อ่านละครเรื่อง สุสานคนเป็น ตอนที่ 4/2
“น้าชีพมีอะไรคะ”“ทบทวนข้อเสนอของน้าหรือยัง”
“เรื่องอะไรคะ ษาลืมมันไปแล้วค่ะ”
“คนสวยๆ อย่างษา ไม่น่าโง่เลย...ทำแบบนี้จะทำให้ษาเสียโอกาสนะ”
“ต้องเนรคุณปลิ้นปล้อนใช่มั้ยคะ ถึงจะเป็นคนฉลาด”
“ษาคิดว่าไอ้ธารินทร์มันจะเลี้ยงดูษาได้เหรอ...เงินเดือนแค่นั้น ทำไมษาไม่อยากมีชีวิตที่สุขสบายเหรอ น้าบอกแล้วไงว่ารสสุคนธ์ก็แค่ของเล่น อารมณ์ชั่ววูบ...ไม่ใช่รักจริงอย่างที่น้าคิดต่อษามาตลอด”
ชีพเดินเข้าหา อุษาเบี่ยงตัวหลบ ชีพเสียหลักล้มลงไป
“ตอนที่คุณน้าลั่นทมยังมีชีวิตอยู่ ทำไมน้าชีพถึงไม่เผยสันดานเถื่อนแบบนี้ให้คุณน้าได้รู้ล่ะคะ คุณน้าจะได้ตาสว่างไม่ต้องตายแบบนี้...ษาเกลียดน้าชีพ...ษาเกลียด อย่ามายุ่งกับษาอีก”
ชีพพยุงตัวลุกขึ้น มองตามเงาร่างของอุษาไปด้วยสายตาแค้นๆ
ตอนเช้ามืด ที่ห้องนอนลั่นทม รสสุคนธ์นอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงของลั่นทม มือของลั่นทมค่อยๆ ยื่นมาปลุกเบาๆ แล้วมือนั้นก็เลือนหายไป รสสุคนธ์หลับตายิ้มอย่างมีความสุข คิดว่าเป็นชีพ
“จะรีบไปไหนแต่เช้ามืดคะรสยังนอนไม่อิ่มเลย”
รสสุคนธ์ลืมตาลุกขึ้นนั่งงัวเงีย ไม่มีชีพในห้อง “ชีพ...ชีพ”
รสสุคนธ์เห็นประตูห้องน้ำปิดอยู่ ก็วิ่งมาเคาะเรียก “ชีพ...ชีพคะ”
รสสุคนธ์หันมาก็เห็นลั่นทมยืนอยู่ข้างเตียง รสสุคนธ์กรีดร้องสุดเสียง ชีพเปิดประตูห้องน้ำออกมา กอดรสสุคนธ์ไว้ “รส...เป็นอะไร...เป็นอะไร”
รสสุคนธ์ซบหน้ากับอกชีพ ชี้มือไปที่เตียง พูดเสียงสั่น “นัง..ลั่นทม เมียคุณอยู่ที่...ที่เตียงค่ะ”
ชีพหน้าเสีย มองไปก็ไม่เห็นอะไร“มีที่ไหน...ดูสิ...ไม่มี”
รสสุคนธ์หันมาไม่เห็นลั่นทม ก็หายใจโล่งอก
“รสคงตาฝาดหรือไม่ก็คิดมากไป...คุณแต่งตัวเสร็จแล้วเหรอคะ รอรสที่โต๊ะอาหารนะ...เดี๋ยวรสตามลงไป”
รสสุคนธ์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วรีบเข้าไปในห้องน้ำ สำรวจตัวเองในกระจก บรรยากาศเหมือนจะปรากฏร่างลั่นทมแต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น รสสุคนธ์แต่งชุดดำ คัดเลือกเครื่องเพชรในกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะ หยิบมาติดที่เสื้อแล้วมองตัวเองในกระจก โดยไม่ได้สังเกตว่ากล่องเครื่องประดับเคลื่อนออกช้าๆ เหมือนไม่มีเรี่ยวแรง รสสุคนธ์จะหยิบแต่หยิบไม่ถูก กล่องเครื่องประดับไม่ได้อยู่ที่เดิม รสสุคนธ์เอะใจอยู่บ้าง แต่ไม่ได้สงสัยอะไร รสสุคนธ์คว้ากระเป๋าเข้ากับชุดแล้วเดินออกไป ประตูปิด ลั่นทมสีหน้าเศร้า มองตามไป หยาดน้ำตาเอ่อคลอตา
