กระแสสติกเกอร์มันถูกพูดถึงในวงกว้าง ใครมีก็แลกเปลี่ยนกันได้ และเกิดการตามหาที่เหลือตามที่ต่างๆจังหวะที่เด็กๆเกือบท้อ เราถึงปล่อยสติกเกอร์ตัวที่เหลือให้เขาสะสม”

ทยุตเสียงอ่อนลงบอกปัทม์ว่า อย่าไปคิดมาก เด็กๆสนุกกับการตามหาสติกเกอร์จะตาย แต่ปัทม์ยังยืนยันว่าน้ำอัดลมมีแต่น้ำตาลเด็กดื่มมากๆมันไม่ดี ทยุต ประชดว่าหรือเราต้องเขียนข้างขวดว่าน้ำชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็ก



“ผมแค่ขอไม่ให้เราเน้นขายเด็ก”

“คุณต้องรณรงค์ให้พ่อแม่ทั้งประเทศลุกขึ้นมาห้ามเด็กไม่ให้ดื่มน้ำอัดลมของเราแล้วล่ะมั้ง”

“เป็นไปไม่ได้หรอก”

“ใช่ไหมครับ?? ถึงเราไม่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็ก วันนึงคนอื่นเขาก็ทำแบบนี้อยู่ดี เริ่มก่อนมันก็ได้เปรียบ”

“ผม...”

“เรามาถึงขนาดนี้แล้ว เราถอยไปไม่ได้อีกแล้ว” ทยุตตัดบทย้ำแต่ว่า “ยอดขายของเรากำลังตามคู่แข่งแบบรดต้นคอกันอยู่เลยนะครับ”

เมื่อปัทม์เสนอเหตุผลไม่สำเร็จ เขาถามว่าตนขอใช้อำนาจในตำแหน่งเปลี่ยนแปลงทุกอย่างจะได้ไหม

ทยุตมองขวับถามสวนว่าหมายความว่ายังไง

“ผมจะยกเลิกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี”

“ภาพลักษณ์ของเราติดตลาดไปแล้วนะครับ”

“คุณก็ไปคิดมาใหม่สิ”

ทยุตอึ้งกับท่าทีจริงจังของปัทม์ที่จะใช้อำนาจสั่งยกเลิกไอเดียของตน รู้สึกเหมือนถูกปัทม์ตบหน้ากลางที่ประชุม รสสุคนธ์แทรกขึ้นว่าแต่มันทำให้บริษัทมีกำไรลดลงนะ

ปัทม์บอกว่าถ้าทำได้ก็ต้องทำ อย่าเห็นแก่ตัว

นักเลย ถูกรสสุคนธ์สวนทันควันว่า

“ปัทม์ บริษัทมีกำไร ทุกคนในบริษัทรวมไปถึงครอบครัวกว่าร้อยกว่าพันชีวิตเขาก็จะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นนะ” ปัทม์โต้ว่าเรามองกันคนละมุม “คุณมีอำนาจก็จริง แต่คุณต้องฟังบอดร์ดและเสียงส่วนใหญ่สิ”

“การที่ผมอยู่ในตำแหน่งนี้ ผมมีอำนาจทำอะไรได้บ้าง นอกจากเซ็นเอกสาร” ปัทม์ถาม มองหน้าทุกคน

ในที่ประชุมอย่างไม่ยอมจำนน ทุกคนเงียบกริบ

ปัทม์เล่าสถานการณ์ตอนนั้นว่า

“ผมเริ่มมีความเห็นที่แตกต่างและไม่ลงรอยกับคนในบริษัทเรื่อยๆ ผมเริ่มสงสัยอำนาจการบริหารของตัวเองและการกำหนดนโนบายว่าผมทำได้มากน้อยแค่ไหน แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ ผมต้องฟังบอร์ดเท่านั้น ผมเริ่มไม่สนุกกับมัน แล้วความไม่สนุกอันนี้ ก็กำลังนำความยุ่งยากมาสู่บริษัท...”

ooooooo

วันนี้...ปัทม์นั่งเซ็นเอกสารแล้วสงสัยอะไร

บางอย่าง จึงเรียกพนักงานบัญชีเข้ามาขอเอกสารการเงินย้อนหลัง 3-5 ปีมาดู พนักงานถามว่าด่วนไหม

“เร็วที่สุดที่คุณจะทำได้”

