อ่านละคร เพลิงพรางเทียน ตอนที่ 12 วันที่ 6 มิ.ย.62

อ่านละคร เพลิงพรางเทียน ตอนที่ 12 วันที่ 6 มิ.ย.62

เจ้าวงเดือนนั่งจับตาดูอย่างประเมินสถานการณ์

แววตาแฝงความร้อนรนปนความสะใจ

ครู่หนึ่งเจ้าช่อเอื้องลุกออกไป เจ้าวงเดือนถามว่าเจ้าน้อยอยู่คนเดียวได้ไหมตนจะออกไปกับเจ้าแม่

เจ้าน้อยพยักหน้า ครู่เดียวคำแปงก็ยกสำรับอาหารเข้ามา เจ้าน้อยบอกว่าตนยังไม่หิว คำแปงถามว่าเจ้าแม่กับเจ้าวงเดือนไปไหนกันหรือ เจ้าน้อยบอกว่าตนไม่ได้ถาม แต่ไม่อยู่บ้างก็ดี อยู่ก็เอาแต่ประชดประชันเรื่องเทียนคำน่าเบื่อ! นึกได้ถามว่าได้ข่าวเทียนคำบ้างหรือเปล่า

“ข้าไปดูที่บ้านมันทุกวัน แต่ไม่มีวี่แววเทียนคำมันเลยขอรับเจ้าน้อย”



“มันหายไปข้าก็คิดถึงมัน แต่ถ้ามันกลับมาก็ไม่รู้จะโดนลงโทษอะไรบ้าง” เจ้าน้อยพึมพำเครียด

ooooooo

เจ้าช่อเอื้องบ่นอย่างหนักใจว่าเจ้าเวียงสวรรค์ยังไม่ฟื้นตนก็ไม่รู้จะทำยังไง เจ้าวงเดือนเป่าหูใส่ร้ายว่าเจ้าพ่อต้องโดนของของอีเทียนคำแน่นอน เจ้าช่อเอื้องบอกว่าเทียนคำมันไม่ได้ทำ

“มันทำเจ้าค่ะ...อย่างแรกมันทำผิดจารีตประเพณีทำให้ผีปู่ผีย่าไม่พอใจ มันลักลอบสมสู่กับเจ้าน้อย ให้ท่าไอ้สิงห์ รวมถึงมันอาจจะมีอะไรเกินเลยกับหมอฝรั่งดั้งขอคนนั้นแล้วก็เป็นได้”

เจ้าวงเดือนเห็นเจ้าช่อเอื้องฟังอย่างสนใจก็ใส่ไคล้ต่อว่า มันยังเล่นของให้เจ้าน้อยและเจ้าพ่อหลงใหล

“อีสารเลว” เจ้าช่อเอื้องด่าเจ้าวงเดือนได้ทีเสี้ยมต่อว่า

“เรื่องที่มันนำมาอ้างว่าเจ้าพ่อเคยสัญญากับหนานแก้ว ห้ามทำร้ายมันกับครอบครัว มันคงเป็นอุบายหลอกทุกคน แล้วดูสิคะ...ขนาดเจ้าพ่อโดนของของมันแล้ว มันยังทำร้ายเจ้าพ่อได้อีก”

เจ้าช่อเอื้องแค้นประกาศว่าแม่จะไม่ยอมให้มันทำร้ายฝ่ายเดียว เราต้องรีบไปหาเจ้าพ่อน้ำทิพย์เพื่อหาวิธีแก้ ล้างแค้นเอาคืนอีเทียนคำ แล้วเรียกไพคาให้เตรียมพุ่มพานดอกไม้ตนจะไปหาเจ้าพ่อน้ำทิพย์ แต่จะไปไหว้ขอขมาปู่ย่าก่อน เดี๋ยวเจอกัน แล้วเข้าบ้านไป

พอเจ้าช่อเอื้องผละไป ไพคากับเจ้าวงเดือนก็เข้าไปในห้องของเจ้าวงเดือนซึ่งมีโต๊ะหมู่บูชา เครื่องไหว้ กะโหลกดูน่ากลัว ไพคากระซิบถามเจ้าวงเดือนว่า เจ้าแม่จะไปหาเจ้าพ่อน้ำทิพย์ทำไม ยังไงเจ้าเวียงสวรรค์ก็ไม่ฟื้นหรอก เจ้าวงเดือนบอกว่าเจ้าแม่อยากไปเราก็ต้องพาไป

เจ้าช่อเอื้องย้อนกลับมาแอบฟังไพคากับเจ้าวงเดือนคุยกัน...

ไพคากลัวว่าเจ้าพ่อน้ำทิพย์จะรู้ว่าเจ้านางทำพิธีสะกดวิญญาณเจ้าพ่อเอาไว้แล้วเจ้าพ่อน้ำทิพย์จะช่วยเจ้าพ่อเวียงสวรรค์ฟื้นขึ้นมาอีก

“ไม่มีทาง! คนตายก็คือคนตาย ตราบใดที่มนตร์กาลีมรณะคุมเรือนนี้อยู่ เจ้าเรือนก็จะฟั่นเฟือนทรมานมีแค่ลมหายใจแต่ไม่มีจิตวิญญาณ...ข้าสาแก่ใจนัก

เจ้าเวียงสวรรค์ก็เข้าข้างอีเทียนคำมาตลอด ส่วนเจ้าแม่ก็มีแต่อารมณ์ร้ายผีบ้าผีบอไปวันๆ ข้าพึ่งใครไม่ได้สักคน จำต้องใช้วิธีนี้แหละ ไม่เช่นนั้นเจ้าน้อยของข้าจะไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโตสักที”

ไพคาว่ามนตร์ดำของสิงห์ที่สอนเจ้าได้ผลจริงๆ แต่สงสัยว่าทำไมอีเทียนคำถึงไม่เป็นอะไรเลย เจ้าวงเดือนว่าตนก็ไม่เข้าใจแต่เรายังมีอีกหลายวิธีที่จะจัดการกับอีเทียนคำ ย้ำอย่างอาฆาตแค้นว่า

“ตอนนี้ขอเพียงอย่ามีใครมาขวางทางข้าก็พอ เพราะแม้แต่เจ้าพ่อเจ้าแม่ข้าก็จะไม่ละเว้น”

เจ้าช่อเอื้องทั้งตกใจและแค้นใจมาก พรวดออกไปด่าทอต่อว่าเจ้าวงเดือนว่าทำไมใจร้ายอย่างนี้ เรื่องนี้ต้องถึงหูเจ้าหลวง และพวกเจ้าจะต้องถูกกุดหัว!