ในห้องนอนอุษา อุษาชุดดำเตรียมตัวไปที่วัด ตรวจสอบที่เก็บเครื่องเพชรที่ชีพมอบให้ว่าอยู่ดีเป็นที่เรียบร้อย หยิบเงินที่ชีพให้ออกมาตรวจสอบอีกครั้ง แล้วใส่กระเป๋าเตรียมนำไปใช้จ่าย
ที่โต๊ะอาหารบ้านลั่นทม สวาท จิ้มลิ้มแฃละยาใจกำลังดูแลบริการชีพที่กำลังรับประทานอาหารเช้า
อุษาแต่งชุดดำผ่านหน้าห้องอาหารจะออกไปหน้าบ้าน
“อุษา”
อุษาชะงัก
“ไม่ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนเหรอ”
รสสุคนธ์เข้ามาในห้องอาหาร อุษาเห็นเครื่องเพชรที่รสสุคนธ์ใส่
“ไม่ค่ะ ษาจะเข้าไปช่วงเช้าแล้วจะขอลาไปทำธุระหน่อยค่ะ”
รสสุคนธ์จับเพชรอย่างไม่สะทกสะท้าน อวดเสียด้วยซ้ำ
“ธุระอะไรกันนักหนา หรือว่าเห็นงานที่โรงงานไม่สำคัญ นึกจะไปไหนก็ไป”
อุษามองรสสุคนธ์อย่างสังเวชใจเต็มทีในอาการเลื่อนขั้นตัวเองของรสสุคนธ์ อุษาไม่ตอบจะออกจากห้องอาหาร
“เดี๋ยว ฉันพูดกับเธอ เธอไม่ได้ยินเหรอหรือว่าเสียใจจนเสียสติไปแล้ว”
“คนที่เสียสติน่าจะเป็นเธอมากกว่า”
“ฉันเสียสติยังไง”
“คนที่มีสติคงไม่กล้ายึดครองของของคนอื่นมาเป็นของตัวเองอย่างหน้าตาเฉยแบบเธอ แต่ก็อย่างว่าละนะคนไม่เคยมีเคยได้ ไม่มีใครสั่งสอนก็มักจะละโมบโลภมากแบบนี้ล่ะ”
“นี่แกด่าฉันเหรอ นังนี่ขอตบปากมันเสียทีเถอะ”
รสสุคนธ์ถลาเข้าไปแล้วชะงักเพราะเสียงจริงจังของชีพ
“รส..พอได้แล้ว” ชีพพูดกับอุษา “ให้ฉ่ำขับรถไปส่งซีษา”
“แต่เราก็ต้องใช้รถนะคะคันที่ชนก็ยังซ่อมไม่เสร็จ”
รสสุคนธ์พูดกับอุษา “ฉันว่าคนที่มีสติอย่างเธอคงไม่ต้องการรับความช่วยเหลือจากใครมั้ง...ใช่มั้ย”
อุษาไม่ตอบแต่ทำท่าจะเดินออก ไป
รสสุคนธ์รีบพูดต่อ “แล้วก็ตั้งใจทำงานหน่อย.น้าเธอก็ตายไปแล้ว ตอนนี้เธอก็เหมือนเป็นแค่กาฝากช่วยทำงานให้คุ้มกับเงินเดือนหน่อย”
หวานทนไม่ไหว “นังรส แกจะลามปามคุณอุษามากเกินไปแล้วนะ คุณษาคะอิฉันขอโทษแทนมันด้วยค่ะ”
อุษาไม่พูดอะไร ผละเดินจากห้องอาหาร รสสุคนธ์โกรธหวานแต่ข่มใจไว้หันมาสั่งการกับบรรดาคนในบ้าน
