อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 8 วันที่ 18 มี.ค.62

อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 8 วันที่ 18 มี.ค.62

หนูตุ่นเข้าบ้านเห็นปัทม์นั่งอยู่ร้องทักร่าเริงว่า มาที่นี่ได้ด้วยเหรอนึกว่าแฟนพี่ไม่ปล่อยให้มาเสียอีก

ปัทม์บอกว่ารสเขาเป็นเพื่อนไม่ใช่แฟน ถามว่าหนูตุ่นงอนอะไรหรือเปล่า หนูตุ่นว่าไม่ได้งอนอะไร

แต่หมั่นไส้ที่พี่ปัทม์มาอยู่กรุงเทพฯ 2-3 เดือนแล้ว

ไม่เคยติดต่อมาเลย ปัทม์บอกว่าตนโทร.มาเจอแต่ครูอัญไม่เจอหนูตุ่นเลย หนูตุ่นย้อนถามว่าแล้วทำไมไม่มาเยี่ยมที่บ้านบ้างล่ะ



ปัทม์บอกว่างานยุ่งมาก หนูตุ่นว่าน่าสงสาร

นี่ถ้าไม่บอกก็คงคิดว่าพี่แต่งงานมีครอบครัวไปเสียแล้ว

หนูตุ่นประชดเหน็บแนมจนครูอัญปรามว่านานๆเจอกันทีคุยดีๆกับพี่เขาหน่อย หนูตุ่นเลยขอตัวอาบน้ำ ปัทม์บอกครูอัญว่าหนูตุ่นคงงอนตนแน่เลย ครูอัญเลยแนะนำว่าถ้าปัทม์อยากคุยกับหนูตุ่นให้โทร.มาตอนเช้าหรือไม่ก็ตอนดึกก็ได้

หนูตุ่นออกไปอึดใจเดียวก็หน้าตึงกลับมาบอกว่า “พี่ปัทม์ เพื่อนมาหา!!”

ปัทม์ออกไปเจอรสสุคนธ์ยืนโบกมือทักทายอยู่หน้าบ้าน ปัทม์เดินมาถามว่ารู้ได้ไงว่าตนอยู่ที่นี่

“ก็ถ้าปัทม์ไม่อยู่ที่บ้าน ปัทม์ก็คงต้องมาอยู่

ที่นี่แหละ มีไม่กี่ที่หรอกที่ปัทม์จะไป” ปัทม์ถามว่า

มีอะไรหรือเปล่า “มี...เรื่องใหญ่ด้วย”

รสสุคนธ์เล่าว่าไตรคุณบอกไตรภพว่าถึงเวลาที่ตนจะหาซีอีโอคนใหม่ทำหน้าที่แทนเขาได้แล้ว ถามว่าปัทม์เป็นยังไง ไตรภพถามว่าพ่อแน่ใจแล้วหรือ รสสุคนธ์ก็ติงว่าปัทม์เพิ่งมาทำงานยังอ่อนประสบการณ์

แต่ไตรคุณเห็นว่าปัทม์มาทำงานไม่นานแต่สร้างผลงานน่าประทับใจถามรสสุคนธ์ว่าไว้ใจเขาไหมล่ะ เธอตอบค่ะ ไตรคุณเชื่อว่าตนดูคนไม่ผิด ไตรภพบอกว่าถ้าพ่อเห็นสมควรตนก็ไม่มีปัญหา

“งั้นก็ตกลงตามนี้ คุณไปจัดการต่อด้วยนะ รสสุคนธ์”

ปัทม์ฟังแล้วตกใจถามว่า “ท่านจะให้ผมบริหารบริษัท?”

