อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 7 วันที่ 16 มี.ค.62
อ้ายคำเสียใจกับการตัดสินใจของปัทม์แต่ไม่โกรธเพราะอยู่กันมาจนไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติแล้ว บอกว่าที่ตนด่าปัทม์ก็เพื่อให้เขาคิดให้ได้ว่าอะไรสำคัญที่สุดที่เขาต้องทำมิ่งถามว่าถ้าปัทม์จะขายที่จริงๆล่ะ เพราะแถวนี้มีนายทุนมากว้านซื้อที่ดินไปทำโรงงานมากขึ้นทุกวัน
“ถ้าไอ้ปัทม์มันจะทำอย่างนั้นจริง มันกับข้าต้องตายกันไปข้างนึง” อ้ายคำมองไปในไร่เครียด
เอ้พยายามหว่านล้อมให้กำลังใจปัทม์ ทั้งทำอาหารที่ปัทม์ชอบเพื่อจะได้กินข้าวลง แต่ปัทม์ก็ไม่กิน
“พี่ปัทม์...ถึงไม่มีน้าพรแล้วแต่พี่ยังมีเอ้ มีลุงคำ มีไอ้มิ่งนะ ทุกคนรักพี่แล้วก็รักไร่นี้เหมือนที่พี่กับน้าพรรัก เราเหมือนคนครอบครัวเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าพี่ทุกข์แล้วจะให้พวกเรามีความสุขได้ยังไง”
แต่ไม่ว่าเอ้จะพูดอย่างไร ปัทม์ก็ยังคงนิ่งจนเอ้ขอร้องว่าอย่าทำอย่างนี้เลย ปัทม์ก็ยังคงนิ่งจนเอ้น้ำตาไหล ลุกออกไป
ปัทม์เล่าเรื่องราวในเวลานั้นด้วยอารมณ์ที่ยังเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ จนนักข่าวพูดว่าดูเหมือนชีวิตเขาดิ่งลงจนกู่ไม่กลับ เหมือนเกิดขึ้นตอนที่คุณแม่เขาเสียใช่ไหม
ปัทม์บอกว่าใช่ แต่ครั้งนี้ไม่ได้รู้สึกอยากลาขาดจากโลก แต่รู้สึกไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่อยากทำอะไรเลย นักข่าวถามว่า “ถ้าไม่มีจุดเปลี่ยน คุณปัทม์จะทำอะไรกับไร่นั้นต่อไปคะ”
“ผมคงนั่งๆนอนๆอยู่ในไร่นั้นเป็นเดือนเป็นปีนะ”
“แล้วอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณกลับมาได้”
ปัทม์ยิ้ม เอื้อมไปกุมมือตรีชวากำแน่นแต่ไม่ตอบ นักข่าวจึงส่งสัญญาณให้ตรีชวาตอบแทน...
ตรีชวาเล่าว่า ตอนนั้นตนทำงานอยู่ที่สำนักพิมพ์ วันหนึ่งขณะกำลังทำงาน ได้รับโทรศัพท์จากแม่แจ้งเรื่องสมพร สองแม่ลูกไปที่เชียงรายทันที ทันสวดศพคืนที่ 4
ครูอัญแสดงความเสียใจกับปัทม์ บอกว่ามีอะไรให้ครูกับหนูตุ่นช่วยก็บอก ครูยินดี
ปัทม์ขอบคุณครูอัญและมองไปที่หนูตุ่น
“นั่นเป็นครั้งแรกในรอบเก้าปีที่ผมได้พบหนูตุ่นอีกครั้ง” ปัทม์บอกนักข่าวขณะที่ยังกุมมือตรีชวาไว้แน่น
ooooooo
คืนนี้เอง หลังพระสวดเสร็จและแขกทยอยกันกลับหมดแล้ว หนูตุ่นเจอปัทม์ทักด้วยท่าทีที่ยังเขิน ถามว่าสบายดีนะ อยู่ที่นี่มีความสุขไหม
