อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 1 วันที่ 4 มี.ค.62

อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 1 วันที่ 4 มี.ค.62


พ.ศ.2528...

บนถนนในกรุงเทพฯที่รถติดเป็นพืดนิ่งสนิทอยู่นานท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวจนเห็นไอแดดระยิบ...

ในรถตู้คันหนึ่งสีสันสะดุดตา ปัทม์ชายหนุ่มมาดดีในรถดูนาฬิกาข้อมือเห็นว่ารถติดมา 15 นาทีแล้วเขาเปิดหน้าต่างมองไปรอบๆเห็นคนในรถสีหน้าเบื่อหน่าย บ้างหน้ามันเหงื่อไหล บ้างงัวเงียโงกเงกจะหลับมิหลับแหล่ บ้างลงจากรถมาชะเง้อไปข้างหน้าว่าเมื่อไหร่รถจะขยับเสียที

ปัทม์คะเนว่ารถต้องติดอีกนาน เขาดึงกุญแจรถออก เอ้เด็กสาวที่นั่งอยู่ข้างๆถาม



“พี่ปัทม์เอาจริงเหรอ”

“ถ้าไม่กล้าก็นั่งอยู่ในรถ”

ปัทม์ตอบพลางพับแขนเสื้อถึงศอก เปิดประตูข้างรถตู้ไปเปิดถังน้ำแข็งใบใหญ่หยิบขวดน้ำสมุนไพรที่แช่อยู่เป็นสิบๆขวดแล้วเดินไปยังรถข้างๆที่ติดหนึบอยู่ เคาะกระจกเรียก พอคนในรถเปิดกระจก ปัทม์เอ่ย...

“รถติดร้อนขนาดนี้ แจกน้ำสมุนไพรฟรีครับ ดื่มแก้กระหายได้จับใจเลยครับ”

คนในรถรับไปงงๆแล้วเปิดดื่มรวดเดียวหมดขวด ปัทม์กับเอ้เดินแจกน้ำสมุนไพรต่อไปอย่างขยันขันแข็ง ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ท่ามกลางแดดร้อนจ้า

ไวสมกับเป็นสื่อ...ภาพและข่าวการแจกน้ำสมุนไพรของปัทม์กับเอ้เป็นข่าวทั้งบนหน้าหนังสือพิมพ์และทีวี เสียงผู้ประกาศข่าวในจอทีวีรายงานอย่างชื่นชม ไม่เพียงมองแค่น้ำสมุนไพรดับกระหายแต่มองลึกไปถึงแผนการตลาดว่า

“เมื่อชายหนุ่มขับรถตู้คันนี้ไปทั่วกรุงเทพฯที่มีรถติดแล้วลงไปแจกน้ำดื่มสมุนไพรท่ามกลางอากาศที่ร้อนนับเป็นความอัจฉริยะของคนคิด ที่วางแผนการตลาดจนคนจดจำไปทั่วประเทศแล้ว”

ไม่นาน น้ำสมุนไพร “ไฟต์” ของปัทม์ก็ติดตลาด มีวางขายอยู่ทั่วไปทั้งในร้านขายของชำและในตู้แช่ ลูกค้ายืนรอซื้อจนส่งแทบไม่ทัน เสียงผู้ประกาศกล่าวอย่างชื่นชมว่า

“และแน่นอนว่า ตอนนี้เครื่องดื่มชนิดนี้กลายเป็นชีวิตประจำวันของคนกรุงในเวลานี้ไปแล้ว”

ปัทม์กับเอ้ดูข่าวที่บ้านแล้วเปิดประตูออกมาเห็นผู้คนเดินไปมาต่างถือขวดน้ำสมุนไพรกันมากมาย ปัทม์นักธุรกิจหนุ่มหน้าใสกับเอ้พนักงานคู่ใจ มองภาพนั้นอย่างสุดปลื้ม...

ooooooo

30 กว่าปีต่อมา...

