เรื่องย่อซีรี่ย์ มนต์รักในม่านเมฆ


เรื่องย่อซีรี่ย์ มนต์รักในม่านเมฆ
ออกอากาศ : ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 13.40–14.40 น.
นำแสดงโดย : จางเจียหนี ฟางจงซิ่น ฉินฟง เป่าเจี้ยนฟง
รายละเอียด :จื่อหลิงแอบหลงรักฉู่เหลียนแฟนหนุ่มของลี่ผิงพี่สาวของเธอมาตั้งแต่เล็ก จื่อหลิงได้เก็บซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ในม่านมุก เมื่อครั้งที่จื่อหลิงไปเที่ยวฝรั่งเศส จื่อหลิงได้พบกับหยุนฝานซึ่งหลบหนีการแต่งงานเข้าโดยบังเอิญ ในเวลานั้น จื่อหลิงหลอกหยุนฝานว่าเธอมีชื่อว่าซืออี้ หยุนฝานก็หลอกจื่อหลิงเช่นเดียวกันโดยบอกเธอว่าชื่อหมาฝาน นับแต่นั้นเป็นต้นมาชะตาชีวิตก็กำหนดให้คน ทั้งสองมีเรื่องพัวพันกันเรื่อยมา


เรื่องย่อซีรี่ย์ มนต์รักในม่านเมฆ
สกุลหวังและสกุลฉู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันสองชั่วอายุคน สกุลหวังมีลูกสาวสองคน ได้แก่ ลี่ผิงและจื่อหลิง ส่วนสกุลฉู่มีลูกชายสองคน ได้แก่ ฉู่เหลียนและฉู่เพ่ย ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสี่มักจะหยอกเย้ากันเป็นประจำจึงทำให้ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าหวังลี่ผิงและฉู่เหลียนเป็นเนื้อคู่ที่เหมาะสมกันมาก แต่นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงซึ่งเพิ่งเป็นสาวกลับแอบรักฉู่เหลียน หวังลี่ผิงรักการเต้นรำเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนจื่อหลิงนั้นช่างคิดช่างฝัน พ่อเห็นจุดเด่นของลูกสาวทั้งสองจึงตั้งฉายาลี่ผิงเป็นนักเต้น ส่วนจื่อหลิงเป็นช่างฝัน การแสดงเต้นรำของลี่ผิงใกล้เข้ามาทุกที ทำให้ลี่ผิงฝึกซ้อมอย่างหนักไม่เว้นแต่ละวัน ในวันแสดงเต้นรำของลี่ผิง สกุลหวังและสกุลฉู่ต่างพากันมาชมการแข่งขันอย่างคับคั่ง ลี่ผิงสวมใส่ชุดเต้นรำสีม่วงประกบกับคู่เต้นชาย รายล้อมด้วยนักเต้นชุดสีแดงเพลิง สวยสดงดงาม การแสดงได้รับเสียงปรบมือเกรียกราวจากผู้ชม แม้แต่ฉู่เหลียนก็เคลิบเคลิ้มไปกับการแสดง นับว่าลี่ผิงเป็นความภาคภูมิใจของสกุลหวังเลยทีเดียว
จื่อหลิงร้อยมุกอยู่ในห้อง เธอมีความคิดว่ามุกแต่ละเม็ดแทนแต่ละความฝัน แต่ละความฝันก็จะมีชื่อกำกับ ชื่อที่ว่านั้นเป็นชื่อของฉู่เหลียนนั่นเอง หลังจากที่จื่อหลิงร้อยมุกเรียบร้อยแล้วก็ปีนโต๊ะเพื่อนำมุกขึ้นไปแขวนเป็นม่านมุก นึกไม่ถึงว่าแม่รีบร้อนเข้ามาในห้อง ทำให้จื่อหลิงตกใจมากจนเกือบตกลงมาจากโต๊ะ โชคดีที่ฉู่เหลียนรับจื่อหลิงไว้ทันเสียก่อน ทำให้จื่อหลิงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ฉู่เหลียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดจื่อหลิงจึงนำมุกขึ้นไปแขวนเป็นม่านมุกทั่วทั้งห้อง จื่อหลิงเขินอายจนหน้าแดงโดยตอบแต่เพียงว่าเพราะชื่นชอบเท่านั้น
ฉู่เหลียนไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่ฝรั่งเศส สกุลหวังและสกุลฉู่ต่างพากันไปที่สนามบินเพื่อส่งฉู่เหลียนออกเดินทาง ทั้งสองครอบครัวตกลงกันว่าหลังจากที่จื่อหลิงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็จะพากันไปท่องเที่ยวที่ฝรั่งเศส นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงกลับสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แม้ว่าจื่อหลิงผิดหวังที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่เธอก็ติดตามลี่ผิงพี่สาวของเธอไปฝรั่งเศส จื่อหลิงซึ่งไม่สบอารมณ์สักเท่าใดนักได้รู้จักกับเฟ่ยหยุนฟานเข้าโดยบังเอิญ ด้วยความที่ทั้งสองเป็นไม้เบื่อไม้เมากัน ทั้งสองจึงตั้งฉายาให้กันและกันโดยจื่อหลิงได้รับฉายาว่า “หวังไร้สติ” เฟ่ยหยุนฟานได้รับฉายาว่า “เฟ่ยจอมยุ่ง” แต่แล้วเฟ่ยหยุนฟานก็สุดที่จะห้ามใจชื่นชอบจื่อหลิงหญิงสาวซึ่งไร้เดียงสาและเปี่ยมด้วยความน่ารักไปได้ การเป็นไม้เบื่อไม้เมาของเฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงนี้เอง ทำให้ความขุ่นมัวที่อยู่ในจิตใจของจื่อหลิงถูกทำลายลงไป

เฟ่ยหยุนฟานรู้สึกรำคาญที่ถูกอิซาเบล่าหญิงสาวชาวฝรั่งเศสตามตื้อให้แต่งงาน จื่อหลิง,ลี่ผิงและฉู่เหลียนท่องเที่ยวในฝรั่งเศสอย่างมีความสุข จื่อหลิงไม่ระวังพลัดตกลงไปในบ่อน้ำพุจนเปียกปอนไปทั้งตัว ต้องกลับโรงแรมที่พักในสภาพมอมแมมราวกับแมวตกน้ำเช่นนั้น นึกไม่ถึงว่าถูกเฟ่ยหยุนฟานพบเห็นเข้า จื่อหลิงอับอายจึงวิ่งเข้าไปในลิฟท์จนชนเข้ากับบริกรโรงแรมซึ่งถือถาดกาแฟไปให้ลูกค้า ทำให้กาแฟหกรดใส่ตัวจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปประคองจื่อหลิง ทั้งหยุนฟานและจื่อหลิงต่างดีใจมากที่ได้พบกันอีกครั้ง จื่อหลิงพูดด้วยอารมณ์ขันว่าเธอเปลี่ยนชื่อเป็น “จอมซวย” ไปเสียแล้ว เรโนพ่ออิซาเบล่าใช้กำลังจับตัวเฟ่ยหยุนฟานไป จื่อหลิงเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ลี่ผิงเร่งเร้าให้จื่อหลิงรีบกลับเข้าห้องพักอาบน้ำอุ่นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นหวัด เมื่อจื่อหลิงกลับเข้าห้องพักก็พบดอกไม้ที่เฟ่ยหยุนฟานส่งมาให้ ดอกไม้ที่เฟ่ยหยุนฟานมอบให้ทำให้จื่อหลิงถึงกับหัวใจพองโตด้วยความดีใจเลยทีเดียว ฉู่เหลียนเตือนสติจื่อหลิงว่าผู้ชายยิ่งโรแมนติกยิ่งน่ากลัว อย่าได้สานสัมพันธ์ให้ลึกซึ้งไปมากกว่านี้ จื่อหลิงผงกศีรษะรับฟังคำเตือนของฉู่เหลียน
ทัศนียภาพอันสวยงามของปารีสทำให้จื่อหลิง,ลี่ผิงและฉู่เหลียนเคลิบเคลิ้มไปตามกัน ทุกครั้งที่ทั้งสามออกไปท่องเที่ยวด้วยกัน ลี่ผิงและฉู่เหลียนก็จะเดินคลอเคลียกันโดยปล่อยให้จื่อหลิงเดินตามลำพังอยู่ด้านหลัง ฉู่เหลียนไม่อยากเห็นจื่อหลิงรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจึงบอกจื่อหลิงมาเดินด้วยกัน ทุกครั้งที่มีผู้ชายเข้ามาจีบจื่อหลิง ฉู่เหลียนก็จะแสดงตัวเป็นแฟนหนุ่มเพื่อขับไล่ผู้ชายเหล่านั้นไป วันหนึ่ง ลี่ผิง,จื่อหลิงและฉู่เหลียนได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเฟ่ยหยุนฟาน จื่อหลิงตกใจมากจนลืมตัวลุกจากที่นั่งตะโกนร้อง “จอมยุ่ง” ออกมาเมื่อเห็นเฟ่ยหยุนฟานสวมใส่ชุดแต่งงานในฐานะเจ้าบ่าว พฤติกรรมของจื่อหลิงสร้างความอับอายให้ลี่ผิงเป็นอันมากจนต้องบอกให้จื่อหลิงสำรวม จื่อหลิงซึ่งเดิมทีกำลังอิมเอมกับบรรยากาศอันแสนโรแมนติก แต่แล้วกลับกลายเป็นการทำลายความรู้สึกของเธอ


สี่ปีต่อมา ฉู่เหลียนกลายเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของบริษัทก่อสร้างระดับแนวหน้าของโลก ส่วนลี่ผิงก็ไม่น้อยหน้าเป็นนักเต้นชั้นแนวหน้าในวงการ จื่อหลิงสำเร็จการศึกษาทางด้านการบริหารธุรกิจแล้วก็เข้าทำงาน นอกเวลางานก็เปิดเวปไซด์ส่วนตัวเอาไว้เพื่อใช้เป็นการส่วนตัว เนื่องจากลี่ผิงทุ่มเทให้กับการเต้นรำเป็นพิเศษจึงทำให้ความสัมพันธ์ของเธอและฉู่เหลียนเหินห่างกันทุกที จื่อหลิงติดต่อฉู่เหลียนทางอินเตอร์เน็ตโดยขอความช่วยเหลืและคำแนะนำทางด้านอินเตอร์เน็ตจากฉู่เหลียน ฉู่เหลียนไม่เพียงให้ความช่วยเหลือจื่อหลิงเป็นอย่างดี ทั้งยังให้กำลังใจจื่อหลิงอย่าได้ท้อถอย ไม่แน่สักวันหนึ่งเวปไซด์ของจื่อหลิงอาจเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็เป็นได้ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ฉู่เหลียนพบว่าตนเริ่มมีใจให้จื่อหลิงเข้าแล้วโดยไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเมื่อใด ฉู่เหลียนชักชวนลี่ผิงพูดคุยกันทางอินเตอร์เน็ต ลี่ผิงกลับปฏิเสธด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าหากฉู่เหลียนชื่นชอบอินเตอร์เน็ต ฉู่เหลียนจะติดต่อกับจื่อหลิงทางอินเตอร์เน็ตก็ได้
จื่อหลิงเบื่อหน่ายการทำงานด้วยรู้สึกว่าต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่โต๊ะทำงานไม่มีอิสระแม้แต่น้อย เมื่อรู้สึกเช่นนี้แล้วก็ทำให้จื่อหลิงอิดหนาระอาใจกับงานซึ่งอยู่เบื้องหน้า วันหนึ่ง จื่อหลิงไปทำงานสาย ทำให้หัวหน้างานสุดที่จนต่อไปได้จึงตำหนิติเตียนจื่อหลิงเป็นการใหญ่ จื่อหลิงโกรธมากจึงตัดสินใจลาออกจากงาน ด้วยความที่จื่อหลิงเกรงว่าแม่จะรู้เรื่องที่เธอลาออกจากงาน จื่อหลิงจึงตัดสินใจไปหาลี่ผิงเพื่อขอความช่วยเหลือจากพี่สาวของเธอ นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงได้พบกับฉู่เหลียนซึ่งมาชวนลี่ผิงไปทานอาหารกลางวันด้วยกันโดยบังเอิญ ลี่ผิงกำลังจดจ่ออยู่กับการเต้นรำจึงปฏิเสธฉู่เหลียน ฉู่เหลียนไม่มีทางเลือกจึงชวนจื่อหลิงไปทานอาหารกลางวันด้วยกัน หลังจากที่ฉู่เหลียนรู้เรื่องที่จื่อหลิงลาออกจากงานแล้ว ฉู่เหลียนก็ปลอบใจจื่อหลิงอย่าได้วิตกกังวลเกินไป จากนั้นฉู่เหลียนก็ตำหนิลี่ผิงที่ทุ่มเทให้การเต้นรำมากจนเกินไปจนทอดทิ้งตนเองไปทำให้ความสัมพันธ์ห่างเหินออกไปทุกที