ทั้งสองทักทายกันอย่างค่อนข้างเป็นทางการ ปัทม์ถามหนูตุ่นว่าทำอะไรอยู่ หนูตุ่นบอกว่าเรียนจบก็ไปทำงานอยู่สำนักพิมพ์ ปัทม์บอกว่าตนเขียนจดหมายไปหาหนูตุ่นแต่หนูตุ่นไม่ตอบ
หนูตุ่นบอกว่าไม่ได้อ่านจดหมาย ปัทม์ถามว่าทำไม หนูตุ่นบอกว่าไม่อยากอ่าน ปัทม์ถามว่ายังโกรธพี่อยู่หรือเปล่า หนูตุ่นบอกว่าถ้ายังรู้สึกอย่างนั้นอยู่ก็คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอก
ขณะนั้นเองรสสุคนธ์เข้ามาบอกปัทม์ว่าตนจะกลับแล้ว ปัทม์พยักหน้ารับรู้ รสสุคนธ์เดินไปงอนๆที่เขาทำเหมือนไม่สนใจ
พอดีครูอัญเดินเข้ามาชวนหนูตุ่นกลับ ปัทม์ถามว่าพักที่ไหน ชวนให้มาพักที่บ้านจะได้ไม่ต้องเช่าโรงแรม
คืนนี้ครูอัญกับหนูตุ่นจึงพักที่บ้านปัทม์ ครูอัญบอกหนูตุ่นว่าระหว่างพักที่นี่แม่อยากให้หนูตุ่นช่วยดูแลปัทม์หน่อย เพราะเมื่อกี๊คุยกับอ้ายคำ อ้ายคำบอกว่าตั้งแต่น้าสมพรเสียปัทม์ก็เอาแต่เก็บตัวไม่ให้คนเข้าไปในไร่ ไล่คนงานออกจากไร่ ใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ยอมคุยกับใคร
“จมอยู่กับความเสียใจ เหมือนตอนที่ป้าจงเสีย”
“ใช่ แม่ห่วงเขาจริงๆ”
คืนนี้หนูตุ่นจึงไปนั่งคุยกับปัทม์ที่นั่งซึมอยู่ที่ระเบียง ถามว่านี่พี่ปัทม์อยู่คนเดียวหรือแล้วคนอื่นล่ะ ปัทม์บอกว่าตนไล่ไปหมดแล้ว
“พี่ปัทม์ทำไมทำอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น ไม่คิดบ้างเหรอว่าคนที่เขารักเขาห่วงพี่จะรู้สึกยังไงที่เห็นพี่เป็นแบบนี้ เห็นแก่ตัว”
ปัทม์ตัดบทให้พอเถอะ ตนไม่เป็นอะไร
“พี่อย่าหลอกตัวเองเลย เวลาที่เราแย่ที่สุดในชีวิตเราก็ต้องการใครสักคนที่เข้าใจเรามาอยู่ข้างๆไม่ใช่เหรอ... รู้ไหมว่าตอนนี้หนูตุ่นทำอะไร”
“ทำอะไรล่ะ” ปัทม์ถามเหมือนไม่สนใจนัก
“ทำขนมขาย ก็ได้แรงบันดาลใจจากที่ป้าจงกับพี่ช่วยกันทำขายเมื่อหลายปีก่อนไง...รู้ไหมว่าสิ่งที่พี่ทำสร้างแรงบันดาลใจให้คนได้นะ”
“พี่จะไปเป็นแรงบันดาลใจให้ใครได้”
“ตอนนี้ดูเหมือนพี่จะไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ปล่อยให้ความเจ็บปวดมันทำลายความฝันในชีวิตของพี่ไปทีละน้อย...ทีละน้อย...รู้ไหม” ปัทม์บอกว่าตนไม่เหลือใครแล้ว หนูตุ่นย้ำว่า “พี่ยังเหลือความฝัน”
“พี่ไม่เคยมี”
“ไม่มีก็สร้างได้ค่ะ วันไหนฝันพังทลายก็สร้างใหม่ สร้างฝันของตัวเองขึ้นมาใหม่” ปัทม์บอกว่าตนทำไม่ได้หรอก “พี่ปัทม์ พี่อยู่กับปัจจุบันสิ มีอนาคตเป็นเป้าหมายที่จะพาปัจจุบันไป อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้วมันไม่มีทางย้อนกลับมา มันคือบทเรียน”