วันนี้...ที่ห้องรับรองในโรงแรมหรู...ปัทม์ในวัย 60 เศษเป็นนักธุรกิจท่าทางภูมิฐาน ดูภาพถ่ายของตัวเองในวัยหนุ่มหน้าใส กำลังนั่งให้สัมภาษณ์นักข่าว

“ตลอดระยะเวลากว่าสามสิบปีมีอะไรที่ท่านได้เรียนรู้”

“จากจุดเริ่มต้นที่ทำน้ำสมุนไพรด้วยการเดินแจกให้กับคนในรถตามสี่แยกไฟแดงทั่วกรุงเทพฯวันนั้น ผมเรียนรู้ว่า ผมยังต้องทำงานหนักอีกต่อไป”

“ท่านคิดว่าอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจให้ท่านประสบความสำเร็จในวันนี้คะ”

ปัทม์นิ่งนึก ยิ้ม มองไปที่ประตูห้อง หญิงสูงวัยหน้าตาดีและหญิงหน้าตาดีอีกคนยืนยิ้มอยู่ นักข่าวถามว่าครอบครัวของท่านใช่ไหม ปัทม์ตอบอย่างภูมิใจว่า

“ครับ ภรรยาและลูกก็เป็นส่วนหนึ่ง” นักข่าวถามว่าแสดงว่ายังมีอีกหรือ “แม่ของผมครับ ถ้าไม่มีท่าน ผมก็ไม่มีวันนี้ จริงๆแล้วผมเติบโตมาในซ่องนะ แม่ผมทำงานอยู่ในนั้น เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ทำให้ผมมีวันนี้”

“นี่เรื่องจริงเหรอคะท่าน” นักข่าวเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

“ผมไม่มีอะไรจะต้องปิดบังแล้วนี่ครับ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเริ่มต้นจากความยากลำบากทุกคน แต่ความยากลำบากของผมมันเริ่มที่นั่น”

แล้วอดีตในปี 2498 เมื่อ 64 ปีก่อน ก็กลับมาสู่ความทรงจำอีกครั้ง...

ooooooo

ลินจง หญิงสาววัย 20 เศษที่ยังสวยมีเสน่ห์ เป็นโสเภณีอยู่ซ่องป้าอบที่แพร่งสรรพศาสตร์ ลินจงเดินกุมมือสุภาพ ลูกค้าที่มีความรู้สึกพิเศษต่อกันออกมา เพื่อนๆทำท่าแซวจนลินจงเขิน

ป้าอบมองแล้วพูดเซ็งๆว่า “มันบอกฉันว่ามันจะเลิกทำงานนี้แล้ว” หญิงสาวฟังป้าอบแล้วบอกว่า

“ถ้าฉันเป็นมันฉันก็เลิกนะป้า ผู้ชายหน้าที่การงานดี ฐานะมั่นคงและรักลินจงโดยที่ไม่รังเกียจว่าทำอาชีพนี้” ป้าอบบ่นเสียดายเพราะลินจงคือดาวของที่นี่ “โธ่ป้า...ปล่อยมันไปเถอะ มันคบกับเขาเป็นปีแล้ว เพื่ออนาคตของมัน”

ลินจงเดินออกมากับสุภาพถึงริมถนนใหญ่อย่างมีความสุข เธอถามสุภาพว่า เขาบอกมาตลอดว่าถ้าตนเลิกทำงานนี้ก็จะแต่งงานกับตนใช่ไหม สุภาพบอกว่าใช่ตนเคยพูดอย่างนั้น

แต่พอลินจงบอกว่าตนจะเลิกอาชีพนี้และแต่งงานกับเขา สุภาพถามว่าแน่ใจแล้วหรือ

“ฉันแน่ใจแล้ว พี่เป็นผู้ชายคนเดียวที่มั่นคงกับฉัน พี่เป็นคนแรกที่ทำให้ฉันอยากเลิกอาชีพนี้”

“พี่ดีใจ...แล้วก็เสียใจไปพร้อมๆกันนะลินจง” ลินจงตะลึงถามว่าหมายความว่ายังไง “ในความเป็นจริงเราคงแต่งงานกันไม่ได้หรอก...ครอบครัวพี่รับราชการ เขาคงไม่ปลื้มเมื่อรู้ความจริงว่าลินจงทำงานแบบนี้มาก่อน”

ลินจงช็อกถามเสียงสั่นว่าพี่พูดเสมอว่าพี่คุยได้ สุภาพบอกว่าตนพยายามแล้วแต่ไม่สำเร็จ ลินจงน้ำตาคลอ บอกว่าแต่ความรักเป็นเรื่องของเราสองคน...