หลังจากที่สุ่นจวนแม่ของจื่อหลิงรู้เรื่องที่จื่อหลิงออกจากงานแล้ว ด้วยความผิดหวังและโกรธจึงโทรศัพท์คาดคั้นเอาความจริงจากจื่อหลิง เมื่อจื่อหลิงเห็นโทรศัพท์จากทางบ้านก็รีบตัดสายทิ้งทันที เมื่อสุ่นจวนเห็นว่าไม่สามารถติดต่อจื่อหลิงได้จึงขอความช่วยเหลือจากจ่านเผิงสามีของเธอให้ดูแลเอาใจใส่จื่อหลิงเป็นพิเศษ สุ่นจวนนำลี่ผิงและจื่อหลิงเปรียบเทียบกันโดยชี้ให้เห็นว่าลี่ผิงเหนือกว่าจื่อหลิงทุกด้าน แต่จื่อหลิงกลับไม่เอาถ่าน จ่านเผิงเห็นว่าภรรยาของตนมีจิตใจลำเอียงจึงแนะนำภรรยาอย่าได้นำลูกสาวสองคนมาเปรียบเทียบกันเป็นอันขาด เพราะเป็นการทำร้ายจิตใจจื่อหลิงจนเกินไป สุ่นจวนไม่เพียงไม่เห็นด้วยกับความคิดของสามีของเธอ ทั้งยังต่อว่าสามีของเธอใช้ชีวิตไปวันโดยไม่เหลียวแลครอบครัว จ่านเผิงไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไปจึงอ้างว่ามีธุระเพื่อออกจากบ้านไป ด้วยความหัวเสียจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยจนเกือบขับรถชนคน เมื่อจ่านเผิงลงไปสอบถามว่าได้รับบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ก็ได้พบว่าคนที่ตนขับรถเฉี่ยวชนนั้นคือสุ่ยซินคนรักเก่าซึ่งไม่ได้พบกันมานานหลายปี หลังจากที่จ่านเผิงและสุ่ยซินพูดคุยกันแล้ว จ่านเผิงถึงรู้ว่าสุยซินเปิดคอฟฟี่ชอปและหอศิลป์ยังชีพ ตลอดระยะเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาเมื่อได้พบกันอีกครั้งก็ทำให้ต่างฝ่ายต่างเคอะเขินต่อกัน จ่านเผิงต้องการสานสัมพันธ์เก่าก่อน แต่สุยซินกลับปฏิเสธสร้างความผิดหวังให้จ่านเผิงเป็นอันมาก สุยซินได้รับโทรศัทพ์จากพี่สาวว่าหยี่ซานลูกสาวของเธอมีเรื่องทะเลาะวิวาท สุยซินเป็นห่วงลูกชายของเธอมากจึงรีบตัดบทเพื่อไปช่วยลูกชายของเธอ
ภายในห้องรับแขกบ้านสกุลหวังซึ่งเปิดไฟสว่างทั่วทั้งห้อง จ่านเผิงและสุ่นจวนมีปากเสียงโต้เถียงกันด้วยเรื่องที่จื่อหลิงออกจากงาน จื่อหลิงกลัดกลุ้มใจมากที่พ่อแม่ทะเลาะกันด้วยเรื่องของเธอ ฉู่เหลียนแนะนำให้จื่อหลิงบอกพ่อแม่ว่าเธอมีเวปไซด์ส่วนตัว ที่สำคัญงานด้านอินเตอร์เน็ตเป็นงานที่เธอชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากแม่แต่อย่างใด ใกล้ถึงวันครบรอบการแต่งงานของจ่านเผิงและสุ่นจวนเข้าไปทุกที บ้านสกุลหวังจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ สุ่นจวนเชื้อเชิญแขกเหรื่อมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ขณะที่เฉลิมฉลองกันอย่างมีความสุขนั่นเอง จ่านเผิงกลับดื่มเหล้าด้วยความรู้สึกหดหู่

ในงานเฉลิมฉลองครบรอบแต่งงานของจ่านเผิงและสุ่นจวน ในเวลาเดียวกันที่จื่อหลิงรู้สึกหดหู่ แต่ลี่ผิงกลับกลายเป็นดาวเด่นที่มีผู้คนห้อมล้อมให้ความสนใจจนทำให้ฉู่เหลียนรู้สึกว่าตนไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ จื่อหลิงถ่ายทอดความรู้สึกหดหู่ของเธอเป็นบทกลอนเขียนใส่กระดาษพับเป็นจรวดร่อนออกไป นึกไม่ถึงจรวดร่อนไปตกลงตรงหน้าเฟ่ยหยุนฟาน ทันทีที่จื่อหลิงเห็นหน้าเฟ่ยหยุนฟาน เธอก็ร้องตะโกนเจ้าตัวยุ่งออกมา จื่อหลิงแปลกใจมากที่เห็นเฟ่ยหยุนฟานปรากฏตัวอยู่ในห้องรับแขก เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด ตนเป็นแขกคนหนึ่งที่มาร่วมงาน เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงต่อไปว่าตนได้หย่าขาดจากภรรยาชาวฝรั่งเศสแล้ว จื่อหลิงบอกเฟ่ยหยุนฟานว่าหลายวันก่อนดูเหมือนว่าเธอเคยพบเห็นเฟ่ยหยุนฟานมาก่อน ในเวลานั้นผมเผ้าเฟ่ยหยุนฟานยุ่งเหยิง หน้าตาเศร้าหมอง หนวดเครารกรุงรัง สภาพจิตใจไม่สู้ดีสักเท่าใดนัก สภาพของเฟ่ยหยุนฟานในเวลานั้นแตกต่างจากเฟ่ยหยุนฟานในเวลานี้ราวกับเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ลี่ผิงตะโกนเรียกจื่อหลิงมาตัดเค้กด้วยกัน เฟ่ยหยุนฟานจับจ้องไปที่ลี่ผิงและจื่อหลิงสองพี่น้องอย่างมีเลศนัย ฉู่เพ่ยบันทึกภาพเหตุการณ์แห่งความทรงจำเอาไว้
สกุลหวังและสกุลฉู่ปรึกษาหารือกันถึงงานแต่งงานของลี่ผิงและฉู่เหลียน เมื่อจื่อหลิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกหดหู่เดินถือเค้กออกจากงานเลี้ยงไปด้วยน้ำตานองหน้า เมื่อเฟ่ยหยุนฟานเห็นน้ำตานองหน้าจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานก็มอบผ้าเช็ดหน้าให้จื่อหลิงเช็ดน้ำตา ปลอบใจจื่อหลิงให้คลายความเศร้า ในโลกนี้มีคนจำนวนมากที่เจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสกว่าจื่อหลิงเสียอีก จื่อหลิงจะเศร้าใจไปใยเล่า บางทีพรุ่งนี้หลังจากที่จื่อหลิงตื่นนอนแล้วอาจจะเห็นว่าเรื่องที่หนักหนาสาหัสเช่นนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยก็เป็นได้ ไม่ควรค่าที่จะต้องเสียน้ำตา เฟ่ยหยุนฟานชักชวนจื่อหลิงนั่งรถไปด้วยกันเพื่อให้เธอสบายใจ เฟ่ยหยุนฟานดูแลจื่อหลิงเป็นอย่างดี ทำให้จื่อหลิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง

ฉู่เหลียนตำหนิแม่ที่ก้าวก่ายเรื่องการแต่งงานของตน ฉู่เหลียนสารภาพว่าความสัมพันธ์ของตนและลี่ผิงมีปัญหาเกิดขึ้นมากมาย จากนั้นฉู่เหลียนก็กลับเข้าห้องพักไปด้วยความโกรธ ฉู่เหลียนเข้าอินเตอร์เน็ต นึกไม่ถึงว่าได้พบกับจื่อหลิงทางอินเตอร์เน็ตโดยไม่ได้นัดหมาย ฉู่เหลียนขอรูปถ่ายจำนวนหนึ่งจากจื่อหลิงเพื่อช่วยเหลือจื่อหลิงจัดทำเวปไซด์ จื่อหลิงถามฉู่เหลียนว่าจะจัดงานหมั้นกับลี่ผิงเมื่อใด ฉู่เหลียนกลับไม่ตอบโดยจับจ้องไปที่รูปถ่ายที่จื่อหลิงส่งให้ตนทางอินเตอร์เน็ต
ขณะที่สุยซินกำลังสอนนักเรียนอยู่ในหอศิลป์นั่นเอง หยี่ซานก็เดินเข้ามาบอกสุยซินว่าเธอจะหางานทำ หลายปีที่ผ่านมานี้เธอก่อเรื่องก่อราวขึ้นมากมายสร้างความเดือดร้อนไม่เว้นแต่ละวัน ถึงเวลาแล้วที่เธอจะต้องกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีเสียที หยี่ซานกล่าวต่อไปว่าทุกแห่งสวยสดงดงามแต่น่าเสียดายที่ไม่มีชายใดหลงรักเธอ หวังจ่านเผิงได้ยินคำพูดของหยี่ซาน หยี่ซานตกใจมากเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นหวังจ่านเผิง หวังจ่านเผิงเห็นเช่นนั้นจึงหลบไปยืนอยู่หน้าประตู หลังจากที่หวังจ่านเผิงเห็นภาพถ่ายผลงานการถ่ายภาพของหยี่ซานแล้ว หวังจ่านเผิงก็แนะนำหยี่ซานไปเป็นตากล้องที่สถานเต้นรำของลี่ผิง หยี่ซานดีใจมากจึงออกปากว่าหวังจ่านเผิงช่างรู้ใจเธอเหลือเกิน สุยซินบอกหวังจ่านเผิงว่าความสัมพันธ์ของหยี่ซานกับพ่อแม่ไม่ดีสักเท่าใดนัก ในเวลานี้เธอและหยี่ซานอยู่ด้วยกัน มีเพียงหยี่ซานเท่านั้นที่ทำให้เธอหัวเราะได้ หวังจ่านเผิงขอร้องให้สุยซินรับรักจากตน สุยซินกลับปฏิเสธโดยบอกหวังจ่านเผิงว่าในเวลานี้เธอพ้นวัยหนุ่มหญิงสาวไปแล้ว ขอร้องหวังจ่านเผิงอย่าทำให้เธอลำบากใจ
จื่อหลิงขอร้องเฟ่ยหยุนฟานสอนเธอดีดกีตาร์ แต่ก่อนอื่นขอให้เฟ่ยหยุนฟานช่วยหาซื้อกีตาร์ตัวหนึ่งให้เธอเสียก่อน เฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงพากันไปเลือกซื้อกีตาร์ด้วยกัน จากนั้นเฟ่ยหยุนฟานก็พาจื่อหลิงไปทานอาหารที่ร้านอาหารของตน นึกไม่ถึงแชมเปญทำให้จื่อหลิงซึ่งไม่ประสาถึงกับเมามายไม่ได้สติเลยทีเดียว