พนักงานรับคำแล้วเดินออกไป

พอวันต่อมาก็เกิดความวุ่นวายขึ้น พนักงาน

วิ่งกันโกลาหล ปัทม์ถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“ไฟไหมห้องเก็บเอกสาร กำลังช่วยกันดับครับ” พนักงานคนหนึ่งบอกขณะวิ่งผ่านไป

ปัทม์รีบไปที่ห้องเก็บเอกสาร ปรากฏว่าดับไฟได้แล้ว ปัทม์ถามว่ามีใครเป็นอะไรหรือเปล่า

“ทุกคนปลอดภัยดีครับแต่เอกสารเสียหายไป

ไม่น้อย”

ปัทม์บอกว่าคนปลอดภัยก็ดีแล้ว ขณะนั้นเอง

ทยุตเดินมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินพนักงานคุยกันตนจึงรีบมาดู ปัทม์บอกว่าไฟไหมห้องเก็บเอกสาร

“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง” ทยุตถามเครียด พนักงานบอกว่าสงสัยไฟฟ้าลัดวงจร “คุณรีบไปตรวจสอบเลยนะ หาสาเหตุแล้วรีบมารายงานผม” แล้วหันไปบอกปัทม์ว่า “พี่ปัทม์ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้นะครับ ผมจัดการให้เอง”

“ประเมินความเสียหายแล้วแจ้งผมด้วยนะ” ปัทม์บอก ทยุตพยักหน้าแล้วหันไปคุยงานต่อ

ปัทม์เดินกลับห้องทำงานนั่งไม่ทันไร รสสุคนธ์ก็หน้าตาตื่นมาบอกว่า

“มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคมาพบ”

“เรื่องอะไร”

ปัทม์สีหน้ากังวล รีบเดินออกไปอย่างร้อนใจ รสสุคนธ์ตามไปติดๆ

ooooooo

เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค 3 คน มองหน้าปัทม์กับรสสุคนธ์ที่เข้ามา คนหนึ่งบอกว่าพอดีมีหนังสือร้องเรียนมามากว่าน้ำอัดลมของที่นี่หวานมากกว่าปกติ ปัทม์ถามว่าแล้วเราต้องทำยังไง?

เจ้าหน้าที่บอกว่าต้องขอตรวจสอบโรงงานเพื่อดูว่ามีความผิดปกติในขั้นตอนไหน แต่ในการตรวจสอบขั้นต้นพบว่ามีปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มสูงกว่าที่กำหนด เจ้าหน้าที่แสดงการเปรียบเทียบกับเครื่องดื่มอื่นๆให้เห็นว่าปริมาณน้ำตาลทะลุมาตรฐานที่กำหนด

ปัทม์ถามว่าถ้าตรวจสอบแล้วบริษัทผิดจริงจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่บอกว่าขั้นแรกโดนปรับแล้วต้องดูข้อกฎหมายว่าโรงงานสร้างมลภาวะรอบๆชุมชนหรือไม่

รสสุคนธ์ถามว่าโทษร้ายแรงขนาดไหน เจ้าหน้าที่บอกว่า “ฟ้องร้อง สั่งปิดโรงงานครับ”

ทยุต ปัทม์ และรสสุคนธ์ขอตัวมาคุยกันด้านนอก ปัทม์ถามว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ทยุตพูดสบายๆว่า มันเป็นเรื่องปกติ ธุรกิจไหนๆก็มีคนร้องเรียนกันทั้งนั้น ปัทม์ทักท้วงว่าแต่สถานการณ์ตอนนี้มันไม่ปกติ ตนไม่อยากให้เรื่องบานปลายบริษัทจะเสียชื่อ

“เอาเรื่องจริงๆไหม” ทยุตถามเป็นนัย ปัทม์ถามว่าเรื่องอะไร “คนพวกนี้กำลังเรียกร้องผลประโยชน์จากกำไรที่เราได้ต่างหาก”

ปัทม์เชื่อว่าเขากำลังเอาผิดกับเรา ทยุตทำเสียงสูงบอกว่าเราไม่มีความผิดอะไรทั้งสิ้น ขอให้เชื่อใจตนว่าตนจะทำทุกสิ่งให้เหมือนกับว่ามันไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปัทม์ถามว่าเขามีวิธีหรือ ทยุตทำสัญญาณมือว่า