“สวาท เติมกาแฟให้คุณผู้ชายซิ เดี๋ยวรสมาทานเป็นเพื่อนนะคะ นึกได้ต้องรีบไปเตือนคุณทนายหน่อย”
รสสุคนธ์ผละไปทางโทรศัพท์ ชีพกับหวานมองตามงงๆ
ที่ห้องรับแขกบ้านทนายไกร ไกรกำลังดูเอกสารเกี่ยวกับการประเมินราคาทรัพย์สินของลั่นทม บนโต๊ะมี
เครื่องดื่มกาแฟขนมปังวางอยู่ ไกรกินไปอ่านเอกสารไป เสียงโทรศัพท์ดังไกรรับสาย
“ฮัลโหล”
ที่บ้านลั่นทม รสสุคนธ์ พยายามพูดสายอย่างอ่อนหวานโดยแฝงความเหี้ยมเกรียมไว้ในเนื้อหาที่พูด
“คุณไกรคะ นี่ฉันรสสุคนธ์พูดมาจากบ้าน ฉันโทรมาเตือนเรื่องที่สั่งคุณไปเมื่อคืน”
ไกรเคี้ยวขนมปังไปพูดสายไป “บ้านไหนนะครับ”
“ก็บ้านฉัน บ้านคุณชีพน่ะสิ..จำไม่ได้เหรอคะ ที่สั่งให้คุณตรวจสอบประเมินทรัพย์สินของคุณลั่นทมไง..รึว่ายังไม่ตื่น เสียงดูงงๆ”
“ผมตื่นนานแล้ว เรื่องประเมินทรัพย์สินคุณลั่นทมเกือบจะ เรียบร้อยแล้ว ช่วยเรียนคุณชีพด้วย”
“ไม่ต้องเรียนใครหรอก เรียนฉันโดยตรงนี่แหละ มัวทำ อะไรอยู่ถึงยังไม่เสร็จ เอาเถอะ แค่ไหนก็เอามา ฉัน
ต้องการเห็น ด่วนด้วย ฉันจะรออยู่ที่บ้านกับคุณชีพ
รสสุคนธ์วางสายโดยไม่เอ่ยลา ส่วนไกรวางสายงงๆ ไม่แน่ใจว่ารสสุคนธ์อยู่ในตำแหน่งใดของบ้านลั่นทม
ในสุสาน อุษามายืนมองดูบริเวณซองบรรจุศพซึ่งเป็นช่องแคบๆ พอใส่โลงเข้าไปได้เท่านั้น ซึ่งมองดูเล็กมาก อุษามองดูอย่างอนาถใจ ฉ่ำมองตามแล้วพูดปลงๆ
“คนตายแล้วเหลือที่เท่านี้แหละครับ ไม่ซองแคบๆ ใส่ศพ ก็ในโกศเล็กๆ ใส่เศษกระดูก”
หมอผันเข้ามาเงียบๆ เพราะเป็นห่วงอุษา
“อ้าว หมอผันสวัสดีค่ะ” อุษาไหว้ หมอผันรับไหว้
“หนูมาทำอะไรที่นี่”
อุษาสะอื้น “มาดูที่เก็บศพคนที่ตายแล้ว..ดูซิคะ..คุณน้าจะต้องถูกพามาบรรจุที่นี่ หลังสวดครบ 7 คืนแล้ว แต่คุณน้ายังไม่ตายนะ แล้วท่านจะเข้ามาอยู่ในซองแค่นี้ได้ยังไง แถมยังต้องมีซีเมนต์โบกปิดอีก”
หมอผันมองอุษานิ่งนึกถึงคำพูดของธารินทร์ว่าไม่ควรให้ความหวังอุษา
“หนูเอ๋ย..เมื่อวานลุงว่าคงเป็นอุบัติเหตุ จริงๆ..เรารีบร้อนตั้งโลงกันไม่ดีมั้ง”
อุษาแทบไม่ได้ฟังเสียงปลอบของหมอผันเลย ได้แต่สะอื้นแล้วนึกได้หันมา
“เออ คุณลุงคะ ช่วยหนูหน่อยได้ไหม คุณลุงได้ชื่อว่าเป็น หมอเทวดาไม่ใช่หรือคะ”