เฟ่ยหยุนฟานส่งจื่อหลิงซึ่งเมามายไม่ได้สติกลับบ้านสกุลหวังทำให้สุ่นจวนโกรธไม่พอใจมาก ฉู่เหลียนทั้งเจ็บปวด ทั้งโกรธ ทั้งหึงหวงเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า จื่อหลิงพูดด้วยความมึนเมาออกมาว่าเธอมีชีวิตอยู่ได้ด้วยอาศัยบารมีลี่ผิงพี่สาวของเธอ จื่อหลิงไม่เพียงระบายความขุ่นข้องหมองใจของเธอออกมาเท่านั้น ทั้งยังระบายความกดดันที่มีออกมาอีกด้วย... ลี่ผิงตกใจมากเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากจื่อหลิงจึงดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ ลี่ผิงรู้สึกเห็นใจจื่อหลิง เธอจึงดูแลจื่อหลิงซึ่งเมามายไม่ได้สติเป็นอย่างดี สุ่นจวนเตือนสติจื่อหลิงว่าเฟ่ยหยุนฟานใช้ชีวิตไม่เป็นโล้เป็นพาย ชื่อเสียงไม่สู้ดีนัก แต่จื่อหลิงกลับไม่เห็นด้วยกับคำพูดของสุ่นจวนโดยเห็นว่าเฟ่ยหยุนฟานใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ไม่ได้เสแสร้งจอมปลอมแต่อย่างใด มองเห็นคุณงามความดีด้านหนึ่งของเฟ่ยหยุนฟาน
ฉู่เหลียนและจื่อหลิงพากันมาถึงทะเลสาบล่าฝัน เนื่องจากฉู่เหลียนยังคงติดใจเรื่องที่จื่อหลิงดื่มเหล้าเมามายไม่ได้สติจึงทำให้ฉู่เหลียนเข้าใจผิดคิดว่าจื่อหลิงเป็นผู้หญิงง่ายๆ จื่อหลิงรู้สึกว่าฉู่เหลียนดูถูกเธออย่างรุนแรง ด้วยความโกรธจึงสะบัดมือ ฉู่เหลียนทิ้งแล้วเดินจากไป ก่อนที่จื่อหลิงจะเดินจากไปนั้นบอกฉู่เหลียนว่าเมื่อสี่ปีก่อนที่ฝรั่งเศสคนที่ส่งดอกไม้ให้เธอคือเฟ่ยหยุนฟาน เมื่อฉู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สามารถสะกดความรู้สึกของตนไว้ได้จึงเปิดเผยความในใจบอกรักจื่อหลิง จื่อหลิงกลับเห็นว่าการที่ฉู่เหลียนทำเช่นนี้นั้นเป็นการทำผิดและทรยศต่อลี่ผิงเป็นอย่างยิ่ง
เฟ่ยหยุนฟานรู้สึกทึ่งในตัวจื่อหลิงเมื่อพบม่านความฝันซึ่งเป็นบทความของจื่อหลิงทางอินเทอร์เน็ต หลังจากที่เฟ่ยหยุนฟานอ่านบทความแล้วก็รู้สึกดื่มด่ำกับเนื้อหาที่จื่อหลิงบรรจงร้อยเรียงเป็นอันมาก อีกด้านหนึ่งนั้นฉู่เหลียนพินิจพิเคราะห์เนื้อหา ในม่านความฝันของจื่อหลิง และแล้วฉู่เหลียนก็พบว่าเนื้อหาของม่านความฝันเกี่ยวพันกับตนทั้งสิ้น ฉู่เหลียนตำหนิตนเองที่ดักดานโง่เง่ามานานหลายปี
รุ่งเช้า ฉู่เพ่ยนำภาพถ่ายงานเฉลิมฉลองครบรอบแต่งงานของหวังจ่านเผิงและส่นจวนไปยังสถานเต้นรำของลี่ผิง ขณะที่ฉู่เพ่ยตระเตรียมการส่งมอบของให้ลี่ผิงนั่นเอง หยี่ซานก็แบกกระเป๋าสะพายเข้ามา ทันใดนั้นเองไฟฟ้าก็ดับไปทั่วทั้งอาคาร ทำให้ฉู่เพ่ยและหยี่ซานต้องพากันเดินขึ้นบันได ไมตรีและความมีน้ำใจของหยี่ซานสร้างความประทับใจให้ฉู่เพ่ยเป็นอันมาก

หยี่ซานถ่ายภาพให้บรรดาเจ้าหน้าที่สถานที่เต้นรำอย่างเป็นกันเอง ทุกคนต่างพากันชื่นชมความสามารถในการถ่ายภาพของหยี่ซาน หยี่ซานเห็นภาพถ่ายวันครบรอบแต่งงานของหวังจ่านเผิงและสุ่นจวน แม้ว่าหยี่ซานหัวเราะเยาะฝีมือการถ่ายภาพของ ฉู่เพ่ย แต่เธอก็รับปากว่าจะช่วยแต่งภาพให้สวยงามขึ้นมา
สวนสาธารณะด้านหน้าอาคารสถานที่ทำงานของฉู่เหลียน จื่อหลิงปฏิเสธรักจากฉู่เหลียน จื่อหลิงไม่เพียงปฏิเสธรักจากฉู่เหลียนเท่านั้น ทั้งยังขอร้องฉู่เหลียนดูแลทนุถนอมลี่ผิงให้ดีอีกด้วย จื่อหลิงยืนยันว่าเธอไม่ได้รักฉู่เหลียนเลยแม้แต่น้อย ฉู่เหลียนบอกจื่อหลิงว่าตนจับความรู้สึกของจื่อหลิงได้จากเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในม่านความฝันซึ่งอยู่ในอินเตอร์เน็ต ตนจะอธิบายเรื่องนี้ให้ลี่ผิงฟัง จากนั้นฉู่เหลียนก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อโทรศัพท์ถึงลี่ผิง เมื่อจื่อหลิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบขัดขวาง จื่อหลิงให้คำมั่นสัญญาว่าขอให้พ้นการแสดงของลี่ผิงซึ่งจัดขึ้นในเดือนหน้าเสียก่อนค่อยเปิดเผยความจริงให้ลี่ผิงรู้ เฟ่ยหยุนฟานเดินทางมาที่บ้านสกุลหวังเพื่อมอบกีตาร์ให้จื่อหลิง นับเป็นอีกครั้งที่จื่อหลิงขอร้องให้เฟ่ยหยุนฟานสอนเธอดีดกีตาร์ สวนดอกไม้บ้านสกุลหวัง จื่อหลิงต้องการกล่าวคำอำลาเฟ่ยหยุนฟานโดยตัดสินใจเปิดเผยความรักของเธอและฉู่เหลียนให้เฟ่ยหยุนฟานรู้ นึกไม่ถึงว่ากลับพูดไม่ออก เฟ่ยหยุนฟานมอบโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งให้จื่อหลิงโดยบอกจื่อหลิงว่าในเวลานี้เธอต้องการพระบิดาที่จะเปิดเผยความในใจต่อพระองค์
หยี่ซานช่วยตกแต่งภาพถ่ายให้ฉู่เพ่ย สุยซินสะท้อนใจเมื่อเห็นภาพถ่ายครอบครัวสุขสันต์ของบ้านสกุลหวัง สุยซินนัดหวังจ่านเผิงออกมาเดินเล่น หวังจ่านเผิงดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อสุยซินนัดตนออกมาเดินเล่น สุยซินบอกหวังจ่านเผิงว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเธอจะไม่พบหน้าหวังจ่านเผิงอีกเป็นอันขาด หวังจ่านเผิงบอกสุยซินว่าหลังจากที่ตนคลี่คลายปัญหาของตนได้แล้วจะกลับมาหาสุยซิน อีกครั้ง
การแสดงใกล้เข้ามาทุกที ลี่ผิงทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมเต้นรำ จื่อหลิงเข้ามาหาลี่ผิงเพื่อหยั่งความรู้สึกของลี่ผิงที่มีต่อ ฉู่เหลียนจนพบความจริงว่าลี่ผิงรักฉู่เหลียนมาก จื่อหลิงไปหาเฟ่ยหยุนฟานที่อพาทเมนต์เพื่อเปิดเผยความรักของเธอและฉู่เหลียนให้เฟ่ยหยุนฟานรู้ ความจริงแล้วเฟ่ยหยุนฟานซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายนับไม่ถ้วนนั้นมองออกมานานแล้ว เฟ่ยหยุนฟานบอก จื่อหลิงทั้งสามยังไม่มีใครผูกมัดอยู่กับการแต่งงาน ไม่ผิดที่จื่อหลิงจะทำตามที่ใจปรารถนา จื่อหลิงและฉู่เหลียนเดินไปตามท้องถนนด้วยท่าทีที่สนิทสนม นึกไม่ถึงว่ากลับถูกฉู่เพ่ยและหยี่ซานพบเห็นเข้า ที่สำคัญยังถูกคนทั้งสองถ่ายภาพเก็บเอาไว้อีกด้วย แม้ว่า ฉู่เพ่ยเลื่อมใสศรัทธาพี่ชายของตนมาโดยตลอด แต่ก็ไม่สามารถทำใจยอมรับกับภาพที่เห็น ด้วยความที่ไม่อยากทำให้ฉู่เหลียนและ ลี่ผิงต้องผิดใจกัน ฉู่เพ่ยจำต้องกล้ำกลืนเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ

การแสดงของลี่ผิงประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีโดยได้รับเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้ชมจำนวนมาก จื่อหลิงจับจ้องไปที่ลี่ผิงซึ่งอยู่บนเวทีด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น ผู้ใหญ่ของสองครอบครัวให้กำลังใจฉู่เหลียนให้มุมานะบากบั่นทำงานเพื่อที่จะได้ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับลี่ผิง ตกดึก ฉู่เหลียนและจื่อหลิงต่อต่อกันผ่านเอ็มเอสเอ็น จื่อหลิงถามฉู่เหลียนว่าพรุ่งนี้หงายไพ่ต่อลี่ผิงอย่างไร ฉู่เหลียนบอกจื่อหลิงไม่ต้องวิตกกังวล ตนจะออหน้าเองทั้งหมด จื่อหลิงขอร้องฉู่เหลียนว่าหลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจแล้วให้รีบโทรศัพท์ถึงเธอทันที จื่อหลิงไปเรียนกีตาร์ที่บ้านเฟ่ยหยุนฟาน จื่อหลิงไม่เพียงเล่าถึงการแสดงของลี่ผิงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งยังยอมรับต่อเฟ่ยหยุนฟานว่าเธอวิตกกังวลเรื่องที่ฉู่เหลียนจะเปิดเผยความจริงต่อลี่ผิงอีกด้วย เฟ่ยหยุนฟานปลอบใจจื่อหลิงว่าลี่ผิงเป็นผู้หญิงเข้มแข็ง ถ้าหากจะเป็นห่วง ใช่ว่ามีลี่ผิงคนเดียวที่น่าเป็นห่วง ยังมีพ่อแม่ของทั้งสองครอบครัวอีกด้วย เมื่อจื่อหลิงได้ยินเช่นนั้นก็รีบร้อนกลับบ้านเพื่ออธิบายความจริงต่อพ่อแม่ แต่นึกไม่ถึงว่ากลับถูกเฟ่ยหยุนฟานขัดขวางเอาไว้ เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่ายังไม่ถึงเวลา บางทีฉู่เหลียนอาจจะยังไม่เปิดเผยความจริงออกมาก็เป็นได้ หากวู่วามไปจะทำให้เสียการได้ ลี่ผิงนั่งในรถของฉู่เหลียนด้วยความสบายอกสบายใจ ลี่ผิงบอกฉู่เหลียนว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเธอจะให้เวลา ฉู่เหลียนมากขึ้น เมื่อฉู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้ฉู่เหลียนยากที่จะเอ่ยปากพูดความจริงออกมา ด้วยความที่ฉู่เหลียนตั้งอกตั้งใจขับรถเป็นพิเศษจึงทำให้ลี่ผิงเข้าใจผิดคิดว่าฉู่เหลียนจะพาเธอไปสถานที่พิเศษเพื่อสร้างความประหลาดใจให้เธอ ลี่ผิงจึงบอกเป็นนัยต่อฉู่เหลียนว่าในเวลานี้ไม่ว่าฉู่เหลียนจะขออะไร เธอยินดีรับปากทุกเรื่อง เมื่อฉู่เหลียนเห็นลี่ผิงมีความสุขก็ยิ่งทำให้ฉู่เหลียนเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ฉู่เหลียนขับรถไปด้วยความว้าวุ่นใจ ทันใดนั้นเองก็มีรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูง ฉู่เหลียนหักหลบรถบรรทุกจนเสียหลักได้รับบาดเจ็บสาหัสถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ลี่ผิงได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน จื่อหลิงตำหนิตนเองเป็นการใหญ่โดยรู้สึกว่าเธอเป็นคนทำร้ายลี่ผิงพี่สาวของเธอเอง แม้ว่าเฟ่ยหยุนฟานรู้สึกเห็นใจจื่อหลิง แต่ก็ทำได้เพียงปลอบใจเธอเท่านั้น