“ถูก ยกเว้นครอบครัวพี่ พี่ไม่ใช่คนที่จะตัดสินว่าพี่จะรักใครได้ อีกสองเดือนพี่จะย้ายไปรับตำแหน่งใหม่ที่ภาคเหนือ คงยากที่จะได้พบลินจงอีก เพราะพี่จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่พ่อแม่พี่เขาดูให้แล้ว”

สุภาพบอกลินจงว่าตนรักเธอแต่ตนทำตามความต้องการของเราไม่ได้ ลินจงถามเสียงสะท้านว่า

“มันยากขนาดนั้นเลยเหรอพี่”

“จะให้พี่อธิบายกับพ่อแม่ยังไงว่าลินจงเป็นเด็กกำพร้า ทำงานในซ่องมาก่อน เรารู้จักกันเพราะพี่ชายพี่เป็นคนแนะนำ เขากับลินจงคงมีอะไรกันมาก่อน ความจริงแบบนี้พี่บอกได้เหรอ? พี่อยากให้ลินจงเข้าใจ พี่ยังรักลินจงอยู่”

“จะดีเสียกว่าถ้าพี่ไม่พูดคำว่ารักกับฉัน...” พูดจบลินจงวิ่งเตลิดไปเลย

ooooooo

ลินจงเสียใจ สิ้นหวัง ไปที่ริมสระบัวพยายามผูกคอตัวเองกับต้นไม้แต่ไม่สำเร็จร่วงลงมา เธอพยายามอีกครั้ง พลันก็ชะงักเมื่อได้ยินเสียงทารกร้อง ลินจงมองไปรอบๆไม่เห็นมีใครจึงเดินตามหา

ลินจงแหวกใบบัวในสระจนพบทารกที่สายสะดือยังไม่แห้งร้องไห้อยู่ในกะละมังที่ลอยอยู่ในสระ ตัวแดงเป็นจ้ำไปหมด ลินจงอุ้มทารกขึ้นมาปัดมดแมลงที่ไต่ตอมออก พยายามหาผ้าคลุมทารกไว้ แล้ววางที่ริมถนนในจุดที่คิดว่าคนจะเห็นได้ชัดเจน บอกทารกผู้ไร้เดียงสาว่า

“ฉันช่วยได้เท่านี้แหละ หนูไม่น่ามาเจอฉันเวลานี้เลย ฉันขอให้มีคนมาเจอหนูเร็วๆนะ”

ลินจงกลับไปหมายจะแขวนคอตายอีกครั้ง แต่เสียงร้องไห้ของทารกทำให้เธอเดินกลับมาคอยดูว่า

จะมีใครมาเจอทารกไหม ใจก็ภาวนาให้มีคนเดินมาและทารกร้องดังกว่านี้ แต่เสียงร้องของทารกกลับเบาลงอย่างหมดแรง ลินจงตัดสินใจมาอุ้มทารกเดินฝ่าความมืดไปยังแสงสว่างที่อยู่ข้างหน้า บอกกับทารกในอ้อมกอดว่า

“เราสองคนไม่ควรจากโลกนี้ไปเพราะคนเลว เรายังมีโอกาสมีชีวิตอยู่ ฉันไม่ควรตัดโอกาสของหนูและตัวเองในการเริ่มต้นชีวิตใหม่”

ooooooo

ลินจงกลับไปทำงานที่ซ่องป้าอบอีกครั้งพร้อมทารกที่เธอตั้งชื่อให้ว่า “ปัทม์” โดยเอาปัทม์ไปเลี้ยงที่ซ่อง ขณะที่ตัวเองทำงานก็ให้ปัทม์เล่นไปตามประสากับแก้วเด็กหญิงในวัย 5 ขวบเท่ากัน เมื่อเธอทำงานเสร็จจึงพาปัทม์กลับบ้าน