“ค่าน้ำร้อนน้ำชาเล็กๆน้อยๆ มันก็มีอยู่

ทุกวงการล่ะครับ...ก่อนที่พี่ปัทม์จะมาอยู่ที่นี่เราก็ทำกันแบบนี้ ผมจะไปเคลียร์เอง”

ทยุตสั่งเลขาหน้าห้องให้เตรียมวิสกี้ 4 แก้วไปเสิร์ฟในห้องประชุม ตนจะเข้าไปเคลียร์กับเจ้าหน้าที่เอง

รสสุคนธ์บอกปัทม์ว่าเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น

ไม่ต้องกังวล วงการธุรกิจก็เป็นแบบนี้แหละ ปัทม์ติงว่าเรื่องเล็กน้อยของเธอแต่เป็นเรื่องใหญ่ของตน บ่นว่าตนคงวางใจอะไรง่ายเกินไป ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน

รสสุคนธ์กลับเห็นว่านั่นคือข้อดีของเขา ตนไม่อยากเห็นเขาเป็นนักธุรกิจที่มีเล่ห์เหลี่ยมเพราะมันไม่ใช่คนที่ตนรู้จัก ปัทม์ถอนใจบ่นเบาว่า ไม่รู้ตนจะอยู่แบบนี้ได้นานแค่ไหน

“ตั้งแต่ปัทม์มาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันดีขึ้นหมดเลยนะ พนักงานทุกคนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณปัทม์”

“ผมรู้สึกว่าผมมาไกลเกินเป้าหมายที่ผมต้องการไปมากแล้ว”

“ตอนนี้บริษัทเราอยู่ในช่วงขาขึ้น มันก็มักจะเป็นที่จับตามอง ปัญหามันก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา วางใจเถอะทยุตจัดการทุกอย่างได้แน่นอน ปัทม์ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เชื่อรสนะ”

คุยกันแล้วพากันเดินกลับเข้าห้องสวนกับเจ้าหน้าที่สามคนเดินออกมา ทยุตโพล่งทันทีว่า

“มันไม่รับ และไม่ยอมคุยอะไรต่ออีกแล้ว...ผมรู้ว่ามันต้องการอะไรมากกว่านี้” รสสุคนธ์ถามว่ายังไงเราก็ต้องจ่ายเหรอ “ผมจะหาผู้ใหญ่ไปยันกับพวกมัน”

ปัทม์ถามว่าแล้วเรื่องมันจะจบหรือ ทยุตนิ่งไม่ตอบ

ปัทม์ตัดสินใจเรียกประชุมหัวหน้าทุกฝ่ายทันทีเพื่อรับมือกับสถานการณ์และชี้แจงปัญหาทั้งหมด

ooooooo

ในห้องประชุม ปัทม์ถามประเด็นที่เกิดปัญหาขณะนี้ว่า ทำไมตนถึงไม่ทราบเรื่องปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินกว่าปกติมาก่อน

รสสุคนธ์ออกหน้ามาบอกว่ามันเป็นปัญหาเทคนิค ปัทม์ถามว่าเข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคหรือเปล่า ทยุต อ้างทันทีว่า ผู้บริโภคต้องการอย่างนั้น ดูได้จากยอดขายเพราะยอดขายไม่โกหก รสสุคนธ์ก็อ้างว่าแต่ก่อนคนซื้อน้อยเพราะรสจืด

“ตอนที่ผมเข้ามารสชาติมันไม่ได้หวานแบบนี้”

“มันถูกปรับตอนช่วงที่คุณเพิ่งเข้ามาทำงาน

ได้ไม่นาน ตอนนั้นสถานการณ์เรากำลังแย่เพราะการบริหารจัดการกำลังวิกฤติ” รสสุคนธ์ชี้แจง

“แล้วท่านประธานทราบเรื่องนี้ไหม” ทยุตบอกว่าไม่ทราบ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างเพื่อให้บริษัทอยู่ได้ “แล้วคุณไม่คิดหรือว่ามันจะทำให้บริษัทเรามีปัญหาตามมาเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้”

ทยุตเสียงแข็งขึ้นว่า ตนบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องของเงินกับอำนาจล้วนๆ ปัทม์ถามว่าถ้าเราลดปริมาณน้ำตาลลงเราก็ไม่ต้องไปพึ่งอำนาจนั้นถูกต้องไหม