จื่อหลิงยินดีทำทุกอย่างเพื่อลี่ผิงด้วยความเต็มใจ จื่อหลิงกลับไปที่บ้านเพื่อนำเสื้อผ้าไปให้ลี่ผิงที่โรงพยาบาล เมื่อเปิด ตู้เสื้อผ้าของลี่ผิงก็พบกางเกงขายาวแขวนเต็มไปหมด ทำให้จื่อหลิงลมแทบจับเลยทีเดียว เฟ่ยหยุนฟานปลอบใจจื่อหลิงว่านับว่าลี่ผิงยังโชคดีไม่มีอันตรายถึงชีวิต ขอให้จื่อหลิงระลึกอยู่เสมอว่าทุกครั้งที่ต้องการความช่วยเหลือ ขอให้มองข้างกาย จื่อหลิงจะมีตนอยู่เคียงข้างตลอดไป
จื่อหลิงจับจ้องไปที่เฟ่ยหยุนฟานด้วยความตื้นตันใจ สุยซินรู้จากหยี่ซานว่าลี่ผิงประสบอุบัติเหตุ สุยซินเชื่อว่าในเวลานี้ หวังจ่านเผิงจะต้องเสียใจเป็นอันมาก เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็เป็นห่วงหวังจ่านเผิงขึ้นมา
ลี่ผิงฟื้นได้สติขึ้นมา สิ่งแรกที่ลี่ผิงเป็นห่วงคือความปลอดภัยของฉู่เหลียน หลังจากที่ลี่ผิงรู้ว่าฉู่เหลียนปลอดภัยแล้ว เธอก็ สลึมสลือหลับไปโดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าขาขวาของเธอถูกตัดทิ้งไปเสียแล้ว ฉู่เหลียนผ่านพ้นขีดอันตรายไปได้ ทำให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวโล่งใจ ด้วยความที่เจ็บปวดที่บาดแผลจึงทำให้ลี่ผิงตื่นขึ้นมา ลี่ผิงทำใจไม่ได้เมื่อรู้พบความจริงว่าเธอสูญเสียขาขวาไป ความจริงอันแสนโหดร้ายทำให้หัวใจของลี่ผิงแทบแตกสลาย ลี่ผิงรำพันว่าเธอตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอย่างคนพิการเช่นนี้ เมื่อ จื่อหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ไม่สามารถสะกดอารมณ์ไว้ได้จึงวิ่งออกจากโรงพยาบาลกระโจนขึ้นรถแท็กซี่ไปยังริมแม่น้ำ จื่อหลิงย้อนถามตนเองว่าทั้งที่ทำร้ายคนมากมายเช่นนี้ เธอยังจะมีความฝันหรือมีความสุขหรือ สิ่งที่สวยงามที่สุดในชีวิตของเธอได้ถูกทำลายลงพร้อมกับขาขวาของลี่ผิงที่ต้องสูญเสียไป ตายเสียยังดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เฟ่ยหยุนฟานตามมาถึงก็ออกปากตำหนิจื่อหลิงด้วยความโกรธว่าการตายไม่ได้เป็นสิ่งทีแสดงถึงความรักและความกล้าหาญแต่อย่างใด สิ่งที่จื่อหลิงต้องทำคือมีชีวิตอยู่ต่อไป ตนสัญญาว่าจะปกป้องคุ้มครองเธอตลอดไป จื่อหลิงซึ่งกำลังอ้างว้างทุกข์ระทมอยู่นั้นรู้สึกว่าเฟ่ยหยุนฟานเป็นที่พึ่งเดียวของเธอ

หลังจากที่ฉู่เหลียนฟื้นได้สติขึ้นมาแล้วก็สอบถามถึงอาการบาดเจ็บของลี่ผิงทันที ทุกคนต่างพากันโกหกฉู่เหลียนว่าลี่ผิงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จื่อหลิงมาเยี่ยมดูอาการของฉู่เหลียน ฉู่เหลียนบอกจื่อหลิงว่าตนยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมาก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเสียก่อน จื่อหลิงบอกฉู่เหลียนว่าเธอเข้าใจดี ขอให้ฉู่เหลียนรักษาตัวให้ดี ลี่ผิงต่อว่าทุกคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้โดยปล่อยให้เธอต้องกลายเป็นคนพิการชั่วชีวิต ต้องมีสภาพตายทั้งเป็น เจี้ยนปอเห็นเช่นนั้นจึงขอให้ทุกคนเปิดโอกาสให้ตนและลี่ผิงอยู่ด้วยกันตามลำพังสักพัก เจี้ยนปอจัดอิริยาบถให้ลี่ผิงเพื่อให้เธอรู้สึกสบายขึ้น จากนั้นเจี้ยนปอก็รวบรวมความกล้าเปิดเผยความจริงให้ลี่ผิงรู้ว่าตลอดระยะเวลาเจ็ดปีที่ตนและลี่ผิงเต้นรำด้วยกันนั้นตนหลงรักลี่ผิงเรื่อยมา ตนหวังว่านอกจากเป็นคู่เต้นกับลี่ผิงบนเวทีแล้ว ตนจะได้เป็นคู่ชีวิตกับลี่ผิงอีกด้วย เมื่อลี่ผิงได้ยินเช่นนั้นก็เคลิบเคลิ้มกับคำพูดของเจี้ยนปอ ลี่ผิงนิ่งเงียบด้วยตื้นตันใจต่อความจริงใจของเจี้ยนปอ จากนั้นลี่ผิงก็บอกเจี้ยนปอว่าเธอรักฉู่เหลียน ความสัมพันธ์ของเธอและเจี้ยนปอเป็นเพียงคู่รักบนเวทีเต้นรำเท่านั้น ชีวิตจริงไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้ บรรดาเพื่อนนักเต้นของลี่ผิงต่างวิตกกังวลและกลัดกลุ้มใจกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับลี่ผิง เจี้ยนปอให้กำลังใจทุกคน ไม่ว่าอย่างไรการแสดงที่รับไว้ก็จะต้องดำเนินต่อไป
ฉู่เหลียนเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้ถึงอาการบาดเจ็บของลี่ผิง ด้วยความที่ฉู่เหลียนเป็นห่วงลี่ผิงมาก ฉู่เหลียนจึงรีบไปเยี่ยมดูอาการบาดเจ็บของลี่ผิงโดยไม่คำนึงอาการบาดเจ็บของตนเองแม้แต่น้อย เมื่อลี่ผิงเห็นฉู่เหลียนเท่านั้น เธอก็โกรธมากขับไล่ฉู่เหลียนออกไปทันที ฉู่เหลียนบอกลี่ผิงว่าตนไม่รังเกียจที่ลี่ผิงมีสภาพเป็นคนพิการเช่นนี้ สิ่งที่ตนคำนึงถึงคือตัวตนที่แท้จริงของลี่ผิงเท่านั้น หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลแล้ว พวกเราจะแต่งงานกันทันที ตนจะดูแลปกป้องคุ้มครองลี่ผิงไปชั่วชีวิต ลี่ผิงนึกถึงท่าทีฉู่เหลียนในวันที่เกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลี่ผิงรู้สึกว่าฉู่เหลียนไม่ได้รักเธออย่างที่คิดไว้ เมื่อฉู่เหลียนได้ยินลี่ผิงตัดพ้อเช่นนั้น ฉู่เหลียนก็บอกลี่ผิงว่าในวันที่เกิดอุบัติเหตุนั้นตนคิดว่าจะขอลี่ผิงแต่งงงานอย่างไรดี จื่อหลิงซึ่งอยู่นอกห้องนั้นรู้สึกปิติยินดีเมื่อได้ยินลี่ผิงรับปากแต่งงานกับฉู่เหลียน

จื่อหลิงและเฟ่ยหยุนฟานพากันเดินเล่นริมน้ำ เฟ่ยหยุนฟานเปิดเผยความในใจให้จื่อหลิงฟังว่าไม่อยากเชื่อเลยว่าการกลับประเทศครั้งนี้จะได้พบหญิงในดวงใจ ที่แล้วมาหากจื่อหลิงขุ่นข้องหมองใจอะไรก็ให้พูดออกมา บรรดาเพื่อนเต้นรำของลี่ผิงเมื่อรู้ว่า ลี่ผิงจะแต่งงานกับฉู่เหลียน ทุกคนก็พากันมาแสดงความยินดี ลี่ผิงปลาบปลื้มใจมากอิ่มเอมในความสุขที่ได้รับ
หลังจากที่ฉู่เหลียนออกจากโรงพยาบาลแล้วก็ไปที่บ้านสกุลหวังเพื่อพบจื่อหลิง ฉู่เหลียนบอกจื่อหลิงด้วยความเจ็บปวดว่าระหว่างความรับผิดชอบและความรัก ตนจะต้องเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ตนก็ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไรดี ฉู่เหลียนและจื่อหลิงสวมกอดกันด้วยความเจ็บปวด หลังจากที่จื่อหลิงตั้งสติได้แล้วก็รีบผลักฉู่เหลียนออกไป จื่อหลิงบอกฉู่เหลียนว่าพวกเราทำร้ายลี่ผิงมามากพอแล้ว ถ้าหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปพวกเราก็จะต้องตกนรกหมกไหม้ไปตามกันอย่างแน่นอน จื่อหลิงขอร้อง ฉู่เหลียนให้รักและทนุถนอมลี่ผิงให้ดี ทุ่มเทความรักทั้งหมดให้ลี่ผิง ฉู่เหลียนรับปากตามความต้องการของจื่อหลิง เมื่อจื่อหลิงได้ยินเช่นนั้นก็โล่งอก จื่อหลิงเปิดเผยความจริงให้ฉู่เหลียนรู้ว่าเธอเลื่อมใสศรัทธาฉู่เหลียนที่ขอลี่ผิงแต่งงาน นับว่าฉู่เหลียนทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เมื่อฉู่เหลียนรู้ว่าความสัมพันธ์ของตนและจื่อหลิงกลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว ฉู่เหลียนก็ไปจากบ้านสกุลหวังด้วยความขมขื่น จื่อหลิงเองก็เช่นเดียวกันได้แต่มองฉู่เหลียนจากไปด้วยความเจ็บปวดน้ำตานองหน้า เฟ่ยหยุนฟานขับรถเข้ามาที่บ้านสกุลหวังสวนกับฉู่เหลียนซึ่งกำลังจากไป เมื่อเฟ่ยหยุนฟานเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปในบ้านเพื่อพบจื่อหลิงทันที เฟ่ยหยุนฟานเห็นจื่อหลิงร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทมจึงมอบผ้าเช็ดหน้าให้จื่อหลิงซับน้ำตา ภายในห้องนอนของจื่อหลิงมีม่านมุกแขวนเต็มไปหมด เฟ่ยหยุนฟานเดินเข้าไปแกว่งม่านมุกจนมีเสียงดังกรุ๊งกริ๊งและมีแสงวาบออกมา เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าตนชื่นชอบบทกลอนที่จื่อหลิงร้อยเรียงขึ้นมาเป็นอันมาก เมื่อจื่อหลิงได้ยินเช่นนั้นก็ตื้นตันใจเป็นอันมาก เฟ่ยหยุนฟานหยิบกีตาร์ขึ้นมาร้องเพลงม่านมุก จื่อหลิงเคลิบเคลิ้มมีความสุขกับบทกลอนของเธอซึ่งประสานเป็นหนึ่งเดียวกับเสียงกีตาร์ของเฟ่ยหยุนฟาน

