อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 6 วันที่ 15 มี.ค.62

อ่านละคร ปัทม์ ตอนที่ 6 วันที่ 15 มี.ค.62

สมพรพาปัทม์ไปใช้โทรศัพท์ในร้านขายของชำในตัวเมือง พอโทร.ติดปัทม์ขอสายครูอัญต่างตื่นเต้นมากที่ห่างกันถึงเชียงรายแต่เสียงพูดเหมือนนั่งคุยกันอยู่ตรงหน้า

ถามไถ่กันแล้วครูอัญถามว่าจะคุยกับหนูตุ่นไหม ปัทม์รีบบอกว่าคุย แต่พอครูอัญไปบอกหนูตุ่น หนูตุ่นบอกแม่ว่าตนไม่ว่าง แล้วลุกเดินออกจากบ้านไปเลย

ครูอัญกลับมาบอกปัทม์ว่าหนูตุ่นออกจากบ้านไปแล้ว ปัทม์คาดว่าหนูตุ่นคงยังไม่หายโกรธตน



“ตามที่บอกไปในจดหมายนั่นแหละ”

“ตอนนั้นถ้าผมบอก หนูตุ่นคงไม่ให้ผมมาที่เชียงรายหรอกครับ แต่จริงๆผมควรต้องบอกน้อง”

“ช่างเถอะปัทม์ ครูว่าเดี๋ยวหนูตุ่นเขาก็ลืมไปเอง”

พอปัทม์วางสายจากครูอัญสีหน้าเขาผิดหวังมาก สมพรเดินมาหาถามว่าเกิดอะไรขึ้น ปัทม์บอกว่าไม่มีอะไร สมพรจึงบอกเจ้าของร้านให้หมุนเบอร์ตะกี้ให้อีกที

ooooooo

ผ่านไป 4–5 เดือน หนูตุ่นคว้ากระเป๋าจะไปมหาวิทยาลัย กระเป๋าเหวี่ยงไปถูกกล่องจดหมายหล่น จดหมายในกล่องกระจายเต็มพื้น หนูตุ่นมองจดหมายอย่างครุ่นคิด ตัดสินใจหยิบขึ้นเปิดอ่าน...

พออ่านฉบับแรกก็ทำให้ต้องหยิบฉบับต่อๆไปมาอ่าน จนจดหมายที่อ่านแล้วกองอยู่เกือบ 10 ฉบับ หนูตุ่นว้าวุ่นใจ ใจวนเวียนอยู่แต่กับข้อความในจดหมายจนน้ำตาซึมและร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร

เพื่อนๆทักว่าระยะหลังมานี่หนูตุ่นไม่ค่อยยิ้ม ถามว่าเรื่องพี่ปัทม์ใช่ไหม ตกลงสองคนเป็นอะไรกันแน่ หนูตุ่นย้อนถามว่าทำไมต้องอยากรู้กันขนาดนั้น ตัดบทว่าตอนนี้เขาเรียนจบแล้วและไปทำงานอย่างที่เขาอยากทำ เพื่อนถามว่าเสียใจหรือโกรธ?

“ฉันเสียใจที่เขาตัดสินใจไปอยู่ที่นั่น และก็โกรธเพราะเขาไปโดยไม่ลาเลยซักคำ”

“นั่นไง เพราะแกรู้สึกรักเขาไง” หนูตุ่นปรามว่าอย่าทำเป็นหมอดูหน่อยเลย “โถ...ถามใจแกดูดีกว่าไหม”

“เฮ้อ...จะให้ฉันกับพี่ปัทม์เป็นแฟนกันให้ได้ใช่ไหม แกไม่เชื่อรึไงว่าคนที่สนิทกันขนาดนี้จะรักกันแบบพี่น้องได้” พูดแล้วหนูตุ่นเดินไปเลย แต่เพื่อนก็ยังตะโกนไล่หลังมาว่า

“แกหลอกคนอื่นได้ แต่แกหลอกใจตัวเองไม่ได้หรอกนะ”