ทยุตนิ่ง แล้วหวังอาศัยเสียงในที่ประชุมมาบีบ โบ้ยให้ถามความเห็นในห้องประชุมว่าถ้าลดปริมาณน้ำตาลลงแล้วยอมเสี่ยงที่จะเสียลูกค้าและกำไรมหาศาลไป หรือยังคงรสชาตินี้ไว้แล้วต่อรองกับกลุ่มนั้นแค่ไม่กี่คน ทุกคน

ในที่นี้จะเลือกแบบไหน

เสียงคุยกันในห้องประชุมขรมขึ้นทันที ปัทม์ถามในที่ประชุมว่า

“ผมหวังว่าทุกท่านคงจะเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนะครับ เอาเป็นว่า ใครต้องการอยากให้ลดปริมาณน้ำตาลยกมือครับ” แล้วปัทม์ก็ยกมือขึ้นเป็นคนแรก

ปัทม์กวาดตามองทั่วห้องประชุม ไม่มีใครยกมือเลย แม้แต่รสสุคนธ์ก็เพียงขยับมือ แต่ไม่ยก!

“ใครต้องการให้คงรสชาตินี้ไว้ ยกมือครับ” ทยุตถามเสียงดังอย่างมั่นใจแล้วยกมือเป็นคนแรก ผู้บริหารในห้องประชุมต่างยกมือพรึ่บ! ปัทม์มองรสสุคนธ์ เธอทำท่าสองจิตสองใจแต่สุดท้ายก็ยกมือ...

ปัทม์มองรสสุคนธ์อย่างผิดหวัง นั่งคอตกท่ามกลางเสียงแสดงความยินดีของคนในที่ประชุม

ปัทม์เล่าถึงความรู้สึกในขณะนั้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง แม้จะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วว่า

“เสียงของความถูกต้องในบริษัทของผมมันดังไม่พอจริงๆ แม้แต่คนที่ผมไว้ใจที่สุดเขาก็ไม่ได้ยิน”

แต่เมื่อออกจากห้องประชุม รสสุคนธ์บอกปัทม์ว่าเขาทำถูกต้องแล้วที่ยอมรับเสียงข้างมาก ปัทม์ย้อนถามว่า แล้วถ้าตนรู้สึกว่าเสียงข้างมากมันผิดล่ะ?

“ปัทม์คิดมากไปแล้ว...ปัทม์แค่คิดอย่างเดียวว่าลูกค้าชอบ บริษัททำกำไร ทำให้พนักงานมีความสุข ก็เท่านั้นเอง”

ปัทม์โต้ว่าถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเราจะโดนฟ้องและคนที่ต้องรับผิดชอบคือตนเพราะเป็นผู้บริหาร รสสุคนธ์ปลอบว่ามันไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอก

“ผมคิดว่าคุณจะเข้าใจผมที่สุดนะ”

“รสอยู่ข้างความถูกต้อง”

“งั้นผมว่าความถูกต้องของเราคงต่างกันแล้วล่ะ”

ทั้งสองต่างยืนยันความเห็นของตัวเอง ขัดแย้งกันชัดเจนอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปัทม์เดินออกไปอย่างผิดหวังในขณะที่รสสุคนธ์เดินกลับไปในที่ประชุม ที่ที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกับตน

นาทีนี้...ทั้งสองต่างเลือกที่จะเดินไปตามทาง

ของตัวเอง...

ooooooo

 ปัทม์บอกนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ว่า ช่วงเวลานั้น ตนแค่อยากจะคุยกับใครสักคนและคนแรกที่นึกถึงคือหนูตุ่น จึงโทร.ไปหาครูอัญ ครูอัญเล่าถึงการทำขนมไทยขายของหนูตุ่นว่าขายดีจนทำแทบไม่ทัน ดีที่มี

อ้นมาเป็นลูกมือ ไม่งั้นก็คงแย่

ขณะคุยโทรศัพท์ พอดีหนูตุ่นกลับมากับอ้น ครูอัญทักทายกับหนูตุ่นเสียงเข้าไปในสายที่ปัทม์ถือสายอยู่ หนูตุ่นถามแม่ว่าใครโทร.มาหรือ ครูอัญบอกว่าพี่ปัทม์น่ะ โทร.มาคุยสารทุกข์สุกดิบทั่วๆไป

ปัทม์บอกนักข่าวว่า นาทีนั้น...