หมอผันอึกอัก พยายามพูดไม่ให้อุษามีความหวัง
“ไม่ใช่ลุง ที่ว่าเทวดานั่นปู่ไอ้ธารินทร์มัน ก็พ่อของลุงนี่แหละ สมัยนั้นเขามีวิชาทำคนตายให้ฟื้นได้”
หมอผันเหลียวซ้ายแลขวากระซิบ
“แต่เท่าที่รู้มาไอ้ที่ว่าฟื้นน่ะมันบังเอิญ เพราะไอ้คนนั้นไม่ได้ตาย แต่ชาวบ้านคิดว่าตาย พอพ่อลุงกรอกยาสองสามจอกมันเลยฟื้น..คนเค้าก็ติดปากเรียกลุงไปงั้นเอง อย่าบอกใครเชียวนาเสียประวัติพ่อลุงหมด”
“แต่คุณลุงก็เชี่ยวชาญทางยาแผนโบราณ..หมอผันต้องได้ถ่ายทอดวิชารักษาคนตายให้ฟื้นมาบ้าง”
อุษามองอย่างขอความเห็นใจ
“โธ่..ตำราที่ว่ามันไม่ได้ใช้กับคนตาย แต่ใช้กับคนที่เหมือนกับตายเท่านั้น ไอ้ที่ตายจริงๆ ต่อให้หมอเทวดาบวกพระอินทร์ก็ไม่มีทางชุบให้ฟื้นได้นอกจากในหนัง”
“ก็คุณน้าลั่นทมนี่ไงคะเหมือนตาย..เราน่าจะลองดูนะคะ ขอให้ได้ลองดูเท่านั้น เราจะขโมยศพมาทำพิธีรักษาดีมั้ยคะ”
หมอผันนิ่งอึ้งเหมือนจะเห็นคล้อยตามอุษา แต่พอได้ฟังคำว่าขโมยศพหมอผันก็ถึงกับสะดุ้งตาหูเหลือก “ขโมย..เฮ้ยไม่เอา”
“ทำไมล่ะคะ”
“ลุงว่าเลิกคิดเรื่องนี้เถอะหนูอุษา”
อุษาไม่ฟัง ยืนมองซองใส่โลงศพน้ำตาคลอ
ที่แผนกบัญชีโรงงานทอผ้า สมุห์กำลังสะสางงานทั้งของตัวเองและของอุษาที่ลากิจไปจัดการเรื่องศพลั่นทม สมุห์แต่งชุดไว้ทุกข์ รสสุคนธ์เข้ามาพูดอย่างผู้มีศักดิ์ศรีเหนือกว่า แต่ไม่วางท่าข่มขู่ แสดงออกเพียงแต่ในทีเท่านั้นดูจะนุ่มนวลเสียด้วยซ้ำ
“รบกวนหน่อยนะคะสมุห์..ขอดูบัญชีค่าใช้จ่ายหกเดือนแรกหน่อยสิคะ”
สมุห์มองรสสุคนธ์งงๆ “คุณชีพให้มาขอหรือคะ”
รสสุคนธ์ตอบเสียงขุ่น “ฉันเอง ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งๆ อุษาก็เสียอกเสียใจจนไม่เป็นอันทำงานทำการ รู้สึกว่าขอลาไปวัดอีกแล้ว..ฉันเลยต้องเข้ามาช่วยดูแล”
สมุห์ยิ่งแปลกใจหนักขึ้นมองรสสุคนธ์เหมือนเห็นตัวประหลาด จากนั้นลุกเดินไปทางห้องชีพ
รสสุคนธ์เสียงเข้ม ผิดเมื่อครู่ “จะไปไหนน่ะ”
ที่ห้องทำงานชีพ ชีพนิ่งอึ้งไม่พอใจในการกระทำของรสสุคนธ์แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกในตอนนี้ เมื่อสมุห์เข้ามาถามเกี่ยวกับเอกสารที่รสสุคนธ์มาขอ โดยมีรสสุคนธ์เดินตามเข้ามาด้วยหน้าตาเฉย
“คือ..ผมลืมแจ้งคุณไป ผมให้รสเขามาช่วยงานผม ก็เลย..เอ่อ ให้เค้าไปขอคุณ..