เวลานั้นหนูตุ่นส่ายหัวเดินไปอย่างไม่สนใจคำแซวของเพื่อนๆ

แต่วันนี้...หนูตุ่นในอดีตหรือคุณตรีชวาปัจจุบันที่นั่งเคียงข้างปัมท์ในวัยใกล้เคียงกัน พูดถึงความรู้สึกในตอนนั้นว่า คิดว่าไม่อยากเจอพี่ปัทม์อีกแล้วเพราะตัวเองก็รู้สึกเจ็บอยู่แล้วยังมีคนมาซ้ำเติมอีก

“แต่ถ้าตอนนั้นพี่กลับมาขอโทษ เราสองคนอาจจะไม่ได้เป็นอย่างนี้ก็ได้นะ” ปัทม์พูดอย่างมีความสุขว่า “สิบกว่าปีที่เราไม่เจอกัน ทำให้เรามีกันและกันวันนี้เนอะ”

“ต้องไปถามตัวเองว่ามันยากแค่ไหนกับการที่จะมาขอโทษต่อหน้า ลูกผู้ชายเสียเปล่า”

“ต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะเข้าใจคำว่า ลูกผู้ชาย...พี่ขอโทษนะ”

“ถึงตอนนี้ พี่ปัทม์ตัดสินใจถูกต้องแล้วที่เลือกจะไปอยู่เชียงรายค่ะ”

กลายเป็นปัทม์กับตรีชวาช่วยกันเล่าและคุยกันเองถึงเรื่องราวในอดีตกันอย่างมีความสุข

ooooooo

ปัทม์ในวัยหนุ่ม ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำสวนสมุนไพรกับน้าพร จากที่เคยปลูกสมุนไพรในกระถาง อ้ายคำก็สอนให้ขุดดินทำสวนสมุนไพรจนเหงื่ออาบมือแตกก็ไม่ย่อท้อ

ส่วนน้าพรก็ต้มสมุนไพรเป็นน้ำดื่มบำรุงให้ดื่มกันและให้กำลังใจ น้าพรยังคุยถึงหนูตุ่นกับรสสุคนธ์ผู้หญิงสองคนที่ปัทม์ใกล้ชิดสนิทสนม ปัทม์บอกว่าหนูตุ่นนั้นเหมือนน้องและรสสุคนธ์ก็คือเพื่อนสนิท

“ปัทม์มีปัญหากับผู้หญิงสองคนที่เลิกติดต่อกับปัทม์ เพราะปัทม์เลือกที่จะมาอยู่กับน้าที่นี่ ปัทม์กลับไปอยู่กรุงเทพฯดีกว่าไหม น้าไม่อยากให้ปัทม์ต้องเสียเพื่อนเสียน้อง”

“น้าพรครับ บุญคุณที่น้าพรดูแลผมกับแม่ ยังไงผมก็ต้องตอบแทนน้าตามความตั้งใจของแม่ที่เคยบอกผมไว้”

“น้าเข้าใจ แต่ปัทม์ก็ต้องมีทางเลือกในชีวิตของปัทม์เองไม่ใช่เหรอ”

“น้าพรครับ ที่ผมยืนอยู่ตรงนี้ไงครับ คือที่ที่ผมเลือกแล้ว”

“ขอบใจนะปัทม์...”

สมพรน้ำตาคลอโผเข้ากอดปัทม์ด้วยความซึ้งใจ

ฝ่ายหนูตุ่นเลือกที่จะไม่ตอบจดหมายและพูดคุยกับปัทม์ มุ่งมั่นทำขนมที่เรียนรู้จากลินจงอย่างจริงจัง แต่ปัทม์ก็ได้รู้เรื่องราวของหนูตุ่นจากครูอัญ ปัทม์เล่าว่า

“ครูอัญบอกว่า ตั้งแต่ผมไปอยู่เชียงราย หนูตุ่นเอาจริงเอาจังกับการทำขนมจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่หนูตุ่นขาดไม่ได้ หนูตุ่นตัดสินใจทำขนมขายโดยยังคงใช้ชื่อร้านเดิมคือชื่อแม่ผม แล้วก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผมอยากชิมฝีมือของหนูตุ่นมาก แต่ไม่มีโอกาส หรือจริงๆผมนั่นแหละเป็นคนตัดโอกาส...”