เมื่อถูกจับได้ไล่ทันเจ้าวงเดือนก็ทำหน้าซื่อถามว่าเจ้าแม่พูดอะไรตนไม่รู้เรื่อง แต่พอเจ้าช่อเอื้องหมุนตัวออกไปไพคาก็พุ่งเข้าจับเจ้าช่อเอื้องเหวี่ยงล้ม แล้วเจ้าวงเดือนก็กรอกยาพิษใส่ปากเจ้าช่อเอื้องจนหมดสติ จากนั้นทั้งเจ้าวงเดือนและไพคาก็ร้องโวยวายให้บ่าวไพร่ที่อยู่แถวนั้นมาช่วยเจ้าแม่ พอบ่าวไพร่เข้ามาพาเจ้าช่อเอื้องไปที่เตียง เจ้าวงเดือนก็วิ่งออกไปบอกเจ้าน้อย

พอเจ้าน้อยวิ่งพรวดออกไป เจ้าวงเดือนก็แสยะยิ้มมองเจ้าเวียงสวรรค์เย้ยเยาะเบาๆ

“ข้ากำลังส่งวิญญาณเจ้าแม่มานอนเน่าข้างๆ เจ้าพ่อแล้วนะเจ้า คงอีกไม่นานเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ก็จะได้ไปอยู่ด้วยกันในนรกแน่ๆค่ะ ตอนนี้เจ้าพ่อก็นอนพะงาบๆ รอดูข้าครอบครองคุ้มเวียงสวรรค์ของเจ้าพ่อก่อน”

พูดแล้วเจ้าวงเดือนเดินนวยนาดออกไปที่ห้องเจ้าช่อเอื้อง เห็นเจ้าน้อยกำลังร้องสั่งบ่าวไพร่ให้เอายามาให้เจ้าแม่กินเร็วๆ เจ้าวงเดือนเสยะยิ้มกับภาพที่เห็นอย่างสะใจ

วันนี้น้อยพุทธวงศ์มาไต่สวนคดี กล่าวต่อหน้าทุกคนอย่างตกใจว่าเห็นกันอยู่ดีๆ วันนี้เจ้าช่อเอื้องล้มหมอนนอนเสื่อไปอีกคนแล้ว เจ้าวงเดือนบอกว่าเจ้าน้อยแทนได้ เพราะเจ้าน้อยรู้ทุกอย่าง น้อยพุทธวงศ์เสนอให้คุยเรื่องที่ทางคุ้มกล่าวหามิชชันนารีก่อน ถามเจ้าน้อยจะให้ความว่าอย่างไร

เจ้าน้อยเงียบ เจ้าวงเดือนกระซิบให้เจ้าน้อยบอกว่าเทียนคำเอายาจากหมอฝรั่งให้เจ้าพ่อกิน มันกะจะฆ่า เจ้าพ่อโดยมีหมอหลุยส์สมรู้ร่วมคิด พอเห็นเจ้าน้อยนิ่ง เจ้าวงเดือนสั่ง

“มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าน้อยต้องพูดความจริงเจ้าค่ะ เลิกให้ความเมตตาคนร้ายได้แล้ว”

“ว่าไง เจ้าน้อย” น้อยพุทธวงศ์ถามย้ำ

ooooooo

เจ้าน้อยนิ่งอึ้ง เพราะจริงๆแล้วไม่รู้เรื่องอะไรและไม่อยากให้ร้ายใคร แต่ถูกกดดันจนต้องพูดว่าพ่อกินยาของเทียนคำที่บอกว่าได้จากหมอฝรั่งแล้วพ่อก็ไม่ฟื้นอีกเลย “ข้าเกรงว่าหมอฝรั่งจะมีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้”

น้อยพุทธวงศ์ถามหลุยส์ว่ายังไง หลุยส์บอกว่าตนให้ยาเทียนคำจริงแต่ไม่ใช่ยาพิษ เจ้าวงเดือนโพล่งค้านว่า “ไม่จริง!”

พ่อครูหลวงจึงขอใช้สิทธิ์ในฐานะที่หลุยส์เป็นคนของศาสนจักรอธิบายความจริง น้อยพุทธวงศ์เชิญ พ่อครูหลวงแดเนียลจึงเดินออกมา เจ้าวงเดือนมองอย่างหวาดระแวงกลัวพ่อครูหลวงจะช่วยหลุยส์กับเทียนคำ

พ่อครูหลวงพูดออกตัวว่าตนไม่ได้เข้าข้างคนของเรา แต่ยาของเราไม่มีตัวไหนที่เป็นยาพิษแน่นอน หลุยส์ก็ยืนยันว่ายานั้นเทียนคำกินพิสูจน์แล้วก็ไม่เป็นอะไร ตนสงสัยว่าเหตุใดคนที่นี่ถึงได้ปักใจเชื่อว่าที่เจ้าเวียงสวรรค์ทรุดหนักเพราะยาพิษ

เจ้าวงเดือนโต้ว่าเพราะเทียนคำร้ายกาจแต่คนนอกไม่รู้ สงสัยว่าทำไมคนนอกอย่างท่านถึงได้มาจุ้นวุ่นวายเรื่องภายในคุ้มของเราโดยเฉพาะยุ่งกับเทียนคำ หลุยส์บอกว่าเพราะตนรู้ว่าเทียนคำโดนคนในคุ้มนี้อิจฉาและทำร้าย ถูกลอบฆ่าหลายครั้งแล้ว

พ่อครูหลวงเสนอว่าจะดีกว่าไหมถ้าหาตัวผู้หญิงคนนี้ให้เจอแล้วค่อยตัดสินความ เพราะพูดกันเองอย่างนี้ป่วยการที่เราจะคาดเดากันเอง

ทั้งเจ้าวงเดือนและไพคาบอกว่ามันไม่มาเพราะมันไม่ใช่คน มันเป็นหมอผีมีคาถาอาคมเหมือนกับพ่อครูหลวงนั่นแหละ ให้ระวังไว้อีกไม่นานเวียงเชียงใหม่จะกลายเป็นพวกเขาหมด แม้พ่อครูหลวงจะอธิบายว่าไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าวงเดือนก็ตะแบงว่า

“ไม่รู้ล่ะ ตราบใดที่อีเทียนคำมันไม่มารับผิด ข้าจะเชื่อว่าคณะมิชชันนารีเป็นพวกหมอผีที่คิดไม่ดีกับเวียงเชียงใหม่”

“ข้ามาแล้ว” กลินท์ปรากฏตัวประกาศลั่น “ปล่อยพวกหมอฝรั่งไปเถอะ พวกเขาไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ฉันทำหรอก ฉันก็แค่หลอกให้เขาไปส่งเท่านั้นเอง”

เจ้าวงเดือนบอกให้น้อยพุทธวงศ์จับกลินท์ทันที กลินท์ถามทุกคนในที่นั้นว่าพวกท่านไม่สงสัยหรือว่าเจ้าเวียงสวรรค์อาจมีคนคิดปองร้ายใส่คาถาให้เจ้าเรือนไม่ฟื้น เจ้าวงเดือนลุกมาตะโกนว่ามันนั่นแหละเป็นผีเป็นผู้ร้ายให้เอาไปกุดหัวเลย

น้อยพุทธวงศ์บอกว่าไม่ได้เราต้องประมวลหลักฐานทุกอย่างแล้วจึงตัดสิน ตอนนี้ให้เอาตัวเทียนคำไปขังไว้ที่ใต้ถุนเรือนก่อน และขอโทษพ่อครูหลวงแทนชาวเชียงใหม่ที่ล่วงเกินคนของท่าน และพวกท่านเป็นอิสระแล้ว