แต่คืนนี้ลินจงยังทำงานไม่เสร็จจึงให้ปัทม์รอ จนดึกลินจงออกมารับปัทม์กลับบ้าน ปัทม์นอนหลับอยู่ที่โซฟา ลินจงจึงอุ้มกลับไป

วันต่อมาลินจงเอาเงินค่าเช่าห้องไปให้เจ๊นาง

เจ๊ขอบใจ พูดอย่างหวังดีว่าลินจงก็เหนื่อยมากแล้วไม่น่าจะรับภาระเอาลูกคนอื่นมาเลี้ยงเลย เพราะถ้าวันนึงปัทม์รู้ว่าลินจงไม่ใช่แม่จริงๆจะทำยังไง

“ฉันเชื่อว่าสิ่งที่ฉันเลี้ยงเขามาตลอด 5 ปีเมื่อถึงเวลานั้นเขาจะรับมือกับเรื่องนั้นได้”

เจ๊นางยกมือท่วมหัวสาธุ ถามลินจงว่าเลี้ยงปัทม์ในซ่องถ้าโตมามันจะเป็นอะไรได้ ลินจงขอบใจเจ๊นางแต่ไม่ต้องห่วงตนกับลูกหรอก เจ๊นางแนะว่า “จริงๆแกควรมีลูกเป็นของตัวเองนะ”

“อย่าเลยเจ๊ ถ้าลูกมันจะมีพ่อเลวแบบไอ้สถิต สู้ฉันไม่มีเลยดีกว่า”

“เรื่องของเอ็ง เจ๊แนะนำแล้วนะ”

เจ๊นางมองสถิตที่เมานอนกอดขวดเหล้าอยู่หน้าบ้าน แล้วเดินไป

ooooooo

ปี 2515 ปัทม์อายุ 17 แล้ว ลินจงยังทำงานอยู่ที่ซ่องป้าอบ ปัทม์ขี่จักรยานมารับแม่กลับบ้านเหมือนทุกวัน คืนนี้เห็นแม่เดินคุยกับขจรออกมาเครียดๆและยังเห็นแก้วที่โตมาด้วยกันในซ่องด้วย

ปัทม์ถามแก้วว่ามาทำงานที่นี่แล้วเหรอ ทำไมไม่ทำอย่างอื่น

แก้วถามว่าจะให้ตนทำอะไร ตนโตมากับที่นี่เห็นแม่ทำงานมาตลอด ปัทม์ถามว่าแล้วแม่ไม่ด่าหรือ

“ด่าอยู่ 3 วัน สุดท้ายก็ต้องยอม ไม่งั้นจะหาเงินที่ไหนมารักษาแม่ที่เป็นซิฟิลิสระยะสุดท้ายล่ะ”

“แกก็ยังเสี่ยงมาทำงานแบบนี้เนอะ”

แก้วถามว่าชีวิตอย่างตนมีอะไรให้เลือกบ้างล่ะ ปัทม์บอกว่าที่จริงแก้วยังมีทางเลือกอีกเยอะ พอดีแม่เล้าที่ยืนอยู่กับชายกลัดมันกวักมือเรียก แก้วจึงขอตัวไปทำงานก่อน ครู่หนึ่งลินจงเดินออกมาบอกปัทม์ให้กลับไปก่อนเพราะแขกจะพาไปดื่มอะไรข้างนอกต่อ

ปัทม์ติงว่าที่จริงแม่ก็ปฏิเสธเขาได้ ลินจงบอกว่าเขากระเป๋าหนักแม่ไม่อยากเสียโอกาส

“แต่อาขจรเขาเป็นแฟนอาวิไลเจ้าของบ้านเช่าที่เราอยู่ไม่ใช่เหรอแม่”