“ผมรู้สึกเหมือนตัวคนเดียวอีกครั้ง...ขณะที่ดูเหมือนกราฟชีวิตผมเริ่มตก กราฟชีวิตของหนูตุ่น

กลับดีดสูงขึ้นสวนทางกับผม...”

ตรีชวาเสริมว่า “ขนมขายดีมาก มีคนสั่งทุกวัน ตกเย็นหลังกลับมาจากทำงานประจำ เราก็มานั่งเตรียมส่วนผมทำขนม ทีแรกพี่ก็ช่วยกันทำกับแม่ พักหลังมานี่ก็ได้อารักษ์มาช่วยอีกแรง...เหนื่อยมากนะ แต่มีความสุข”

“ตรงข้ามกับผม” ปัทม์แทรกขึ้น “ผมเหนื่อยแต่กลับมีความทุกข์ อยากจะนอนก็นอนไม่หลับ”

“ถึงตอนนี้ดูเหมือนว่ากราฟชีวิต ความรัก และงาน สวนทางกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะคะ” นักข่าวถาม

“ขณะที่ผมจมอยู่กับปัญหาที่ยังมองไม่เห็นทางออก แต่หนูตุ่นเขากำลังไปได้สวยเลยนะ ที่ดูเหมือนว่า จะทำงานหนักแต่ก็ยังมีคนช่วยแบ่งเบาไปได้เยอะ”

“ใช่ค่ะ หลังเลิกงานฉันต้องกลับมาทำขนมตามรายการของลูกค้าทุกวัน เหนื่อยมากๆ แต่ก็มีความสุข มันพุ่งมากๆ ยิ่งตอนที่เรื่องราวของขนมที่พี่ทำได้เข้าไปอยู่ในคอลัมน์นึงในหนังสือ”

ตรีชวาหมายถึงคอลัมน์เรื่องร้านขนมจงรักษ์ ที่อารักษ์แอบเขียนโดยหนูตุ่นไม่รู้ พอหนูตุ่นเห็นก็พูดอย่างทึ่งว่า ไม่คิดเลยว่านายจะเขียนอะไรแบบนี้กับเขาเป็นด้วย อารักษ์ตอบอย่างภูมิใจเผยความในใจที่มีต่อหนูตุ่นว่า “สำหรับหนูตุ่นอะไรเราก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ”

ขนมไทยจงรักที่ทำอย่างใส่ใจด้วยความรัก เป็นที่ตอบรับอย่างกว้างขวาง หนูตุ่นกับอารักษ์ช่วยกันทำและช่วยกันส่งลูกค้านอกเวลางาน ยอดสั่งซื้อมากจนต้องจำกัดจำนวนที่ทำในแต่ละวัน อารักษ์ถามหนูตุ่นว่า

ไม่อยากขยายให้มันใหญ่ขึ้นหรือ

“เราต้องรู้จักพอเพียงกับตัวเอง ทำได้สุดแค่ไหนมันก็คือแค่นั้นไม่ฝืน ความสุขยังอยู่ รายได้ที่เราต้องการยังอยู่ ถูกต้องไหม”

แม้อารักษ์จะพยายามทั้งการกระทำและคำพูดให้หนูตุ่นรู้ว่าตนรัก แต่หนูตุ่นก็ยังสนิทกันอย่างเพื่อน จนอารักษ์พูดตรงๆว่าสิ่งที่ตนทำอยู่ตอนนี้มันคืออนาคตของเราทั้งเรื่องงานและความรัก หนูตุ่นถามว่า

“เราคืออนาคตของนายหรือ”

“เราคิดอย่างนั้นนะ หนูตุ่นไม่คิดอย่างนั้นเหรอ”

“เราให้คำตอบไม่ได้ ขอโทษจริงๆ ตอนนี้อ้นคือเพื่อนที่ดีที่สุดของเรานะ”

อารักษ์ถามว่าหนูตุ่นรอพี่ปัทม์อยู่ใช่ไหม ถามตรงๆ ว่า “เธอไม่กล้าคบเราจริงจังเพราะรอเขาอยู่ใช่ไหม”

เวลานั้นหนูตุ่นนิ่งที่อารักษ์รู้ทัน แต่วันนี้ วันที่นั่งให้สัมภาษณ์นักข่าวเคียงคู่กับปัทม์ ตรีชวารับว่า...