คำป้อกับอุ่นเฮือนไปเยี่ยมกลินท์ที่ถูกขังอยู่ใต้ถุนเรือน คำป้อบอกว่าจะไปขอให้น้อยพุทธวงศ์ปล่อยตัวกลินท์ กลินท์บอกแม่กับอุ่นเฮือนให้กลับไปเสียถ้าแม่กับอุ่นเฮือนต้องโทษเพราะตนอีกตนคงทุกข์ใจตาย แค่หมอหลุยส์ปลอดภัยตนก็โล่งใจแล้วที่เหลือตนช่วยตัวเองได้

เมื่อเจ้าน้อยรู้ว่ากลินท์ถูกขังอยู่ใต้ถุนเรือนและไม่มีคนเฝ้า จึงพากลินท์หนีไปพักที่กระท่อมร้างในป่า กลินท์บอกเจ้าน้อยว่าตนไม่ใช่เทียนคำเพราะเทียนคำถูกเจ้าวงเดือนฆ่าตายไปแล้ว เจ้าน้อยถามว่าแล้วที่อยู่ตรงหน้าตนคือใคร

“เจ้าน้อย รีบพาข้าไปที่ประตูเมืองเถอะ แล้วเรื่องทุกอย่างจะได้จบกันเสียที”

ทันใดนั้นเจ้าน้อยก็ถูกแตงสาเอาไม้ฟาดจนทรุด พลันเจ้าวงเดือนก็เข้ามาสั่งแตงสาให้แบกร่างเจ้าน้อยกลับเรือนเดี๋ยวนี้ กลินท์บอกว่าตนมาครั้งนี้ตั้งใจมาช่วยหมอหลุยส์ เรื่องตนกับเจ้ามันจบไปแล้ว ถึงเทียนคำจะมาก่อนแต่เจ้าคือเมียแต่ง ตนขอโทษ เจ้าวงเดือนบอกว่าเมื่อเธอขอโทษก็ให้อภัย แต่มีคนมารอสะสางแค้นที่เธอทำไว้ กลินท์หันไปเห็นสิงห์ยืนหน้าถมึงทึงอยู่

สิงห์พูดอย่างแค้นใจว่า “เอ็งเอาของต่ำมาใส่ในห่อข้าวให้ข้ากิน ทำให้มนตร์ของข้าเสื่อม” กลินท์บอกว่าตนไม่ได้ทำ เจ้าวงเดือนยุสิงห์ให้จัดการมันเลย บอกสิงห์ว่า “ข้ายกมันให้เอ็ง” แล้วชวนไพคากลับ

พอพ้นหน้าสิงห์ ไพคาถามเจ้าวงเดือนว่าสิงห์จะเชื่อไหมว่าเราไม่รู้ไม่เห็น

“ข้าไม่รู้...แต่ที่รู้คือ คืนนี้ไอ้สิงห์ไม่ปล่อยอีเทียนคำไปแน่” เจ้าวงเดือนพูดอย่างสะใจ เลือดเย็น แล้วพึมพำเหมือนท่องมนตร์คาถาขณะพาไพคากลับคุ้ม

กลินท์อ้อนวอนสิงห์ให้ปล่อยตนไปเถอะตนไม่ได้เอาของต่ำให้เขากินคนที่ทำคือเจ้าวงเดือน สิงห์ไม่เชื่อกลินท์บอกว่าถ้าตนตายซ้ำสองตนจะอาฆาตจองเวรพยาบาทเขาไปทุกชาติ ถามว่า

“นายสิงห์ยังจำได้ไม่ลืมใช่ไหมที่ฆ่าฉันเมื่อครั้งก่อนนะ นายสิงห์ไม่ตั้งใจที่จะฆ่าฉัน นายสิงห์จำต้องทำตามคำสั่งของเจ้าวงเดือน ครั้งนี้อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันไม่ได้ทำร้ายนายสิงห์จริงๆ”

ทันใดนั้นร่างนายสิงห์ก็สั่นเทาดูไร้สติแววตาเลื่อนลอยคำรามออกมาเหมือนเสือร้าย กลินท์จ้อง พลันร่างนายสิงห์ก็กลายเป็นเสือสมิงแล้วจะเข้างับคอกลินท์ พลันก็ร้องลั่นเมื่อเห็นสร้อยที่สร้อยสังวาลให้ไว้ สิงห์ผงะกุมปากร้องทุรนทุรายจ้องหน้ากลินท์แล้วกระโดดหายไปในความมืด

เจ้าวงเดือนกำลังเดินกลับคุ้ม อยู่ดีๆก็ผงะ เอามือกุมปากทรุดลงไปนอนดิ้นทุรนทุราย ไพคาตกใจมาก

ฝ่ายกลินท์ตัวสั่นกุมสร้อยที่คอยกมือไหว้...

“ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองลูก ได้โปรดเมตตาคุ้มครองลูกตลอดไปด้วยเทอญ”

กลินท์ลุกขึ้นมองไปรอบๆอย่างระแวดระวังแล้วเดินสะเปะสะปะไป

เจ้าวงเดือนดิ้นทุรนทุรายแต่ยังกระเสือกกระสนไปบอกไพคาว่าตนมีภารกิจต้องสะสาง ไพคาติงว่าเจ้าเจ็บอยู่

“ข้ามีวิธีรักษาตัวเองรีบกลับกันเถอะ”

ooooooo

เจ้าวงเดือนกลับถึงห้องนอนในคุ้มเวียงสวรรค์ เจ้าน้อยเพิ่งรู้สึกตัวแปลกใจที่มานอนที่ห้องนอน ถามเจ้าวงเดือนว่า “ข้ามานอนอยู่บนนี้ได้ยังไง”

เจ้าวงเดือนบอกว่าตนไปเจอท่านนอนหมดสติอยู่กระท่อมปลายนา นึกว่าท่านจะเป็นอะไรเหมือนเจ้าพ่อเจ้าแม่ไปอีกคน เจ้าน้อยพึมพำ “ข้าสลบ...แล้ว...” เจ้าน้อยไม่ทันถาม เจ้าวงเดือนก็ชิงบอกว่า

“อีเทียนคำเหรอ มันหนีไปแล้วมีคนมาช่วยมัน ตอนนี้ข้าเลยให้พวกบ่าวจับตัวแม่กับพี่มันมา ถ้าอีเทียนคำมันไม่กลับมา ข้าก็จะฆ่าแม่กับพี่มันซะ”

“สองคนนั้นมันไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย”

“เกี่ยวไม่เกี่ยวข้าก็จับมันมามัดที่เสากลางเรือนแล้ว”

เจ้าน้อยตกใจลุกพรวดไปทันที เจ้าวงเดือนเห็นแล้วยิ่งโมโห

อุ่นเฮือนและคำป้อเห็นเจ้าน้อยก็อ้อนวอนขอให้ช่วยด้วย ปล่อยพวกเราเถอะ พอเจ้าน้อยขยับปาก เสียงเจ้าวงเดือนก็แว้ดเข้ามา

“ห้ามปล่อย! อีเทียนคำมันทำเลวทรามต่ำช้าไว้มากนัก ซ้ำมันยังหนีไปอีก เอ็งสองคนจะต้องรับผิดชอบ”

“เจ้าวงเดือน เจ้าแม่เจ้าพ่อก็ยังไม่สบาย ข้าว่าอย่าเพิ่งทำอะไรเลย ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาเจ้าพ่อเจ้าแม่มันไม่ดี”

“ไม่ดีอย่างไรเจ้าคะ ถ้าเจ้าน้อยอยากจะให้เจ้าพ่อเจ้าแม่รู้เห็นเป็นพยานการตัดสินลงโทษในครั้งนี้ เจ้าพ่อเจ้าแม่ก็อยู่ตรงนั้นแล้วไงคะ”

เจ้าวงเดือนให้คนพาเจ้าเวียงสวรรค์กับเจ้าช่อเอื้องในสภาพไม่สามารถขยับและพูดได้มาที่ลานกลางคุ้ม เจ้าน้อยไม่พอใจถามว่าทำอย่างนี้ได้ยังไง เจ้าวงเดือนเสียงแข็งว่าในเมื่อเจ้าน้อยตัดสินใจอะไรไม่ได้สักอย่างก็ต้องตนนี่แหละ

“เจ้าต้องการอะไร ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้”

“แก้แค้นอีเทียนคำ!!!”