“ใช่ ท่านจะให้ปัทม์เป็นผู้บริหารของบริษัทแทนคุณไตรภพ”

“ผมน่ะเหรอ!” ปัทม์ช็อก

ooooooo

แม้ทยุตจะเป็นหัวหน้าปัทม์มาก่อน แต่พอปัทม์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอผู้บริหารบริษัท

ทยุตก็ยินดีพร้อมที่จะทำงานกับเจ้านายคนใหม่ ทั้งยังบอกว่าโชคดีที่พี่ปัทม์ทำให้ท่านประธานตาสว่าง

ปัทม์เล่าวันแรกที่มาทำงานในฐานะผู้บริหารบริษัทแก่นักข่าวฟังว่า

“วันแรกของตำแหน่งผู้บริหารของบริษัท ผมประหม่าและไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง ผมเลยเริ่มจากการแนะนำตัวต่อทุกคนพร้อมกับตรวจดูความเรียบร้อยในการทำงานของคนในบริษัทแห่งนี้...พอผมได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้บริหารของบริษัททุกคนก็ปฏิบัติต่อผมต่างไปจากเดิม...”

ปัทม์เล่าว่าตนทักทายและขอบคุณทุกคนที่มีส่วนทำให้สามเดือนของบริษัทที่ผ่านมาเรามียอดขายเพิ่มขึ้น ตนรู้ตัวว่ายังต้องเรียนรู้งานจากทุกคนที่นี่ พนักงานซุบซิบกันว่าอยู่มาจนใกล้จะเกษียณก็เพิ่งเห็นผู้บริหารเดินมาไหว้พนักงานนี่แหละ ทยุตกับรสสุคนธ์ผ่านมาได้ยินก็ยิ้มให้กันอย่างเชื่อมั่นปัทม์มาก

แต่พอปัทม์มาเจอธงหัวหน้าคลังสินค้า เห็นธงเปิดกระป๋องเครื่องดื่ม ดื่มอึกเดียวก็โยนกระป๋องใส่ถังขยะพูดท่าทางกวนๆว่าจะมาซ่อมจะมาสร้างบริษัทนี้ เหนื่อยหน่อยนะ แล้วชี้ไปที่รถขนสินค้าที่เก่าเกินกว่าจะซ่อม บอกว่าสภาพบริษัทไม่ต่างจากรถคันนี้ ปัทม์ถามว่าแล้วพอจะมีทางซ่อมให้กลับมาใช้งานได้ไหม

“มี แต่ต้องใช้เวลาแล้วก็ความร่วมมือร่วมใจของคนที่นี่” ปัทม์บอกว่าตนจะทำให้เต็มที่ “จะไหวหรือท่าทางดูซื่อๆ ประสบการณ์ก็ไม่มี จะทำยังไงให้บริษัทนี้มันกลับคืนมาได้” ซ้ำยังบ่นไตรคุณว่า “ท่านประธานใจร้อนเกินไปหรือเปล่าที่ตัดสินใจแบบนี้ หรือที่เลือกไอ้หนุ่มนี่มาเพราะอยากจะไล่ไอ้ลูกชายไม่เอาไหนกันแน่”

“แล้วผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเองครับ ว่าผมจะพาบริษัทนี้ไปได้ไกลแค่ไหน” ปัทม์ตอบคำปรามาสของธงอย่างมั่นใจ ท้าทาย แต่พอคุยกับรสสุคนธ์สองคน ปัทม์ยอมรับว่า “ต่อหน้าคนอื่นผมบอกว่าผมทำได้ เอาจริงๆนะ ผมยังไม่มั่นใจตัวเองเท่าไหร่เลย”

“ปัทม์เชื่อเถอะว่าปัทม์ทำได้อยู่แล้ว และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นรสกับทยุตก็จะคอยช่วยเหลือเอง”

รสสุคนธ์สบตาและกุมมือปัทม์ให้กำลังใจ ปัทม์เอามืออีกข้างกุมมือเธอไว้อย่างมีกำลังใจ

ooooooo

ฝ่ายหนูตุ่นกำลังสนุกและเพลิดเพลินกับการทำร้านขนมไทยที่ดีวันดีคืน โดยมีอารักษ์เป็นคนสนิทที่ทุ่มเทออกแบบโลโก้อย่างสวยงามและตั้งชื่อร้าน “ขนมไทยจงรัก”