“อ๋อ ค่ะ” สมุห์พูดกับกับรสสุคนธ์ “ดิฉันจะไปนำมาให้” สมุห์กลับออกไป
ชีพอึดอัดใจ “นี่รสฉันว่าจะทำอะไรควรปรึกษาฉันก่อน”
รสสุคนธ์รีบเข้ามาเอาใจชีพ ปิดปากชีพ “ก็..เผื่อรสจะช่วยแบ่งเบาภาระของคุณได้บ้างไงคะอันไหนประหยัดได้รสก็จะช่วยดูให้ เห็นคุณยุ่งๆ รสก็เลยไม่กวน..รสอยากช่วยจริงๆ”
“แต่คนอื่นอาจเข้าใจผิด”
“ผิดอะไรคะ ก็รสเป็นเมียคุณแล้ว หรือคุณจะไม่คิดจริงจังรสจะได้ไปเลย”
“ไม่ๆๆ” ชีพกลัวรสสุคนธ์จะไปจริง ๆ เพราะติดใจการเอาใจของรสสุคนธ์ทำให้ชีพพูดอะไรไม่ออก รสสุคนธ์จับความรู้สึกของชีพได้ ก็ก้มไปหอมแก้ม 1 ครั้ง
“รสรักคุณนะคะชีพ...แล้วก็อยากแบ่งเบาภาระของคุณทุกอย่าง ชีพไว้ใจรสนะคะ”
ที่บ้านหมอผัน หมอผันรีบขึ้นมาบนเรือนรื้อค้นสรรพตำราที่ตนรวบรวมไว้ในมุมอันเป็นส่วนตัว ต้อยติ่งเข้ามามองอย่างสงสัย
“หาตำรากวาดยาอีกเหรอคะ”
ธารินทร์เพิ่งตื่นนอนนุ่งผ้าขาวม้าเตรียมจะอาบน้ำ
“ไปไกลๆ ต้อยติ่งอย่ามาแซว”
หมอผันเปิดตำราอ่านนิ่งอึ้ง “อื้อฮือ”
“พ่อหายไปไหนมา”
หมอผันไม่ตอบ ธารินทร์ไม่ได้สนใจจะเดินเข้าห้องน้ำ หมอผันเรียกไว้
“รินทร์มีตังค์ให้พ่อสักสามพันมั้ย”
“พ่อจะเอาไปทำอะไร”
หมอผันอึกอักแล้วพูดเรื่อยเจื้อย “คือมันต้องใช้ยากลางบ้านพวกสมุนไพรตั้งเก้าอย่าง แล้วพ่อไม่ได้ปลูกเองเสียด้วยต้องไปขอซื้อเขาตั้งไกลลิบ เงินพ่อเองก็ส่งให้แม่หมด”
ธารินทร์เห็นว่าคงเป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะของหมอผันอีกตามเคยก็เลยไม่ได้สนใจจะเข้าห้องน้ำ
หมอผันตามฉุดไว้ “นี่พ่อพูดจริงๆ นะ สงสารเด็กมันว่ะ ช่วยมันหน่อย”
“ชัดเลย..จะไปกวาดยาให้เด็กที่ไหนอีกล่ะ..สมัยนี้มันไม่เหมือนก่อนแล้วนะพ่อ จะเอามือล้วงเข้าไปในคอเด็ก เขาไม่ยอมกันแล้ว”
“เออน่า รู้ๆ”
“รู้แล้วทำไมยังทำอีกล่ะจ๊ะ”
“อย่ายุ่งนังต้อยติ่ง ว่าไงรินทร์ เอามาให้พ่อยืมก่อน”
ธารินทร์พยักหน้า ไม่ได้ใส่ใจ เข้าห้องน้ำไป
ในรถ ธารินทร์ขับรถโดยมีอุษานั่งคู่มาด้านหน้า ธารินทร์หันมองอุษาที่นั่งเงียบ
“ษาจะให้ผมพาไปไหน”
“ษาจะไปซื้อของหน่อยค่ะ อ๋อแล้วก็อยากให้รินทร์ช่วยหาบ้านเช่าให้หน่อยได้มั้ย”
ธารินทร์ตกใจ
“บ้านเช่า..ษาจะทำอะไรน่ะ”