เฟ่ยหยุนฟานดีดกีตาร์บรรเลงเพลงม่านมุกนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อให้จื่อหลิงสบายใจจนนิ้วมือของตนเองเลือดไหลซิบ จื่อหลิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบนำยาเพื่อทำแผลให้เฟ่ยหยุนฟาน แต่เฟ่ยหยุนฟานกลับดึงดันไม่ยอมทำแผล จื่อหลิงตำหนิเฟ่ยหยุนฟานอย่าทำโง่ๆ เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าสิ่งที่ตนทำลงไปนั้นหวังแต่เพียงว่าจะรักษาแผลใจให้จื่อหลิงเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงกลับไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเฟ่ยหยุนฟาน เฟ่ยหยุนฟานทั้งโกรธทั้งร้อนใจจึงบอกจื่อหลิงว่าผู้ชายบนโลกนี้ไม่ได้มีฉู่เหลียนเพียงคนเดียวเท่านั้น ตนเป็นผู้ชายอีกคนหนึ่งที่หลงรักจื่อหลิงเช่นเดียวกัน เมื่อสี่ปีก่อนนับตั้งแต่ได้รู้จักกันเป็นครั้งแรกที่ปารีส ตนก็ตั้งใจว่าจะเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องจื่อหลิงตลอดไป ตนต้องเสียเวลาเกือบห้าปีที่ต้องล้มลุกคลุกคลาน ผิดต่อลิขิตสวรรค์ที่กำหนดไว้ จื่อหลิงแทบ ไม่อยากเชื่อว่าเฟ่ยหยุนฟานจะเปิดเผยความในใจออกมาเช่นนี้ เฟ่ยหยุนฟานให้เวลาสามวันแก่จื่อหลิงเพื่อคิดใคร่ครวญให้ดี จากนั้นเฟ่ยหยุนฟานก็กล่าวต่อไปว่าถ้าหากจื่อหลิงรับปากแต่งงานกับตน ทันทีที่แต่งงานกันพวกเราจะไปใช้ชีวิตที่ฝรั่งเศสด้วยกัน
ลี่ผิงฝึกใช้ไม้เท้าด้วยจิตใจที่เศร้าหมอง ฉู่เหลียนและจื่อหลิงให้กำลังใจลี่ผิงยืนหยัดเข้มแข็งต่อไป ในเวลาขาปลอมสะดวกสบายมาก ไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าลี่ผิงสามารถใส่รองเท้าส้นสูงก็เป็นได้ นึกไม่ถึงว่าขาปลอมกลับทิ่มแทงบาดใจลี่ผิงจนไม่สามารถรับความจริงได้ เมื่อหวังจ่านเผิงเห็นจื่อหลิงมีสภาพพิการเช่นนี้จึงได้หอบเอาความเจ็บปวดใจไปที่ร้านคอฟฟี่ชอปของสุยซิน สุยซินรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อเห็นหวังจ่านเผิงมีสีหน้าหม่นหมอง เธอเชื่อว่าหวังจ่านเผิงจะต้องมีเรื่องทุกข์ระทมอย่างแน่นอน สุยซินบอกหวังจ่านเผิงว่าเธอรู้ดีว่าหวังจ่านเผิงทุกข์ระทม แต่ถึงกระนั้นหวังจ่านเผิงก็ต้องยืนหยัดเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้เพราะหวังจ่านเผิงเป็นเสาหลักของบ้านสกุลหวัง อีกด้านหนึ่งนั้น เพื่อฉู่เหลียนแล้ว ในที่สุดลี่ผิงก็ตัดสินใจใช้ไม้เท้าเพื่อช่วยตนเองให้ได้

ตกดึก หยี่ซานกลับถึงบ้าน เมื่อหยี่ซานเห็นแสงสว่างทั่วทั้งห้อง เธอก็รู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เป็นไปตามที่หยี่ซานคาดคิดเอาไว้ หยี่ซานพบเห็นสุยซินกำลังร้องห่มร้องไห้ หยี่ซานนำกล้องถ่ายรูปถ่ายภาพหวังจ่านเผิงไว้ สุยซินเห็นเช่นนั้นจึงขัดขวางหยี่ซาน หยี่ซานทำใจไม่ได้ถึงกับตัดสินใจไปจากสุยซินเมื่อรู้ถึงความรักความสัมพันธ์ของสุยซินและหวังจ่านเผิง สุยซินรู้สึกเสียใจมากที่หยี่ซานไม่เข้าใจเธอ หวังจ่านเผิงสุดที่จะทนต่อไปได้จึงเล่าถึงความสัมพันธ์ตลอดระยะเวลายี่สิบปีของตนและสุยซินให้หยี่ซานฟังด้วยหวังว่าจะรั้งหยี่ซานไว้ได้ จากนั้นหวังจ่านเผิงก็ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่รบกวนสุยซินอีกต่อไป
ภายในโรงพยาบาล จื่อหลิงดูแลลี่ผิงอย่างดี ลี่ผิงถามจื่อหลิงว่าฉู่เหลียนรักจื่อหลิงใช่หรือไม่ เมื่อจื่อหลิงได้ยินเช่นนั้นก็บอกลี่ผิงว่าตั้งแต่เล็กฉู่เหลียนหลงรักลี่ผิงมาโดยตลอด จนกระทั่งวันนี้ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ที่สำคัญฉู่เหลียนก็คู่ควรที่ลี่ผิงรัก ลี่ผิงโน้มเอียงไปตามคำเกลี้ยกล่อมของจื่อหลิง เธอจึงดึงมือจื่อหลิงมากุมไว้แล้วขอบคุณจื่อหลิงที่ให้กำลังใจสร้างความเชื่อมั่นให้เธอ เมื่อจื่อหลิงกลับถึงบ้าน ทันทีที่เห็นหน้าเฟ่ยหยุนฟานเท่านั้น เธอก็จำได้ว่าวันนี้เป็นวันที่สามซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เธอต้องให้คำตอบเฟ่ยหยุนฟาน จื่อหลิงบอกเฟ่ยหยุนฟานว่าเธอถือว่าคำขอแต่งงานของเฟ่ยหยุนฟานนั้นเป็นเพียงคำปลอบใจเธอเท่านั้น เธอไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริงไปได้ที่ คนที่มีฐานะร่ำรวย มีหน้าตาในสังคม มีเสน่ห์ดึงดูดหญิงสาว เพียบพร้อมทุกอย่างเช่นเฟ่ยหยุนฟานจะเลือกรักหญิงสาวที่ไม่ประสาเช่นเธอ เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าสำหรับตนแล้วถือว่าจื่อหลิงเป็นหญิงสาวที่มีจิตใจดีงาม ใสซื่อบริสุทธิ์ เฉลียวฉลาดและเต็มไปด้วยความอบอุ่น ผู้หญิงเช่นนี้ใช่ว่าจะพบได้โดยง่าย วันนี้เมื่อพบแล้วจึงเป็นการยากที่จะถอนตัวถอนใจ

คำพูดของเฟ่ยหยุนฟานสร้างความตื้นตันใจให้จื่อหลิงเป็นอันมาก ในที่สุดจื่อหลิงก็รับปากแต่งงานกับเฟ่ยหยุนฟาน ขณะที่เฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงสวมกอดกันนั่นเอง พ่อแม่ของจื่อหลิงก็กลับมาถึงบ้านพบเห็นภาพที่ทั้งสองกอดกัน สุ่นจวนลมแทบจับเลยทีเดียวเมื่อเห็นลูกสาวของเธอกอดกับผู้ชายที่แต่งานแล้วหย่ามานับครั้งไม่ถ้วน เฟ่ยหยุนฟานบอกหวังจ่านเผผิงและสุ่นจวนสองสามีภรรยาว่าตนและจื่อหลิงจะแต่งงานกัน หวังจ่านเผิงและสุ่นจวนพากันตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังจ่านเผิงถามจื่อหลิงว่าการแต่งงานเป็นเรื่องจริงหรือไม่ จื่อหลิงบอกพ่อว่าเป็นความจริง จากนั้นจื่อหลิงก็เปิดเผยความจริงให้พ่อฟังถึงเรื่องความรักของเธอและฉู่เหลียนเป็นเหตุให้ลี่ผิงประสบอุบัติเหตุ หวังจ่านเผิงตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ไม่อยากเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นไปได้ ที่สำคัญที่ทำให้หวังจ่านเผิงตกใจคือเฟ่ยหยุนฟานรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด แม้ว่าหวังจ่านเผิงรู้สึกเห็นใจจื่อหลิง แต่ก็ขอให้เธอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ อย่าได้แพร่งพรายให้ใครรู้เป็นอันขาด แม้แต่สุ่นจวนผู้เป็นแม่ก็ตาม
หวังจ่านเผิงนัดหมายเฟ่ยหยุนเฟยมาพูดคุยกับตนที่ทำงาน เฟ่ยหยุนฟานมาตามที่นัดหมาย หวังจ่านเผิงถามเฟ่ยหยุนฟานว่าเหตุใดจึงหลงรักจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานกล่าวว่าตนเปรียบเสมือนนักพนัน ถึงแม้ว่าแพ้พนันมาแล้วถึงสองครั้งสองครา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตนจะไม่มีวันชนะ เฟ่ยหยุนฟานกล่าวต่อไปว่าจื่อหลิงเคยคิดกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย โชคดที่ตนขัดขวางยับยั้งไว้ทัน ไม่เช่นนั้นแล้วเชื่อว่าต้องมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน
ใกล้ถึงวันที่ลี่ผิงจะออกจากโรงพยาบาล สกุลฮู่ต่างพากันยุ่งอยู่กับการตระเตรียมห้องพักให้เธอ ลี่ผิงวิตกกังวลกลัดกลุ้มใจว่าเธอจะเผชิญกับชีวิตหลังจากที่แต่งงานแล้วได้อย่างไร สุ่นจวนมาที่โรงพยาบาลเพื่อบอกให้ทุกคนรู้ถึงเรื่องการแต่งงานของเฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิง ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่เหลียนรีบรุดไปที่บ้านสกุลหวังเพื่อสอบถามความจริงจากจื่อหลิง จื่อหลิงห้ามไม่ให้ฉู่เหลียนเหยียดหยามทำลายชื่อเสียงของเฟ่ยหยุนฟาน ฉู่เหลียนไปที่บ้านของเฟ่ยหยุนฟานเพื่อขอให้เฟ่ยหยุนฟานเลิกล้มความคิดที่จะแต่งงานกับจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานปฏิเสธโดยกล่าวแต่เพียงว่าตนรักจื่อหลิงมากเกินกว่าที่จะถอนตัวถอนใจ

ในที่สุดสกุลหวังก็อนุญาตให้เฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงแต่งงานกัน ลี่ผิงถามจื่อหลิงว่ามั่นใจแล้วหรือที่จะแต่งงานกับเฟ่ยหยุนฟาน ขอให้คิดใคร่ครวญให้ดี อย่ารีบร้อนแต่งงานจนเกินไป ลี่ผิงกล่าวต่อไปว่าด้วยความที่เธอไม่มีความเชื่อมั่น หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนาน ฉู่เหลียนอาจจะไม่ต้องการเธอก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้เธอจึงรับปากแต่งงานทันทีหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว ลี่ผิงบอกจื่อหลิงว่าถ้าจื่อหลิงเลื่อนการแต่งงานออกไปอีกสองปี เพื่อที่จื่อหลิงจะได้ใกล้ชิดพ่อแม่ให้ความสุขแก่พ่อแม่มากว่านี้ เมื่อ จื่อหลิงได้ยินคำพูดของลี่ผิงก็ทำให้จื่อหลิงรู้สึกว่าเธอช่างเห็นแก่ตัวเสียเหลือเกิน แต่เมื่อคิดว่าถ้าหากปล่อยเวลาให้เนิ่นช้าออกไป เธอก็เกรงว่าจะไม่สามารถเผชิญกับฉู่เหลียนต่อไปได้ จื่อหลิงฝืนยิ้มโดยบอกลี่ผิงว่าเธอและลี่ผิงวิตกกังวลเรื่องเดียวกัน จื่อหลิงยอมรับว่าเธอวิตกกังวลเกรงว่าเฟ่ยหยุนฟานจะไม่ต้องการเธออีกต่อไป
สุยซินเล่าเรื่องที่เธอและหวังจ่านเผิงพบกันที่ฝรั่งเศสให้หยี่ซานฟัง หลังจากที่หยี่ซานรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วเข้าใจถึงความรักของสุยซินและหวังจ่านเผิง ในที่สุดหยี่ซานก็เริ่มทำใจยอมรับความจริง หยี่ซานบอกสุยซินว่าถ้าหากหวังจ่านเผิงยอมหย่าขาดจากภรรยา เธอถึงจะเชื่อว่าหวังจ่านเผิงมั่นคงต่อความรักที่มีต่อสุยซิน สุยซินโล่งอกโล่งใจเมื่อหยี่ซานเข้าใจความรักของเธอและหวังจ่านเผิง
ในที่สุดสกุลหวังก็อนุญาตให้เฟ่ยหยุนและจื่อหลิงแต่งงานกัน หวังจ่านเผิงทำความตกลงกับเฟ่ยหยุนฟานเป็นเวลาสิบปีโดยหวังว่าหลังจากสิบปีแล้วเฟ่ยหยุนก็ยังคงรักจื่อหลิงเท่าทุกวันนี้ ลี่ผิงออกจากโรงพยาบาล บรรดาเพื่อนเต้นรำต่างพากันมาเยี่ยม ลี่ผิง สร้างความปลาบปลื้มใจให้ลี่ผิงเป็นอันมาก เมื่อลี่ผิงเข้าห้องพัก เธอก็เห็นอุปกรณ์ที่ใช้ฝึกซ้อมการเต้นรำ ลี่ผิงต้องล้มไม่เป็นท่า บาดเจ็บร่างกายเทียบไม่ได้กับบาดเจ็บที่ใจ ในที่สุดลี่ผิงก็ต้องยอมรับความจริงไม่ว่าเธอจะดึงดันสักเพียงใด เธอก็ไม่สามารถกลับมาเต้นรำได้ดังเดิมอีกต่อไป