“พี่ต้องลืมแม่ลืมน้าพรใช่ไหม”
“พี่ไม่มีวันลืมใครได้หรอก แต่พี่ต้องเปลี่ยนความเศร้า ความสูญเสียมาเป็นแรงผลักดันให้ชีวิตตัวเองสิคะ พี่ปัทม์...พี่ลองให้เวลากับตัวเอง ถามตัวเองว่าต้องการอะไรในชีวิต ความต้องการมีได้ไม่จำกัดนะคะ ขึ้นอยู่กับมากหรือน้อย เร็วหรือช้า”
“ขอบคุณหนูตุ่นนะ” ปัทม์ยิ้มให้บางๆ แต่หนูตุ่นยิ้มกว้างดีใจมากที่ทำให้ปัทม์กลับมายิ้มได้อีกครั้ง
นักข่าวฟังตรีชวาเล่าเรื่องในอดีตแล้วพลอยยินดีด้วย ถามว่า
“หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีกคะ คุณตรีชวาทำอย่างไรให้คุณปัทม์ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้”
“พี่หาวิธีให้พี่ปัทม์ตั้งคำถามแล้วตอบตัวเอง เพื่อให้ชีวิตเขาเดินต่อได้ โดยวิธีง่ายๆ กระดาษแผ่นใหญ่กับดินสอสีดำเข้ม”
เมื่อปัทม์มีความหวังและได้อุปกรณ์ไปแล้ว ก็เขียนคำว่า “ต้องการ” จากนั้นก็เขียนความต้องการมากมาย เช่น มีธุรกิจของตัวเอง ทำน้ำสมุนไพร ขอโทษรสสุคนธ์ ขอโทษเอ้ ขอโทษอ้ายคำ ฯลฯ
ooooooo
เมื่อครูอัญกับหนูตุ่นกลับกรุงเทพฯ ปัทม์ก็เริ่มทำในสิ่งที่ต้องการมากมาย ก่อนอื่นขอโทษอ้ายคำ ขอให้อ้ายคำกลับมาทำงานที่ไร่อีก สัญญาว่าตนจะทำให้ไร่แห่งนี้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยมีลุง มิ่งและเอ้เหมือนเดิม
“เอาวะ ข้าจะกลับไปทำงานให้ก็แล้วกัน” อ้ายคำรับปากหลังจากเล่นตัวพอเป็นพิธี “ไร่นี้มันก็เหมือนลูกหลานข้าอยู่แล้ว ข้าดูแลมันตั้งแต่ยังเป็นกล้า ข้าทิ้งมันไม่ได้หรอก ขอบใจเอ็งเหมือนกันที่ให้ข้ากลับไป แต่เอ็งต้องไปคุยกับเอ้ว่ามันจะยอมกลับมารึเปล่า”
“ขอบคุณมากครับลุง แล้วเอ้อยู่ไหนครับ”
ปัทม์ไปขอโทษเอ้ แต่ไม่ทันพูดจบเอ้บอกให้พอเถอะตนไม่โกรธพี่หรอก เอ้ยื่นมือให้ปัทม์จับเป็นการยืนยัน ปัทม์ไม่จับมือแต่ลูบหัวเอ้อย่างเอ็นดู แล้วกอดคอชวนกันกลับไร่
รุ่งขึ้นบรรยากาศที่ไร่ทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม ทุกคนเตรียมอุปกรณ์การทำไร่พร้อมลุย
“ผมอยากให้ทุกคนสานฝันของน้าพรต่อไปนะครับ สมุนไพรของที่นี่จะช่วยเหลือให้ทุกคนที่นี่ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ...ในอนาคตผมไม่รู้ว่าจะต่อยอดทำอะไรกับสิ่งที่เรามีอยู่ในไร่ แต่แนวทางแบบที่น้าพรสร้างไว้ยังทำเหมือนเดิม คือปลูกสมุนไพรไว้กิน ไว้ใช้ เหลือก็แบ่งให้คนอื่น”