“ไม่มีน้าลั่นทมแล้วนี่ ใครเขาจะอยากให้ษาอยู่เกะกะลูกตาล่ะ”
“คุณชีพเหรอ”
อุษาส่ายหน้า เศร้าๆ “รสสุคนธ์”
ในห้องน้ำโรงงาน รสสุคนธ์มองเงาตัวเองในกระจก มือแตะเครื่องประดับเพชรมองอย่างพอใจ ก่อนจะก้มลงล้างมือ ปรากฏร่างลั่นทมในกระจก แต่รสสุคนธ์ไม่เห็น รสสุคนธ์ชะงักเงยหน้าขึ้นทันควัน แต่ยังไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ รสสุคนธ์มองตัวเองในกระจกอีกครั้งก่อนจะเดินออกไป
ธารินทร์ขับรถมาจอดบริเวณสุสาน ธารินทร์แปลกใจเพราะยังไม่รู้เจตนาของอุษา อุษาหิ้วกระสอบขนาดกลางใส่อุปกรณ์ในการกะเทาะปูนลงจากรถไปซ่อนไว้ในที่มิดชิดแล้วกลับขึ้นมา
“นั่นอะไรคุณไปซื้ออะไรมา ผมจะลงไปด้วยก็ไม่ยอม”
“ไม่มีอะไรหรอกคะ ไปที่ศาลาเถอะ”
ธารินทร์จำใจต้องออกรถ
ธารินทร์ขับรถมาจอดในบริเวณวัด อุษาลงจากรถจะตรงดิ่งไปยังศาลาที่ไว้ศพลั่นทม
ผู้ดูแลวัดเข้ามา “ประทานโทษครับ เรื่องเตาเผาพอดีมีเหตุขัดข้องจะขอ”
“เตาเผาอะไร..”
“ก็ศพคุณนายลั่นทม คุณรสสุคนธ์แกแจ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ว่า” ผู้ดูแลวัดหันไปทางเตาเผา “สวดคืนนี้เสร็จพรุ่งนี้ก็จะเผาเลย”
อุษาได้ฟังก็ตะลึง
“ทีนี้ท่านเจ้าอาวาสท่านว่า”
ผู้ดูแลวัดหันมาชะงัก ชีพขับรถเข้ามาจอด รสสุคนธ์ลงจากรถเดินเข้ามาถาม “ทุกอย่างเรียบร้อยมั้ย”
“น้าชีพถึงขนาดจะเผากันให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป ทั้งที่รู้ว่าคุณน้ายังไม่ตายหรือคะ น้าชีพทำได้ไง”
ชีพวางมาดขรึมไม่สะทกสะท้านต่ออาการของอุษาที่โกรธเกรี้ยวเหลือบมองธารินทร์อย่างเฉยเมย
“รสสุคนธ์บอกว่าเก็บไว้ก็ทรมานใจเธอเปล่าๆ”
“คนที่ยอมให้คนอื่นจูงจมูกได้ง่ายๆ นั่นเขาเรียกอะไรทราบไหมคะ”
“ก้าวร้าวน้ามากเกินไปนะอุษา”
“ษาขอให้เก็บศพคุณน้าไว้ร้อยวันตามประเพณีค่ะ”
ชีพนิ่งคิด “ที่จริงน้าก็จะค้านรสเขาอยู่เหมือนกัน แต่เขาแอบไปแจ้งกับทางวัดเสียก่อน” ชีพจะไปชะงัก “เก็บ
ไว้ร้อยวัน เกิดลั่นทมฟื้นขึ้นมา นั่นไม่ใช่ลั่นทมคนเดิมแล้วนะ เป็นผีดิบแล้ว” ชีพยิ้มหยันนิดหนึ่งแล้วเดินหนีไป
รสสุคนธ์ยิ้มเยาะ “ถ้าเป็นผีดิบขึ้นมาจริง ๆก็ตัวใครตัวมันเถอะค่ะ...ไร้สาระสิ้นดีเลยอุษา”
รสสุคนธ์แยกไป ชีพเดินตามไปอีกคน อุษามองตามอย่างแค้นมาก