ในที่สุดลี่ผิงและฉู่เหลียนก็แต่งงานกันโดยมีจื่อหลิงและฉู่เพ่ยเป็นเพื่อนเจ้าสาวและเจ้าบ่าว เจี้ยนปอมาร่วมงานแต่งงานของลี่ผิงด้วยความหดหู่ จื่อหลิงตื้นตันใจมากถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว ภายในห้องหอ ฉู่เพ่ยและหยี่ซานสอบถามคำถาม ลี่ผิงและฉู่เหลียน ทั้งสองสอบถามฉู่เหลียนว่าลี่ผิงใช้เครื่องสำอางใด นึกไม่ถึงว่าฉู่เหลียนกลับตอบไม่ได้ เจี้ยนปอแอบบอกคำตอบให้ฉู่เหลียน แต่กลับถูกหยี่ซานจับได้จนถูกลงโทษ หยี่ซานถามลี่ผิงว่าฉู่เหลียนชอบใช้วิธีการใดติดต่อสื่อสารมากที่สุด ลี่ผิงตอบด้วยความมั่นใจว่าโทรศัพท์ นึกไม่ถึงว่าคำตอบกลับเป็นเอ็มเอสเอ็นทางอินเตอร์เน็ต เมื่อเห็นทุกคนกำลังจะลงโทษลี่ผิง ฉู่เหลียนก็ขอรับโทษแทนลี่ผิง สร้างความประทับใจให้ทุกคนเป็นอันมาก ลี่ผิงถูกหยี่ซานบีบบังคับให้นั่งลงบนรถเข็นรวมกับผู้หญิงคนอื่นเพื่อให้ ฉู่เหลียนค้นหาว่าใครเป็นเจ้าสาวที่แท้จริง ฉู่เหลียนลูบไล้เนื้อตัวเพื่อนเต้นรำของลี่ผิงก็สามารถแยกแยะออกทันทีว่าไม่ใช่ลี่ผิง แต่เมื่อถึงจื่อหลิง ฉู่เหลียนกลับไม่ยอมปล่อยมือโดยลูบคลำไปตามใบหน้าจื่อหลิงอยู่นาน จื่อหลิงสุดที่จะทนต่อไปได้จึงกัดมือฉู่เหลียน ทำให้ฉู่เหลียนร้องลั่นยอมปล่อยมือสร้างความขบขันให้ทุกคนเป็นอันมาก
เฟ่ยหยุนฟานพาจื่อหลิงออกไปตีกอล์ฟ จื่อหลิงเพิ่งเริ่มเรียนตีกอล์ฟจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ ต่อมา เฟ่ยหยุนฟานก็พา จื่อหลิงไปขี่ม้า จื่อเหลียนตื่นเต้นมากกำบังเหียนไว้แน่น เฟ่ยหยุนฟานเดินเคียงข้างเพื่อระวังความปลอดภัยให้จื่อหลิง จื่อหลิงขี่ม้าสักพักหนึ่งก็เริ่มคุ้นเคยกับการบังคับม้า ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของจื่อหลิงก็ดังขึ้นมา จื่อหลิงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ด้วยความที่ไม่ระมัดระวังจึงตกจากหลังม้าลงม้า เฟ่ยหยุนฟานตกใจมากจึงเข้าไปรับจื่อหลิงเอาไว้ นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงกลับทำหน้าเป็นใส่เฟ่ยหยุนฟานโดยบอกเฟ่ยหยุนฟานว่าเธอพบเห็นดวงดาวสุกสกาวดวงหนึ่ง เธอตั้งชื่อดวงดาวนั้นว่า “จื่อหยุน” หวังว่าแต่นี้เป็นต้นไปทุกวันจะได้พบเห็นจื่อหยุน

หยี่ซาน,เสี่ยวจิ่นและฉู่เพ่ยพากันไปปีนหน้าผาจำลองด้วยกัน เสียวจิ่นไม่ระวังพลัดตกลงมา ฉู่เพ่ยเห็นเช่นนั้นจึงใช้มือประคองก้นเสียวจิ่นเอาไว้ เมื่อหยี่ซานพบเห็นเข้าจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาโดยบอกให้ฉู่เพ่ยรีบปล่อยมือทันทีด้วยไม่อยากกิน น้ำใต้ศอกของเสียวจิ่น
หยงเอ๋ออดีตภรรยาของเฟ่ยหยุนฟานมาที่ร้านอาหารของเฟ่ยหยุนฟาน เพื่อขอหยิบยืมเงินจำนวนห้าแสนเหรียญเปิดร้านเสริมสวย เฟ่ยหยุนฟานให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ จากนั้น เฟ่ยหยุนฟานก็บอกหยงเอ๋อว่าตนจะแต่งงานสัปดาห์หน้า หยงเอ๋อสวมกอดแสดงความยินดีต่อเฟ่ยหยุนฟาน จื่อหลิงเปิดประตูเข้ามาพบเห็นเข้าก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาเลยทีเดียว แม้ว่าเฟ่ยหยุนฟานพยายามอธิบายความจริงให้จื่อหลิงฟัง แต่จื่อหลิงกลับไม่ยอมรับฟังใดๆทั้งสิ้น เฟ่ยหยุนฟานจนปัญญาจึงปล่อยให้ จื่อหลิงใจเย็นลงสักพักค่อยพูดจากัน หยงเอ๋อโทรศัพท์ถึงจื่อหลิงเพื่อเชื้อเชิญให้จื่อหลิงมาที่บ้านของเธอ จื่อหลิงไปตามที่นัดหมาย หยงเอ๋อ บอกจื่อหลิงว่าเป็นคนที่มีคุณธรรม ทั้งที่เธอและเฟ่ยหยุนฟานหย่าขาดจากกันแล้วก็ตาม แต่เมื่อเฟ่ยหยุนฟานรู้ความจริงว่าเธอติดยาเสพติด เฟ่ยหยุนฟานก็ให้ความช่วยเหลือเธอเลิกยาเสพติดให้ได้ จื่อหลิงตื้นตันใจมากจึงให้อภัยเฟ่ยหยุนฟาน
เวลาฮันนีมูนของฉู่เหลียนหมดลงทำให้ฉู่เหลียนต้องกลับไปทำงานดังเดิม ในเวลากลางวันซึ่งลี่ผิงต้องอยู่ตามลำพังนั้นทำให้ลี่ผิงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา ฉู่เหลียนบอกให้ลี่ผิงอยู่บ้าน ถ้าหากรู้สึกเบื่อขึ้นมาก็พูดคุยกับแม่(แม่สามี) แต่ลี่ผิงกลับรู้สึกว่าเธอไม่มีเรื่องพูดคุยกับแม่ ฉู่เหลียนบอกลี่ผิงว่าลี่ผิงและแม่รู้จักกันมานาน เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีเรื่องพูดคุยกัน ลี่ผิงตัดพ้อว่ารู้จักกันก็เป็นเรื่องที่รู้จักกัน การพูดคุยกันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากที่ฉู่เหลวียนออกไปทำงานแล้ว ลี่ผิงก็ลองเข้าไปพูดคุยกับแม่ นึกไม่ถึงว่าแม่สามีและลูกสะใภ้กลับมีท่าทีเกรงอกเกรงใจกันราวกับเป็นคนอื่น ทำให้ลี่ผิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างขวางกั้น ลี่ผิงเข้าครัวทำอาหารให้ฉู่เหลียน ด้วยความไม่ระวังจึงถูกน้ำแกงลวก แม่เห็นเช่นนั้นจึงบอกลี่ผิงว่าต่อไปต้องการอะไรให้เรียกแม่ ไม่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง

เฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงพากันไปเลือกซื้อแหวนเพชร จื่อหลิงเลือกเพชรเม็ดเล็กที่สุด จากนั้น จื่อหลิงก็ถามเฟ่ยหยุนฟานว่าเธอสวมใส่แหวนเพชรนิ้วกลางได้หรือไม่ เฟ่ยหยุนฟานไม่เข้าใจเจตนาของจื่อหลิง จื่อหลิงบอกเฟ่ยหยุนฟานว่าอดีตภรรยาทั้งสองคนของเฟ่ยหยุนฟานต่างสวมใส่แหวนนิ้วนางด้วยกันทั้งนั้น จื่อหลิงไม่อยากเป็นเหมือนพวกเธอที่ต้องหย่าขาดจาก เฟ่ยหยุนฟาน เฟ่ยหยุนฟานเห็นด้วยกับความคิดของจื่อหลิงจึงได้รับปากตามความต้องการของเธอ พนักงานขายชื่นชมเฟ่ยหยุนฟานที่เข้าอกเข้าใจผู้หญิงเป็นอย่างดี ดังนั้นจึงเลือกแหวนให้จื่อหลิงเป็นกรณีพิเศษ จื่อหลิงหัวเราะในความเป็นเจ้าบ่าวที่มากประสบการณ์ของเฟ่ยหยุนฟาน เฟ่ยหยุนฟานกลับบอกจื่อหลิงว่าจื่อหลิงเป็นเจ้าสาวที่เรื่องมากที่สุด
สุยซินนัดหวังจ่านเผิงมาหาเธอที่คอฟฟี่ชอป สุยซินสอบถามหงังจ่านเผิงถึงการแต่งงานของลูกสาวทั้งสองคน หวังจ่านเผิงกลับมีท่าทีเศร้าสลดโดยบอกสุยซินว่าลูกสาวทั้งสองคนของตนนั้น คนหนึ่งต้องแต่งงานด้วยมีสาเหตุมาจากความพิการ ส่วนอีกคนหนึ่งต้องแต่งงานด้วยไม่สมหวังในความรัก เดิมทีตนคิดว่าการเสียสละความรักที่มีต่อสุยซินนั้นสามารถแลกกับความสุขของลูกสาวทั้งสองคน แต่เมื่อเห็นชีวิตสมรสของลูกสาวทั้งสองคนแล้วก็รู้สึกว่าพวกเธอต้องทุกข์ระทมต่อชีวิตสมรสที่ไม่มีความสุข หวังจ่านเผิงกล่าวต่อไปว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนตนเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงสุ่นจวนโดยเล่าถึงเรื่องราวของตนและสุยซินให้สุ่นจวนรู้ น่าเสียดายที่สุ่นจวนไม่ได้รับจดหมายฉบับนั้น จวบจนกระทั่งตนได้ตัดสินใจเปิดเผยความจริงให้สุ่นจวนรู้ สุยซินก็จากไปเสียแล้ว สุยซินจับจ้องไปที่หวังจ่านเผิงราวกับอยู่ในภวังค์ แม้ว่ามีคำพูดมากมาย แต่กลับพูดไม่ออก
จื่อหลิงไปเยี่ยมเยียนลี่ผิงที่บ้านสกุลฉู่ เธอรู้สึกสงสารเมื่อเห็นลี่ผิงได้รับบาดเจ็บ จื่อหลิงบอกลี่ผิงว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับเฟ่ยหยุนฟาน หลังจากแต่งงานแล้ววันรุ่งขึ้นก็จะบินไปฝรั่งเศสทันที ลี่ผิงรู้สึกประหลาดใจที่การแต่งงานช่างกระชั้นชิดจนเกินไป จื่อหลิงอ้างงานของเฟ่ยหยุนฟานกลบเกลื่อนความจริง
เฟ่ยหยุนฟานต้องการจัดงานแต่งงานอย่างยิ่งใหญ่ให้จื่อหลิง แต่นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงกลับปฏิเสธ ในคืนวันแต่งงาน ทั้งสองเปรียบเสมือนดวงดาวที่สุกสกาวที่สุดบนท้องฟ้า