เจ้าน้อยบอกว่าสองคนนั้นไม่เกี่ยวอย่าทำมันเลย

เจ้าวงเดือนพูดเสียงแผ่วน้ำตาร่วงว่าเจ้าน้อยนั่นแหละทำตนก่อน แล้วตัดพ้อ...

“ทำยังไงข้าถึงจะตัดอีเทียนคำออกจากหัวใจของท่านได้...ทำไมอีเทียนคำมันถึงตราตรึงอยู่ในหัวใจท่านนัก แม้แต่ความรักความภักดีของข้าก็ไม่อาจทดแทนได้”

“เจ้าวงเดือนอย่าคิดเช่นนั้น ข้ารักท่านเพียงคนเดียว...ปล่อยอุ่นเฮือนกับคำป้อไปเถอะ”

“ไม่! ในเมื่ออีเทียนคำมันทำร้ายหัวใจของข้าได้ ข้าก็จะทำร้ายหัวใจของมันเหมือนกัน...ถ้ามันไม่กลับมารับโทษ มันจะได้รู้ว่า การพลัดพรากจากคนที่รักเป็นอย่างไร”

พูดจบเจ้าวงเดือนก็เรียกไพคา ไพคาหยิบหวายส่งให้ทันที เจ้าวงเดือนรับหวายตรงไปหาสองแม่ลูกที่ถูกมัดอยู่กลางลาน เจ้าน้อยร้องลั่น “อย่าเจ้าวงเดือน”

เจ้าวงเดือนไม่สนใจ เดินไปหวดหวายใส่คำป้อกับอุ่นเฮือนไม่ยั้งจนเลือดซึมออกตามร่างทั้งสองก็ยังกระหน่ำไม่หยุด เจ้าน้อยทนไม่ได้เข้าไปจับมือเจ้าวงเดือนตะโกน

“พอได้แล้ว พอ หยุด!”

“ไม่! ข้าไม่หยุด ข้าจะฟาดมันสองคนจนกว่าอีสารเลวเทียนคำจะออกมา”

เจ้าน้อยมองไปรอบ สบตากับคำแปง คำแปงอ่านสายตาออกวิ่งออกไปเงียบ

เจ้าเวียงสวรรค์นอนไม่รู้เรื่อง เจ้าช่อเอื้องรับรู้แต่ไม่สามารถพูดได้ ได้แต่นอนน้ำตาไหลอย่างคับแค้น

กลินท์วิ่งเตลิดไปไม่รู้ทิศทาง เจอชาวบ้านจึงถามว่าประตูเชียงใหม่ไปทางไหน ชาวบ้านอีกคนได้ยินก็พึมพำขำๆว่า เป็นบ้าอะไรมาถามหาประตูเชียงใหม่

คำแปงวิ่งมาเห็นกลินท์พอดี ตะโกนเรียกบอกว่าตนมาตามให้ไปช่วยแม่กับอุ่นเฮือนที่ถูกเจ้าวงเดือนจับตัวไป บอกว่า ถ้าเอ็งไม่กลับไปที่คุ้ม แม่กับพี่เอ็งตายคาหวายแน่

กลินท์ตกใจหน้าซีดเผือดวิ่งไปที่ลานกลางคุ้ม เจ้าน้อยกำลังบอกเจ้าวงเดือนให้หยุด เจ้าวงเดือนตวาดว่าไม่หยุดจนกว่าอีเทียนคำจะออกมา

“ฉันมาแล้ว!!”

กลินท์ตะโกน เจ้าวงเดือนหันหรี่ตามองยิ้มเยาะ

“ในที่สุดมึงก็มาจนได้”

ooooooo

กลินท์วิ่งทะลวงบ่าวไพร่ที่ยืนมุงดูอยู่เข้าไปร้องบอก “ปล่อยแม่กับพี่สาวฉันไปเถอะ”

ไพคาเห็นกลินท์ก็บอกเจ้าวงเดือนว่า อีเทียนคำไม่เป็นอะไร หมายความว่าไอ้สิงห์?

“ใช่ ไอ้สิงห์ทำอะไรฉันไม่ได้” กลินท์ประกาศ

“เพราะเป็นผีน่ะสิ คนมีวิชาอาคมอย่างไอ้สิงห์ถึงทำอะไรมึงไม่ได้”

“ใช่ เทียนคำมันเป็นผี เพราะพวกแกฆ่าเทียนคำไปแล้วไง”

เจ้าน้อยมองเจ้าวงเดือนขวับ เจ้าวงเดือนละล่ำละลักด่ากลินท์ว่าพูดอะไร ด่าอีบ้า! ไพคาก็ประสานเสียงตวาด “มึงพูดอะไรของมึง” กลินท์ไม่ตอบโต้แต่บอกให้ปล่อยแม่กับพี่สาวตนเดี๋ยวนี้

เจ้าวงเดือนถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งตน กลินท์สวนทันควันว่าสิทธิ์ของเจ้ากรรมนายเวร บอกให้ปล่อยแม่กับพี่สาวตนเสียแล้วตนจะอยู่รับโทษทุกอย่าง เจ้าน้อยบอกเจ้าวงเดือนทำตามที่รับปากไว้ เจ้านางพูดอะไรไว้ต้องรักษาคำพูด เจ้าวงเดือนจนแต้มแต่ยังไว้เชิงเชิดหน้าสั่ง

“ปล่อยมัน”

พอคำป้อกับอุ่นเฮือนได้รับการปลดเชือก ร่างทั้งสองก็ร่วงลงกองกับพื้น แต่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว กลินท์บอกอุ่นเฮือนให้พาแม่ไปเร็ว ไม่ต้องเป็นห่วงตน ตนเอาตัวรอดได้ พออุ่นเฮือนประคองคำป้อออกไป

เจ้าวงเดือนก็สั่งเหี้ยม

“เอาตัวมันไปมัด!”