ธารินทร์นิ่งคิด “ความจริงถ้าจะเผาเลยมันก็ไม่ได้ผิดประเพณีอะไร ผมก็เห็นด้วย..คุณจะได้ไม่ต้อง”
อุษาหันขวับมาน้ำตากลบตา อุษาตวาด “ไม่ต้องออกความเห็นได้ไหมคะ”
อุษาเดินหนี ธารินทร์ถอนใจ กลุ้มใจกับพฤติกรรมของอุษา
บริเวณในวัด ธารินทร์เดินตามอุษามา จู่ๆอุษาหยุดเดินหันมาถามเรียบๆ
“เรื่องบ้านเช่าคุณจะหาให้ษาได้เมื่อไรคะ ษาต้องการด่วน
“คงไม่มีปัญหา ผมรู้จักอยู่ที่หนึ่ง”
อุษาดีใจ “เหรอคะ” อุษานิ่งคิด
“ถามจริงๆ ไอ้ในกระสอบที่คุณเอาไปไว้ในสุสานน่ะอะไร”
“เครื่องมือกะเทาะปูน ตอนเค้าเอาศพไปเก็บ..ษาจะ เอาคุณน้าออกจากสุสานไปไว้ที่บ้านเช่า
ธารินทร์สะดุ้งนิ่งอึ้ง “ไม่ได้..ขโมยศพผิดกฎหมาย”
“ศพที่ไหนกันเล่า..ก็บอกแล้วว่าคุณน้ายังไม่ตาย”
ธารินทร์จ้องมองอุษาพูดจริงจัง “ผมเป็นตำรวจ..จะยอมให้คุณทำผิดกฎหมายไม่ได้”
“คุณก็ไม่เชื่อษารึคะขอร้องละค่ะรินทร์..เชื่อษาสักครั้งเถอะ ษามั่นใจว่า คุณน้าต้องฟื้นแน่ๆ”
ธารินทร์ทั้งสงสารทั้งหงุดหงิดที่คนรักเป็นอย่างนี้
ลั่นทมนอนนิ่งสงบอยู่ในโลง ในสภาพเดิมที่มีผ้าขาวห่อหลวมๆ เปิดหน้าไว้ มือลั่นทมค่อยๆกระดิก แล้วตัวลั่นทมเริ่มขยับแต่อ่อนแรงเต็มที ลั่นทมพยายามดิ้นแต่แทบไม่ขยับเขยื้อน
‘โอ้ย..ร้อน ฉันร้อน..น้ำ..ขอน้ำ’
ลั่นทมในโลงศพขยับเขยื้อนเนื้อตัวได้แต่เป็นเพียงแผ่วเบา แล้วทำท่าจะนิ่งสนิทไปอีก เงาร่างลั่นทมนอนอยู่ในโลงพยายามดิ้นรน
‘อย่าตายนะ....ฉันกลัว.ฉัน..ฉันหายใจไม่ออกอีกแล้ว ฉันจะตายจริงๆ หรือนี่..ฉัน..ฉัน ตายแล้ว’
ในโลง ร่างลั่นทมค่อยๆนิ่งสงบแล้วไม่ไหวติงดังเดิม เงาร่างของลั่นทมลุกขึ้นออกจากโลงศพได้ เหลียวมองไปรอบๆ
‘นี่ฉันออกจากร่างได้อีกแล้วหรือ งั้นฉันก็ตายแล้วซิ’
เงาร่างของลั่นทมลอยลงมายืนที่พื้นมองไปที่โลงศพอย่างวิตก
‘ร่างฉัน จะกลับเข้าไปได้อีกมั้ยเนี่ยโอ้ย ทำไมมันเบาแบบนี้’
เงาร่างของลั่นทมลอยขึ้น และล่องลอยไปในโลง เห็นร่างตัวเองนอนสงบนิ่ง เงาร่างลั่นทมเอนตัวลงนอน ด้วยความตื่นเต้น
‘ฉันกลับเข้าร่างได้..ฉันไม่ตาย แต่ไปไหน มาไหนได้’