อ้ายคำบอกว่าขายด้วย เอ้เห็นด้วย มิ่งมองปัทม์เอ่ยอย่างสุดปลื้มว่า “นี่สิพี่ปัทม์ของผม”
“ผมฝากลุงดูแลด้วยนะครับ ไม่มีใครเชี่ยวชาญที่นี่มากไปกว่าลุงแล้ว”
“ได้เลยครับเจ้านาย” อ้ายคำทำท่าล้น รับคำแข็งขัน เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนก่อนไปลุยงานกัน
แล้วคืนนี้ปัทม์ก็บอกเอ้ว่าตนจะไปกรุงเทพฯ เอ้ถามเป็นชุดว่าไปทำอะไร ที่ไหน กับใคร ดักคอว่าไม่ใช่ไปเจอสาวๆแล้วไม่ยอมกลับมาที่ไร่นะ ปัทม์ทำเสียงดุว่าไร้สาระน่า ฝากดูแลบ้านด้วยก็แล้วกัน
เมื่อไปถึงบ้านครูอัญ ปัทม์ขอโทษลุงพฤกษ์ที่ไม่ได้มาเยี่ยมเลย และเอาสมุนไพรมาฝากพร้อมกับจดการใช้อย่างละเอียดเพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี เพราะถ้าสุขภาพกายดี สุขภาพใจก็ดีไปด้วย
“แล้วพี่ล่ะ ดีขึ้นแล้วหรือยัง” หนูตุ่นถามแซวๆ
“ค่อยๆดีขึ้นตั้งแต่เจอหนูตุ่นนี่แหละ”
หนูตุ่นยิ้มดีใจบอกว่าเดี๋ยวจะพาเที่ยวกรุงเทพฯ เพราะตอนนี้ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลย ลุงพฤกษ์แซวว่ากลัวจะพาไปหลงเสียมากกว่าเที่ยวน่ะสิ เลยพากันหัวเราะขำ
หนูตุ่นพาปัทม์ทัวร์กรุงเทพฯแล้วพาไปซื้อของช่วยเลือกเสื้อผ้าให้ พาไปกินอาหาร และพาไปซื้อแผ่นเสียงด้วย
กลับถึงบ้าน ครูอัญบอกว่าพอดีได้เวลาทานข้าวเย็นเลย พฤกษ์เปรยๆกับครูอัญว่าตั้งแต่ปัทม์กลับมาดูหนูตุ่นจะร่าเริงขึ้นนะ
“ตามติดปัทม์แจเลยแหละค่ะ” ครูอัญพูดพลางจัดอาหารเตรียมรออย่างมีความสุข
ooooooo
เมื่อทุกคนมาพร้อมกันที่โต๊ะอาหาร ครูอัญถามปัทม์ว่ามากรุงเทพฯเที่ยวนี้สนุกไหม ปัทม์บอกว่าเปลี่ยนไปมากเลย ดูวุ่นวายกว่าแต่ก่อนมาก
“ชีวิตคนกรุงเทพฯสมัยนี้มันไม่เรียบง่ายเหมือนสมัยก่อนหรอก ว่าแต่ที่มากรุงเทพฯคราวนี้ได้ไปทำธุระบ้างหรือยัง หรือหนูตุ่นตามติดจนไม่ได้ไปไหน” พฤกษ์ถาม
ปัทม์บอกว่าตั้งใจจะไปพรุ่งนี้ พฤกษ์ถามว่าทิ้งไร่มาอย่างนี้ไม่เสียหายหรือ ปัทม์ว่ามีลุงคำผู้ช่วยน้าพรคอยดูแลให้
“นี่แหละจ้ะ ที่โบราณเขาบอกไว้ว่า ‘เราจะเห็นน้ำใจคนก็ยามที่เราลำบาก’ นี่แหละ”
“ใช่ครับ ในช่วงที่ผมแย่ ผมมัวแต่จมอยู่กับความเสียใจจนมองข้ามความรักและความหวังดีของทุกคนไป แต่ทุกคนก็ไม่เคยทิ้งผมไปไหน”
“คิดได้ก็ดีแล้วจ้ะ พักเรื่องเครียดๆไว้ก่อน ทานข้าวกันดีกว่า” ครูอัญตัดบท ทุกคนจึงนั่งกินข้าวกันอย่างมีความสุข เป็นครอบครัวเหมือนอดีต...