เมื่อพฤกษ์กับครูอัญเห็นต่างก็ชอบและชมว่า

สวยดี ครูอัญบอกว่าชื่อมีความหมายดีถ้าพี่จงยังอยู่เขาคงดีใจ อารักษ์เล่าที่มาที่ทำให้ตนออกแบบและตั้งชื่อร้านว่า

“หนูตุ่นเคยเล่าให้ฟังเรื่องของคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูตุ่น ผมว่าเป็นเรื่องที่ดีมากที่ใครคนหนึ่งสานต่อความปรารถนาของใครอีกคนหนึ่ง” หนูตุ่นแซวแทรกว่าใช้ภาษาซะเป็นนิยายเลย อารักษ์บอกว่า “เพราะคำนี้ไงมันเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบทั้งหมด”

“พอเถอะ แค่นี้เราก็ปลื้มจนไม่รู้จะขอบคุณนายยังไงแล้ว...นายต้องคิดค่าออกแบบมาด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร เราอยากทำให้”

หนูตุ่นไม่ยอม อารักษ์จึงขอเป็นได้กินขนมฟรีไปตลอดชีวิตก็พอ หนูตุ่นว่ามากไป ครูอัญหัวเราะเร่งให้รีบไปทำงานกันเถอะเดี๋ยวจะสาย

พฤกษ์เห็นอารักษ์ปฏิบัติต่อหนูตุ่นและพูดเป็นนัยบ่อยๆ เมื่ออยู่กับอารักษ์ตามลำพังเลยถามย้ำให้ตอบตรงๆว่าคิดยังไงกับหนูตุ่น

“ผมชอบหนูตุ่น” พฤกษ์ชมว่าดีตรงแบบนี้ลุงชอบ “แต่หนูตุ่นไม่ได้คิดกับผมแบบนั้นนะครับ”

อารักษ์เล่าถึงอดีตที่ตนเริ่มจีบหนูตุ่น ทั้งวาดรูปหนูตุ่นให้ ซื้อขนมมาฝาก แต่หนูตุ่นก็แจกเพื่อนๆกินหมด จนวันนี้ตนก็ยังหวังว่าสักวันหนูตุ่นจะใจอ่อนและยอมเปิดโอกาสให้ตนบ้าง

ครูอัญก็ชอบแบบที่อารักษ์ออกให้มาก คืนนี้ก็ชมกับหนูตุ่นว่าสวยดี อารักษ์เก่ง หนูตุ่นคุยอวดว่าเขาเป็นคนออกแบบมือ 1 ของออฟฟิศเลยล่ะ ครูอัญที่สังเกตท่าทีของอารักษ์มาตลอดเลยถามว่าหนูตุ่นคิดยังไงกับอารักษ์ หนูตุ่นบอกว่าเรารู้จักกันมานานรู้ไส้รู้พุงกันหมด เราสนิทกันแบบเพื่อนและตนก็ยังสนุกกับงานอยู่

ooooooo

เพราะปัทม์เชื่อว่าผู้บริหารที่ไม่มีประสบการณ์ต้องเรียนรู้จากการทำงานก่อน เขาจึงทำงานอย่างถึงลูกถึงคน เดินตลาดและช่วยส่งของตามร้านค้า ทำงานอย่างไม่มีวันหยุด

วันนี้ก็ไปส่งน้ำอัดลมที่ร้านครูอัญ หนูตุ่นนั่งปั้นสาคูที่โถงได้ยินเสียงแม่ทักทายกันก็นึกว่าอารักษ์ จึงทัก

“อ้น...”

แต่คนที่เดินเข้ามากลับเป็นปัทม์ หนูตุ่นมองข้างหลังเขาถามว่ามาคนเดียวหรือ วันนี้ว่างหรือ ปัทม์บอกว่าวันนี้มาดูร้านค้าแถวนี้เลยแวะเอาขนมมาฝากแล้วจะช่วยหนูตุ่นปั้นสาคู หนูตุ่นบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเพื่อนมาช่วย แต่ปัทม์ขอช่วยไปพลางก่อน

ระหว่างนั้นต่างถามถึงธุรกิจและงานของอีกฝ่าย ปัทม์บอกว่าตนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหารแล้ว หนูตุ่นดีใจด้วย ปัทม์บอกว่าที่ตนมาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะคำแนะนำของหนูตุ่น

“ถ้าไม่มีหนูตุ่น พี่ก็คงไม่มีวันนี้ ขอบใจหนูตุ่นมากนะ”

หนูตุ่นเขินจนปั้นสาคูเม็ดใหญ่กว่าปกติ ปัทม์คว้ามือหนูตุ่นติงว่าใหญ่ขนาดนี้จะให้ใครกิน หนูตุ่น

ทั้งตกใจทั้งเขิน เอาสาคูใส่ปากปัทม์ “ก็ให้พี่ปัทม์กินไง”

ขณะทั้งคู่กำลังหัวเราะแก้เขินกัน อารักษ์เข้ามาพอดี หนูตุ่นจึงแนะนำให้รู้จักกัน อารักษ์ไหว้บอกว่าได้ยินชื่อพี่ปัทม์มานานเพิ่งได้เจอกันวันนี้

ระหว่างนั้นอารักษ์เอาตัวอย่างแพ็กเกจใส่ขนมไทยเก๋ๆติดโลโก้ที่อารักษ์ออกแบบให้หลายแบบออกมาให้ดู หนูตุ่นพอใจมากชมว่า “นายนี่เก่งไม่เบานะ” อารักษ์กับหนูตุ่นอวดและหยอกล้อกันอย่างสนิทสนมจนปัทม์รู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่สนิทกันมากของทั้งสอง

จังหวะหนึ่งหนูตุ่นลุกไปเตรียมภาชนะมาใส่ขนมให้ชิมกัน ปัทม์ถามอารักษ์ว่าทำไมเขารู้เรื่องตนมากจังอารักษ์บอกว่าหนูตุ่นชอบพูดให้ฟังบ่อยๆ

พอหนูตุ่นกลับมาเห็นทั้งสองคุยกันถูกคอถามว่านินทาตนหรือเปล่า ปัทม์ว่าไม่ได้นินทา ชมว่า

“อารักษ์เขาเก่งนะ แถมยังดูจะรู้ใจหนูตุ่นอีก”

“ค่ะ ก็เรารู้จักกันมานาน เป็นเพื่อนสนิทกันก็ต้องรู้ใจกันเป็นธรรมดา ไม่งั้นก็คงทำงานด้วยกันลำบาก”

ปัทม์สะดุดใจคำว่าเพื่อนสนิท เพราะไม่เคยเห็นหนูตุ่นมีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชายมาก่อน แต่อารักษ์ฟังแล้วหน้าเจื่อนที่หนูตุ่นให้ตนเป็นได้แค่เพื่อนสนิทในเรื่องงานเท่านั้น

ระหว่างนั่งกินขนมกันนั้น รสสุคนธ์ก็มาตามปัทม์ ปัทม์แนะนำแก่อารักษ์ว่ารสสุคนธ์เป็นคนทำงานด้วยกัน อารักษ์แนะนำตัวเองว่าเป็นเพื่อนของหนูตุ่น

“เพื่อนสนิทมากด้วยค่ะ” หนูตุ่นย้ำ ทำเอาทั้งปัทม์และอารักษ์หน้าเจื่อนด้วยความรู้สึกที่ต่างกัน

เล่าถึงตอนนี้ปัทม์บอกนักข่าวที่กำลังฟังเพลินว่า เป็นครั้งแรกที่ตนรู้สึกหึงหวงหนูตุ่น ตรีชวาบอกว่าตนไม่เห็นรู้เลยและไม่เห็นพี่ปัทม์แสดงออกด้วย

ปัทม์ยอมรับว่าตอนนั้นตนรู้สึกแคร์หนูตุ่นมาก รู้สึกเหมือนกำลังจะเสียคนสำคัญในชีวิตไปอีกคน

ฝ่ายตรีชวาก็บอกว่าตอนนั้นบอกได้ว่าคนที่ใช่ของเราคือพี่เขา รู้แต่ในสถานการณ์นั้นรู้ว่าต้องทำให้เขาเจ็บใจกลับไป