บ่าวไพร่กรูกันลากกลินท์ไป เจ้าน้อยได้แต่ยืนมองและคิดหาทางช่วย

กลินท์ถูกมัดมือมัดเท้าไว้ที่กลางลาน แต่ปากยังด่าพวกเจ้าวงเดือนว่าเป็นพวกหมาหมู่ เจ้าน้อยบอกเทียนคำให้หยุดพูดเดี๋ยวตัวเองจะเดือดร้อน กลินท์ท้าเจ้าน้อยให้แสดงความเป็นผู้นำของคุ้ม แต่เจ้าวงเดือนถือหวายเข้ามาให้เจ้าน้อย ตะโกนยุให้ฟาดมันเลย

คนเนรคุณแบบนี้ต้องเจอหนักๆ ทั้งที่เจ้าน้อยเคยช่วยชีวิตมันไว้ มันยังคิดร้ายอกตัญญู

กลินท์โต้ว่าเจ้าน้อยไม่เคยช่วยชีวิตตนพ้นจากเขี้ยวเสืออย่างที่คุยโอ้อวด คนที่ช่วยชีวิตตนโดยการโยนไฟใส่เสือคือพ่อหนานแก้ว

สิ้นเสียงกลินท์ฟ้าผ่าเปรี้ยง! ราวกับมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น คำป้ออยู่ที่บ้านยกมือไหว้อธิษฐาน

“ขอให้ปาฏิหาริย์จากฟ้าช่วยให้มันแคล้วคลาดปลอดภัย สาธุ”

กลินท์เปิดโปงว่าแม้แต่ฟ้ายังเป็นพยานว่าเจ้าน้อยพูดปด ท่านใช้โอกาสนั้นสร้างตัวเองเป็นวีรบุรุษเพื่อให้เทียนคำหลงเชื่อจนยอมฝากชีวิตไว้กับท่าน มอบทุกอย่างให้กับท่านแล้วท่านก็ทำร้ายเทียนคำ

เจ้าน้อยถูกกลินท์แฉก็ทั้งตกใจอับอายเงอะงะ เจ้าวงเดือนด่ากลินท์ว่าโกหก

“ฉันไม่ได้โกหก เจ้าน้อยนั่นแหละโกหกเจ้าพ่อเจ้าแม่ โกหกคนทั้งคุ้ม”

“มึงหยุดพูดเดี๋ยวนี้อีเทียนคำ” เจ้าน้อยฟาดกลินท์หมายให้หยุด “เพราะมึงคนเดียวที่ทำให้คุ้มของข้าต้องเจอความวิบัติฉิบหาย เจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่สบายลุกเดินไปไหนไม่ได้ก็เพราะมึง”

กลินท์บอกว่าไม่ใช่ตน แต่เพราะเจ้าเวียงสวรรค์ผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับพ่อหนานแก้ว ทุกคนที่นี่ถึงมีอันเป็นไปไม่มีความสุข

เจ้าช่อเอื้องที่ยังรับรู้ทุกอย่างแต่พูดไม่ได้ น้ำตาไหลพรากพยายามพยักหน้า เจ้าน้อยดีใจเข้าไปหาแต่ปากก็ยังเถียงกลินท์ว่าอย่ากล่าวหาเพราะคนในคุ้มไม่มีใครคิดทำร้ายมึง

กลินท์เปิดโปงว่าเจ้าวงเดือนไม่เคยเลิกอาฆาตเทียนคำ ความวิบัติทั้งหมดเกิดขึ้นตั้งแต่เจ้าวงเดือนฆ่าเทียนคำแล้ว เจ้าน้อยถามเจ้าวงเดือนว่าจริงหรือ เจ้าวงเดือนปฏิเสธหน้าซีดปากสั่น เจ้าช่อเอื้องที่พยายามจะพูดก็เกิดปาฏิหาริย์พูดออกมากระท่อนกระแท่น

“จะ...จริง...”

เจ้าวงเดือนยิ่งตกใจหน้าซีด ไพคาปราดเข้าไปถามว่าหรือยาที่เจ้าให้มันกินจะเริ่มหมดฤทธิ์แล้ว เจ้าวงเดือนบอกเจ้าน้อยว่าเจ้าแม่อาจเพ้อเพราะไม่สบาย ตอนนี้ได้เวลาให้แม่กินยาแล้ว สั่งไพคาเอายามา

“ยะ...ยา...ยาพิษ” เจ้าช่อเอื้องพยายามบอก “มันวางยาพิษแม่ มันมีมนตร์ดำ มันเล่นของใส่คุ้มของเรา”

เจ้าวงเดือนหาว่าเจ้าแม่เพ้อใหญ่แล้ว สั่งไพคา

ที่เอายามาให้เอาให้เจ้าแม่กินเร็ว เจ้าช่อเอื้องพยายามเบือนหน้าหนี เจ้าน้อยแย่งถ้วยยาไปบอกว่าตนจัดการเอง เจ้าวงเดือนก็เร่งว่ายาบำรุงต้องกินทันทีหลังปรุงเสร็จให้เจ้าน้อยรีบให้เจ้าแม่กินก่อนที่ฤทธิ์ยาจะเสื่อม ไพคาก็ช่วยเร่งรัด

เจ้าน้อยหันขวับบอกไพคาว่าถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องกินให้ดู จะได้รู้ว่ามันเป็นอย่างที่เจ้าแม่พูดหรือเปล่า ไพคาหน้าซีดเผือด ถูกเจ้าน้อยเอายากรอกปากจนได้

ทันทีที่ถูกกรอกยา ไพคาก็หายใจหอบตัวแข็งทื่อดิ้นเฮือกสุดท้ายขอให้เจ้าวงเดือนช่วยด้วย

เจ้าน้อยถึงกับน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าเจ้าแม่โดนวางยาจริงๆ ขว้างถ้วยยาหันตะคอก

“วงเดือน!”

เจ้าวงเดือนปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำตนถูกเทียนคำใส่ร้าย เจ้าน้อยแค้นคลั่งตบเจ้าวงเดือนล้ม บอกว่าเจ้าแม่ไม่เคยโกหกตน เจ้าวงเดือนจนแต้มรับว่าที่ทำเพราะรักเจ้าน้อยทำเพื่อให้เจ้าน้อยได้เป็นเจ้าหลวง

เจ้าน้อยพูดอย่างรู้สึกผิดว่า เพราะตนอ่อนแอเห็นแก่ตัว ทุกอย่างจึงพังพินาศแบบนี้ พูดเสียงสั่นเครือว่า

“ถ้าข้าไม่คิดถึงเกียรติยศหน้าตา ความเหมาะสม เมียของข้าก็คงจะเป็นเทียนคำไม่ใช่เจ้า!”

เจ้าวงเดือนกรี๊ดสติแตกพุ่งเข้าทำร้ายกลินท์ที่ถูกมัดกับเสาอย่างบ้าคลั่ง เจ้าน้อยรีบเข้าไปห้าม แต่เจ้าวงเดือนสติแตกหมดสิ้นทุกอย่างแล้ว คว้าตะเกียงน้ำมันขว้างไป ตะเกียงแตกเปลวไฟลุกพึ่บลามไปไหม้เรือนใหญ่อย่างเร็ว กลินท์ตะโกน “ไฟไหม้!” เจ้าน้อยได้สติตะโกนให้ช่วยกันดับไฟ

บ่าวไพร่ช่วยกันดับไฟ แต่เจ้าวงเดือนที่คลุ้มคลั่งกลับคว้าตะเกียงขว้างไปอีกไฟก็ยิ่งลุกโชน!