เงาร่างลั่นทมลุกขึ้นนั่ง จากนั้นลอยลงมายืนที่พื้นอีกครั้ง สัปเหร่อเดินมาขณะที่เงาร่างของลั่นทมหันรีหันขวางแล้ว สัปเหร่อก็เดินผ่าเข้ามาในเงาร่างของลั่นทม ตรงไปสำรวจ ตรวจตราบริเวณโลงศพ สัปเหร่อไม่ได้สัมผัสเงาร่างของลั่นทมและไม่ได้ยินเสียง
‘ลุง..ลุง’
สัปเหร่อเฉยไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน
‘นี่ลุงไม่เห็นฉันหรือแปลกจริงทำไมชีพกับรสสุคนธ์ถึงเห็นฉันล่ะ’
เงาร่างของลั่นทมเข้ามา ยื่นมือจับแขนสัปเหร่อ แต่ไม่ติด มือเงาร่างของลั่นทมผ่านแขนสัปเหร่อวืดไป “แปลก..ทำไมจับต้องไม่รู้สึก..ฉันตายแล้วนี่..แต่ฉันรู้ว่าฉันยังไม่ตายนี่นา”
เงาร่างของลั่นทมยืนนิ่งอึ้งกึ่งกลัวกึ่งกล้า ในสภาพของตัวเอง
มุมหนึ่งในวัด อุษาจ้องธารินทร์เขม็งไม่พอใจที่ธารินทร์ขัดขวางความตั้งใจที่จะช่วยลั่นทม
“ษาจะไม่เอาเครื่องมือนั่นกลับมา จะเอาไว้ที่นั่น..ษาจะช่วยคุณน้าให้ได้”
“ก็ได้” น้ำเสียงธารินทร์จริงจังมาก “งั้นถ้าคุณลงมือเมื่อไหร่ผมจับคุณแน่”
“คนตายไปแล้วสามวันจะมีลักษณะแบบไหนคะ”
ธารินทร์นับนิ้ว พึมพำ “สามสิบหกชั่วโมง ขึ้นอืด”
“ถ้าคืนนี้เปิดโลงแล้วคุณน้าไม่ได้เป็นแบบนั้นคุณจะช่วยษามั้ย”
ธารินทร์อึ้ง อุษามองหน้า “ษาไม่ได้บ้าไม่ได้เสียสติ ทำไมคุณไม่เชื่อษา คุณเป็นคนเดียวที่ษาเหลืออยู่ตอนนี้คุณเองก็เห็นสภาพร่างกายคุณน้า”
“ศพที่ฉีดยาก็มีสภาพแบบนี้”
“ถ้างั้นษามีความจริงจะบอก”
“อะไรครับ”
“ษาห้ามคุณหมอไม่ให้ฉีดยาให้คุณน้า”
“อะไรนะ นี่คุณพูดจริงหรือษา”
“ค่ะ ทีนี่คุณจะเชื่อหรือยังว่าคุณน้ายังไม่ตาย”
ธารินทร์เงียบสนิทพูดอะไรไม่ออก
อุษาสำรวจตรวจตราดูสภาพภายในบ้านเช่าชั้นเดียว ขนาดสองห้องนอน มีห้องครัวห้องน้ำห้องรับแขกพร้อมสรรพ เฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้ไม้สอยมีอยู่พอประมาณเท่าที่จำเป็น
อ่านละครเรื่อง สุสานคนเป็น ตอนที่ 4/2
ละครเรื่อง สุสานคนเป็นบท ประพันธ์โดย ประดิษฐ์ กัลย์จาฤกละครเรื่อง สุสานคนเป็น บทโทรทัศน์โดย ภาคย์รพี
ละครเรื่อง สุสานคนเป็นกำกับการแสดงโดย อนุวัฒน์ ถนอมรอด
ละครเรื่อง สุสานคนเป็น ละครแนว ดราม่า รี้ลับ อาถรรพ์ ตื่นเต้น
ละครเรื่อง สุสานคนเป็นผลิตโดย บริษัท กันตนา มูฟวี่ ทาวน์ (2002) จำกัด
ละครเรื่อง สุสานคนเป็นออกอากาศ ทางช่อง 7 สีทีวีเพื่อคุณ เร็วๆ นี้