“ตอนนั้นดีใจนะที่รู้ตัวเองว่าเลือกใครจริงๆ แต่ผิดหวังที่คิดว่าเขาสองคนเป็นแฟนกันแล้ว”

ปัทม์บอกว่าตนก็เป็นแบบนั้น ตรีชวาถามว่าแล้วทำไมไม่บอกว่ารักหนูตุ่น ปัทม์ย้อนถามว่าแล้วทำไมหนูตุ่นไม่บอกล่ะ ตรีชวาบอกว่าคิดไปคิดมาเก็บไว้ในใจดีกว่า ปัทม์บอกทันทีว่า

“พี่ก็เหมือนกัน” แล้วปัทม์ก็เล่าว่าตอนนั้นเราห่างกันไป แต่ลึกๆแล้วเราทั้งคู่ก็อยากเจอกันอยู่ ตรีชวาบอกว่าดีแล้วที่ห่างกัน ปัทม์เห็นว่าเพราะมันจะทำให้เรารู้จักกันและกันมากขึ้น...

เมื่อยอดขายน้ำอัดลมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทยุตเสนอว่าเราไม่มีเงินทุ่มโฆษณาเหมือนบริษัทอื่นฉะนั้นเราต้องสร้างภาพลักษณ์ของเราให้ดี ตนอยากให้เครื่องดื่มของเราเป็นเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ อยากได้ดาราวัยรุ่นมาเป็นพรีเซนเตอร์ รสสุคนธ์เห็นด้วยถามปัทม์ว่าเห็นว่ายังไง ปัทม์เห็นด้วยกับแนวคิดนี้แต่เราไม่มีงบมากพอที่จะจ้างดารา

ทยุตจึงเสนอให้เอาวัยรุ่นแทน สร้างภาพลักษณ์เป็นน้ำอัดลมของวัยรุ่น ปัทม์บอกลองดูก็ได้

ผลปรากฏว่า สถิติตัวเลขยอดขายเพิ่มขึ้นทุกเดือน จากนั้นไอเดียหลายอย่างที่กลั่นจากสมองของทยุต

ก็ตามมาไม่หยุด ปัทม์เล่าว่าตอนนั้นตนปล่อยให้ทยุตคิดอะไรอย่างที่เขาฝันอยากให้บริษัทดีขึ้นและตนก็

ได้เรียนรู้จากเขาด้วย ส่วนตนการได้ลงพื้นที่ดูด้วยสายตา ดูกลยุทธ์ที่ทยุตได้วางแผนไว้นับเป็นประโยชน์กับตัวเองจริงๆ

จากนั้นทยุตก็มีไอเดียใหม่ เสนอว่าอยากให้มีการจัดตู้แช่แล้วเห็นเครื่องดื่มของเราชัดๆหรืออยู่ด้านหน้าของคู่แข่ง รวมไปถึงการให้มีโลโก้เด่นชัดในร้าน

ไอเดียนี้กลายเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผล เมื่อประสบผลสำเร็จมากทำให้มีการแข่งขันสูงขึ้น

วันนี้ไตรภพมาที่บริษัทเอ่ยปากชมว่าไม่ได้มาเสียนานไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะพาบริษัทมาได้ไกล

ขนาดนี้ รสสุคนธ์บอกว่าท่านประธานขอให้เขามานั่งฟังอย่างน้อยปีละสองครั้งก็ยังดี

ทยุตเสนอไอเดียใหม่อีกเชื่อว่าคู่แข่งไม่กล้าเล่นว่า “เราน่าจะเจาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ นั่นก็คือเด็ก”

ปัทม์สะดุดคิดทันทีว่าน้ำอัดลมไม่มีประโยชน์ต่อเด็ก แต่สังเกตคนอื่นเห็นทุกคนคล้อยตามทยุตที่ย้ำมากว่าถ้าเราเจาะกลุ่มเด็กได้เราจะขายสินค้าได้มากขนาดไหน เพราะเด็กจะซื้อสินค้าเราไปอีกเป็นสิบๆปี