คำป้อกับอุ่นเฮือนเห็นไฟไหม้เรือนใหญ่ก็รีบวิ่งไปด้วยความเป็นห่วงเทียนคำ

กลินท์เห็นเจ้าวงเดือนขว้างตะเกียงอย่างบ้าคลั่งก็ตะโกนบอกเจ้าน้อยว่าดับไฟไม่ทันหรอกให้รีบพาเจ้าเวียงสวรรค์และเจ้าช่อเอื้องหนีไปก่อน เจ้าน้อยจึงให้คำแปงพาเจ้าพ่อกับเจ้าแม่ไป

กลินท์ถูกมัดอยู่ ไฟลุกลามใกล้ตัวทุกทีนึกว่าต้องตายในกองเพลิงนี้แน่แล้ว คิดในใจว่า

“ไม่ว่าไฟแบบไหน สุดท้ายไฟก็เผาฉันจริง”

คำป้อกับอุ่นเฮือนวิ่งมาเห็นกลินท์กำลังจะถูกไฟคลอกวิ่งเข้าไปช่วย คำป้อเห็นมีดปอกผลไม้วิ่งไปเอามาตัดเชือกแล้วเอามีดเหน็บชายพก สองคนแม่ลูกช่วยพากลินท์ออกมาจนปลอดภัย คำป้อให้อุ่นเฮือนเฝ้ากลินท์ไว้ ตัวเองวิ่งไปช่วยดับไฟที่เรือนใหญ่

ส่วนเจ้าวงเดือนไม่ยอมไปไหนรอแต่จะให้

เจ้าน้อยมาช่วย คำป้อเข้าไปช่วยเจ้าวงเดือนก็ไม่ยอมไป รอแต่จะให้เจ้าน้อยมาช่วย คำป้อจึงไปอ้อนวอนเจ้าน้อยให้ไปช่วยเจ้าวงเดือน เจ้าน้อยตัดสินใจไปช่วยแต่เจ้าวงเดือนกับไพคาก็ถูกขื่อติดไฟหล่นทับ เจ้าน้อยชะงักแล้วหันหลังเดินกลับ ไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง

กลินท์รู้สึกตัวถามหาแม่ อุ่นเฮือนบอกว่าขึ้นไปช่วยคนบนเรือนดับไฟ ถามถึงเจ้าพ่อเจ้าแม่รู้ว่าปลอดภัยจึงถามถึงเจ้าวงเดือน พอรู้ว่ารอเจ้าน้อยไปช่วยอยู่ กลินท์รำพึงสมเพช “เพราะความรักความหลงแท้ๆ”

กลินท์บอกอุ่นเฮือนว่าดีใจที่ได้เป็นน้องสาวพี่ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วตนต้องกลับไปโลกของตนและเราคงไม่ได้พบกันอีก อุ่นเฮือนถามว่า “เอ็งพูดอะไร...”

“ฉันไม่ได้บ้า ฉันไม่ใช่เทียนคำ ฉันชื่อกลินท์

ฉันมาจากอนาคต หรือเอาง่ายๆก็คือ เทียนคำกลับชาติมาเกิดเป็นฉัน...ฉันกลับมาเพื่อสะสางความแค้นที่เทียนคำถูกกระทำ แต่ตอนนี้หมดเวลาแล้ว ฉันต้องกลับไปโลกของฉัน พี่ไม่ต้องห่วง เราสองคนจะได้เจอกัน อยู่ด้วยกัน รักกัน เราจากกันแค่ตอนนี้ แต่เราจะได้เจอกันในโลกอนาคต ฝากลาแม่ด้วยนะ”

กลินท์ลุกขึ้น มองคุ้มเวียงสวรรค์ที่กำลังถูกไฟไหม้

“จบสิ้นความแค้นของฉันซะที ถ้ามีสิ่งใดที่ล่วงเกิน จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา ฉันขออโหสิกรรม”

กลินท์หมุนตัวออกไป อุ่นเฮือนใจหาย มองตามจนกลินท์ลับร่างไป พึมพำ “เทียนคำ...” แล้ววิ่งตาม แต่ก็ต้องหยุดเมื่อร่างกลินท์ค่อยๆหายไป

คำป้อมาถึงพอรู้ว่ากลินท์ไปทางประตูเวียงแล้ว ก็นึกสังหรณ์ใจบางอย่าง...

กลินท์กระเซอะกระเซิงไปใกล้ประตูท้ายเวียงก็ได้ยินเสียงคำป้อเรียกบอกว่าอย่าเพิ่งไป กลินท์ดีใจโผกอดแม่ คำป้อถามว่าจะไปไหน กลินท์บอกว่ากลับโลกของตน ถึงเวลาแล้ว ตนไม่ติดค้างอะไรอีกแล้ว แม่กับพี่อุ่นเฮือนปลอดภัยตนก็ดีใจแล้ว

คำป้อถามว่าไม่รักแม่แล้วหรือถึงจะไป

“รัก...รักมากจ้ะ แต่เทียนคำลูกสาวของแม่

ตายจากแม่ไปนานแล้ว ฉันเป็นเพียงผู้ประสานดวงจิตของเทียนคำให้กลับมาแก้แค้น ตอนนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับไปยังโลกของฉัน แต่ฉันจะจำแม่ และพี่อุ่นเฮือนไว้ตลอดไป...

ฉันลาก่อนนะแม่”

“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่รักเอ็งนะเทียนคำ แม่รักเอ็งยิ่งกว่าชีวิตของแม่ แต่เวลานี้ในเมื่อเอ็งก็ไม่ใช่เทียนคำ

คนเดิมแล้ว ก็อยู่ด้วยกันเสียที่นี่เถอะ”

ขณะกลินท์กำลังงงๆนั้น คำป้อเอามีดจากชายพกแทงกลางหลังคามีดไว้อย่างนั้นจนกลินท์ร้องลั่น อุ่นเฮือนวิ่งมาเห็นถามแม่ว่าแทงเทียนคำทำไม

“แม่ไม่อยากทำแบบนี้ แต่ในเมื่อเอ็งเป็นตัวซวย ตัวหายนะ กลับมามีแต่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายลงไป แม่เลยต้องทำ”

“ฉันกำลังจะไปแล้วแม่”

กลินท์น้ำตาไหลเสียใจอย่างที่สุด บอกคำป้อว่าพวกเขาทำร้ายตนก่อน แต่ตอนนี้ตนสำนึกแล้วและกำลังจะไป คำป้อพูดอย่างเจ็บปวดว่า

“ไปเพื่ออะไร ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างพังพินาศย่อยยับไปหมดแล้วเพราะเอ็ง ข้าตัดสินใจแล้ว ถ้าลูกของข้ามันคือตัวหายนะ ข้าในฐานะแม่ แม่ที่เลี้ยงเอ็งมากับมือ ถึงจะเจ็บปวดแค่ไหน ข้าก็ต้องแก้ปัญหา”

คำป้อดึงมีดออกมาจะแทงซ้ำ อุ่นเฮือนดึงมีดไว้อ้อนวอนแม่ให้ปล่อยมันไปเถอะ บอกกลินท์ให้รีบหนีไป กลินท์น้ำตาไหลพรากเอ่ยลาแม่กับอุ่นเฮือน อุ่นเฮือนพยุงร่างคำป้อที่ทรุดกับพื้นร้องไห้ไปด้วยกัน

กลินท์พยายามพาร่างโชกเลือดไปทางที่จะไปประตูเมือง แต่ไม่ทันถึงก็หมดสติเสียก่อน...

ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ สายป่านกับเน่าเป็นห่วงกลินท์ที่หายไปและเบนก็ยังไม่ฟื้น สายป่านจะไปตามหากลินท์ เน่าจะไปด้วย โดยจะฝากเบนไว้กับพยาบาล บอกสายป่านว่า

“พรุ่งนี้เราบินไปเชียงใหม่แล้วก็ไปรอลินท์ที่ประตูเชียงใหม่ เพราะเบนเคยบอกว่าลินท์เข้าออกได้ประตูละครั้ง ประตูเชียงใหม่เป็นประตูสุดท้ายที่ลินท์ใช้ผ่านเข้าออกมิติ”

“ถ้าดวงจิตของคุณเจอลินท์ คุณต้องกลับมาพร้อมลินท์นะเบน” สายป่านบอกเบนที่ยังนอนนิ่ง

ooooooo

เช้าตรู่กลินท์รู้สึกตัวก็ได้ยินเสียงม้าย่ำมา พอเสียงม้าหยุดก็มีคนกระโดดลงมา หลุยส์นั่นเอง!

หลุยส์เห็นกลินท์นอนจมกองเลือดอยู่ก็ถลาเข้าประคอง บอกว่าเธอถูกแทงและจะพาไปหาพ่อครูหลวง

“ไม่...ทิ้งฉันไว้ที่นี่ คุณไม่ควรมายุ่งกับฉันอีก ฉันมันตัวหายนะ ตัวซวย ไปสิ”

“ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น โชคดีที่แผลไม่ลึก คนที่แทงคงไม่ได้กะทำให้คุณตายหรอก” กลินท์บอกว่าแต่เขาเกลียดจนไม่อยากให้ตนมีชีวิตอยู่ “แต่ผมอยากให้คุณอยู่ คุณต้องกลับไปยังโลกของคุณ ที่นี่คุณอาจจะทำทุกอย่างพังพินาศหมด แต่ในโลกของคุณ คุณสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ”

“ใช่...ในเมื่ออดีตมันแก้ไขไม่ได้ ฉันก็ต้องเดินไปข้างหน้า”

“รีบไปกันเถอะ ผมจะไปส่งคุณกลับที่ประตูท้ายเวียง”

หลุยส์อุ้มกลินท์ขึ้นหลังม้ามุ่งหน้าไปที่เขตกำแพงเมือง ตลอดทางกลินท์นิ่งเงียบจนหลุยส์ถามว่าไหวไหม กลินท์ขอบคุณหลุยส์ที่อยู่เคียงข้างตนตลอดเวลาไม่ว่าตนจะทำเรื่องงี่เง่าแค่ไหนก็มีเขาเพียงคนเดียวที่เข้าใจตนมาตลอด ถามหลุยส์ว่า

“หลุยส์รู้ไหม ก่อนที่ฉันจะรู้จักคุณ ฉันไม่เคยเกลียดตัวเองเท่านี้มาก่อนเลย”

“ถ้าคุณเกลียดตัวเอง มันจะไปลำบากคนที่รักคุณนะ” กลินท์ถามว่าทำไมล่ะ “เพราะเขาจะรักคุณเพิ่มมากขึ้นอีกหนึ่งเท่า รักเผื่อตัวคุณเองไง เหมือนที่ผมทำอยู่...เพราะฉะนั้นคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่รักตัวเองแล้ว เพราะผมไม่อนุญาต”

กลินท์ยิ้มทั้งน้ำตา กอดหลุยส์ไว้แน่น หลุยส์กระตุกม้าให้วิ่งต่อไป พอถึงประตูเชียงใหม่ หลุยส์

บอกกลินท์ให้ดูแลตัวเองพลางเอื้อมมือแตะบาดแผลอย่างเป็นห่วง

“คุณก็เหมือนกัน ดูแลรักษาตัวเองให้ดีนะ เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ยังไงอีกฟากประตูนั้นคุณก็รออยู่เหมือนกัน” กลินท์เขย่งขึ้นหอมแก้มหลุยส์อย่างซาบซึ้งแทนคำขอบคุณ “ขอบคุณนะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ฝากดูแลแม่และพี่สาวฉันด้วย หวังว่าสักวันแม่คำป้อจะเข้าใจฉันนะ”

“โชคดีนะเทียนคำ...”

ฝ่ายแม่ชีธารทองที่นั่งสมาธิที่วัด แม่ชีอยู่ในภาวะว้าวุ่นใจไม่น้อย...พึมพำ

“ลูกต้องปลอดภัยนะแก้ว...แม่ขอส่งผลบุญถึงแก้วให้ปลอดภัย”

ooooooo

ก่อนจากกัน กลินท์ถอดสร้อยที่สร้อยสังวาลให้หลุยส์ บอกว่า

“ไม่ว่าคุณจะเชื่อในพระเจ้า หรือจะเชื่อในพระรัตนตรัย แต่ฉันอยากให้สร้อยเส้นนี้กับคุณ...สร้อยเส้นนี้ปกป้องฉันจากภยันตรายมาหลายครั้ง ฉันอยากให้คุณเก็บไว้เป็นตัวแทนของฉัน”

กลินท์เอาสร้อยใส่มือหลุยส์ หลุยส์กำสร้อยไว้แน่น เหมือนยอมรับสร้อยเส้นนั้น กลินท์ถอนใจโล่งอกที่

หลุยส์ยอมรับสร้อย แต่ก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูก เหลือบมองหลุยส์ด้วยความรักและห่วงอาลัย บอกน้ำตาคลอ

“ฉันรักคุณ!”

พูดแล้วกลินท์วิ่งไปที่ประตู เห็นแสงขาวส่องทางและเสียงกลองอึกทึกดังขึ้นเหมือนวันที่กลินท์ข้ามผ่านอดีตในครั้งแรก

กลินท์หันมองหลุยส์เห็นเขาตะโกนเรียกแต่เธอไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร พลันร่างกลินท์ก็ถูกแสงสีขาวดูดหายไป หลุยส์กำสร้อยไว้แน่นมองตามปรากฏการณ์นั้นอย่างตื่นเต้น

เช้านี้ สายป่านกับเน่ากำลังใส่บาตรที่ประตูเชียงใหม่ ต้องตาเบิกโพลงเมื่อเห็นประกายทองสว่างจ้าอยู่กลางประตูพร้อมกับร่างของกลินท์ที่ยืนโซเซ เห็นปิ่นทองปักที่มวยผมเด่นชัด

“ลินท์!!”

สายป่านร้อง แล้วทั้งสายป่านกับเน่าก็พุ่งไปที่ประตู ไปไม่ทันถึง ร่างกลินท์ก็ทรุดลงกับพื้น สายป่านตกใจเมื่อเห็นร่างกลินท์เต็มไปด้วยเลือด

“ลินท์...ลินท์ ใครทำอะไรเธอ!”