ooooooo
คืนนี้หนูตุ่นถือกระดาษวาดเขียนแผ่นหนึ่งเข้ามาบอกปัทม์ที่มองสำรวจห้องทำงานหนูตุ่นที่บ้านว่า
“วันที่หนูตุ่นตื่นมาแล้วไม่เห็นพี่วันนั้นหนูตุ่นโกรธมากไม่คิดว่าพี่ปัทม์จะตัดสินใจไปแบบนั้น”
“พี่ขอโทษนะ” ปัทม์เอ่ย มองกระดาษในมือหนูตุ่นถามว่าอะไร “แบบร้านของหนูตุ่นที่กำลังจะสร้าง” ปัทม์ถามว่าร้านเบเกอรีหรือ หนูตุ่นตอบอย่างภูมิใจว่า “เป็นร้านขนมไทยค่ะ”
ปัทม์เห็นในกระดาษเขียนชื่อร้าน “ขนมไทยจงรัก” เขียนชื่อผู้ออกแบบว่า “อารักษ์” ปัทม์มองสงสัยว่าใครคืออารักษ์? หนูตุ่นถามว่าสวยจนอึ้งไปเลยหรือ
“ใช่ สวย ชื่อร้านก็ดูมีความหมายเป็นไทยดีนะและความหมายดี”
“หนูตุ่นตั้งชื่อตามคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้หนูตุ่นค่ะพี่ ป้าจงไงคะ” ปัทม์ขอบคุณแทนแม่ที่อย่างน้อยก็มีคนสานต่อสิ่งที่แม่ทำ “จำวันที่พี่ปัทม์ไล่หนูตุ่นออกจากบ้านหลังป้าจงเสียได้ไหม วันนั้นหนูตุ่นเสียใจมาก ไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากเห็นขนมไทยอีก แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว”
“ขอบคุณที่เข้าใจพี่ พี่เห็นหนูตุ่นสร้างร้านนี้ขึ้นมา ยิ่งทำให้พี่รู้สึกอยากทำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาบ้าง” พอหนูตุ่นถามว่าอะไร ปัทม์อำว่า “เป็นความลับ แน่ใจแล้วจะบอกหนูตุ่นเป็นคนแรกๆเลย”
“ขอบคุณนะคะพี่ มีอะไรให้หนูตุ่นช่วย พี่ปัทม์ต้องบอกเลยนะ หนูตุ่นยินดีช่วยเต็มที่เลย”
เช้าวันต่อมาปัทม์เตรียมออกข้างนอก บอกหนูตุ่นว่าจะไปหาเพื่อน หนูตุ่นคะยั้นคะยอจะไปส่งจนปัทม์ต้องยอม
พอหนูตุ่นขับรถไปถึงหน้าปากซอยบ้านรสสุคนธ์ปัทม์ขอลงตรงนี้ หนูตุ่นถามว่าจะให้มารับกลับไหม ปัทม์บอกไม่ต้อง หนูตุ่นไปทำงานเถอะ
หนูตุ่นจึงขับรถออกไป และปัทม์ก็ไปกดกริ่งเรียกที่ประตู ครู่เดียวรสสุคนธ์ก็ออกมาเปิดประตู
เป็นจังหวะที่หนูตุ่นกลับรถมาผ่านหน้าบ้านรสสุคนธ์ พอดี เห็นปัทม์กับรสสุคนธ์คุยกันก่อนเดินเข้าบ้าน
หนูตุ่นมองอย่างระแวงความสัมพันธ์ของปัทม์กับรสสุคนธ์ขึ้นมา...