“แต่เด็กไม่ควรดื่มน้ำอัดลม” ปัทม์ขัดขึ้น

ทยุตยืนยันไอเดียของตนว่าขายได้มากแน่ เด็กชอบของหวานและถ้าเด็กอยากดื่มพ่อแม่ก็ต้องซื้อให้

ปัทม์ยืนยันไม่เห็นด้วยเพราะสุขภาพของเด็กเป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง ทยุตจึงเสนอให้เป็นการสะสมฝาจีบเอามาแลกของเล่น อย่างนี้พอเป็นไปได้ไหม ไตรภพเห็นด้วย ทยุตขอบคุณ บอกว่าเป็นครั้งแรกที่เขายอมรับไอเดียตน ตนมั่นใจว่าวิธีนี้จะทำให้เราเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

“คนอื่นว่ายังไงครับ” ที่ประชุมไม่มีใครคำนึงถึงสุขภาพของผู้บริโภค ทุกคนคิดแต่จะได้ผลกำไรเท่านั้น

ปัทม์เล่าความรู้สึกในขณะนั้นว่า ตนเหมือน

น้ำท่วมปากไม่สามารถพูดอะไรได้เลย เพราะวิธีนี้เหมือนเป็นการมอมเมาเด็ก แต่ไม่มีใครเห็นความสำคัญคิดแต่อยากให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่ตนเสียงเดียวช่วยอะไรไม่ได้เลยจริงๆ แม้แต่รสสุคนธ์ยังมากล่อมว่าเขาต้องฟังเสียงในที่ประชุม และเด็กทั่วโลกเขาก็ดื่มกัน

“แต่ต้องไม่ใช่สิ่งที่ผมทำ!!” ปัทม์โพล่ง รสสุคนธ์ย้ำว่านี่เป็นเรื่องทำธุรกิจ การตัดสินใจในที่ประชุมจะเป็นประโยชน์ต่อเราทุกคน “ของพวกคุณมากกว่าไม่ใช่ผม...ผมขอตัว”

ปัทม์บอกนักข่าวว่านี่เป็นครั้งแรกที่ทำงานแล้วเจอปัญหาขัดแย้งกับตัวเอง ตอนนั้นตนถามตัวเองว่า

“กูทำอะไรอยู่เนี่ย?”

ในที่สุดปัทม์ตัดสินใจไปหาครูอัญที่บ้านพร้อมกับข้าวสองสามอย่าง เล่าความอึดอัดใจให้ฟัง ครูอัญปลอบว่าอย่าคิดมากเราทำไปตามหน้าที่และต้องอดทน ปัทม์ถามว่าอดทนไปเพื่ออะไรครับ ครูบอกว่าปัทม์มีหน้าที่การงานที่ดีแล้ว ก็ต้องรักษามันไว้ ไม่ทำเพื่อ

ตัวเองก็ต้องทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก ยกตัวอย่างว่า ดูหนูตุ่นสิตอนนี้เก็บเงินเพื่อปรับปรุงบ้านหลังนี้ใหม่ ย้ำกับปัทม์ว่า

“หนูตุ่นเขาทำทุกอย่างเพื่อตัวเขาและตัวครู นี่ก็ได้อารักษ์เขาช่วยออกแบบให้”

พอดีหนูตุ่นกับอารักษ์เดินเข้ามา อารักษ์ถือถุงกับข้าวมาเต็มสองมือต่างกับตัวเองที่เอามาไม่กี่อย่าง อารักษ์ชวนปัทม์อยู่กินข้าวด้วยกันแล้วเดินเข้าครัวไปจัดอาหารเหมือนบ้านของตัวเอง

ปัทม์เล่าความรู้สึกขณะนั้นให้นักข่าวฟังว่า

“ผมรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างผมกับหนูตุ่นห่างกันเรื่อยๆตั้งแต่ตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่หนูตุ่นไหว้ผม และผมจำต้องรับไหว้ ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงต้องเริ่มต้นชีวิตคู่กับเพื่อนสนิทผมคนนั้นอย่างแน่นอน ถ้าชีวิตไม่เกิดอุปสรรคอีกครั้ง”