“ส่วนรสสุคนธ์ ผมได้ข่าวว่าเธอพบรักกับคนที่ทำงาน เราไม่ได้เจอกันอีกเลย ผมเสียใจนะ แต่การที่ผมมาไกลจากที่ที่เคยอยู่ มันทำให้ผมเห็นอารมณ์ตัวเอง และผมก็รู้ว่ารสสุคนธ์เป็นผู้หญิงคนแรกที่ผมชอบ”

“ส่วนผม ผมก็ใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ที่ไร่กับน้าพร ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นั่น ผมปลูกต้นไม้ทุกวัน...”

ooooooo

จน 9 ปีต่อมา...ในปี พ.ศ.2528 ต้นไม้ที่ปัทม์ปลูกเจริญงอกงามจนเขียวครึ้มร่มรื่นไปทั้งไร่ ที่ไร่น้าพรนอกจากอ้ายคำแล้วยังมีมิ่งหลานชายกำพร้าที่อ้ายคำเลี้ยงดูจนโตและเอ้หลานสาวลูกครึ่งหน้าฝรั่งแต่พูดฝรั่งไม่ได้สักคำมาอยู่ด้วย

มิ่งเป็นคนซื่อและขยันมาก ส่วนเอ้เป็นเด็กสาวที่ไม่สวยแต่มีเสน่ห์ มาช่วยสมพรทำสวนสมุนไพรเพราะมีแรงดึงดูดใจจากปัทม์หนุ่มหน้าเข้มผิวกร้านที่ขลุกอยู่กับสวนสมุนไพรทั้งวัน

ปัทม์เล่าถึง 9 ปีที่อยู่ทำสวนสมุนไพรว่า

“9 ปีที่อยู่ที่นั่น หลายสิ่งเปลี่ยนไป โดยเฉพาะน้าพร...สุขภาพของน้าพรดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตลอดระยะเวลา 9 ปีที่อยู่ที่นั่น ผมแทบไม่เคยเห็นน้าพรป่วยเลย น้าพรใช้ชีวิตเรียบง่ายตามวิถีธรรมชาติ ปลูกผักกินเองแล้วก็มีอ้ายคำกับหลานๆแกมาช่วยทำให้ไร่แห่งนั้นมีชีวิต มันมีค่ามากกว่าทองคำอย่างที่น้าพรเคยบอกจริงๆ”

สมพรไม่เพียงใช้สมุนไพรรักษาสุขภาพของตัวเองและคนในไร่เท่านั้น ยังแจกจ่ายและดูแลรักษาชาวไร่ใกล้เคียงจนหายเจ็บป่วย นับวันก็ได้รับความเชื่อถือและเป็นที่พึ่งพาของชาวบ้านแถวนั้น

นอกจากต้มแจก ปลูกแจกแล้ว สมพรยังเผยแพร่ความรู้และสรรพคุณสมุนไพรต่างๆแก่ชาวบ้านให้ดูแลตัวเองตามวิถีธรรมชาติ จนปัทม์เอ่ยปากชื่นชมว่า

“น้าเป็นเหมือนหมอสมุนไพรของคนที่นี่จริงๆ”

“เรากินแล้วดี เราก็ช่วยบอกต่อ เพื่อให้คนเขาหายจากโรคภัยไข้เจ็บ มีสุขภาพแข็งแรง น้าว่านี่มันเป็นบุญเยอะนะ” ปัทม์บอกว่าตนอยากมีความรู้ได้สักครึ่งของน้าจริงๆ “วันนึงปัทม์จะรู้และเข้าใจลึกซึ้งกว่าน้าถ้าปัทม์ไม่ทิ้งมัน”

“ผมคงไม่ทิ้งหรอกครับ” ปัทม์ตอบอย่างมุ่งมั่น

ooooooo

วันนี้ขณะอ้ายคำปั่นจักรยานร้องเพลงตามประสาของแกอย่างมีความสุข โดยมีมิ่งซ้อนท้ายมาตามทาง ก็เจอรถหรูคันหนึ่งตะบึงมาฝุ่นตลบ อ้ายคำหลบข้างทางจนเสียหลัก จักรยานล้มทั้งลุงหลานลงไปคลุกฝุ่น

พอลุกขึ้นได้ อ้ายคำกับมิ่งก็ปั่นจักรยานตามไปอย่างอยากรู้ว่าเป็นใครแต่ไม่ทัน

รถคันนั้นขับมาถึงไร่สมพร ก็หักพุ่งเข้าไปในไร่อย่างมั่นใจ

รสสุคนธ์นั่นเอง!