ตกดึกที่บ้านสกุลฉู่ ฉู่เหลียนเขียนข้อความทางอินเตอร์เน็ตถึงจื่อหลิง แต่แล้วฉู่เหลียนกลับลบข้อความเหล่านั้นทิ้งไป
ทันทีที่เฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงลงจากเครื่องบิน ชายหญิงชาวฝรั่งเศสจำนวนห้าถึงหกคนที่มีช่อดอกไม้อยู่ในมือก็พากันปรี่เข้าหาจื่อหลิง หลังจากที่ทุกคนมอบช่อดอกไม้ให้จื่อหลิงแล้วก็โผเข้ากอดจื่อหลิง จื่อหลิงรู้สึกประหลาดใจมากที่คนเหล่านี้ต้อนรับเธออย่างอบอุ่น เฟ่ยหยุนฟานซึ่งยืนอยู่ข้างๆอดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นจื่อหลิงทำตัวไม่ถูก จากนั้นเฟ่ยหยุนฟานก็พาจื่อหลิงขึ้นเครื่องบินบินต่อไปยังเมืองโปรวองซ์ เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าตนเปิดกิจการโรงแรมอยู่ที่นั่น มีสวนดอกไม้ผืนใหญ่และบริษัทเครื่องสำอางค์ จื่อหลิงประทับใจเมืองโปรวองซ์เมืองเก่าแก่ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สิ่งที่ทำให้จื่อหลิงไม่อยากเชื่อเลยก็คือว่าเฟ่ยหยุนฟานพักอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างในสมัยศตวรรษที่สิบแปด จื่อหลิงตื่นตาตื่นใจวิ่งเข้าไปสำรวจบ้านซึ่งเป็นของเธอ จื่อหลิงพบว่าเฟ่ยหยุนฟานจำลองสิ่งที่จื่อหลิงปรารถนาไว้ในบ้านและสวนดอกไม้สร้างความประทับใจให้จื่อหลิงเป็นอันมาก จื่อหลิงและเฟ่ยหยุนฟานยิ้มหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ภายในบ้านสกุลฉู่ ฉู่เหลียนบอกแม่ว่าอย่าเห็นลี่ผิงเป็นคนอื่น เพราะจะสร้างความอึดอัดให้แก่ลี่ผิง แต่ลี่ผิงกลับไม่สบายใจที่เธอไม่เพียงไม่สามารถแบ่งเบา แต่ในทางกลับกันกลับสร้างภาระให้แก่ครอบครัว วันหนึ่ง แม่จะออกไปซื้อกับข้าว ฉู่เหลียนและพ่อออกไปทำงาน ฉู่เพ่ยออกไปเรียนหนังสือ มีเพียงลี่ผิงอยู่บ้านเพียงคนเดียวเท่านั้น ทันใดนั้นเองก็มีบุรุษไปรษณีย์มากดกริ่งหน้าบ้านสกุลฉู่เพื่อให้ผู้รับออกมาลงลายมือชื่อรับจดหมายลงทะเบียน ลี่ผิงต้องทุลักทุเลกว่าที่จะมาเปิดประตูได้ ทำให้บุรุษไปรษณีย์ต้องคอยอยู่สักพักหนึ่ง ลี่ผิงใช้ไม้เท้าค้ำยันเดินไปจนหกล้มได้รับบาดเจ็บจนต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล สุ่นจวนขุ่นข้องหมองใจที่บ้านสกุลฉู่ปล่อยให้ลี่ผิงอยู่บ้านตามลำพัง สุ่นจวนและหวังจ่านเผิงจึงปรึกษาหารือกันว่าจะรับลี่ผิงกลับมาอยู่บ้านสกุลหวัง

ภายในห้องรับแขกบ้านสกุลฉู่ บ้านสกุลฉู่และบ้านสกุลหวังนัดหมายปรึกษาหารือกันถึงเรื่องของลี่ผิง ด้วยความที่สุ่นจวนไม่พอใจสิ่งที่ลูกสาวของเธอได้รับ เธอจึงต่อว่าต่อขานฉู่เหลียนโดยไม่ไว้หน้า ไม่ดูแลลี่ผิงให้ดี ไม่ว่าหัวเด็ดตีนขาดก็จะรับลี่ผิงกลับมาบ้านสกุลหวังให้ได้ ด้วยความที่ลี่ผิงเกรงว่าเธอจะเป็นต้นเหตุที่ทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว ลี่ผิงจึงยอมรับว่าทั้งหมดเป็นความผิดของเธอเพียงคนเดียว ฉู่เหลียนตำหนิตนเองเป็นการใหญ่ ส่วนพ่อได้แต่สะกดความรู้สึกเอาไว้โดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะดูแลลี่ผิงให้ดี ไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกต่อไป สุ่นจวนเห็นทุกคนรับปากเป็นมั่นเหมาะ เธอจึงยอมลามือ แม้ว่าบรรยากาศผ่อนคลาย ลงไป แต่ฉู่เหลียนกลับรู้สึกกลัดกลุ้มใจเป็นอันมาก
ภายในบ้านสกุลฉู่ ฉู่เหลียนดูแลลี่ผิงเป็นอย่างดี ทำให้ลี่ผิงรู้สึกเกรงอกเกรงใจฉู่เหลียนขึ้นมา ลี่ผิงกล่าวขอโทษฉู่เหลียนไม่หยุดปาก ฉู่เหลียนบอกลี่ผิงว่านับแต่นี้ไม่ต้องกล่าวคำขอโทษอีกต่อไป เมื่อลี่ผิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นอันมาก ความรู้สึกของลี่ผิงและฉู่เหลียนต่างเศร้าหมองด้วยกันทั้งคู่ สิ่งที่ทั้งสองทำได้ทำได้เพียงแต่ปลอบใจกันและกันเท่านั้น
ภายใต้แสงอาทิตย์ริมสระว่ายน้ำ ฉู่เพ่ยคอยหยี่ซานด้วยความร้อนใจ เสียวจิ่นคะยั้นคะยอให้ฉู่เพ่ยลงสระว่ายน้ำ ฉู่เพ่ย ตกตะลึงเมื่อเห็นผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อหุ้มตัวหยี่ซาน เสียวจิ่นบอกหยี่ซานปลดผ้าขนหนู หยี่ซานปลดผ้าขนหนูออก ฉู่เพ่ยเบิกตาโพลงด้วยคิดว่าจะได้ชื่นชมเรือนร่างหยี่ซาน นึกไม่ถึงว่าภายใต้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ ยังมีผ้าขนหนูผืนใหญ่อีกผืนหนึ่งห่อหุ้มกายหยี่ซานเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
เสียวจิ่นและหยี่ซานหยอกล้อกันในสระว่ายน้ำ ฉู่เพ่ยนั่งอยู่ริมสระน้ำ นับเป็นครั้งแรกที่ฉู่เพ่ยเห็นเรือนร่างอันงดงามของ หยี่ซาน เสียวจิ่นและหยี่ซานพากันวิ่งไปหาฉู่เพ่ย เสียวจิ่นกระชากผ้าที่ห่อหุ้มกายของหยี่ซานออก นึกไม่ถึงว่าหยี่ซานเตรียมการรับมือไว้แล้วด้วยไม่อยากให้ฉู่เพ่ยเห็นเรือนร่างที่แท้จริงของเธอ หยี่ซานหอบผ้าขนหนูวิ่งจากไป ฉู่เพ่ยตะโกนร้องรั้งหยี่ซานไว้ แต่หยี่ซานวิ่งจากไปแล้วไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ

ภายในบ้านของเฟ่ยหยุนฟานในประเทศฝรั่งเศส หลังจากที่จื่อหลิงตื่นนอนด้วยความสลึมสลือก็ไม่พบเห็นเฟ่ยหยุนฟานอยู่ข้างกายเธอ จื่อหลิงร้อนใจมากจึงออกตามหาเฟ่ยหยุนฟานทั้งที่เธอยังอยู่ในชุดนอน จื่อหลิงหยุดอยู่ที่หน้าห้องใหญ่ห้องหนึ่ง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นชาวฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งในชุดสากลนั่งรายล้อมโต๊ะประชุมรับฟังคำสั่งจากเฟ่ยหยุนฟาน ทุกคนต่างพากันตะลึงเมื่อเห็นจื่อหลิงอยู่ในชุดนอน เท้าเปล่า ผมเผ้ายุ่งเหยิง จื่อหลิงทั้งเขินทั้งอายจึงวิ่งออกจากห้องไป เฟ่ยหยุนฟานเห็นเช่นนั้นก็วิ่งหน้าตาตื่นตามจื่อหลิงออกไป ชาวฝรั่งเศาที่มาร่วมประชุมกับเฟ่ยหยุนฟานต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา
จื่อหลิงหยุดอยู่ที่ริมระเบียงด้วยหาห้องนอนของเธอไม่พบ นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงพบเห็นสาวใช้ชาวฝรั่งเศศกำลังกอดจูบอยู่กับผู้ชาย ภาพที่เห็นทำให้จื่อหลิงรู้สึกเขินอายขึ้นมา เฟ่ยหยุนฟานพาจื่อหลิงกลับเข้าห้องนอน เมื่อจื่อหลิงเผชิญหน้ากับเฟ่ยหยุนฟาน ก็ทำให้เธอเขินอายจนทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวออกไปนอกบ้านด้วยกัน จื่อหยุนเปิดตู้เสื้อผ้าก็พบว่ามีเสื้อผ้าแขวนจนลานตา เฟ่ยหยุนฟานเลือกเสื้อผ้าชุดหนึ่งให้จื่อหลิง ทำให้จื่อหลิงอายจนหน้าแดงเลยทีเดียว
ลานกว้างหน้าพระราชวัง จื่อหลิงดื่มด่ำกับทัศนียภาพอันสวยงามซึ่งรายล้อมเธออยู่ อาคารขาวที่มีอายุยาวนานซึ่งอยู่ตรงหน้าจื่อหลิงนั้น ทำให้เธอร้อยเรียงเรื่องราวออกมาสร้างความประทับใจให้เฟ่ยหยุนฟานเป็นอันมาก อีกด้านหนึ่งนั้น ลี่ผิงไปที่โรงพยาบาลเพื่อลองสวมใส่ขาปลอม
จื่อหลิงและเฟ่ยหยุนฟานฮันนีมูนด้วยกันอย่างมีความสุข เจี้ยนปอเกลี้ยกล่อมลี่ผิงกลับมาทำงานที่สถานเต้นรำดังเดิม ทำให้ลี่ผิงได้รับความรู้สึกเดิมกลับมา ทุกคนพากันไปย่างบาร์บีคิวกินกัน หยี่ซานให้ฉู่เพ่ยรับผิดชอบทาน้ำผึ้งบนบาร์บีคิวที่ย่างเสร็จแล้ว

สวนดอกไม้ภายในบ้านของเฟ่ยหยุนฟานในฝรั่งเศส เฟ่ยหยุนฟานมอบคอมพิวเตอร์พกพาสีมุกแวววาวเครื่องหนึ่งให้ จื่อหลิงไว้ใช้งาน อีกด้านหนึ่งนั้น ภายในห้องกายภาพบำบัดของโรงพยาบาล ฉู่เหลียนประคองลี่ผิงเดิน นักกายภาพบำบัดขอให้ลี่ผิงเดินด้วยตัวเอง ทันทีที่ฉู่เหลียนปล่อยมือจากลี่ผิง ลี่ผิงก็ล้มลงกับพื้น ทำให้ฉู่เหลียนรู้สึกสงสารลี่ผิงเป็นอันมาก ฉู่เหลียนบอกลี่ผิงว่าตนจะอยู่เคียงข้างให้กำลังใจเธอ ไม่ทอดทิ้งเธอเป็นอันขาด ขณะที่เฟ่ยหยุนฟานกำลังตรวจสอบบันทึกสำหรับการทำงานนั่นเอง จื่อหลิงในชุดนอนก็เปิดประตูเข้ามาโดยที่มือทั้งสองข้างเกาไปทั่วทั้งตัว ที่แท้มีผื่นแดงจำนวนมากปรากฏตามตัวจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานเห็นเช่นนั้นจึงซักไซ้ไล่เลียงเพื่อหาสาเหตุ เฟ่ยหยุนฟานมอบเครื่องสำอางชุดหนึ่งให้จื่อหลิงโดยตั้งชื่อเครื่องสำอางชุดนี้ว่า “จื่อหลิง” ในที่สุดลี่ผิงก็สามารถใช้ขาปลอมเดินได้แล้ว ทุกคนต่างพากันแสดงความยินดีต่อลี่ผิง ฉู่เพ่ยนำแผ่นซีดีซึ่งส่งมาจากเฟ่ยหยุนฟานออกมาอวด ฉู่เหลียนรู้สึกหดหู่เมื่อเห็นเฟ่ยหยุนฟานและจื่อหลิงครองรักกันอย่างมีความสุข ตกดึก ฉู่เหลียนละเมอเรียกชื่อจื่อหลิงอออกมา ลี่ผิงได้ยินจึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัยฉู่เหลียนขึ้นมา หวังจ่านเผิงขอหย่าขาดจากสุ่นจวน สุ่นจวนไม่สามารถยอมรับความจริงได้ หวังจ่านเผิงบอกสุยซินว่าตนขอหย่าขาดจากสุ่นจวนแล้ว นึกไม่ถึงว่าสุยซินกลับแนะนำให้หวังจ่านเผิงกลับบ้าน หวังจ่านเผิงยืนยันว่าตนจะไม่ละความพยายามอย่างแน่นอน จื่อหลิงนั่งรถเข้าไปในหมู่บ้านศิลา นึกไม่ถึงจื่อหลิงพบเห็น เฟ่ยหยุนฟานกำลังกอดจูบกับหญิงสาวชาวฝรั่งเศส จื่อหลิงโกรธมากจึงหุนหันจากไป