“พี่รู้ว่าผู้ชายที่แสนดีที่รู้จักพี่มากกว่าใครคนนี้ เขารู้ว่าพี่โกหกเขา แต่เขาพยายามซ่อนความรู้สึกผิดหวังเอาไว้ไม่ให้พี่เห็น สิ่งที่เขาพูดออกมาเป็นการตอกย้ำความรู้สึกของพี่ว่าพี่คิดยังไงกับเขาและพี่ปัทม์”

 ที่ห้องให้สัมภาษณ์ หลังจากปัทม์เล่าชีวิตที่

พลิกผันจนถึงวันที่เขารู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวอยู่ในโลกที่เห็นแก่ตัว ก็ได้รับกำลังใจจากตรีชวาช่วยกันเล่าชีวิตในช่วงนั้น

ปัทม์ตัดสินใจไปพบคุณไตรคุณผู้ที่ให้โอกาสตนจนมีวันนี้ เล่าปัญหาที่เกิดขึ้นและความเห็นต่างในบริษัทให้ฟัง ถามว่าท่านรู้ไหมว่าเครื่องดื่มของเรามีปริมาณน้ำตาลสูงกว่ามาตรฐาน กำลังจะถูกเล่นงาน และทยุต

บอกว่าเขาจะไม่ลดน้ำตาลแต่จะไปเพิ่มเงินใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่แทนแต่ตนไม่เห็นด้วย

“ในทางธุรกิจ เพื่อให้กิจการของบริษัทเดินหน้าต่อ ผมเห็นด้วยกับวิธีของทยุต” ไตรคุณไม่อ้อมค้อม

ปัทม์อึ้ง ติงว่าตลอดเวลาตนคิดว่าการทำธุรกิจต้องมีคุณธรรมและคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นหลัก

“แต่หน้าที่ของคุณคือทำให้บริษัทมีกำไรมากที่สุด มองทุกอย่างให้เป็นเรื่องปกติ แล้วคุณจะผ่านสภาวะนี้ไปได้”

เล่าถึงตอนนี้แล้ว ปัทม์บอกนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ว่า...

“ตอนนั้นก็เริ่มมั่นใจแล้วนะว่าสิ่งที่ทำอยู่มัน

ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็นแน่นอนแล้ว สุดท้ายแล้วผมว่าผมเหมือนหุ่นเชิดในบริษัทมากกว่า แต่หลังจากนั้น... สถานการณ์ของบริษัทก็แย่ลงเพราะว่ามีข่าวออกไปทั่วประเทศ”

ปัทม์เล่าถึงสถานการณ์ที่ย่ำแย่ตอนนั้นว่า นอกจากถูกสื่อลงข่าวของบริษัทในทางลบแทบทุกวันแล้ว

ยังมีข่าวเด็กดื่มน้ำอัดลมของเรามากเกินไปจนต้องหาม

ส่งโรงพยาบาล แม้ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงเป็นอะไร

แต่ข่าวแพร่ไปเหมือนไฟลามทุ่ง ส่งผลให้ยอดขายลดลงมากกว่า 70% ร้านค้าต่างๆเริ่มไม่ขายน้ำอัดลมของบริษัท

เมื่อประชุมบอร์ด ทยุตแสดงความเสียใจที่บริษัทมาถึงจุดนี้ และแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หัวหน้าแผนกก็ลาออก ปัทม์ถามว่าลาออกเพื่อรับผิดชอบ หรือลาออกเพื่อหนีปัญหากันแน่

หัวหน้าแผนกคนหนึ่งบอกว่านี่เป็นทางที่ดีที่สุด อีกคนก็ว่าเชื่อว่าต้องมีคนดีๆอยากเข้ามาทำงานกับปัทม์แน่ แล้วทยุตและหัวหน้าแผนกทั้งสอง

ก็เดินออกจากห้องประชุมไปทันที รสสุคนธ์หน้าเสีย ปัทม์พูดไม่ออก

อ่านละคร ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ปัทม์ ตอนที่ 8 วันที่ 19 มี.ค.62

บทประพันธ์โดย บุรีวาด
บทโทรทัศน์โดย ณัฐ นวลแพง
กำกับการแสดงโดย ศุภฌา ครุฑนาค
ผลิตโดย บริษัท มาสเตอร์ วัน วิดีโอ โปรดักชั่น
ออกอากาศทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