รสสุคนธ์ถามหาปัทม์ เอ้จึงไปตามให้ พอมาเห็นหน้า ปัทม์จำเกือบไม่ได้ถามว่า

“รสสุคนธ์ใช่ไหม...ไม่น่าเชื่อว่าเป็นรสจริงๆด้วย”

ปัทม์แนะนำให้เอ้กับรสสุคนธ์รู้จักกัน บอกให้เอ้ไปเตรียมน้ำกระเจี๊ยบให้พี่เขาด้วยแล้วเดินคุยไปกับรสสุคนธ์อย่างสนิทสนม เอ้ยืนเหวอ แปลกใจที่มีหญิงสาวสวยมาหาปัทม์ถึงที่นี่ ซ้ำยังดูสนิทสนมกันมากด้วย

ปัทม์พารสสุคนธ์ชมสวนสมุนไพร เธอถามทึ่งว่าไม่เจอกันนานมากไม่น่าเชื่อว่าปัทม์จะทำได้ขนาดนี้ ปัทม์บอกว่าเป็นความต้องการของน้าพร ส่วนตนก็เรียนรู้แบบครูพักลักจำ แล้วถามว่าเธอยังทำงานที่เดิมหรือเปล่า รสสุคนธ์บอกว่าเปลี่ยนมาหลายที่แล้วแต่ตอนนี้ทำอยู่บริษัทน้ำอัดลม

ปัทม์ถามว่าแล้วรู้ที่อยู่ตนได้ยังไง เธอบอกว่าไม่ยากถ้าตนตั้งใจจะหา พลางเอาของฝากให้

“ขอบคุณรสมากที่คิดถึงกัน อุตส่าห์ขับรถมาจากกรุงเทพฯ”

“รสไม่เคยลืมปัทม์เลยนะ”

“เพื่อนกันจะลืมได้ไงล่ะ”

“เพื่อนเหรอ??” รสสุคนธ์ถามเสียงสูง แล้วสบตากันเป็นนัยๆ

ทั้งสองเดินคุยกันหนุงหนิงในสวนสมุนไพร

อ้ายคำกับมิ่งกลับมาถึงบ้านเห็นรถจึงรู้จากสมพรว่าเป็นรถของเพื่อนปัทม์มาจากกรุงเทพฯ อ้ายคำเลยบ่นว่าคนเมืองกรุงมันขับรถกันอย่างนี้เหรอ

พอดีปัทม์กับรสสุคนธ์กลับมา ปัทม์ถามว่าโวยวายอะไรกัน อ้ายคำบอกว่าเพื่อนปัทม์น่ะสิทำกับลุงขนาดนี้ รสสุคนธ์รีบขอโทษบอกว่าตนไม่ได้ตั้งใจ ขอโทษไม่พอยังจะทำพิธีขอขมาด้วย

“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกหนู อ้ายคำหายโมโหแล้ว” สมพรเอ่ยขึ้น

“ยัง!” อ้ายคำเสียงแข็งแล้วหันเดินหนีแต่แอบยิ้ม รสสุคนธ์มองตามงงๆ

เอ้เอาน้ำกระเจี๊ยบมาให้รสสุคนธ์ตามที่ปัทม์บอก พอดื่มเธอชมว่ารสชาติดี กลมกล่อมมาก พอปัทม์บอกว่าตนทำเองก็ชมว่า “เก่งอ่ะ น่าจะทำขายนะ”