จื่อหลิงนิ่งเงียบเพื่อรอให้เฟ่ยหยุนฟานออกจากบ้านไป จากนั้นจื่อหลิงก็แอบสะกดรอยคามเฟ่ยหยุนฟานไป ในที่สุดจื่อหลิงก็พบว่าเฟ่ยหยุนฟานและอดีตภรรยาแอบนัดพบกัน จื่อหลิงเห็นเช่นนั้นก็อาละวาดเป็นการใหญ่ หลังจากที่เฟ่ยหยุนฟานพาจื่อหลิงกลับบ้านแล้ว จื่อหลิงก็ขังตัวเองอยู่ในห้องนอน เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าการกอดเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชาวฝรั่งเศส แต่จื่อหลิงกลับไม่สามารถรับได้ จื่อหลิงและเฟ่ยหยุนฟานงอนง้อกันอยู่ถึงสามชั่วโมง จากความช่วยเหลือของสาวใช้ทำให้ เฟ่ยหยุนฟานสามารถพูดคุยกับจื่อหลิง จื่อหลิงยื่นข้อเสนอสามข้อต่อเฟ่ยหยุนฟาน เฟ่ยหยุนฟานยอมรับข้อเสนอของจื่อหลิง
เฟ่ยหยุนฟานนัดหมายอิซาเบล่ามาพบ จื่อหลิงยื่นคำขาดให้อิซาเบล่าไปจากชีวิตของเธอและเฟ่ยหยุนฟาน อย่าได้มารบกวนพวกเธออีกเป็นอันขาด แม้ว่าอิซาเบล่าฟังไม่เข้าใจ แต่ก็พอเข้าใจได้จากท่าทางของจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานมีทัศนคติเปลี่ยนไปเมื่อเห็นจื่อหลิงแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา
ทัศนียภาพของทะเลสาบซึ่งงดงามราวกับภาพวาด จื่อหลิงและเฟ่ยหยุนฟานเดินเล่นอยู่ด้วยกัน เฟ่ยหยุนฟานยื่นข้อเสนอสองข้อต่อจื่อหลิง ข้อแรก เมื่อใดที่จื่อหลิงโกรธ อย่าได้หนีตนไป โชคดีที่วันนี้สุขภาพตนยังดีอยู่ วันหน้าไม่แน่อาจหัวใจวายตายก็เป็นได้ อีกข้อหนึ่งนั้น ไม่ว่าโกรธมากมายเพียงใดก็ตาม อย่าขังตนเองอยู่ในห้องเป็นอันขาด
ภายในสถานเต้นรำซึ่งมีเสียงเพลงคลออยู่ บรรดานักเต้นทั้งหลายต่างพากันฝึกซ้อมเต้นรำ เจี้ยนปอปลอบใจลี่ผิงเพื่อไม่ให้เธอคิดมาก แต่ดูเหมือนว่าลี่ผิงจะทำใจได้มากแล้ว
สุ่นจวนโทรศัพท์ถึงเฟ่ยหยุนโจวเพื่อถามว่าหวังจ่านเผิงอยู่ที่บ้านสกุลเฟ่ยหรือไม่ เฟ่ยหยุนโจวไม่อาจรู้ว่าใครพาหวังจ่านเผิงไป สุ่นจวนบอกเฟ่ยหยุนโจวว่าหวังจ่านเผิงขอหย่าขาดแยกทางจากเธอ หลังจากที่เฟ่ยหยุนโจวรู้ความจริงแล้วก็ไปหาหวังจ่านเผิงโดยแนะนำหวังจ่านเผิงจัดการกับชีวิตสมรสให้ดี

หวังจ่านเผิงกลับแปรเปลี่ยนความหวังดีของเฟ่ยหยุนโจวเป็นอื่น เดิมทีตนถือว่าเฟ่ยหยุนโจวเป็นคนที่ไว้วางใจได้มากที่สุด แต่นึกไม่ถึงว่ากลับถูกเพื่อนรักทรยศหักหลัง หวังจ่านเผิงบอกเฟ่ยหยุนโจวว่าสุ่นจวนจะฉลองครบรอบแต่งงานทุกปี ในแต่ละปีตน ก็จะถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมงาน จนกระทั่งวันนี้ตนถึงรู้ความจริงว่าการที่สุ่นจวนทำเช่นนี้นั้นเพียงเพื่อพิสูจน์ให้เพื่อนๆเห็นถึงชัยชนะของเธอ ตนเป็นเพียงเครื่องมือของสุ่นจวนเท่านั้น หวังจ่านเผิงบอกเฟ่ยหยุนโจวด้วยความเศร้าหมองว่าตลอดยี่สิบปีมานี้ตนไม่เคยลืมสุยซินเลย แต่พรหมลิขิตก็ทำให้ตนได้พบกับสุยซินอีกครั้ง เฟ่ยหยุนโจวนิ่งเงียบเดินไปเดินมาสักพักหนึ่ง จากนั้นก็หยิบพวงกุญแจในกระเป๋ามอบให้หวังจ่านเผิง โดยบอกให้หวังจ่านเผิงพักที่บ้านเฟ่ยหยุนไปพลางก่อน เรื่องของสุยซินจะให้สุ่นจวนรู้ไม่ได้เป็นอันขาด เฟ่ยหยุนโจวไปที่บ้านสกุลหวัง เฟ่ยหยุนโจวบอกสุ่นจวนว่าหวังจ่านเผิงไม่มีผู้หญิงอื่นอยู่นอกบาน เพียงแต่ป่วยเป็นโรคชนิดหนึ่งเท่านั้นซึ่งโรคนี้คือโรคเบื่อหน่ายชีวิตสมรส ซึ่งเป็นมากในผู้ชายวัยกลางคน สุ่นจวนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับคำพูดของเฟ่ยหยุนโจว
งานประจำปีของบริษัท จื่อหลิงสวมใส่ชุดสีเหลืองทอง เฟ่ยหยุนฟานมอบรองเท้าส้นสูงคู่หนึ่งซึ่งเข้ากับเสื้อผ้าให้จื่อหลิง จื่อหลิงเชื่อว่าบรรดาผู้หญิงสาวชาวฝรั่งเศสซึ่งล้วนแล้วแต่มีรูปร่างสูงใหญ่จะต้องมาร่วมงานเลี้ยงอย่างแน่นอน ด้วยความที่จื่อหลิงไม่อยากน้อยหน้าจึงยืนกรานที่จะสวมรองเท้าส้นสูงเข้าร่วมงานให้ได้ ความรั้นของจื่อหลิงทำให้เฟ่ยหยุนฟานอดเป็นห่วงไปไม่ได้ แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเธอ จื่อหยุนยิ้มด้วยความเบิกบานใจ จากนั้นก็ชวนเฟ่ยหยุนฟานเต้นรำด้วยกัน ขณะที่ทั้งสองกำลังเพลิดเพลินกับการเต้นรำอยู่นั่นเอง นึกไม่ถึงว่าจื่อหลิงเสียหลักทำให้รองเท้าส้นสูงหักจนข้อเท้าแพลง เฟ่ยหยุนฟานเห็นเช่นนั้นจึงเข้าไปประคองจื่อหลิง เฟ่ยหยุนฟานกลัดกลุ้มเรื่องชื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท จื่อหลิงจึงเสนอชื่อ “สายลับกุหลาบ” เฟ่ยหยุนฟานเห็นด้วยกับชื่อที่จื่อหลิงเสนอมา
จื่อหลิงตื้นตันใจมากเมื่อได้รับจดหมายทางอินเตอร์เน็ตจากฉู่เหลียน เฟ่ยหยุนฟานพบเห็นเข้าจึงบอกจื่อหลิงว่าอย่าทำลายบรรยากาศอันงดงามของคืนนี้ หวังจ่านเผิงบอกสุยซินว่าตนไม่สามารถเจรจาหย่าด้วยความสงบและเหตุผล หวังว่าสุยซินจะเข้าใจและพร้อมที่จะเผชิญความจริง

หยี่ซานวิ่งเข้าไปในสถานเต้นรำด้วยความเร็วราวกับสายลม เธอประหลาดใจมากเมื่อเห็นลี่ผิงยืนถือไม้เท้าค้ำยันสอนนักเต้นฝึกซ้อมเต้นรำ เมื่อหยี่ซานเห็นเช่นนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนเวทีด้วยความดีใจ จากนั้นก็ร่วมเต้นรำกับทุกคนอย่างมีความสุข ลี่ผิงบอกหยี่ซานว่าการเต้นเป็นแบบแผนแตกต่างกับการเต้นแบบสะเปะสะปะที่เธอเต้นอยู่เป็นประจำ การเต้นเป็นแบบแผนจะต้องเต้นตามท่วงท่าที่กำหนดไว้ แม้แต่เร็วช้าก็ต้องสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อนนักเต้นและเสียงดนตรี จะเต้นตามสะเปะสะปะตามอำเภอใจไม่ได้
ภายในสวนดอกไม้บ้านสกุลเฟ่ย ขณะที่จื่อหลิงกำลังเขียนเรื่อง “สาวช่างฝัน”อย่างขะมักเขม้นอยู่นั่นเอง เฟ่ยหยุนฟานก็วิ่งเข้ามาแล้วบอกให้จื่อหลิงหลับตา เมื่อจื่อหลิงลืมตาขึ้นมาก็เห็นโปสเตอร์ขนาดใหญ่ เป็นภาพที่เธออยู่ในท่ามกลางลานกว้างซึ่งเต็มไปด้วยดอกหญ้า ผมยาวสยาย ยิ้มอย่างมีความสุข ด้านล่างของโปสเตอร์ระบุว่าเป็นผลงานของดรีมลิงค์ เฟ่ยหยุนฟานบอกจื่อหลิงว่าผลงานใหม่ชิ้นนี้ต้องการให้เธอเสียงของเธออ่านโฆษณา แต่น่าเสียดายที่ในเวลานี้ยังไม่มีคำโฆษณาที่เหมาะสม ขอให้จื่อหลิงช่วยคิดคำโฆษณาให้ด้วย
ลี่ผิงขอยืมคอมพิวเตอร์ของฉู่เหลียนเพื่อเก็บรวบรวมจดหมาย แต่ฉู่เหลียนกลับบอกลี่ผิงว่าคอมพิวเตอร์ของตนมีไวรัส ใช้การได้ไม่ดีสักเท่าใดนัก เมื่อถึงที่ทำงานตนจะช่วยเก็บรวมรวมจดหมายให้ จากนั้นฉู่เหลียนก็รีบร้อนออกไปทำงาน ปริ้นเตอร์ของ ฉู่เพ่ยพัง ฉู่เพ่ยจึงไปใช้คอมพิวเตอร์ของฉู่เหลียน นึกไม่ถึงว่าคอมพิวเตอร์ของฉู่เหลียนถูกตั้งรหัสผ่านเอาไว้ ลี่ผิงแนะนำฉู่เพ่ยให้ใส่วันเดือนปีเกิดของจื่อหลิง ผลปรากฏว่ารหัสผ่านใช้การได้ หลังจากที่ฉู่เพ่ยเสร็จงานแล้ว ลี่ผิงก็ใช้คอมพิวเตอร์ของฉู่เหลียนดูดีวีดีที่ หยี่ซานมอบให้เธอ ลี่ผิงตกใจมากเมื่อเห็นภาพฉู่เหลียนโอบเอวจื่อหลิงเดินข้ามถนน ด้วยความที่ลี่ผิงอยากรู้ความจริงมากกว่านี้ เธอจึงตรวจสอบข้อมูลซึ่งเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์ของฉู่เหลียน ลี่ผิงพบว่าฉู่เหลียนติดต่อกับจื่อหลิงด้วยเอ็มเอสเอ็นทางอินเทอร์เน็ต คำสนทนาที่ฉู่เหลียนและจื่อหลิงเขียนถึงกันทำให้ลี่ผิงหน้าซีดเผือด ยิ่งอ่านก็ยิ่งเศร้าใจ ในที่สุดลี่ผิงก็รู้ความจริงทั้งหมด
ที่มา thaitv3.com