หลังจากมีโปรโมชันใหม่ออกไป บรรยากาศการขายน้ำอัดลม TK ก็เกิดกระแสแบบฉุดไม่ยั้งรั้งไม่อยู่ เด็กๆรุมกันซื้อน้ำอัดลมดื่มเพื่อสะสมฝาจีบและแลกสติกเกอร์ จนทะเลาะชกต่อยกันเพื่อแย่งน้ำอัดลมขวดสุดท้ายในตู้แช่

ปัทม์เล่าความสลดใจแก่นักข่าวฟังว่า

“ผมไม่คิดเลยว่าน้ำอัดลมขวดนั้น เด็กๆจะแย่งกันเอาเป็นเอาตายเพื่อเอามันมาดื่ม ไม่สิ...จริงๆแล้วแย่งกันเพื่อเอาฝามาแลกสติกเกอร์ต่างหาก...ผู้ปกครองเริ่มบ่นลูกหลานของตัวเอง เพราะเด็กๆเริ่มร้องจะกินแต่น้ำอัดลมแทนน้ำเปล่า และทุกครั้งที่เด็กๆเหล่านั้นโดนขัดใจก็จะร้องงอแง และที่หนักกว่านั้นก็คือไม่ยอมไปเรียนหนังสือ”

 เมื่อยอดขายของบริษัทพุ่งขึ้น 10-20% โดยเฉพาะตลาดเด็ก ทางบริษัทก็ประชุมสรุปผล ทยุตรายงานอย่างคล่องแคล่วมีชีวิตชีวาว่า

“ที่ผ่านมาจะเห็นว่ายอดขายถีบตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ตั้งแต่เราขยายเป้าหมายลงมาถึงเด็กๆ”

ที่ประชุมปรบมือแสดงความชื่นชมกันกราว หัวหน้าคนหนึ่งเปรยว่าสงสัยปีนี้เราอาจจะได้โบนัสกันไหม ทยุตยิ้มกว้างตอบอย่างมั่นใจแจ่มใสว่า

“แน่นอนครับ หรืออาจจะพาทัวร์ต่างประเทศก็ไม่เลวนะครับ”

รสสุคนธ์เห็นปัทม์นั่งเครียดถามว่า “คุณปัทม์มีอะไรหรือคะ”

“ผมไม่รู้สึกดีใจนักกับตัวเลขที่สูงขึ้น” ปัทม์บอก ทำเอาที่ประชุมเงียบหันมองเขาเป็นตาเดียว “ผมไม่อยากให้เราเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กมากนัก”

“ยอดขายที่เพิ่มขึ้นก็มาจากกลุ่มเด็กๆนะครับ” ทยุตติง

“แต่มันทำให้เด็กดื่มน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่า มันไม่ดีต่อสุขภาพของพวกเขา” ทยุตโบ้ยว่านั่นเป็นหน้าที่ของพ่อแม่เด็กที่ต้องห้าม เรามีหน้าที่ขายของและทำให้เครื่องดื่มของเราเป็นที่นิยม ปัทม์แย้งว่า “แต่เราต้องมีคุณธรรมบ้างนะครับ เด็กส่วนใหญ่ก็ซื้อน้ำเพื่อจะเอาฝามาแลกสติกเกอร์สะสมให้ครบเพื่อมาแลกของ แต่ถึงจะสะสมเท่าไหร่ก็ไม่มีทางครบเสียที”

ปัทม์พูดเหน็บเป็นนัย เหลือบมองทยุตแบบไม่ค่อยพอใจกับความคิดแบบนี้ รสสุคนธ์เห็นท่าจะโต้เถียงกันรุนแรง ชิงอธิบายว่า

อ่านละคร ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ปัทม์ ตอนที่ 8 วันที่ 18 มี.ค.62

บทประพันธ์โดย บุรีวาด
บทโทรทัศน์โดย ณัฐ นวลแพง
กำกับการแสดงโดย ศุภฌา ครุฑนาค
ผลิตโดย บริษัท มาสเตอร์ วัน วิดีโอ โปรดักชั่น
ออกอากาศทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