สมพรเลยให้ลองชิมน้ำอัญชันผสมมะนาวของน้าบ้าง รสสุคนธ์ชิมแล้วชมว่ารสดีมากเลย

ปัทม์ถามว่าเธอพักที่ไหน รสสุคนธ์บอกว่าพักที่โรงแรมในตัวเมือง

“จะต้องไปพักโรงแรมทำไมกัน มานอนที่นี่เลยจะอยู่กี่วันก็แล้วแต่หนูเลย” สมพรชวน เธอบอกว่าเกรงใจ “คราวหลังมาก็ไม่ต้องเปลืองเงินไปพักที่โรงแรมหรอกจ้ะ มาพักที่นี่ก็ได้”

ปัทม์ถามว่าอยู่หลายวันหรือเปล่า รสสุคนธ์ทำเป็นหยอกว่า

“อยู่จนกว่าปัทม์จะไล่เลยดีไหม” ปัทม์อุบอิบว่าใครจะไปไล่ “ล้อเล่นน่ะ รสต้องกลับไปทำงานเหมือนกัน คงจะอยู่สักอาทิตย์นึง”

ปัทม์กับรสสุคนธ์ต่างคุยกันเคอะเขิน สมพรเห็นแล้วแอบยิ้ม ส่วนอ้ายคำกับมิ่งและเอ้แอบดูอยู่อีกมุม อ้ายคำฟันธงว่า “ลุงยืนยันว่าเขาเป็นแฟนกันแน่” มิ่งบ่นว่าไม่เหมาะสมกันเลย อ้ายคำถามว่าไม่เหมาะยังไง มิ่งบอกว่าพี่รสดูสวยแต่รู้สึกจะเยอะไปหน่อย ซึ่งตรงกันข้ามกับพี่ปัทม์ที่ดูทื่อๆ เอ้บ่นแทรกว่า

“แล้วยังอยู่อีกตั้งหลายวัน”

“เอ้เอ๊ย...ลุงเข้าใจเอ็งนะ ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งเจ็บ” เอ้ถามหน้าตายว่าลุงพูดอะไรตนไม่เข้าใจ

“แหมพี่เอ้...พวกเรารู้กันหมดแล้วว่าพี่เอ้แอบชอบใครอยู่” มิ่งแทรกขึ้น

“บ้า อย่างพี่น่ะเหรอจะมีเวลาไปชอบใคร” เอ้ด่าแก้เขินแล้วเดินหนีไป

สายวันนี้เอง ปัทม์กับรสสุคนธ์จะเข้าเมือง สมพรจะไปซื้อของใช้ที่ตลาดด้วย ปัทม์ถามเอ้ว่าอยากได้อะไรไหมเดี๋ยวจะซื้อมาให้ เอ้ส่ายหน้าจ๋อยๆมองทั้งหมดขึ้นรถไปใจห่อเหี่ยว

พอไปถึงตลาด สมพรบอกปัทม์กับรสสุคนธ์ว่า

“เดี๋ยวน้าจะไปดูของก่อน ปัทม์ก็พาหนูรสไปเดินเล่นแล้วกัน หนูรสจะได้ไม่เบื่อ แล้วเดี๋ยวสักครึ่งชั่วโมงค่อยกลับมาเจอกัน”

“ครับ”

ปัทม์กับรสสุคนธ์แยกไปอีกทาง สมพรกำลังจะข้ามถนนนึกอะไรได้หันมาเรียกปัทม์

“เอ้อ...ปัทม์ น้าฝาก...”

ปัทม์กับรสสุคนธ์หันกลับมามอง ทันใดนั้นมีรถเก๋งพุ่งเข้าชนสมพรอย่างจังจนล้มไปต่อหน้าต่อตา ทั้งสองตกใจสุดขีดร้องสุดเสียง...

“น้าพร!!”

ooooooo

สมพรหัวกระแทกพื้นอย่างแรง หัวแตกเลือดคั่งในสมอง พอถึงห้องฉุกเฉินปัทม์กับรสสุคนธ์เฝ้าอยู่ หน้าห้อง

ปัทม์เล่าถึงสถานการณ์ตอนนั้นว่า...