“รีบพาลินท์ไปโรงพยาบาลเร็ว”

เน่าช้อนร่างกลินท์ขึ้นทันที...

ooooooo

อินทร์คุยกับทนายอยู่ที่บ้านสรวงโดยมีแม็คร่วมคุยด้วย เขาขอให้ทนายหาหลักฐานพยานแวดล้อมทุกอย่างมายืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ภรรยาตน ไม่ได้ตั้งใจ แม็คบอกว่าดีใจที่คุณอินทร์ทำเพื่อคุณติ๊

สรวงรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านอารมณ์ดี แต่พอเงยขึ้นก็ชะงักเมื่อเห็นดุษฎีเดินหน้านิ่งเข้ามา

“ลูกอยู่ข้างใน...” สรวงรีบบอก

“เข้าไปด้วยกันสิคุณสรวง นานแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน ฉันอยากคุยกับคุณพร้อมลูก” ดุษฎีเสียงนุ่ม ญาติดี เดินตามสรวงเข้าไปใจก็นึกถึงที่ได้คุยกับแม็คก่อนหน้านี้...

วันนั้น...ดุษฎีเข้าไปหาแม็ค ตำหนิต่อว่าเขาที่ไม่บอกว่าอินทร์ไปที่บ้านพ่อ แม็คบอกว่าช่วงนี้เห็น

คุณอินทร์เครียดมาก ตนอยากให้คุณอินทร์ได้พักบ้าง ดุษฎี ไม่พอใจบอกว่าอินทร์กลับมาเมื่อไหร่จะให้ไล่เขาออก

“ไม่ออก ไล่ยังไงก็ไม่ออก” แม็คเสียงแข็ง ยืนยันว่าคนที่จะไล่ตนออกได้มีแต่คุณอินทร์คนเดียว ดุษฎีถูกแม็คเด็กรุ่นลูกตำหนิอย่างเจ็บแสบว่า “เพราะคุณเป็นคนอย่างนี้ไง เจ้ากี้เจ้าการ เจ้าอารมณ์ ชอบควบคุมไปเสียทุกอย่าง ผัวกับลูกถึงอยู่ด้วยไม่ได้”

ดุษฎีอ้าปากค้างจะด่าแม็ค แม็คบอกว่าตนไม่ใช่ทาสของคุณเข้าใจด้วย ซ้ำยังอบรมว่า

“รู้ไว้ด้วยนะครับที่คุณอินทร์นิสัยอย่างนี้ก็เพราะมีแม่อย่างคุณ ตามใจกันเข้าไป มีอย่างที่ไหนเห็นลูกทำผิดก็ยังยุยงส่งเสริม อย่างนี้สมควรจะเป็นแม่คนไหมเนี่ย... อายุอานามก็มากแล้วยังคิดอะไรไม่ได้อีก...ถามหน่อย เวลาลูกเดือดร้อนทำตัวเป็นที่พึ่งได้รึเปล่า ไม่งั้นคุณอินทร์เขาไม่หนีไปหาคุณสรวงพ่อเขาหรอก”

ดุษฎีถูกเด็กรุ่นลูกอบรมก็พูดไม่ออก แม็คยังเล่นชุดใหญ่ต่ออีก

“ที่ผมกล้าเถียงคุณดุษฎีอย่างนี้เพราะรักและเคารพคุณอินทร์เหมือนพี่ชายแท้ๆ ถึงคุณอินทร์จะมีข้อเสียเรื่องผู้หญิง แต่คุณอินทร์ก็เป็นเจ้านายที่ดี ห่วงใยลูกน้อง ผมสงสารคุณอินทร์ ทุกครั้งที่มีปัญหาแต่ก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครเลยต้องมาระบายกับคนนอกอย่างผม”

แม็คน้ำตารื้นอย่างเห็นใจอินทร์

“คุณดุษฎีเป็นแม่ของคุณอินทร์แท้ๆ ทำไมถึง

ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีล่ะครับ ผมรู้ว่าที่คุณอินทร์เป็นอย่างนี้เพราะครอบครัวไม่อบอุ่น คุณอินทร์ถึงต้องการความรักจากคนอื่นมาทดแทน...ผมพูดแค่นี้แหละครับ หลังจากนี้คุณดุษฎีจะคิดได้รึเปล่าผมก็ไม่รู้ จะบังคับให้คุณอินทร์ไล่ผมออกก็ได้ แต่ตอนนี้ระหว่างที่เจ้านายผมมีปัญหาชีวิต ผมขอทำหน้าที่เลขาของผมให้ดีที่สุดก่อน”

ดุษฎีถูกเด็กรุ่นลูกพูดจี้ใจดำก็พูดไม่ออก มองแม็คนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงออกไปเงียบๆ

วันนี้เมื่อมาหาอินทร์ที่บ้านสรวง ท่าทีของดุษฎีจึงต่างไปจนสรวงแปลกใจ เมื่อพาดุษฎีเข้าไปหาอินทร์ แม็คจึงขอตัวไปส่งทนายเพื่อให้พ่อแม่ลูกได้อยู่กันตามลำพัง

ดุษฎีมองอินทร์ที่ท่าทีตกใจบอกว่า

“ไม่ต้องห่วง แม่ไม่ได้มาหาเรื่องพ่อ และแม่ก็ไม่ได้โกรธเกลียดพ่อเหมือนเมื่อก่อน...และแม่ก็ไม่ได้โกรธที่เวลาแบบนี้อินทร์เลือกที่จะมาหาพ่อ...มันเป็นเรื่องปกติ ตรงไหนเย็นสบายไม่ร้อนรุ่มเหมือนไฟเผา ผู้คนก็พร้อมจะมา”

อินทร์กับสรวงมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึงกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของดุษฎี ดุษฎีพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่หนักแน่น

“แต่อินทร์ก็น่าจะคุยกับติ๊บ้างนะลูก ไปเยี่ยมติ๊ให้พ่อแม่ของติ๊สบายใจว่าอินทร์ไม่ได้ทอดทิ้งติ๊” ดุษฎีถอนใจก่อนบอกว่า “มันอาจจะยากในการเริ่มต้นพูดคุยกันเหมือนแม่กับพ่อ แต่มันก็คือการเริ่มต้น”

สรวงมองดุษฎีอย่างไม่อยากเชื่อว่าภรรยาจะเปลี่ยนแปลงได้ถึงขนาดนี้ ดุษฎียังคงพูดเรื่อยๆว่า

“แม่ว่า...ติ๊คงอยากได้กำลังใจมากๆ โดยเฉพาะ...

จากอินทร์” อินทร์บอกว่าเรื่องยังไม่จบตนไม่อยากสู้หน้าใคร เพราะตนเป็นต้นเหตุ ดุษฎีย้ำว่า “คำนี้อีกเหมือนกัน...ที่แม่ว่าติ๊อยากได้ยินจากอินทร์”

สรวงเห็นอินทร์หน้าเสียรีบบอกว่า

อ่านละคร เพลิงพรางเทียน ตอนที่ 12 วันที่ 6 มิ.ย.62

ละครเรื่อง เพลิงพรางเทียน บทประพันธ์โดย หัสวีร์
ละครเรื่อง เพลิงพรางเทียน บทโทรทัศน์โดย ปานตะวัน
ละครเรื่อง เพลิงพรางเทียน กำกับการแสดงโดย วรวิทย์ ศรีสุภาพ
ละครเรื่อง เพลิงพรางเทียน ผลิตโดย บริษัท กู้ด ฟีลลิ่ง จำกัด
ละครเรื่อง เพลิงพรางเทียน ควบคุมการผลิตโดย สมจริง ศรีสุภาพ
ที่มา ไทยรัฐ