รสสุคนธ์พาปัทม์เข้าไปนั่งคุยที่ห้องรับแขกในบ้านที่ตบแต่งทันสมัยอย่างคนเมือง ปัทม์ดูรูปครอบครัวที่ตั้งโชว์ ถามว่าพ่อกับแม่ไม่อยู่หรือ จึงรู้ ว่าเสียไปหลายปีแล้ว ไม่ได้ส่งข่าวเพราะตอนนั้นเราไม่ได้ติดต่อกัน
ปัทม์แสดงความเสียใจด้วย ชมว่ารสดูเข้มแข็งดี เธอถามว่าปัทม์มาทำอะไร มาอยู่กรุงเทพฯแล้วหรือ ปัทม์บอกว่ามาธุระสองสามวันเท่านั้น เธอถามทำไมไม่มาอยู่กรุงเทพฯเลยล่ะ ตนคิดถึงแย่เลย
“คิดถึงก็ขึ้นไปหาสิ”
“บ้า...รสต้องทำงานนะ ช่วงนี้งานที่ออฟฟิศหนักมาก” ปัทม์ถามว่าเธอทำตำแหน่งอะไรหรือ “เป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด แล้วก็เลขาประธาน แต่จริงๆแล้วจะเรียกว่าทำมันทุกอย่างก็ได้นะ จับฉ่ายไปหมด เพราะคนลาออกไปเยอะ”
รสสุคนธ์โมเมถามว่าปัทม์ตัดสินใจมาทำงานกับตนแล้วใช่ไหม คุยอวดว่ามีน้ำอัดลม TK ให้กินฟรีทุกวันเลยนะ ปัทม์บอกว่าตนไม่ค่อยชอบน้ำอัดลม
“คนเขาดื่มกันทั่วบ้านทั่วเมือง ขายได้ทั่วประเทศ ยิ่งยี่ห้อดังๆเขาขายกันไปทั่วโลกเลยนะ”
“ผมอยากรู้จริงๆเลย เขาทำยังไงมันถึงขายดีกันขนาดนั้น” รสสุคนธ์ชวนว่าอยากรู้ก็มาทำงานด้วยกันสิ “ผมคิดไว้แล้วนะรส ว่าผมจะทำอะไร” ปัทม์บอก เห็นรสสุคนธ์ทำหน้างอนก็ยิ้มอ้อน ชูนิ้วก้อยง้อ
ปัทม์เดินสำรวจตลาดออกมาถึงร้านขายของชำ มองในตู้แช่เห็นเต็มไปด้วยน้ำอัดลม นมกล่อง น้ำเก๊กฮวย เห็นกลุ่มนักเรียนเดินมาออกันเต็มหน้าร้านสั่งน้ำอัดลม บ้างกินจากขวด บ้างเอาไปกินระหว่างทาง เด็กๆกินน้ำอัดลมแล้วทำเสียง “อ้า...” อย่างชื่นใจ ปัทม์มองแล้วขำ
เจ้าของร้านถามปัทม์ว่าจะเอาอะไร ปัทม์บอกว่าเอาน้ำเปล่า เจ้าของร้านจึงเดินไปหยิบที่หลังบ้านมาให้ ปัทม์เห็นน้ำเก๊กฮวยในตู้แช่เลยสั่งน้ำเก๊กฮวยด้วย
พอดื่มน้ำเก๊กฮวยปัทม์บอกว่าหวานไปหน่อยถ้าลดหวานลงจะดีมาก เจ้าของร้านบอกว่าหวานน้อยก็ไม่มีคนกินสิ ปัทม์บอกว่าตนนี่แหละกิน เพราะหวานมากไปไม่ดี แทนที่สรรพคุณเป็นยาจะกลายเป็นโทษเอา
เป็นเรื่องเลย! เจ้าของร้านชักสีหน้าหาว่ามาด่าน้ำเก๊กฮวยร้านตน ไล่ไปให้พ้นอย่ามายืนบังหน้าร้านคนจะขายของ ปัทม์ส่ายหัวเดินขำๆออกไป
ooooooo
คืนนี้หนูตุ่นออกมาที่ระเบียงมองไปที่ห้องปัทม์เห็นกำลังนั่งเขียนอะไรง่วนอยู่ที่โต๊ะ ครูอัญเดินตาม ออกมาถามว่าปัทม์เป็นยังไงบ้าง หนูตุ่นบอกว่าดีขึ้นแล้ว ดูเหมือนกำลังคิดจะทำอะไรบางอย่างอยู่