“เป็นอีกครั้งในชีวิตที่ผมต้องเผชิญวิกฤตินับจากวันที่แม่ผมเสีย...สถานการณ์ของน้าพรตอนนั้นเป็นตายเท่ากัน และไม่มีใครรับประกันได้ว่า เมื่อฟื้นแล้วจะกลับมาเป็นปกติหรือไม่”

นักข่าวถามถึงอาการหลังผ่าตัด ปัทม์บอกว่าน้าพรก็ยังไม่ฟื้น มีอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง อาการทรุดลงจนน่าเป็นห่วง...

“ผมนั่งเฝ้าน้าพรท่ามกลางความเงียบมาสองวัน ผมอยากให้น้าพรรู้ว่าผมยังอยู่เคียงข้างน้าพรเสมอ...”

ปัทม์เล่าว่าตนกับรสสุคนธ์จุดธูปไหว้ศาลพระภูมิในบริเวณโรงพยาบาลทั้งที่ “ผมไม่ค่อยเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรในโลกง่ายๆ แต่เวลานั้น ผมทำทุกทางเพื่อที่จะพาน้าพรคนเดิมกลับบ้าน”

ปัทม์บอกรสสุคนธ์ที่เฝ้าน้าพรด้วยกันเวลานั้นว่า

“ถ้าน้าพรหาย ผมจะบวช...ผมไม่เคยบวชเลยไม่เคยได้ทดแทนบุญคุณคนที่เลี้ยงดู คนที่มีพระคุณกับผมเลย...”

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เอ้ก็วิ่งหน้าตาตื่นตกใจมาบอกว่า “พี่ปัทม์...น้าพร...” ปัทม์วิ่งตามเอ้ไปที่ห้องคนไข้ทันที แต่พอมาถึงปัทม์ก็เข่าอ่อน เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่กำลังดึงผ้าคลุมปิดหน้าสมพรที่นอนบนเตียง

“คนไข้ไม่มีอาการตอบสนองแล้ว เสียใจด้วยครับ” หมอบอก

ปัทม์โผกอดร่างน้าพรร้องไห้ รสสุคนธ์ยืนมองปัทม์ด้วยความสงสาร...

ปัทม์พูดถึงความรู้สึกที่สูญเสียว่า...

“วินาทีนั้นเรี่ยวแรงผมแทบจะหมดไป น้าพร ผู้หญิงที่มีพระคุณในชีวิตของผมอีกคนหนึ่งได้จากไปอย่างสงบ ภาพของน้าพรจะอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไป...”

ในคืนสวดที่ศาลาวัด หน้าโลงศพประดับด้วยดอกไม้และรูปสมพร อ้ายคำกับมิ่งช่วยกันต้อนรับแขกที่มาในงาน เอ้คอยจุดธูปให้แขกไหว้ศพ

รสสุคนธ์มาถามหาปัทม์ อ้ายคำบอกว่าตนไม่เห็นเหมือนกัน พอมาถึงวัดก็หายไปเลย มิ่งถามว่าอยู่หน้าวัดหรือเปล่า เห็นนั่งอยู่นานแล้ว

ปัทม์นั่งอยู่หน้าวัดจริงๆ เขานั่งหมดอาลัยตายอยากอย่างเดียวดาย...

ปัทม์เล่าถึงอาการของตัวเองเวลานั้นว่า

“ตลอด 9 ปีที่มาอยู่ที่ไร่ ผมทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความฝันของน้าพร หลังจากน้าพรเสียไป ผมเริ่มไม่รู้ว่าแต่ละวันผมต้องทำอะไรและทำไปทำไม ตอนนั้นผมมีอาการที่เรียกว่า เสียศูนย์”

รสสุคนธ์ตามไปเจอ ปลอบและให้กำลังใจปัทม์ว่าตนรู้ว่าเขาเสียใจ แต่เราต้องมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน อดีตมันผ่านไปแล้ว กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ปัจจุบันจะเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา พยายามพูดให้เห็นว่า