“คิดว่าแม่จะไปแย่งแฟนเขาเหรอ แม่ไม่ทำอย่างนั้นหรอก มันคืองาน เขาเป็นลูกค้า อย่าคิดมากเลย”

ลินจงกอดปัทม์แล้วเดินไปหาขจรพากันเดินหายไป ปัทม์มองตามนิ่ง แววตาครุ่นคิด

แม้ปัทม์จะเติบโตมาในสภาพที่ไม่ดี แต่ด้วยจิตสำนึกดี จึงคิดหาทางทำงานหาเงินช่วยแม่

คืนนี้ปัทม์ไปเที่ยวงานวัดกับเพื่อนสามคน เพื่อนทั้งสามพากันเหล่สาวแซวกระเซ้ากันอย่างคึกคะนอง แต่พอเดินผ่านร้านขายน้ำ ปัทม์มองอย่างสนใจแล้วเดินแยกไป บอกเพื่อนๆให้เดินกันไป ตนจะแวะร้านนี้ก่อน

ป้าแป้นขายน้ำมือเป็นระวิงอยู่คนเดียว ปัทม์ยืนมองจนลูกค้าซาลงจึงถามป้าว่าทำคนเดียวเหนื่อยไหม ป้าบ่นว่าเหนื่อย ลูกๆหายหัวไปหมดไม่มาช่วยขายเลย ปัทม์ถามว่าป้ารับคนช่วยงานไหม

“ไอ้อยากน่ะก็อยาก แต่จะจ่ายให้แกเท่าไหร่ดี”

“แล้วแต่ป้าครับ ผมแค่อยากทำงานหาเงินช่วยครอบครัว” ป้าแป้นถามว่าเงินเล็กน้อยจะไปช่วยอะไรได้ “ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยครับ”

ป้าแป้นบอกงั้นทำเลย ทำยังไงก็ได้ให้คนมาซื้อน้ำ ปัทม์ดีใจมากเข้าไปช่วยป้าแป้นทันที หยิบเก้าอี้หลังร้าน คว้าขวดน้ำและไม้ข้างๆขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ เคาะขวดน้ำให้คนหันมองแล้วตะโกนเชิญชวน...

“น้ำจ้าน้ำ น้ำหวานน้ำเย็นดื่มแล้วชื่นใจ คนขายหน้าตาดี มาซื้อกันเร็วจ้า...”

ป้าแป้นยิ้มชอบใจถามว่าชื่ออะไร พอปัทม์บอกชื่อ ป้าก็บอกอย่างใจกว้างว่า

“ถ้าวันนี้ขายได้กำไรเยอะ ฉันจะแบ่งให้แกนอกเหนือจากค่าจ้าง”

ปัทม์กลับถึงบ้านเห็นแม่กำลังนั่งนับเงินที่ได้มาวันนี้ ปัทม์เดินเข้าไปหาบอกแม่อย่างภูมิใจว่า

“ผมไปช่วยป้าคนนึงขายน้ำที่งานวัดได้เงินมาไม่มากแต่ก็เป็นเงินที่ผมทำงานแลกมา ผมให้แม่”

“เงินของปัทม์ ปัทม์เก็บไว้ใช้สิ”

“ผมรักแม่นะ ผมอยากทำงานหาเงินเลี้ยงแม่”

“แม่ดีใจนะ แต่แม่ยังทำงานไหวอยู่ ปัทม์ทำงานเก็บเงินให้ตัวเองไว้ใช้เถอะ”

“ผมอยากให้แม่รู้ว่า ‘ผมเลี้ยงแม่’ ได้”

“ลูกทำให้แม่รู้สึกว่าชีวิตแม่มีความหมายมาก” ลินจงกอดปัทม์น้ำตาซึม

ooooooo

ที่งานวัดนี่เอง คืนนี้หนูตุ่นวัย 15 ปี ลูกสาวครูอัญ เดินมาซื้อน้ำเก๊กฮวยจากปัทม์ เร่งให้เร็วๆ พอรับน้ำจ่ายเงินแล้วหนูตุ่นก็แหวกผู้คนวิ่งไปยังซุ้มปาลูกโป่ง