ครูอัญบอกว่าปัทม์คนเดิมกลับมาแล้ว ถามว่าแล้วหนูตุ่นล่ะหายงอนพี่เขาหรือยัง หนูตุ่นบอกว่าดีกันแล้วมั้ง ครูอัญถามหยอกว่า “ยังจะมีมั้งอีกนะเรา”
“บางทีหนูก็ไม่รู้จะงอนพี่ปัทม์ไปทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซะหน่อย” เผลอพูดออกไปแล้วหนูตุ่นเฉไฉ “หนูว่าตอนนี้พี่ปัทม์เขามีคนที่เขาชอบอยู่แล้วล่ะค่ะ”
ครูอัญมองหนูตุ่นอย่างรู้ทัน ถามว่าคนที่เจอในงานศพหรือ แล้วลูกล่ะมีคนชอบหรือยัง พอหนูตุ่นบอกว่ามีแต่เพื่อน ครูอัญบอกว่ามีคนพิเศษเมื่อไหร่พามาให้แม่รู้จักบ้างนะ
“ให้แน่ใจจริงๆก่อนแล้วหนูตุ่นจะพามาให้รู้จักแม่เป็นคนแรกเลย”
“จ้า...” ครูอัญลากเสียงยาวล้อๆ
ooooooo
พอปัทม์กลับมาที่บ้านครูอัญ ตื่นแต่เช้าก็ต้มสมุนไพรหลายหม้อจนพฤกษ์ถามว่าจะทำขายหรือ ปัทม์บอกว่าคิดไว้เหมือนกัน เผื่อคนที่ไม่สะดวกต้มเองจะซื้อกิน
พอหนูตุ่นมาเห็น ปัทม์ก็เกณฑ์ให้มาชิมน้ำสมุนไพร หนูตุ่นโบ้ยให้ลุงพฤกษ์ชิมแทน พอชิมพฤกษ์ชมว่าไม่เลว ถ้าทำขายจริงๆนึกไม่ออกว่าจะรวยขนาดไหน
“ผมฝันไว้ว่า น้ำสมุนไพรของผมจะวางขายในตู้แช่ของร้านค้าทั่วประเทศ”
“แล้วใครจะไปส่งน้ำพวกนี้ล่ะ ลุงไม่ไหวหรอกนะ แค่กรุงเทพฯลุงก็ว่าเหนื่อยแล้ว”
“ผมคิดไว้ว่าจะลองทำขายในตลาดแถวๆไร่ก่อนครับ”
หนูตุ่นบอกปัทม์ว่าตนชอบฝันของพี่ปัทม์ที่อยากให้น้ำสมุนไพรไปอยู่ตามร้านค้าทั่วประเทศ ปัทม์พูดอย่างไม่จริงจังว่า ฝันไปงั้นแหละ
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ พี่ปัทม์ต้องเชื่อมั่นในความฝัน อนาคตใครจะรู้” ปัทม์บอกว่าตนไม่มั่นใจว่าจะทำได้ “พี่ปัทม์ลองตั้งโจทย์ให้ตัวเองดูสิ จะขายให้ใคร ขายที่ไหน ขายยังไง แล้วต้องทำยังไงให้คนอยากมากิน”
ปัทม์ฟังแล้วอึ้ง แซวว่าหนูตุ่นเหมือนแม่ขึ้นทุกวันแล้วนะเนี่ย ทำเอาหนูตุ่นยิ้มเขิน แต่ปัทม์ยิ้มเหมือนได้พลังเพิ่มความมั่นใจให้ตน
อ่านละคร ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ปัทม์ ตอนที่ 7 วันที่ 16 มี.ค.62
บทประพันธ์โดย บุรีวาดบทโทรทัศน์โดย ณัฐ นวลแพง
กำกับการแสดงโดย ศุภฌา ครุฑนาค
ผลิตโดย บริษัท มาสเตอร์ วัน วิดีโอ โปรดักชั่น
ออกอากาศทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