“ปัทม์ยังมีอนาคต ยังมีไร่ที่ต้องดูแล ชีวิตมันต้องก้าวต่อไป รสเชื่อว่าปัทม์ก็ต้องผ่านมันไปได้...ยังไงรสจะคอยเป็นกำลังใจให้”

ปัทม์นิ่งไม่ตอบ รสสุคนธ์บอกว่าถ้าอยู่ที่นี่แล้วไม่สบายใจไปทำงานที่กรุงเทพฯไหม ย้ำอบอุ่นว่า

“รสอยากให้ปัทม์รู้ไว้นะ ไม่ว่ายังไงรสก็จะอยู่ข้างปัทม์เสมอ”

วันนั้น...ปัทม์บอกเธอให้กลับไปเสีย ตนอยากอยู่คนเดียว แต่วันนี้...ปัทม์พูดอย่างรู้สึกผิดว่า...

 “เป็นอีกครั้งที่ผมทำลายความหวังดีของรสสุคนธ์ที่มีต่อผม ไม่เพียงแต่รสสุคนธ์เท่านั้นที่เจออาการ ‘เสียศูนย์’ ของผม แต่ทุกคนที่นั่นล้วนโดนลูกหลงตามไปด้วย”

ปัทม์ยกตัวอย่างอ้ายคำ เอ้และมิ่ง อ้ายคำถามว่าหลังจากนี้เขาจะเอาอย่างไรต่อ เขาบอกว่าจะเลิกทำทุกอย่าง อ้ายคำเตือนสติว่าไร่นี้สมพรสร้างมากับมือนะ ปัทม์ตัดบทว่าไม่มีน้าพรแล้วตนก็ไม่รู้จะทำไปทำไม ทางเดียวที่ตนจะลืมได้ก็คือต้องหยุดทุกอย่างที่นี่ บอกทุกคนให้กลับไปเสีย ตนอยากอยู่คนเดียว

แม้จะโมโหแต่อ้ายคำก็เตือนสติและดักคอปัทม์ว่า สมพรตายพวกตนก็เสียใจไม่น้อยไปกว่าเขา แต่ที่บอกว่าจะหยุดทุกอย่าง ความจริงอยากจะเอาที่ไปขายใช่ไหม

“ที่ของผม ผมจะทำอะไรก็ได้ พวกลุงจะไปไหนก็ไป” ปัทม์เสียงแข็ง

“ถ้ารู้แบบนี้ ตอนนั้นข้าน่าจะบอกนังพรไม่ให้โอนที่ให้เอ็ง เสียใจโว้ยยย เสียนังพรแล้วยังต้องมาเสียท่าให้เด็กเมื่อวานซืน”

“ออกไป”

“ไม่ต้องมาไล่หรอก ข้าไปแน่ ที่ของเอ็ง อยากทำอะไรก็เชิญ”

อ้ายคำเดินออกไปทันที ปัทม์เดินขึ้นบ้าน มิ่งหน้าเศร้าปลีกตัวไป เอ้ตามไปบอกว่าปัทม์คงเสียใจเลยตัดสินใจอย่างนั้น บอกมิ่งว่าต้องให้เวลาหน่อย ตนเชื่อว่ายังไงพี่ปัทม์ก็ต้องไม่ทิ้งเรา

ปัทม์บอกนักข่าวที่มาสัมภาษณ์ว่า เวลานั้นตนรู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนกับว่าไม่เหลือใครแล้ว...เสียศูนย์แม้แต่กับชาวบ้านที่มาขอแบ่งสมุนไพรไปต้มกินก็ถูกปฏิเสธ กระทั่งลากแผงไม้มาปิดทางเข้าไร่เลย

ooooooo

อ่านละคร ซีรีส์ลูกผู้ชาย เรื่อง ปัทม์ ตอนที่ 6 วันที่ 15 มี.ค.62

บทประพันธ์โดย บุรีวาด
บทโทรทัศน์โดย ณัฐ นวลแพง
กำกับการแสดงโดย ศุภฌา ครุฑนาค
ผลิตโดย บริษัท มาสเตอร์ วัน วิดีโอ โปรดักชั่น
ออกอากาศทาง ไทยทีวีสีช่อง 3
ที่มา ไทยรัฐ