ครู่หนึ่งพฤกษ์ลุงของหนูตุ่นเดินมาถามปัทม์ว่าเห็นหนูตุ่นไหม ปัทม์ชี้ว่าน้องไปเล่นทางโน้น ครูอัญเดินมาเห็นปัทม์ขายน้ำถามว่าปัทม์มาขายน้ำที่นี่เหรอ ปัทม์บอกว่า “หารายได้พิเศษครับ”

“ดีๆ ต่างจากเพื่อนๆเธอที่ไปจับกลุ่มแซวสาวแถวโน้น” ครูอัญชม พฤกษ์ถามว่าหนูตุ่นไปคนเดียวใช่ไหม “ครับ ท่าทางจะรีบมากเลย”

ครูอัญกับพฤกษ์ขอบใจปัทม์ แล้วรีบเดินไปตามหนูตุ่น พฤกษ์บ่นหนูตุ่นว่าโตเป็นสาวแล้วยังทำตัวเป็นเด็กๆอยู่เลย

พอครูอัญกับพฤกษ์เดินออกจากร้านขายน้ำก็ได้ยินเสียงร้องโวยวายจากซุ้มปาลูกโป่งว่านั่งร้านล้มทับคน! ปัทม์บอกป้าแป้นให้ดูร้านก่อนเดี๋ยวตนมาแล้ววิ่งอ้าวไปทันที ครูอัญกับพฤกษ์รีบวิ่งตามไปดู

ทั้งสามวิ่งไปถึงเห็นนั่งร้านที่ซุ้มปาลูกโป่งพังทับหนูตุ่นที่กำลังกระเสือกกระสนดึงตัวออกจากซากนั่งร้าน ครูอัญตะโกนให้ปัทม์ช่วยหนูตุ่นด้วย

ปัทม์รีบเข้าไปช่วยดึงหนูตุ่นออกมา แต่เจ้ากรรม! นั่งร้านพังลงมาอีกตัวเสียงครืนสนั่น ปัทม์บอกให้หนูตุ่นที่เพิ่งรอดจากนั่งร้านตัวแรกออกมาให้วิ่ง ปัทม์ช่วยประคองหนูตุ่นที่เจ็บขาพาไปมอบให้ครูอัญกับพฤกษ์แล้วปัทม์ก็เดินหายไปในกลุ่มคน กลับไปขายน้ำตามเดิม

“ปัทม์ แกนี่กล้ามากเลยนะที่เข้าไปช่วยหนูตุ่นแบบนั้น เกือบจะไม่รอดออกมาซะแล้ว” ป้าแป้นชม

“ผมเห็นแต่คนร้องให้คนช่วยแต่ไม่มีใครเข้าไปช่วย” พอดีครูอัญกับพฤกษ์พาหนูตุ่นมาที่ร้าน ปัทม์ถามหนูตุ่นดีขึ้นแล้วยัง แล้วตักน้ำจากโถให้แก้วหนึ่ง “เอ้า...แทนแก้วที่หล่นนะ”

หนูตุ่นไหว้ขอบคุณรับแก้วน้ำไปดื่ม ครูอัญขอบคุณปัทม์ที่ช่วยหนูตุ่น พฤกษ์บอกว่าเราปรึกษากันแล้ว เราอยากตอบแทนปัทม์ที่ช่วยหนูตุ่น ยื่นเงินให้บอกว่านี่เป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆ

ป้าแป้นรีบขอบคุณ แต่ปัทม์คืนเงินให้บอกว่า

ตนคงรับไว้ไม่ได้ ตนช่วยน้องเพราะต้องช่วยจริงๆ ครูอัญบอกว่าสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆครูอยากให้ ป้าแป้นก็ลุ้นว่าปัทม์อยากได้เงินไปช่วยครอบครัวไม่ใช่หรือ

“ขอบคุณครับ แต่เปลี่ยนจากให้เปล่าๆมาซื้อน้ำแทนเถอะครับครู...ผมตั้งใจแต่แรกแล้วว่าผมจะช่วยที่บ้านหาเงินจากการทำงาน ขอโทษด้วยนะครับครูที่ผมรับเงินนี้ไม่ได้จริงๆ”

ป้าแป้นจะรับแทน พฤกษ์บอกครูอัญว่าเราช่วยอุดหนุนเขาก็แล้วกัน ครูอัญขอบใจปัทม์อีกครั้งแล้วซื้อน้ำสามแก้วของครูอัญ พฤกษ์ที่เป็นพี่ชายและหนูตุ่น พอทั้งสามเดินไป ป้าแป้นบ่นว่า

“โอ๊ยยยย ไอ้นี่มันโง่หรือมันซื่อวะเนี่ย?”

ooooooo

คืนนี้ขณะปัทม์นอนอยู่ในบ้านเช่า ได้ยินเสียงแม่เข้ามา ท่าทางแม่เหนื่อยกว่าทุกวัน ลินจงขอไปอาบน้ำก่อน ปัทม์เห็นที่ปากแม่แตกและแขนมีรอยถูกกัด ถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น

“ลูกค้าขี้เมากลัดมันน่ะ”

ปัทม์สงสาร บ่นว่าแม่ต้องเจอลูกค้าทำร้ายบ่อยๆ แม่เลิกอาชีพนี้เถอะ ลินจงถามว่าเลิกแล้วแม่จะไปทำอะไรกิน ปัทม์ถามว่าแม่รู้ใช่ไหมว่าแม่ของแก้วเป็นซิฟิลิส

“มันไม่ดูแลป้องกันตัวเอง แม่ทำงานตั้งแต่ลูกยังไม่เกิดแม่ยังไม่เป็นอะไรเลย” ปัทม์บอกว่าตนเป็นห่วง ลินจงตัดบทว่า “แม่เหนื่อยมาก ขอนอนก่อนนะ”

ลินจงนอนแล้ว แต่ปัทม์เครียดสงสารแม่จนไม่อาจข่มตาหลับได้

ooooooo

วันต่อมามีเหตุที่ทำให้ชีวิตของปัทม์เปลี่ยนไป เมื่อบรรจบเพื่อนคนหนึ่งมาคุยอวดว่า

“กูเพิ่งไปขึ้นครูมา” ปัทม์ถามว่าตื่นเต้นไหม บรรจบบอกว่า “ก็งั้นๆ แต่กูตื่นเต้นที่รู้ว่าแม่มึงทำงานอยู่ที่นั่น” ปัทม์อึ้งถามว่าใครบอก “ก็ไอ้หมึกน่ะสิ มันไปกับกูแต่มันซวยเจอแม่มึง”

ปัทม์ทนฟังไม่ได้เดินหนี บรรจบตามจิกถามว่า “ตกลงใช่แม่มึงจริงๆใช่ไหม”

“ไม่ใช่” บรรจบบอกว่าตนจำได้ ปัทม์สวนทันทีว่า “มึงจำคนผิดแล้ว”

แต่พอกลางวันปัทม์เห็นเพื่อนๆมองตนแล้ว ซุบซิบกัน เขาถามบรรจบว่าบอกเรื่องแม่ตนทั้งโรงเรียนแล้วใช่ไหม บรรจบไม่ตอบแต่ทำท่าแบบช่วยไม่ได้ ซ้ำพูดให้บาดใจว่า

“กูเพิ่งเข้าใจว่าทำไมมึงไม่มีพ่อ ฮ่าๆๆ”

อ่านละคร ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ปัทม์ ตอนที่ 1 วันที่ 4 มี.ค.62

บทประพันธ์โดย บุรีวาด
บทโทรทัศน์โดย ณัฐ นวลแพง
กำกับการแสดงโดย ศุภฌา ครุฑนาค
ผลิตโดย บริษัท มาสเตอร์ วัน วิดีโอ โปรดักชั่น
ออกอากาศทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